bloggang.com mainmenu search
Phewww…ww!!
บ้านสวนดอยช้าง ดอยช้าง ดอยวาวีบ้านสวนดอยช้าง ดอยช้าง ดอยวาวีบ้านสวนดอยช้าง ดอยช้าง ดอยวาวีบ้านสวนดอยช้าง ดอยช้าง
ปีกว่าแล้วกระมัง ที่ละไมไม่ได้กลับมาปัดฝุ่นบ้าน bloggang เลย วันนี้ละไมกลับมาเพราะ inspiration ของใครบางคนที่สะกิดใจให้ละไมกลับมาปั่นประสบการณ์ตัวเองลงบล็อคอีกครั้ง โดยหวังว่า..ประสบการณ์ที่ได้ถ่ายทอดลงไปนี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ฝันของคน ๆ นั้นเข้าใกล้ความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

ละไมและเพื่อน ๆใช้ชีวิตในเชียงรายอย่างหรูเริ่ดในสองวันแรกของทริปอย่างอิ่มเอม ด้วยการต้อนรับและดูแลอย่างใกล้ชิดของนายเบียร์ เจ้าถิ่น @Le Meridien หลังจากที่ชุบชีวิตให้หรูเริ่ดสมใจแล้ว เหล่าคุณหญิงกะคุณชายก็พากันย้ายสัมภาระมุ่งหน้าขึ้นดอยวาวี ตามที่ได้สตัดดี้ (study) กันมา หวังจะเก็บคาเฟอีนชีวิตกลับบ้านกันอย่างชุ่มปอด บนดอยวาวี ด้วยการ นอนรับอากาศบริสุทธิ์จากไร่ชา ฟังเสียง "ชินเหม่โจ๋วไต๊" ยามค่ำคืนกันอย่างเพลิดเพลิน





แม้ที่พักจะไม่ค่อยเป็นที่น่าประทับใจซักเท่าไหร่ เพราะโดยรวมแล้วที่พักไม่ค่อยสะอาดถูกหลักอนามัยตามอย่างมาตรฐานสากล แต่พวกเราเหล่าคุณหญิงคุณชายไม่เรื่องมาก ก็สามารถเอนจอยกับบรรยากาศไร่ชาเขียวชอุ่มได้อย่างไม่ยากนัก



ตื่นเช้ามา บรรยากาศตรงหน้าระเบียงห้องก็สวยดั่งใจหวัง






ไร่ชาที่ทอดลงต่ำไปยังหุบเขาทำให้เราได้มุมรีแลกซ์ (relax) เก็บไว้ในความทรงจำอีกหลายมุม









ก่อนเดินทางลงจากเขากัน นายเบียร์หัวหน้าทีมก็เปรยว่าจะพาพวกเราไปดูดอยช้างกันแบบพอเป็นน้ำจิ้ม จะพลาดรึ? ก๊วนผู้หญิงผู้ชายใจง่ายอย่างพวกเรา

ด้วยฝีมือของนายเบียร์แห่งใบตองทัวร์ บวกกับ สมรรถนะของ Toyota Altis ปลายปี 2008 ที่ทำหน้าที่ได้อย่างถึงใจ







พวกเราทั้งหก ก็ไต่ขึ้นสูงถึงศูนย์วิจัยการเกษตรฯ ถึงแม้จะไปไม่ถึงร้านกาแฟที่สวยที่สุดในโลก และไม่ได้เห็นแก้วกาแฟที่มีโลโก้ "ดอยช้าง" อย่างที่หวังไว้ แต่เอาน่า..ถึงศูนย์วิจัยฯ ก้อเยี่ยมแร๊ว เมื่อเดินเข้ามาในศูนย์ หวังจะได้ลิ้มลองกาแฟจากยอดดอยซะหน่อย โชคดีม๊ากก…ไฟดับ..!! พวกเราเลยได้ทานกาแฟยอดดอยสูตรโบราณ กลั่นกันเองจากมือ ไม่พึ่งไฟฟ้า หร่อยแบบโบร๊าณโบราณ กาแฟแก้วนี้เจ้มจ้นมั่ก ๆ ทั้งรสชาติและน้ำใจ

นายเบียร์เปิดบทสนทนาว่าพวกเราอยากมาดูที่พักที่อยู่ถัดขึ้นไปข้างบน พี่เจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ฯ ก็น่ารักจัดแจงโทรตามเจ้าของรีสอร์ทเสร็จสรรพ และนั่นก็เป็นที่มาของการค้นพบทรัพยากรมนุษย์ที่น่าศึกษาอีกหนึ่งท่าน “พี่ตุ่ม” นั่นเอง



