bloggang.com mainmenu search

 “สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล”

 ตั้งเป้าปี 2556 หวังรายได้ 1,500ล้าน

คุณ “อุ๋ย- ชมศจีเตชะรัตนประเสริฐ” รองประธานฝ่ายขาย บ.สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จก. ทายาทของ“เสี่ยเจียง-สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” หัวเรือใหญ่แห่งค่ายใบโพธิ์ที่ดูแลรับผิดชอบในส่วนการขายของภาพยนตร์ในเครือสหมงคลฟิล์มฯทั้งหมด(สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล,มงคลเมเจอร์,มงคลภาพยนตร์)ผู้บุกเบิกตลาดหนังนอกกระแส,หนังอาร์ทและโรงภาพยนตร์ทางเลือกสำหรับคอหนังที่ยืนหยัดฉายหนังดีๆมากว่า8ปีอย่าง HOUSE RAMA ได้เปิดใจถึงผลประกอบการทางธุรกิจภาพยนตร์ในปีพ.ศ.2555 และแนวโน้มตลาดภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2556

ในรอบปีที่ผ่านมาสถานการณ์ตลาดภาพยนตร์ในบ้านเราเป็นอย่างไรบ้าง

“สำหรับรายได้ที่เกิดขึ้นในตลาดภาพยนตร์ประจำปี2555โดยรวมแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 4,100ล้านบาท ถือว่าโตขึ้นน้อยนะค่ะเมื่อเทียบจากตัวเลขเมื่อปีที่แล้วที่ตลาดภาพยนตร์มีรายได้ 4,000ล้านบาท ถือว่าโตขึ้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ค่ะจึงถือว่าโตน้อยเมื่อเทียบกับสัดส่วนของจำนวนโรงภาพยนตร์ที่มีการเพิ่มจำนวนเยอะขึ้นในปีที่ผ่านมาอุ๋ยเรียกว่าอยู่ที่เดิมและไม่ได้โตขึ้นมากอย่างที่ใจเราอยากให้มันเป็นมากกว่าถึงแม้ว่าเมื่อมองถึงภาพรวมของตลาดหลายๆคนในธุรกิจภาพยนตร์จะมองและคาดหวังกันว่ามันน่าจะโตขึ้นไปสัก 4,400 ล้านก็ตาม แต่บางคนก็บอกว่าเพราะไม่เข้านเรฯไง ก็ต้องรอดูไปอีกหน่อย ปี 55มีหนังเข้าราว 60 เรื่อง แต่ก็เป็นของผู้สร้างอิสระเยอะ ดูจำนวนก็ดูตึกคักดีแต่ค่ายหลักๆก็น้อยลง แต่ตัวเลขพอๆเดิม”

แล้วในส่วนของสหมงคลฟิล์มฯ เอง ผลประกอบการในรอบปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง

“ในรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตลาดที่4,100ล้านเป็นตัวเลขในส่วนของสหมงคลฟิล์มฯอยู่ที่ประมาณ 1,100 ล้าน โดยเรามีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่28%ประมาณ 27-29 เปอร์เซ็นต์ซึ่งถือได้ว่าสหมงคลฟิล์มเป็นอันดับ1ของตลาดแบ่งเป็นรายได้จากหนังต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 750ล้านบาทจริงๆปี 2555 เป็นปีที่หนังฝรั่งค่อนข้างแข็งแรง ถือว่าหนังเทศปีนี้ค่อนข้างโตมากที่ผิดเป้าไปก็น่าจะเป็นในส่วนของหนังไทย หนังไทยอาจจะตกลงมานิดนึง ปี 2555 หนังไทยรวมแล้วตัวเลขอยู่ที่ประมาณ300 กว่าล้าน เทียบกับปี 2554 ถ้าไม่รวมหนังอย่างนเรศวรทั้งสองภาคตัวเลขรายได้รวมของหนังไทยเท่าเดิม

ถ้ามองในภาพรวมของสหมงคลฟิล์มทั้งหมดก็ถือว่าโอเค โดยเราก็ยังคงอยู่ ณ จุดเดิมไม่ต่างจากปี2554 ปี 2555 ถือว่าเป็นปีที่โอเคนะเป็นปีที่มีทั้งหนังยากและหนังที่ง่ายไม่ว่าจะเป็นหนังไทยเองที่ทุกเรื่องต้องปั้นอย่างเรื่อง อันธพาลก็ต้องปั้นยอดมนุษย์เงินเดือน ก็ต้องปั้น คือในการทำงานของเราทุกเรื่องไม่ใช่แบบพูดชื่อหนังพูดชื่อดารา แล้วก็ขายได้เลยไม่ใช่ ทุกเรื่องเราต้องการการนวดเยอะค่ะซึ่งจริงๆเราถือว่าโอเค”

หนังไทยเองมองว่าไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้เท่าที่ควรผิดเป้าเยอะไหม

“ในส่วนของหนังไทยเรื่องที่ได้มากที่สุดของปี2555ก็คือแอนิเมชั่น ยักษ์ คือจริงๆ เราเชื่อว่าตัวหนังเองได้ผลตอบรับที่ดีจากคนดูนะคะคนดูอาจจะชื่นชอบและเราเองทำโปรโมทค่อนข้างหนักกับหนังเรื่องนี้ต้องบอกว่าเราตั้งใจทำและตัวแอนิเมชั่นเองใช้เวลาในการทำมาค่อนข้างนานมาก ส่วน จันดาราก็โอเคๆ ตัวเลขรายได้ถือว่าเป็นสเกลของหนังหม่อมน้อยอยู่แล้วที่จะได้สเกลประมาณนี้ปิดที่ใกล้ๆ40ล้านจริงๆเรื่องที่เราน่าจะเสียใจก็มี คน-โลก-จิต และก็สูบคู่กู้โลก ที่เรารู้สึกว่ามันโอเคแต่อาจจะน้อยกว่าที่เราคาดคิดไว้ จริงๆคิดว่าทุกๆปีรสนิยมของคนดูหนังจะเปลี่ยนไปและลักษณะการทำมาร์เกตติ้งของเราอาจจะพลาดไปหรือจุดขายที่เรามีไว้มันอาจจะไม่โดนกลุ่มคนดูที่เราสื่อสารออกไป”


มีการปรับตัวในการอนุมัติสร้างหนังไทยบ้างไหมจากบทเรียนที่ผ่านๆมา

“เราปรับกันเยอะขึ้นมันมีช่วงที่แบบเร็วไป คือหนังไทยไม่ใช่แบบสูตรคูณ 1 2 3 45 แล้วเช็คทุกอันถูกแล้วมันถูก บางทีมันคือจังหวะความรู้สึก เซ้นต์ เวลา ไทม์มิ่งทั้งหลาย เกิดขึ้นมันอาจจะถูกก็ได้หนังบางเรื่องอนุมัติแค่ 3-5 วันก็ได้เงินเยอะๆก็มีเพราะฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับคนเคาะด้วย ตอนนี้คุณพ่อเองก็เปิดมากขึ้น หมายถึงว่าถ้าแกคิดว่าไม่ถนัดกับหนังสไตล์ อย่าง มนุษย์เงินเดือน แกก็จะมาถามลูก คิดไง ดีไหมควรจะทำหรือเปล่า ก็มากขึ้น ฉะนั้นก็ไม่ใช่ทิศทางเดียวไปตลอด”

กับการที่ตัวหนังหรือแนวหนังที่ไม่ประสบผลสำเร็จจะมีผลต่อการทำหนังหรือที่จะเลือกสร้างครั้งต่อๆไปมั้ย

“ด้วยความเป็นสหมงคลฟิล์มที่จุดยืนของเราคือการทำหนังทุกๆแนวซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่าเราอาจจะมีหนังที่ได้ประมาณ10ล้าน20 ล้าน 50 ล้านขึ้นไป เพราะฉะนั้นจริงๆเราจะเปลี่ยนด้วยการไม่ทำมันมั้ย คงจะไม่แต่เราอาจจะเลือกทิศทางของหนังที่มันชัดเจนขึ้นหรือว่าเลือกจุดขายที่ย้อนมองดูว่าครั้งนี้เราผิดอะไร ใน คน-โลก-จิต เราอาจจะไม่มีดาราที่ดึงดูดคนดูหรือว่าการแสดงอาจจะยังไม่แข็งแรงพอเราก็อาจจะเปลี่ยนหรือหามุมหรืออาจให้ความสนใจใส่ใจในส่วนตรงนั้นมากขึ้นซึ่งจริงๆแล้วหนังทริลเลอร์ถือว่าเป็นแนวหนังที่ขายยากที่สุดสำหรับตลาดคนดูหนังบ้านเราที่เป็นคนไทยและถ้าเราหันไปดูรายได้ของหนังฝรั่งที่เป็นทริลเลอร์ก็แย่สุดเหมือนกัน มันถือว่าเป็นแนวที่ยากในการทำขึ้นมาค่ะแต่ขณะเดียวกันเราเป็นบริษัทสร้างหนังที่มองทางด้านความหลากหลายของทางด้านภาพยนตร์เป็นหลักและเราก็รู้สึกว่าหนังในตลาดมันไม่ควรจะมีแค่แนวเดียวแล้วเราก็เลือกที่จะทำหนังที่หลากหลายซึ่งเราก็รู้ว่ามันไม่มีอะไรที่แน่นอนในธุรกิจหนัง”

ไม่คิดจะเปลี่ยนแนวทางในการเลือกนำเข้าหนังหรือสร้างหนังในแนวทางที่ถูกตลาดคนดูชอบไปเลย

“คือต้องบอกอย่างนี้ค่ะว่าในฐานะผู้สร้างแล้วโดยเฉพาะสหมงคลฟิล์มฯเราคงเน้นในการสร้างหรือฉายภาพยนตร์ที่เน้นในความหลากหลายมากกว่าที่จะแก้ปัญหาด้วยการหันไปสร้างหนังในแนวใดแนวหนึ่งหรือเลือกฉายเฉพาะหนังแค่บางประเภทคือเรามีความเชื่อนั้นเชื่อตรงที่ตัวหนังต้องมีความหลากหลายและเราก็มีความเชื่อว่าถ้าเราทำหนังดีก็จะมีคนดู เราก็เลยทำ ถึงแม้ว่าในสุดท้ายเราอาจจะประสบความสำเร็จแค่บางเรื่องก็ตาม”