จริง ๆ แล้วแกยังเป็นตำนานของโฆษณากระบะยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งขอสงวนสิทธิ์ไม่เอ่ยชื่อ (จริง ๆ คือลืม) เมื่อกว่าสิบปีก่อน คุ้น ๆ กันมั่งมั้ยคะ


"พี่ตุ่ม" เป็นเจ้าของรีสอร์ทที่ชื่อ “บ้านสวนดอยช้าง” ซึ่งอยู่บนความสูง 1,700 กว่าเมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในละแวกนั้นจัดได้ว่า รีสอร์ทของพี่ตุ่มได้วิวทิวทัศน์ที่สวยกว่าของรายอื่น ๆ และมีความเป็นส่วนตัวสูง มากไปกว่านั้น บรรยากาศของรีสอร์ทก็ถูกบรรจงสร้างให้กลมกลืนกับธรรมชาติได้เป็นอย่างดี



“บ้านสวนดอยช้าง” เป็นรีสอร์ทที่ตั้งอยู่ท่ามกลางไร่กาแฟอะราบิก้า มีบ้านพักอยู่เพียง 6 หลัง ซึ่งบ้านพักแต่ละหลังถูกสร้างขึ้นโดยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน สร้างสรรค์ด้วยฝีมือพี่ตุ่มและเจินเจิน ผู้เป็นภรรยา ทำให้รีสอร์ทแห่งนี้ดูน่าค้นหากว่าที่ละไมคิด



ทั้งสองเล่าว่า ห้องน้ำในบ้านพักนั้นใช้หินประดับบนพื้นไม่ใช่เพื่อความสวยงามเป็นเหตุผลหลัก เพียงแต่พี่ตุ่มเล็งเห็นว่าการใช้หินปูบนปูน ทำให้แขกที่มาพักอาบน้ำโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำที่อาจระบายไม่ทัน เหมือนอย่างที่เคยเจอกับโรงแรมบางที่ (ละไม ทดในใจ : แกละเอียดน๊อะ แต่ก็แอบเห็นด้วยอย่างแร็ง เพราะอาบน้ำสระผมทีรัย ถ้ามีน้ำท่วมเท้า รู้สึกว่ามันไม่สะอาดหมดจดอ่ะ)



แล้วห้องน้ำพี่ตุ่มให้มาอย่างกว้างค่ะ อาบน้ำแบบสบายอารมณ์ ท่ามกลางบรรยากาศอันอบอุ่น อ้อ..พี่ตุ่มมีน้ำอุ่นให้ด้วยนะคะ เป็นระบบแก๊สค่ะ ประหยัดไฟกว่า ปลอดภัยกว่าค่ะ แกคิดสะระตะมาเรียบร้อยย



แกใช้ต้นไม้มาเป็นราวพาดผ้าเช็ดตัวที่แขวนได้หลายผืนอยู่ค่ะ



อีกทั้งหญ้าคาที่พี่ตุ่มกะเจินเจินบรรจงเล่าร่วมกันว่า เค๊าตั้งใจทำหลังคาด้วยหญ้าคาเพราะคนโบร่ำโบราณสอนเอาไว้ว่าหญ้าคามีคุณสมบัติระบายความร้อนได้ดีในหน้าร้อน แต่ในขณะเดียวกันก้อเก็บความอบอุ่นได้ดีกว่าปูนในหน้าหนาววว (เอ้ออออ...มีงี๊ด้วยหรอเนี่ยยยย)









ลืมบอกไปว่า พี่ตุ่มกะเจินเจิน สาวหน้ามลผู้เป็นภรรยา ดูแลที่นี่ด้วยตัวเอง พร้อมหมาน่ารักสองตัวสองแนว บิวตี้ กับ ข้าวปั้น ที่เรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี

(บิวตี้)


(ข้าวปั้น)

(เอ่อ กราบขอโทษพี่ตุ่มกับเจินเจิน ที่รูปทั้งสองช่างมีน้อยเหลือเกิน มีแต่ทูตน้องสองตัวนี้ไว้ให้ดูเป็นที่ระลึกต่างหน้า)

แถมมุมน่ารักของบิวตี้ กะ วีรกรรมของข้าวปั้นซักหน่อย

มุมแป๋วแหว๋ว น่ารัก ของ "บิวตี้"


กะวีรกรรมของข้าวปั้น

เริ่มด้วยความเฟี้ยวของเจ้าข้าวปั้นตัวเล็ก แหย่พี่เหมียวก่อน


พี่เหมียวก็เล่นด้วย สู้กันหัวฟัด หูเหวี่ยง


จบด้วยท่าไม้ตายของข้าวปั้น ตูดสยบมาร สู้ไม่ได้หันตูดมากดคอคู่ต่อสู้ แถมให้พี่เหมียวดมซะงั้น ปั้นเอ้ยยยยยย!!


พี่ตุ่มพาพวกเราขึ้นไปดูบรรยากาศรอบ ๆ รีสอร์ท และบ้านพัก สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือทางเดินที่บรรจงแทรกตัวเข้าไปท่ามกลางต้นกาแฟ






เห็นเมล็ดกาแฟเขียวคาต้นเป็นพวงใหญ่ยาว (อย่า..อย่า อย่าคิดเป็นอื่น)







โอ๊วว จะหาบรรยากาศแบบนี้ได้จากทีไหนอีก ระหว่างทางเดิน สังเกตุเห็นเสาไฟที่ทำมาจากต้นไม้จริง



พี่ตุ่มเล่าว่า ไม้พวกนี้ผมไปเก็บมาจากป่า เป็นไม้ที่ใช้อะไรไม่ได้แล้ว บางต้นก็เก็บมาหลังจากไม้โดนไฟไหม้ ก็คัดเอาหน่อยครับ เอาที่ยังพอใช้ได้ เราก็เก็บมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่อยากให้มันสูญเปล่า



ผมเลยดัดแปลงมาใช้ประโยชน์เป็นโต๊ะบ้าง เก้าอี้บ้าง



และก็อย่างที่เห็น เสาไฟตามทางเดินก็ใช่ครับ (ทดในใจ : พี่ตุ่มแกทำสิ่งเหล่านี้เองกับมือ?? ภูมิปัญญาชาวบ้านแบบสุด ๆ)



สิ่งเหล่านี้ถูกดัดแปลงและถูกวางอยู่ในรีสอร์ทบนดอยแห่งนี้ได้อย่างลงตัว





และน่าทึ่งเมื่อได้เก็บเกี่ยวเรื่องราวของพี่แก พร้อม ๆ ไปกับเรียนรู้แนวคิดประโยชน์ของการเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตและความสำคัญของการช่างสังเกตุที่มันส่งผลให้พี่ตุ่มสร้างทุกอย่างขึ้นเองกับมือ กับรีสอร์ทสวย ๆ แห่งนี้





เดินขึ้นไปอีกสอง สามระดับความสูง พี่ตุ่มโชว์ห้องอาบน้ำโอเพ่นแอร์ที่แกนำไอเดียเก๋กิ๊บจากหลาย ๆ ที่มาปรุงแต่งเป็นแบบฉบับสไตล์บ้านสวนของพี่ตุ่มเอง ดูแล้วธรรมช๊าตต ธรรมชาติ อาบน้ำท่ามกลางแสงเดือนและหมู่ดาว และไร่กาแฟ โรแมนส์แบบ unseen สุด ๆ ไม่ต้องแย่งกันนะคะ พี่ตุ่มแกจัดการแยกกันระหว่างห้องน้ำหญิงกับห้องน้ำชายให้พวกเราได้มีประสบการณ์เข้าถึงธรรมชาติเวลาอาบน้ำได้อย่างทั่วถึง ละไมบุกเข้าไปแล้วทั้งสองประเภทมาแล้ว ผ่านฉลุย (เห่อ เห่อ นี่แหละ กำไรชีวิต เก๋กิ๊บ ร่มรื่น และสะอาดดีมากค่ะ)





บุกรุกแดนชายมาแร๊ววว อิอิ


พอพี่ตุ่มแกพาเดินมาที่บ้านพัก แกจัดให้พวกเราอยู่สองหลังบนสุด





โอ๊วว ว๊าวววว วิวด้านหน้าของบ้านพัก เป็นวิวทิวเขา ทอดอยู่ตรงหน้า มีต้นไม้ป่าแซมอยู่เป็นจุด ๆ สวยจับใจ





ณ เวลานั้น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจจะค้างต่อบนดอย เพราะบ่ายสองโมงของวันรุ่งขึ้นเราต้องบินกลับกรุงเทพแล้ว แต่ละไมรู้ดีว่า ใจของพวกเราคงมีคำตอบเดียวกันอยู่ในใจ (คืออยู่ต่ออีกคืนละกัน บนดอยวาวีที่ไปนอนกันมานั่นน่ะมันน้ำจิ้ม ที่นี่สิของจริง!!)