ในส่วนของหนังไทยตอนนี้สหมงคลฟิล์มมีทำกับผู้สร้าง(บริษัทโปรดักชั่น)ผู้กำกับใครบ้าง

“คือจริงๆบริษัทสหมงคลฟิล์มเราเปิดรับทุกคนอยู่แล้วค่ะขึ้นอยู่กับว่าหลักการตรงกันมั้ยความคิดตรงกันหรือเปล่าเป็นโปรเจ็คต์ที่เราอยากจะทำมันใช่มั้ยมากกว่าเราไม่ได้ผูกขาดกับใครไปเป็นรายใดรายหนึ่ง ตอนนี้ก็มีฝั่งบาแรมยูฝั่งเวิร์คพอยท์พิคเจอร์สที่ทำโคโปรดักชั่นร่วมกัน มีซีเนมาเซียของพี่อุ๋ยนนทรีย์มีสตูดิโอคำม่วนของมะเดี่ยว มีนาฟิล์มของพี่พันนา มีทางฝั่งหม่อมน้อยฯลฯคือก็ยังมีที่ทำด้วยกันเรื่อยๆ มันไม่ได้แบบปีนี้คนนี้ต้องมีกี่เรื่องๆแต่เป็นลักษณะที่ว่าปีนี้มีเรื่องไหนที่น่าสนใจจะทำ แล้วเราก็อนุมัติโปรเจ็กต์ให้ทำ”

ดูจากจำนวนหนังไทยที่เข้าฉายในปี2555 น้อยลง

“ค่ะจริงๆปีนี้ค่อนข้างน้อยสำหรับสหมงคลฟิล์มของเราเพราะว่าจริงๆแล้ว ถ้าถามเราเมื่อต้นปีที่แล้ว เราเองตั้งใจว่าต้มยำกุ้งจะเข้าปี2555 ตั้งใจว่าตำนานสมเด็จพระนเรศวรจะเข้าปี 2555 เพราะฉะนั้นหนังที่เหลือทั้งหมดก็จะประมาณนี้13-14เรื่อง ซึ่งจริงๆแล้วเผอิญโปรเจ็กต์ใหญ่ทั้งสองมันถูกขยับไปปี 2556มากกว่าคือจำนวนหนังที่เราอนุมัติแล้วสร้างยังเท่าเดิมก็โดยเฉลี่ยก็จะอยู่ที่15-16เรื่อง”

ในปี2556 ในส่วนหนังไทยของสหมงคลฟิล์มจะมีโปรเจ็กต์อะไรที่น่าสนใจบ้าง

“ในปี 2556 จะมีโปรเจ็กต์ใหญ่ๆของเราก็มีต้มยำกุ้ง2 3มิติ,ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 5ยุทธหัตถี ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดน่าจะวางโปรแกรมได้ที่ 4เม.ย. แต่ว่าตำนานฯอาจจะโชคร้ายนิดนึงตรงที่บริษัทที่ทำซีจีโดนไฟไหม้พอมันต้องเริ่มทุกอย่างใหม่ มันก็เหนื่อยเหมือนกัน ถามว่าส่งผลอะไรมั้ยก็ต้องบอกว่าส่งผลกระทบเหมือนกัน เพราะว่าจริงๆเราก็หลีกทางหนังทุกเรื่องกรุยทางรอให้ตำนานฯอยู่แล้วแล้วเรายังมีมีโปรเจ็คต์ ขุนพันธ์ เป็นแอ็คชั่นพีเรียดฟอร์มยักษ์กำกับโดยพี่โขม(ก้องเกียรติ โขมศิริ) ได้อนันดามาเล่นเป็น ขุนพันธ์ , ,มีหนังแอ็คชั่นฟอร์มใหญ่ที่กำกับโดยพี่พันนาเรื่องเร็วทะลุเร็ว,มีหนังของหม่อมน้อย จันดาราปัจฉิมบทที่จะประเดิมต้นปีในช่วงเดือนกุมภาฯ(7กพ.) แล้วน่าจะมีหนังหม่อมอีกเรื่อง กำลังคุยกันอยู่เราคิดว่าหม่อมน้อยมีสแตนดาร์ดของท่าน มีกลุ่มคนดูหนังของอาหม่อม สแตนดาร์ดของหนังแบบนี้ซึ่งเราก็พยายามเลือกโปรเจ็กต์ของหม่อม

ส่วนหนังรักของเราก็มีฤดูที่ฉันเหงา โปรเจ็กต์ถัดมาของแดน ,มีหนังวัยรุ่นของมะเดี่ยว(ชูเกียรติศักดิ์วีระกุล)เรื่อง เกรียนฟิคชั่น,มีโรแมนติคคอมมิดี้ที่พี่กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน กำกับเรื่องเธอเขาเราผี (THREESOME) ,หลังจากปัญญาเรณู2 เราก็ยังมีรูปูรูปี ที่พี่ท็อป บิณฑ์บรรลือฤทธิ์กำกับและบินไปถ่ายที่ประเทศอินเดีย,มีหนังใหม่ของพี่อุ๋ย นนทรีย์และมีโปรเจ็กต์ที่เราทำกับเวิร์คพอยท์พิคเจอร์สที่กำลังคุยกันอยู่ 3 เรื่อง ซึ่งรวมถึงโปรเจ็กต์สิ่งเล็กเล็ก2 ด้วย คือยอมรับว่าเป็นโปรเจ็กต์ที่เราตั้งใจ เป็นโปรเจ็กต์ที่เราอยากทำออกมาให้มันดีเนื่องจากภาคแรกทำออกมาไว้ค่อนข้างดีแล้วก็มีโปรเจ็กต์ตุ๊กกี้ รวมไปถึงโปรเจ็กต์หนังตลกเรื่องใหม่ที่คนไทยน่าจะชื่นชอบของพี่หม่ำตามสไตล์พี่หม่ำที่เล่นเองกำกับเอง แล้วพี่อุ๋ยนนทรีย์ ก็กำลังหาโปรเจ็กต์อยู่ด้วย เราอยากได้หนังดีหลักๆคือเราทำหนังทุกแนวแต่เราอยากได้หนังดี แล้วเราก็พยายามทำให้มันดีที่สุดก่อนที่มันจะฉายโรง”

ทำไมสหมงคลฟิล์ม ถึงต้องทำหนังไทยถึง15-16เรื่องต่อปีไม่คิดที่จะลดจำนวนผลิตน้อยลง

“คือเป็นในแง่มวลรวมของธุรกิจเรามากกว่าเนื่องจากเราไม่ได้มองการทำหนังสำหรับโรงภาพยนตร์เท่านั้นเรายังมีช่องทางอื่นที่ต้องคำนึงถึงและสหมงคลฟิล์มเองมองว่าด้วยวิธีการนี้กับจำนวนหนังที่มีอยู่ยังไปได้แต่โอเคถ้ามองย้อนหลังกลับไป10-15ปีที่แล้วหนังไทยเราอาจจะ3-5เรื่องต่อปี คือมันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆด้วยจังหวะ และเวลาและความต้องการของตลาด”

ถามถึง ต้มยำกุ้ง2 ตอนนี้มีความคืบหน้าไปถึงไหนอย่างไรบ้าง

“ในส่วนของโปรดักชั่นเสร็จแล้วตอนนี้อยู่ในช่วงโพสต์โปรดักชั่น เผอิญตัวหนังเป็น 3 มิติจุดขายของเราคือการเป็นหนัง martial arts 3มิติเรื่องแรกของโลก เพราะฉะนั้นเราให้เวลาตัวโปรเจ็กต์ในส่วนนี้ค่อนข้างเยอะทั้งในเรื่องของการทำโพสต์โปรดักชั่นต่างๆก็ค่อนข้างคาดหวังกับต้มยำกุ้ง2มาก เพราะถือได้ว่าเป็นโปรเจ็กต์ที่ใหญ่ที่สุดของสหมงคลฟิล์มฯปี56 เลย ในส่วนรายรับของตัวเลขภาคแรกเองก็ทำไว้ค่อนข้างสูงประมาณ 200 ต้นๆมากกว่าองค์บากอีก ต้มยำกุ้งเป็นหนังที่ทำสถิติของบริษัทเอาไว้ค่อนข้างเยอะ ด้วยความที่เป็นโปรเจ็กต์ที่มีชื่อของตัว จาพนม เอง บวกกับตัวเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างแข็งแรงซึ่งพี่ปรัชได้ดึงเอา เอกสิทธิ์ไทยรัตน์จาก13เกมสยองมาทำหน้าที่เขียนบทก็คิดว่าคนดูน่าจะชอบ”


สำหรับต้มยำกุ้ง2เองและในส่วนของตลาดหนังไทยในต่างประเทศของสหมงคลฟิล์มเป็นอย่างไรบ้าง

“สำหรับต้มยำกุ้งเราค่อนข้างตั้งเป้าไปที่ตลาดต่างประเทศค่อนข้างสูงเพราะว่าต้มยำกุ้งเป็นหนังที่เรียกว่าลูกค้าของเรารอ คือจริงๆหนังแอ็คชั่นของสหมงคลฟิล์มก็ยังเป็นหนังที่ลูกค้าต่างประเทศของเรายังต้องการอยู่นะเพราะจริงๆแล้วอย่างปีที่ผ่านมาเราควรมีหนังต้มยำกุ้งบวกกับหนังพี่พันนาสักเรื่องหนึ่งจริงๆปีที่ผ่านมาลูกค้าเราเองก็รู้สึกว่าหนังเราน้อยไปเขาก็ถามมาว่าทำไมเราไม่สร้างอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเผอิญเราปักธงว่าต้มยำกุ้งจะต้องเข้าเดือนธันวา เราเลยให้ความสำคัญไปที่เรื่องนี้เรื่องเดียวเราพยายามที่จะให้ความสนใจกับตัวโปรเจ็กต์มากๆแต่ที่เราต้องเลื่อนออกไปเพราะมีเหตุผลหลายอย่างค่ะ รวมทั้งจากตอนน้ำท่วมแล้วต้องบอกว่าจริงๆแล้วในการทำหนังแอ็คชั่นสักเรื่องหนึ่งให้ออกมาดีเป็นเรื่องยากอยู่แล้วและด้วยความเป็น 3D มันไม่ง่าย”