และแล้วก็เป็นไปตามความคาดหมาย คุณชาย คุณหญิง ก็หอบผ้าหอบผ่อนเข้ามาพักที่รีสอร์ทของพี่ตุ่มอย่างง่ายดาย



พวกเราถามพี่ตุ่มเรื่องที่พวกเราอยากขึ้นดอยไปชมวิว และเที่ยวอีกซักหน่อย เพราะสูงกว่านี้ Altis สู้ไม่ไหว พี่ตุ่มขอคิดค่าน้ำมัน กะค่ายาง 600 บาท พวกเราก็โอเคเลย ตามประสาคนกระหายการผจญภัย วันนั้นโฟว์วิวของพี่ตุ่มไม่อยู่ มีงานอยู่อีกที่ กลายเป็นที่มาของ ทริป แอ๊ดเวนเจอร์ ที่พี่ตุ่มแกพาพวกเราหกชีวิตขึ้นกระบะอาวุโสคู่ชีพไต่ขึ้นเขา ฝ่าทางวิบากกันอย่างมันส์หยดติ๋ง





ก็แหม่มม๊…. เรามีนางแบบมากะทริปเราทั้งที สาวนุ๊กที่แต่งตัวเต็มยศ (มาเที่ยวสี่วัน เธอมีหมวกมาสี่ใบ ผ้าพันคออีกสอง สามผืน) เพื่อภาพสวยก็ควรเกาะท้ายเผื่อได้โพสต์ท่ากับธรรมชาติเบื้องหน้าได้อย่างเต็มที่

ดูได้จากรูป สาวเสื้อขาวคือสาวนุ๊ก หมวกเนี่ยใส่อยู่สองใบ!! โถถ แม่คุณ อิ อิ


งานนี้สาวอุ้มโดนคุณน้องสาวทำหวยล็อคให้นั่งหน้าด้วยเหตุที่ว่า ตั้งใจให้พี่สาวมาพักฟื้นจากการผ่าตัดกับทริปนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเรากะลังจะพาสาวอุ้มไต่เขาไปด้วยกัน คุณน้องสาวจึงบังคับให้คุณพี่สาวนั่งหน้าได้อย่างเดียวด้วยความเป็นห่วง



“เกาะแน่น ๆ นะคร๊าบ” เสียงพี่ตุ่มเล็ดลอดออกมาจากตอนหน้าของรถ เสมือนคำอวยพรก่อนเริ่มประสบการณ์ครั้งนี้ ยังไม่ทันขาดคำ หนุ่มสาวห้าชีวิตเกาะกันอยู่หลังกระบะ ก็ก้ม ๆ เงย ๆ กันเป็นแดนส์เซอร์เบิร์ด หลบกิ่งไม้ ไผ่และเถาวัลย์กันไปตลอดทาง ได้บรรยากาศการอุ่นเครื่องก่อนเจอศึกหนัก



ทางเริ่มชันขึ้นเรื่อย ๆ





พี่ตุ่มต้องกระชากจังหวะ เรียกแรงรถ เพื่อส่งเราขึ้นไต่ความสูงของดอย ทางก็แสนจะขรุขระ (โคตร) แอ่นด์ แคบ (โคตร) ผ่านหลายโค้ง หลายกิ่งไผ่ ไม้ในป่าดิบชื้น ทางบางที่ก็เปียกและลื่น กลิ่นป่าและกลิ่นดินผ่านเข้าจมูกเรียกความสดชื่นระหว่างการผจญภัยได้เป็นอย่างดี พี่ตุ่มมีสไลด์บ้างเล็กน้อยพองาม เรียกเสียงกรี๊ดดจากพวกเราพอให้ไม่เหงา และแล้วพี่ตุ่มก็นำเสนอจุดไคลแมกส์ให้พวกเราได้แหกปากอีกครั้งเมื่อรถกระบะคู่ชีพของแกต้องการแรงส่ง กับทางวิบากข้างหน้า ละไมเห็นรำไร ๆ ว่ามันทั้งชัน ทั้งเปียก ดูแล้วน่าลื้นน น่าลื่น (รถพี่ตุ่มจาไหวเร้อออ ละไมทดไว้ในใจ) พอพี่แกหาจังหวะความแรงที่ต้องการยังไม่ได้ พี่แกก็กระชากเกียร์เรียกแรงส่งดึงรถทั้งคันทั้งคนขึ้นทางชันค๊อธ ๆ ขึ้นไป แรงส่งยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่พวกเราก็ต้องกรี๊ดสนั่นเพราะมีเสียงครืดดดดอย่างดังมาจากท้องรถอย่างต่อเนื่อง รู้สึกตัวอีกที (เพราะกรี๊ดยาวมาก) ก็อ่านเหตุการณ์ได้ว่ารถพี่ตุ่มกะลังสู้กะหินก้อนเขื่อง ๆ สองก้อน ที่ขวางทางอยู่ เราหลบไม่ได้หรอกค่ะ ทางแคบมาก แล้วพี่ตุ่มก็ส่งแรงมาซะขนาดนั้น จะให้เบรถกลางทางชันก็ใช่ที่ มีหวังได้เล่นสไลด์เดอร์กันทั้งคนทั้งรถ พวกเราก็ลุ้นกันแบบใจหายใจคว่ำ พี่ตุ่มใช้ประสบการณ์เพียว ๆ พารถกระบะคู่ชีพหลุดพ้นหินขนาดลูกบาสฯ สองก้อนนี้ไปได้ แถมมีท้ายปัด ปรื๊ด ปรื๊ด เรียกเสียงกรี๊ดจบฉากอีกนิดส์หน่อย โอ๊วว ก๊อธ ขึ้นดอยมาตั้งกะเมื่อวาน เพิ่งรู้สึกว่าถึงดอยจริง ๆ ก็อีตอนที่กรี๊ดเนี่ยแหละคร่า



สังเกตุหน้านายเบียร์ดูเอาเองมามันส์ขนาด (สุดจะบรรยายยยย)


กรี๊ดกันจนปากแห้ง น้ำลายเหือด ไปหมดเพราะอ้าปากกรี๊ดอยู่ตลอดเวลา ตลอดทั้งทริป ละไมไม่ได้ยินเสียงสาวนกผู้แสนจะเรียบร้อยเลย ไม่แน่ใจว่าสาวนกไม่ร้อง หรือละไมแหกปากร้องจนกลบเสียงสาวนกไปหมด เห่อ เห่อ



พอถึงยอดดอย ที่สุดของที่สุด พี่แจ้ก็แพ้ทาง เพราะวิวบนนี้ ก็ สวิสเซอร์แลนด์ดี ๆ นี่เอง





ตาละไมมองเป็นวิวพานอราม่า สายหมอกพาดผ่าน ลำแสงจากตะวัน มันสวยซะเหลือเกิน มิเสียแรงที่แหกปากมาตั้งนาน มาเจอภาพตรงหน้าแบบนี้ คำเดียวเลยนะ “สวยค๊อธธธ”





ถึงตรงนี้ วิวสวย ๆ ก็ต้องคู่กับสาวสวย ๆ (อย่างพวกเรา) หนุ่มหล่อ ๆ อย่างโป้ง และหนุ่มเท่ห์ อย่างเบียร์ ก็กดรูปกันไปเปงร้อยค่ะ

















พี่ ๆ ที่อุทยานฯ ตรงนี้แกแซวพวกเราด้วยว่า ได้ยินเสียงมาก่อนตัวเลยนะคร๊าบบ..กรุ๊ปนี้ แข็งแรงกันดีจริง ๆ (เส้นเสียงนะคะ ไม่ใช่ร่างกาย หรือจิตใจ เห่อ เห่อ) คือพี่แกรู้ว่ามีคนกะลังขึ้นมา ตั้งกะตอนที่พวกเรากรี๊ดกันจากข้างล่าง เห่อ เห่อ ทักแบบนี้ พวกเราควรภูมิใจช่ายม๊ายยเนี่ย แต่ถึงอย่างไร พวกเราก็ไม่เสียสมาธิค่ะ โพสต์ท่ากันอย่างต่อเนื่องและไม่อายฟ้าดินกันต่อไป



















อยู่ตรงนี้สูดโอโซนกันอย่างเต็มปอด อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ พี่ตุ่มก็ชวนพวกเรานั่งรถต่อไปอีกจุดนึง ละไมขออนุญาติเรียกว่าอุทยานพุทธศาสนา ละกันนะคะ เข้ามาเห็นรูปปั้นเทวดาสี่องค์สวยงามมากค่ะ



หลังจากนั้นเดินเข้ามายังป่าไผ่ที่สาวอุ้มคันมือคันไม้ อยากฝึกวิทยายุทธ์กันให้ได้ซักสองสามกระบวนท่า