ถามถึง“จันดารา” ในตลาดต่างประเทศเป็นยังไงบ้าง

“นอกจากนี้ในส่วนของจันดาราในตลาดต่างประเทศก็ดีนะคะ ต้องพูดอย่างนี้ค่ะเราคิดว่าจันดาราถือว่าเป็นโปรเจ็คต์ที่เกินความคาดหมายสำหรับตลาดต่างประเทศซึ่งจริงๆแล้วหนังที่มันหนัก ที่มันดราม่า หนังรัก หนังทำนองนี้ ไม่ค่อยได้เงินมันไม่สามารถขายได้ในต่างประเทศแต่กลับกลายเป็นว่าจันดาราเป็นหนังที่ขายไปได้เกือบหมดในทุกประเทศแถบเอเชียยกเว้นประเทศที่ไม่สามารถฉายหนังโป๊ได้ มีแค่ 3ประเทศมาเลเซีย ,จีน,ญี่ปุ่น คือตัวลูกค้าเขาเองก็ชอบตัวหนังนะคะ เพราะโปรดักชั่นก็โอเคดูดีแล้วก็เนื้อเรื่องจริงๆจันดาราถ้าสลัดเรื่องความอีโรติคออกไปก็เป็นหนังที่เข้มข้นเรื่องหนึ่งเลยนะซึ่งเรื่องมันก็โอเคอยู่แล้วตั้งแต่ตัวบทประพันธ์เลย จันดารา 2เองก็น่าจะตามไปขายได้ด้วย”


แล้วด้าน“ตำนานสมเด็จพระนเรศวร” จะมีการขยายภาคไปอีกไหม

"เอาเป็นว่าถึงตอนนี้เท่าที่อุ๋ยรู้ยังคงเป็นภาคเดียวแต่ก็ไม่สามารถตอบอะไรแทนท่านมุ้ยได้”

ในปี2555 นอกจากหนังไทยแล้ว ส่วนของหนังต่างประเทศเป็นไงบ้าง

“ปี 2555 ถือว่าเป็นปีที่ดีของหนังต่างประเทศจริงๆอย่างTHETWILIGHT SAGA: BREAKING DAWN PART II ,STEP UP REVOLUTION หรือTHEEXPENDABLES2 ถือได้ว่าเป็นหนังต่างประเทศที่ทำเงินของสหมงคลฟิล์มประจำปี2555รวมไปถึงหนังอย่าง THE HUNGER GAMESซึ่งเราไม่ได้ตั้งเป้าไว้สูงมากตั้งแต่ต้น ตัวเลข 60กว่าล้านที่เราได้มาค่อนข้างโอเคแต่ว่าที่เกินเป้าก็คือSTEP UP REVOLUTION ซึ่งเราก็ไม่คิดว่ามันจะดีกว่าภาคที่แล้วเพราะว่าเราเองก็ไม่แน่ใจว่าหนังเต้นว่ามันจะโตขึ้นไปกว่านี้ได้อีกเหรอซึ่งถือว่าแฮปปี้กับตัวเลขที่ได้มา รายได้ของภาคนี้อยู่ที่ 80กว่าๆซึ่งสูงกว่าภาคที่แล้ว และกลายเป็นว่ารายได้ของหนังภาคนี้สูงกว่าทุกภาคเลยจากภาคแรกรายได้อยู่ที่10กว่าล้าน ส่วนทไวไลท์จบที่ใกล้ๆ190 ล้าน สูงกว่าทุกภาคสูงสุดเลย จริงๆต้องถือว่าทไวไลท์เองก็เกินเป้าเพราะว่าอย่างภาคที่แล้วทำได้อยู่ที่110ล้านซึ่งพอมาถึงภาคนี้ตอนที่มันเลย100 ล้านมาเราก็แฮปปี้ ดีใจแล้วค่ะ

ปีที่ผ่านมารายได้รวมจากเฉพาะในส่วนของหนังต่างประเทศตกอยู่ที่ประมาณ750ล้านบาทเมื่อเทียบกับปีก่อนถือได้ว่าเป็นปีที่เรามีหนังต่างประเทศเข้าฉายเยอะขึ้นมากกว่าปกติเยอะขึ้นมาเกือบ10เรื่อง แต่ว่ามันก็แข็งแรง ถือว่าตลาดหนังประเทศดีขึ้นจริงๆตั้งแต่มีหนังอย่างทไวไลท์แล้ว ซึ่งต้องบอกว่าหนังทางนี้ได้กลุ่มคนดูที่เป็นวัยรุ่นแล้วตัวหนังเองถึงจะเป็นหนังต่างประเทศแต่โอเคสื่อสารกับวัยรุ่นไทยได้ซึ่งในปีหน้าของเราก็จะมีหนังต่างประเทศในลักษณะนี้เยอะขึ้นอย่าง WARMBODIES , MORTAL INSTRUMENT ,BEAUTIFULCREATURES ซึ่งหนังพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นหนังที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มคนดูวัยรุ่นหมดเลยซึ่งก็จะเข้าฉายในช่วงครึ่งปีแรกหมดยกเว้น MORTAL INSTRUMENT ที่ไปอยู่ครึ่งปีหลังรวมไปถึงปีหน้าแฟนๆหนังเต้นก็จะได้ดูหนังเต้นที่เป็นโปรดักชั่นของอเมริกาที่ได้นักร้องนักแสดงเกาหลีที่เต้นเก่งอย่างโบอา(BOA) แน่นอนว่าก็จะมีภาคต่อของTHE HUNGER GAMES : CATCHING FIRE โดยเราจะประเดิมด้วยหนังแอ็คชั่นสุดมันส์ที่เป็นการกลับมาเล่นบทแอ็คชั่นเต็มตัวของคนเหล็กอาร์โนลด์เรื่อง THE LAST STANDนายอำเภอคนพันธุ์เหล็ก”

โดยรวมของหนังต่างประเทศของสหมงคลฟิล์มในปี 2556 จะประสบความสำเร็จแค่ไหน

“ถ้าสังเกตจริงๆแล้วจะเห็นว่าปีหน้าหนังเทศของเราถึงเวลาของการกลับมาปั้นหนังใหม่กันอีกรอบแล้วค่ะเนื่องจากว่าเราจะมีหนังสไตล์ ที่ถูกแพลนมาว่าจะเป็นหนังไตรภาค อย่าง MORTAL INSTRUMENT ,BEAUTIFUL CREATURESหนังที่เป็นแบบเทรนด์ปัจจุบัน วัยรุ่น รักๆหรืออย่าง WARM BODIES ที่ดูน่าสนใจ ที่ดูจะปั้นได้ ปี 56พีอาร์คงเจองานหนักซึ่งเราเรียกว่าทุกครั้งที่มีโปรเจ็คต์แบบนี้มาทีไรเราก็พยายามที่จะทำมันออกมาให้ดีที่สุดค่ะเหมือนตอนที่เราได้หนังอย่าง THE LORD OF THE RINGS , RESIDENT EVIL จริงๆปีหน้าน่าจะยากขึ้น เพราะว่าปีที่ผ่านมาเรามีทไวไลท์ที่เป็นหนังภาคต่อSTEP UP เป็นหนังภาคต่อโอเคเหมือนว่าเราสร้างมา 5ปีแล้ว และนี่คือปีที่ 5 มันก็เหมือนเรารู้ทางมาแล้วประมาณหนึ่งเรารู้เป้าหมายที่ชัดเจน”


เป็นบริษัทที่หนังไทยเองและสั่งหนังต่างประเทศเข้ามาความยากง่ายในการส่งหนังเข้าฉายในเมืองไทย

“ถ้าเป็นหนังไทยการมีดารา,ผกก.อยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราจะลงรายละเอียดอะไรกับตัวหนังเราจะสามารถทำอะไรได้ง่ายกว่าแต่สำหรับหนังต่างประเทศที่ทุกอย่างต่างประเทศเขาให้เรามาเท่าไหร่เราต้องมาขยายความต่อให้ได้มากเท่านั้น ซึ่งมันอาจจะยากกว่า แต่ว่ามันจะสำเร็จรูปกว่าแต่หนังไทยเราต้องเริ่มจากตั้งแต่ศูนย์คือพีอาร์จะต้องไปนั่งคุยกับผกก.ครีเอทีฟจะต้องคิดคีย์อาร์ทภาพนิ่ง อะไรที่มันแข็งแรงกับคนดูอะไรที่มันตรงกับกลุ่มเป้าหมายแต่หนังต่างประเทศเป็นอะไรที่เขาเลือกมาแล้วอะไรที่เป็นการขายก็เลือกมาแล้วประมาณหนึ่งเราก็มาดูว่ามันขายกับตลาดเรารึเปล่า ถ้าขาย เราก็เอามาใช้ต่อ มันก็ไม่มีอะไรง่ายไม่มีอะไรยากกว่ากันค่ะมันยากทั้งคู่ค่ะจริงๆแล้ว”

หนังต่างประเทศที่เป็นหนังเอเซียเป็นอย่างไรบ้าง

“จริงๆแล้วปีที่ผ่านมาเราลดจำนวนหนังเอเชียที่เข้ามานะคะโดยเราเลือกเรื่องที่เรามั่นใจมากกว่า หรือไม่ก็เลือกหนังที่เราคิดว่าเราไหวเพราะว่าจริงๆเราก็เจ็บไปอย่างหนักเมื่อ 2ปีที่แล้วกับหนังอย่างตำนานเดชนางพญางูขาว(THE SORCERER AND THE WHITESNAKE) , พยัคฆ์ตะลุยพยัคฆ์3D (flyingsowords of dragon gate)ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เราเจ็บ ก็สังเกตุได้ว่าลดลงอย่างเห็นได้ชัดค่ะแต่ว่าพอมาหนังเฉินหลงเรื่องล่าสุดอย่าง วิ่งปล้นฟัด(Chinese Zodiac)ที่เฉินหลงกลับมาทำหนังในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของเฉินหลงแท้ๆซึ่งมีครบทุกรสชาติทั้งแอ็คชั่นเสี่ยงตาย ฟัดฮา โปรดักชั่นทุ่มทุนและที่สำคัญตัวหนังสนุกมากๆเราก็ตั้งใจทำอย่างเห็นได้ชัดและเชิญเฉินหลงมาเปิดตัวที่เมืองไทย คือเราไม่ได้มีนโยบายว่าจะไม่ซื้อหนังจีนแล้วแต่ก็ไม่ได้ซื้อหนังจีนทุกเรื่อง ส่วนปี 2556 ก็จะมีหนังจีนใหญ่ๆหลายเรื่องเลยไม่ว่าจะเป็น“พยัคฆ์ร้ายกิโยติน(THEGUILLOTINES) ที่อำนวยการสร้างโดยปีเตอร์ชาน เป็นโปรเจ็คต์หนัง 3มิติที่ได้แอนดรูว์ เลา ผกก.ฟงอวิ๋นและINFERNAL AFFAIRS ซึ่งเราฉายต้นปี (3 มค.)และก็ THELAST TYCOON เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้คนสุดท้ายเป็นการกลับมาถือปืนในบทแอ็คชั่นเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ของโจวเหวินฟะที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาที่คนไทยคุ้นเคยกันดีตั้งแต่โหดเลวดี ,โหดตัดโหดโดยได้หวังจิง ผกก.คนตัดคนมากำกับ”