แล้วอยู่ ๆ ภาพตรงหน้าก็เปิดเป็นเวิ้งของบ่อน้ำที่มีต้นไม้ป่าขึ้นอยู่รอบทิศ ตรงกลางบ่อน้ำนี้มีศาลาพร้อมด้วยรูปปั้นของพระพุทธเจ้า เดินบนดอกบัว เห็นแล้วรู้สึกดีมาก ๆ อยู่ ๆ ก็สัมผัสได้ถึงความสงบ











มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ให้เราดื่มน้ำเพื่อความสิริมงคลของผู้มาเยือนด้วยค่ะ






เดินมาอีกหน่อยเจอฆ้องขนาดใหญ่ ตีกันได้สนั่นหวั่นไหว



ก่อนที่จะทะลุป่าไผ่เข้ามาเจอ วัด ด้านบนทางเดินเข้าวัด มีทางบังคับ มีป้ายบอกให้ถอดรองเท้า แล้วเดินผ่านหิน ซึ่งถือเป็นกุศโลบายอันชาญฉลาด คนที่มาจะได้เดินผ่านหิน ถือเป็นการนวดเท้าผ่อนคลายไปในตัว เราก็อมยิ้ม ใครนะ ช่างคิดจัง



พอมาถึงอุโบสถก์ บรรยากาศร่มรื่น สงบ ชวนให้ละไมปรับโหมดเข้าเป็นโหมดธรรมะอย่างอัตโนมัติ อยู่ ๆ ใจมันก็สงบแบบไร้เหตุผล หลวงพ่ออำนาจอยู่ต้อนรับพี่ตุ่มและพวกเราอย่างยิ้มแย้มแจ่มใจ



ท่านแชร์เรื่องราว ประวัติ แนวคิด และโครงการของวัดนี้ให้พวกเราได้ฟังประดับความรู้ พร้อมสอดแทรกธรรมะเข้ามาแบบฟังง่าย..รื่นหู “รู้สึกดีจัง” หลวงพ่อเล่าให้พวกเราฟังว่า สังเกตุดี ๆ ว่าทุกจุดที่มี display ระว่างทางที่พวกเราเดินผ่านมานั้น ล้วนแล้วแต่มีเรื่องราว อืมม์จริง…แต่ละจุด แต่ละมุมของการตกแต่งป่าธรรมะแห่งนี้ รู้สึกได้เลยว่าถูกวางไว้อย่างตั้งใจ และต้องการสื่อสารเรื่องราวบางอย่างเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของชาวพุทธที่มาเยือน พี่ตุ่มดูจังหวะว่าพวกเราดื่มด่ำกับธรรมมะกันพอสมควรแล้ว แกก็ชวนพวกเราไปต่อ “ไม่อยากกลับเลยยย” ละไมคิดในใจ ลาหลวงพ่ออย่างเสียดายที่เวลาน้อยเหลือเกิน พวกเราเดินต่อไปจนถึงแท่นหินศักดิ์สิทธิ์ อืมม์คนทำช่างใส่ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดเรื่องราวอย่างเห็นได้ชัด สังเกตุต้นไม้ที่ถูกแต่งเป็นพญานาคขนาบบันไดเหมือนทางขึ้นวัดทุก ๆ วัดก็ถูกซ่อนไว้อย่างลงตัว น่าชื่นชม









เดินต่ออีกหน่อยก็เห็นรถกระบะลายครามของพี่ตุ่ม จอดเทียบท่ารอเราอยู่ตรงปลายทาง ตะวันกำลังจะตกดินแล้ว พี่ตุ่มจำต้องชวนหนุ่มสาวอย่างพวกเรา พากันไปช๊อปปิ้งที่ตลาด (สดของชาวเขา) เพราะเรายังขาดน้ำแข็ง และเสบียงหลายอย่างอยู่ บอกตามตรงว่ายังอยู่ในภวังค์แห่งพระพุทธศาสนาแต่ก็ต้องกระเจิงทันควันเมื่อพี่ตุ่มเริ่มกระชากเกียร์ (อีกแล้น) กิ่งไผ่ข้างทางก็เริ่มมาสะกิดละไมบ้าง นิด ๆ หน่อย ๆ แต่ด้วยการที่พวกเราเป็นเด็กยุคใหม่หัวไวกว่าใจเยอะ ก็เริ่มขาตึงหน้าตั้งยืนสู้ลมอยู่บนหลังกระบะจนถึงตลาดชาวเขาจนได้