เป้าหมายรายได้ของ.สหมงคลฟิล์ม ในปี 2556 ตั้งไว้ประมาณไหน

“ทาร์เกตของปีหน้าจะอยู่ที่ประมาณ1500 ล้านบาท ซึ่งเราพยายามที่จะมองหนังฝรั่งอยู่ในสเกลใกล้ๆเดิมเพราะหนังฝรั่งค่อนข้างเยอะขึ้น 600-800 ล้าน ซึ่งต้องบอกว่าตัวเลข1500 ล้านก็ถือได้ว่าเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดตั้งแต่ทำหนังมาในขณะเดียวกันในส่วนของหนังไทยปีหน้าจะเป็นปีที่มีหนังใหญ่สองเรื่องอยู่ด้วยกัน นั่นคือต้มยำกุ้ง2และตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 5ยุทธหัตถี”

ปัญหาในปัจจุบันของการธุรกิจภาพยนตร์ในไทย

“คิดว่าการละเมิดลิขสิทธิ์เป็นสิ่งที่คู่กับตลาดหนังมาตลอด และก็ยังเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่โตขึ้น แล้วประกอบกับการที่เทคโนโลยีนี้ในปัจจุบันมันโตขึ้นทุกวันรวดเร็วขึ้นทุกวันการละเมิดลิขสิทธิ์ก็ยิ่งแข็งแรงขึ้นทุกวันกฎหมายเรานอกจากไม่ได้ช่วยผู้ประกอบการแต่กลับยิ่งทำให้ธุรกิจนี้การละเมิดลิขสิทธิ์แข็งแรง ขึ้นหรือทำให้เราสู้ได้ก็ค่อนข้างลำบากเหมือนกันค่ะ อย่างตลาดปี 2555 โดยรวม4100ล้านแต่ถ้ามองภาพรวมของตลาด ทุกคนมองว่าตลาดมันน่าจะโตขึ้นไปสัก4400ก็ทำให้น่าห่วงเหมือนกันคิดว่าปัญหาหนักๆของตลาดก็คือเรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์เรื่องของดิจิตอลคอนเท็นท์ที่กำลังจะเข้ามา มันทำให้ทำทุกอย่างมันยากขึ้น สิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากลุ่มลูกค้ากลุ่มใหญ่ของตลาดคือวัยรุ่นวัยรุ่นเป็นกลุ่มที่บริโภคสิ่งเหล่านี้ได้รวดเร็วมากและเขาอาจจะไม่มายด์ที่จะดูภาพยนตร์ในจอคอมพิวเตอร์หรือดูในมือถือ”


ในตัวผู้ประกอบการเองหาทางป้องกันแก้ไข ยังไงบ้าง

“ถ้าสำหรับตัวเราเราก็พยายามที่จะสู้เท่าที่เราสู้ไหวคือเรากำลังสู้กับธุรกิจอีกธุรกิจหนึ่งที่ใหญ่มากๆและมีอะไรเยอะแยะไปหมดเราก็พยายามป้องกัน เท่าที่เราจะป้องกันได้ พยายามที่จะหาทางทำให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์การทำผีให้มันน้อยที่สุดพยายามป้องกันตัวเองด้วยการมีนโยบายการเก็บมือถือในการฉายรอบสื่อมวลชนความพยายามที่จะให้โรงหนังมีการตรวจตรามากขึ้น มีตัวสแกนหรืออุปกรณ์มากขึ้นมันก็ทำได้ในแค่ระดับหนึ่ง เพราะเราไม่ได้สู้แค่นี้ แต่เราสู้กับมวลอะไรที่มันใหญ่กว่าเท่าที่เราจะทำได้ ซึ่งวงการภาพยนตร์เองมีสมาพันธ์ซึ่งเราเชื่อว่าเขาก็กำลังทำกันอยู่เขาก็พยายามที่จะผลักดันกฏหมาย หรือพยายามช่วยให้ตลาดหนังมันโตขึ้นให้ได้”