โฉมหน้าของหนูนกหลังจากผจญแอ๊ดเวนเจอร์กันมาหลายชั่วโมง



บรรยากาศแสนจะโรแมนติก ขาดอยู่อย่างเดียวสำหรับหกชีวิตไฮโซของพวกเรา คือขาดคู่ (อย่าให้บรรยายต่อ เด๋วกลายเป็นหนังเศร้าไปซะ) ไม่ต้องบรรยายมากว่าเราช๊อปอะไรไปบ้าง เก็บใจความสำคัญอย่างเดียวว่าเราจากินยำปลากระป๋องกันอีก

ติดใจมาจากวาวี พอมาถึงดอยช้างก็จะยำปลากระป๋องกันอีก ไม่มีเบื่อ


ระหว่างทางกลับไร่กาแฟ ละไมเกาะกระบะหูลู่อยู่อย่างเพลินเพลิน เพราะบรรยากาศพระอาทิตย์ตกระหว่างทางที่เหนือคำบรรยาย









กลับที่พักกันเรียบร้อย ต่างก็แยกย้ายกันไปทำภาระกิจส่วนตัว





แล้วก็ถึงเวลาของสาวนกกะหนุ่งโป้งโชว์ฝีมือยำปลากระป๋องกัน ในขณะที่เจินเจินทำกับข้าวอีกสามอย่างอย่างขมักเขม้น ผลออกมาแล้วคร๊าบบบ อร่อยทู๊กกกอย่าง ต้มจืดลูกฟักแม้วน้ำซุปหวานหอม อร่อยไปอีกแบบ เกิดมาไม่เค้ยยยไม่เคย แต่ยอมรับว่าหลงรักแกงจืดถ้วยนี้อย่างสุดใจ



ผัดยอดฟักแม้ว ที่ละไมแสนจะเบื่อจากเมืองกรุง เพราะดูเหมือนกับว่าแทบทุกร้านอาหารมักจะภูมิใจนำเสนอเมนูยอดฟักแม้วผัด กันจนดูเป็นแฟชั่นไปหมดแล้ว แต่กินเท่าไหร่ก็ไม่คิดว่ามันจะอร่อยอะไรกันมากมาย แต่ฝีมือเจินเจินเนี่ย ได้ใจเลยจริง ๆ



มาถึงเมนูเสพติดสำหรับทริปนี้ ยำปลากระป๋อง ผิดคาดที่ สาวนก กะ หนุ่มโป้ง โชว์ขี้มือได้อย่างถึงใจ หร่อยยยมาก น๊องงเอ๊ยยยย







หลังอาหารมื้อคำรสเริ่ด ก็เป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาอันแสนจะอบอุ่น พวกเราถึงได้รู้ว่า กว่าจะมาเป็น “บ้านสวนดอยช้าง” ที่บรรยากาศดูจะสวยกว่าทุกรีสอร์ทในละแวกนี้ ความบริสุทธิ์ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมของพี่ตุ่มกะเจินเจิน ก็ดูจะเป็นใบเบิกทางให้พวกเราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างเปิดใจ ละไมบอกได้เลยว่าความบริสุทธิ์ของพี่ตุ่มและเจินเจิน ทำให้พวกเราอยากช่วยแกบอกต่อถึงความตั้งใจที่จะทำให้ “บ้านสวนดอยช้าง” เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำของลูกค้าทุก ๆ คนที่เข้ามาเยี่ยมเยือน คืนนี้ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจ ก็อยากชวนพี่ตุ่มกะเจินเจินไปสนทนาต่อที่ชานบ้าน ท่ามกลางหมู่ดาวก็คงดี เพราะเวลาที่ “บ้านสวนดอยช้าง” นี้ช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน

ก่อนนอนนายเบียร์ยังตอกย้ำความโรแมนติก ด้วยการดูดาวบนระเบียงกระท่อมแม้ว อย่างน่าอิจฉา เพลินกันอยู่ซักพัก ก็ทยอยหลับท่ามกลางบรรยากาศบริสุทธิ์ กันไปทีละคนสองคน zzz…zz…zzz

เช้าแร๊ววว ผีชัตเตอร์กะเช้าอย่างละไม ก็จัดแจง จิ้มมุมทุกมุมที่สายตาจับได้

























มีมุมสำหรับกางเต้นท์ด้วยนะคะ








ณ ขณะนั้น สายหมอกทอดยาวบนทิวเขา กิ่งไม้ไร้ใบที่ตระหง่านกลางยอดเขา มันแส๊นนนจะจับตาจับใจซะเรอะเกิ๊นนน ชอบบบบ..ชอบบบบ



และแล้ว..ช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดก็มาถึง ทั้ง ๆ ที่โกงเวลาทริปภาคพื้นดินเพื่อหนีมาแอบอยู่บนดอยอีกหนึ่งคืนก็แล้ว แต่มันดูเหมือนกับว่าทุกอย่างมันเพิ่งจะเริ่มต้น ใจยังอยากจะซึมซับความสดชื่น ความสุขบนดอยช้างนี้อีกซักสองสามวัน (ก็ยังดี) แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ถึงเวลาอำลา แบบเร่งรีบ เพราะไฟล์ทพวกเราคือบ่ายสองโมง ดังนั้นเวลาอำลาของพวกเราคือกาแฟแต่ละถ้วยที่พี่ตุ่มกับเจินเจินตื่นมาบรรจงเตรียมให้พวกเราแก้วต่อแก้ว





ข้าวต้มที่ดูแล้วแปลกตา (น้ำซุปขลุกขลิก) แต่รสชาติข้าวต้ม ต้มแบบมียางข้าวด้วย (ขอโทษถ้าบางคนไม่รู้จัก เพราะละไมไม่แน่ใจว่าศัพท์นี้ละไมทึกทักขึ้นมาเองหรือเปล่า แต่คอนเฟิร์มว่าข้าวต้มที่เจินเจินบรรจงทำ มียางข้าวที่ทำให้รสชาติอร่อยล้ำจริง ๆ)





ต้องลากันซะแล้วหรือนี่ เฮ่ออออออ…เสียใจ เสียดาย อยากอยู่ต่อ หรือเอาแค่กลับไปเหยียบกรุงเทพซักสองนาทีแล้วก็อยากกลับมาที่นี่อีก จริง ๆ นะ พี่ตุ่มขับกระบะคันเก่าลงมาส่งพวกเราที่ศูนย์ฯ เวลาร่ำลาช่างน้อยเหลือเกิน แล้วประสบการณ์ดอยช้างก็บรรจงจบลง นายเบียร์รับหน้าที่สารถีกิติมศักดิ์อีกตามเคย (สงสารนะ ช่างเป็นคนดีเรอะเกิ๊นน) ตามดีกรีของใบตองทัวร์ ก้อยังมีแถมทัวร์น้ำตก ทัวร์แม่น้ำ ทัวร์ภูเขาให้หนุ่มสาว นายแบบ นางแบบได้โพสต์ท่ากันอีกร่วมพันรูป ก่อนล้อแต่พื้นราบในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา

บรรยากาศเริ่มอึมครึม การอำลาอีกหนึ่งฉาก ที่ยากโครต ๆ



คงจะคิดถึงกันอีกในไม่ช้า เวลามันมีน้อย เวลามันผ่านไปเร็ว เวลามันไม่เป็นใจ เฮ้ยยย บ๊าย บาย นายเบียร์ บ๊าย บาย เชียงราย จะกลับมาใหม่..แน่นอน..สัญญา!!

Reference :
“บ้านสวนดอยช้าง”
พี่ตุ่ม : 081-289-1691 หรือ 081-884-5845
เจินเจิน : 084-803-9422
บ้านพักราคาหลังละ 1,400 บาท
**ลองดูนะคะ พี่ตุ่มบอกว่าถ้าผ่านมาจากละไม พี่ตุ่มลดให้เหลือ 1,200 บาทรวมอาหารเช้าด้วยค่ะ**บ้านสวนดอยช้าง ดอยช้าง ดอยวาวีบ้านสวนดอยช้าง ดอยช้าง ดอยวาวีบ้านสวนดอยช้าง ดอยช้าง ดอยวาวีบ้านสวนดอยช้าง ดอยช้าง ดอยวาวีบ้านสวนดอยช้าง ดอยช้าง ดอยวาวีบ้านสวนดอยช้าง ดอยช้าง ดอยวาวีบ้านสวนดอยช้าง ดอยช้าง ดอยวาวีบ้านสวนดอยช้าง ดอยช้าง ดอยวาวีบ้านสวนดอยช้าง ดอยช้าง ดอยวาวีบ้านสวนดอยช้าง ดอยช้าง ดอยวาวี
Create Date :24 ตุลาคม 2552 Last Update :3 พฤศจิกายน 2552 20:16:06 น. Counter : Pageviews. Comments :45