ธุรกิจทางด้านโรงภาพยนตร์ของสหมงคลฟิล์มในปัจจุบัน

คือจริงๆหลังๆสหมงคลฟิล์มเองเราไม่ได้ขยายธุรกิจทางด้านโรงภาพยนตร์เนื่องจากว่าเราไปเป็นหุ้นส่วนกับเอสเอฟในส่วนของทางโรงหนังเราก็ปล่อยให้ทางเอสเอฟดำเนินการไปเลยแล้วเราก็ไปให้ความสนใจกับการทำซอฟท์แวร์มากกว่าที่จะไปทำในเรื่องของฮาร์ดแวร์ส่วนของที่มีอยู่ก็มียูเอ็มจีก็ทำเรื่อยมา ในส่วนของHOUSEเรามองว่าตลาดมันขาดโรงหนังทางเลือก เราจึงทำHOUSEขึ้นมาแต่ว่าอย่างยูเอ็มจีอาร์ซีเอพอหมดสัญญาเราก็คืนอันนี้ไปดีกว่าแล้วเราก็ยังคงทำในส่วนของโรงหนังHOUSEต่อไปแต่สำหรับในส่วนของยูเอ็มจีบางพลีเราก็เพิ่งต่อสัญญาเนื่องจากว่าบางพลีเป็นโลเกชั่นที่โอเคหมายความว่าบางพลีเขามีกลุ่มคนของเขาที่ยังชื่นชอบโรงหนังโรงนี้อยู่ค่ะแต่ว่าเรามองว่าเราไม่ถนัดมากกว่า และเราไม่สามารถจับปลาสองมือทำทั้งสองอย่างได้เราเลยกลับมามุ่งในส่วนของทางหนังแล้วก็ให้พาร์ทเนอร์ดูแลในส่วนของโรงหนังไป”

ในส่วนของหนังนอกกระแสและHOUSERAMA ยังมีต่อไปไหม

“.คือเราเชื่อลึกๆว่ามันโตขึ้น เราตั้งสังเกตและเห็นอะไรบางอย่างของ house ที่ทำให้รู้สึกว่ามันโตขึ้น มันโตแบบไปเทียบกับหนัง massได้มั้ย ไม่ได้หรอกแค่เราเห็นว่ามันมีพัฒนาการของมันก็ดีใจแล้วลำหรับหนังประเภทนี้แต่อุ๋ยว่าถ้าเรามองตลาดมวลรวมดีๆแล้วจะเห็นว่ามีคนนำหนังนอกกระแสเข้ามาเยอะขึ้นนะค่ะเยอะกว่าช่วงหลายๆปีที่ผ่านมา เพราะว่าอุ๋ยว่าเจ้าของหนังเองก็กล้ามากขึ้นที่จะเอาหนังเข้ามาเหมือนกันสุดท้ายเมื่อทุกคนทำไปก็จะเห็นละว่ามันอาจจะไม่ได้ทำให้เกิดกำไรเท่าไหร่นักก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบ.นั่นแหละว่าแต่ละคนจะรักษานโยบายนี้ต่อรึเปล่าว่าจะทำหรือไม่ทำแต่เนื่องจากhouseเป็นโรงหนังเล็กๆแล้วจำนวนคนดูก็ไม่ได้เยอะมากเราก็จะพยายามหาทางสื่อสารกับคนดูที่เป็นลูกค้าหลักของเราอยู่แล้ว เราจะหาทางสื่อสารกับเขาแต่ก็ดีนะค่ะ ปี 2555 ถือว่า HOUSE ดีค่ะ”

จริงๆถึงคนดูหนังHOUSEเต็มโรงก็ยังไม่มีกำไร แต่ก็ยังเลือกทำโรงหนังอย่าง HOUSE หรือนำเข้าหนังนอกกระแส เข้ามาอยู่เรื่อยๆ

คือจริงๆถ้าเราหันไปมองประเทศอื่นในแถบบ้านเราอย่างฮ่องกง ไต้หวัน หรือแม้กระทั่งในยุโรป อเมริกามันมีตลาดตรงนี้อยู่นะคะที่มันดีด้วย แข็งแรงกว่าเราเยอะเลย เทียบกับของเราแล้วไม่ดีเลย ย้อนกลับมาดูตลาดหนังในบ้านเราไม่มีที่ที่จะปล่อยหนังอินดี้แล้วเราก็รู้สึกเสียดายนะ ว่าทำไมไม่ฉายหนังแบบนี้กันแต่ต้องยอมรับว่าหนังกลุ่มนี้จะเป็นหนังที่ไม่ค่อยได้เงินแต่เพราะเราก็ยังคงมีความเชื่อว่าภาพยนตร์จะต้องดูผ่านจอในโรงภาพยนตร์ไม่ใช่ดูผ่านจอทีวีเราก็เลยยังคงทำHOUSE อยู่ เพราะเราอยากทำอย่าง HOUSE นี่เราเปิดมา8ปีแล้วนะค่ะมันดีขึ้นเรื่อยๆนะค่ะอย่างที่บอกว่าอุ๋ยเห็นอะไรบางอย่างที่เรารู้สึกว่ามันน่าจะรอดแต่ถ้าในเชิงตัวเลขมันขาดทุนตัวเงินมั้ย มันขาดทุน แต่สิ่งที่มันได้คืออย่างน้อยๆมันมีพื้นที่สำหรับหนังกลุ่มนี้ประเภทนี้ในให้มันอยู่ในตลาดกรุงเทพไม่งั้นมันจะไม่เหลือหนังแบบนี้เลย เราก็เลยรู้สึกว่าทำต่อไปดีกว่า เราทำHOUSEเพราะเราหวังว่าจะมีวันนั้นค่ะ”

Create Date :31 มกราคม 2556 Last Update :31 มกราคม 2556 3:48:32 น. Counter : 8898 Pageviews. Comments :1