bloggang.com mainmenu search

“คดีเกาะเต่า” ยิ่งสืบยิ่งเละ! ชาวเน็ตถล่ม จัดฉากดีเอ็นเอ!!? ผู้ใหญ่วอ ประกาศตั้งโต๊ะแถลงข่าว พิสูจน์ดีเอ็นเอลูกชาย วันที่ 30 ต.ค.57
ในที่สุด “ผู้ใหญ่วอ” ก็ยอมจูงลูกชายสุดที่รัก “นมสด” เข้าตรวจดีเอ็นเอ หลังปล่อยให้นักสืบไซเบอร์เรียกว่า “ฆาตกรตัวจริง” อยู่นานร่วมเดือนครึ่ง ที่น่าสงสัยคือเหตุใดจึงกลับลำ ยอมออกมาตรวจ จากก่อนหน้าดิ้นพล่านๆ เอาแต่ปฏิเสธขอไม่ตรวจด้วยข้ออ้างทางกฎหมาย แต่นี่ถึงกับตั้งโต๊ะแถลงข่าว เชิญสื่อมาฟังผล

       งานนี้ จึงหนีไม่พ้นขี้ปากโลกออนไลน์วิจารณ์ให้แซ่ดว่า สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ หรือกระบวนการยุติธรรมจากวินาทีนี้เป็นต้นไป ได้จัดฉากเอาไว้เรียบร้อยแล้ว!!?




ตรวจโชว์สื่อ แก้ภาพลบตำรวจ-ผู้ต้องสงสัย
วรพันธ์ ตู้วิเชียร หรือ “ผู้ใหญ่วอ” เจ้าของเอซีบาร์ ผู้มีชื่อเสียงกว้างไกลบนเกาะเต่า อ.พะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ประกาศตั้งโต๊ะแถลงข่าวไขข้อข้องใจทั้งหมดเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมอันโหดเหี้ยม เพื่อพิสูจน์ว่าการตายของนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ 2 ราย “ฮันนาห์ วิเทอริดจ์” และ “เดวิด มิลเลอร์” ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับลูกชายของเขา “ดีโด้-วรท ตู้วิเชียร” หรือที่ชาวเน็ตเรียกกันว่า “นมสด” อย่างที่นักสืบไซเบอร์สันนิษฐานเอาไว้แม้แต่นิดเดียว

ย้อนกลับไปหลังคืนวันเกิดเหตุ (15 ก.ย.57) หากใครได้ติดตามความคืบหน้าของคดีมาโดยตลอดจะทราบว่ามีความไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่ในทุกอณูของคดี แม้แต่สื่อชื่อดังต่างสัญชาติอย่าง “TIME” ยังเขียนบทความวิเคราะห์การทำงานของทีมสอบสวนในคดีนี้ว่า “สะเปะสะปะ, สับสน, ไร้ประสิทธิภาพ ฯลฯ ทั้งที่เวลาล่วงเลยมาถึง 8 วันแล้ว แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเดือดร้อนอะไร ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ทำให้อึ้งทึ่งเหวอเป็นที่สุด เพราะดูเหมือนว่าคนไทยจะชินชากับความไร้ประสิทธิภาพของระบบยุติธรรมของประเทศไปเสียแล้ว”


(นิตยสาร TIME เขียนบทความต่อว่าความสามารถทีมสืบสวนไทย)


หนักไปกว่านั้น ยิ่งสืบจากวัตถุพยาน ณ จุดเกิดเหตุและหลักฐานจากกล้องวงจรปิด ยิ่งพบเงื่อนงำที่น่าสงสัย แรกเริ่มตำรวจระบุว่าคนร้ายไม่ใช่คนไทยแน่นอน “คนไทยจะไม่ทำเรื่องแบบนี้” นายตำรวจยศสูงนายหนึ่งประกาศเอาไว้อย่างนั้นกับผู้สื่อข่าวต่างประเทศ โดยที่ไม่ได้ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะอะไร หลังจากนั้น ก็มีข่าวเล็ดลอดออกมาจากคนในพื้นที่เป็นระลอกๆ ว่ามีตำรวจพยายามบีบบังคับให้คนละแวกนั้นมาเป็นพยานว่าเห็นเหตุการณ์ แต่คนส่วนใหญ่ไม่อยากข้องเกี่ยวเพราะเกรงกลัว “อิทธิพลท้องถิ่น”

กระทั่งมีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดบนเกาะจับภาพชายผู้ต้องสงสัยได้ ยิ่งทำให้คดีนี้กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ เพราะทั้งรูปร่าง หน้าตา ท่าทางของคนในกล้องวงจรปิดซึ่งวิ่งไปวิ่งมาด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนอยู่บนเกาะ ในช่วงเวลาประมาณตี 4 ตี 5 นั้น เหล่านักสืบไซเบอร์เกือบร้อยทั้งร้อยมองว่า ช่างละม้ายคล้ายกับ “นมสด” ลูกชายของผู้ใหญ่วอ เจ้าของเอซีบาร์ บาร์ชื่อดังประจำเกาะเต่าซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจาก “หาดทรายรี” สถานที่เกิดเหตุเท่าใดนัก
จึงเกิดกลายเป็นการจับผิดบนโลกออนไลน์ พุ่งเป้าชี้ตำแหน่ง “ฆาตกรตัวจริง” ไปให้นมสดหรือดีโด้-วรท โดยเฉพาะแฟนเพจ “CSI LA” ผู้อ้างว่าถนัดงานสืบสวน มาออกโรงแฉทุกข้อสันนิษฐานและติดตามความคืบหน้าของคดีอย่างไม่ลดละ


(ผู้ที่ นักสืบไซเบอร์ ต้องสงสัยว่าตรงกับบุคคลไม่น่าไว้วางใจในกล้องวงจรปิด)



ที่น่าสังเกตคือ ผู้ถูกนักสืบไซเบอร์สงสัยอย่าง “นมสด” เก็บตัวเงียบตลอดช่วงที่คดีฆาตกรรมบนเกาะเต่ากำลังเดือดในสังคม เมื่อถามจากปาก “ผู้ใหญ่วอ” ผู้เป็นพ่อก็บอกลูกชายไม่ได้อยู่บนเกาะในวันเกิดเหตุและติดต่อกันไม่ได้หลายวันแล้ว พอเรื่องเกิด 2 วันให้หลัง นมสดจึงกล้าโผล่หน้ามาออกสื่อพร้อมทนาย อ้างข้อกฎหมายเรื่องสิทธิเสรีภาพที่จะไม่ตรวจดีเอ็นเอ ซ้ำยังโชว์ภาพนิ่งจากกล้องวงจรปิดของหอพักมหาวิทยาลัยเพื่อยืนยันว่า วันที่ 15 ก.ย.57 เวลา 09.16 น. ยังเดินอยู่ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพซึ่งตนเรียนอยู่เลย


(โฟโตชอปภาพให้เห็น ว่าหลักฐานภาพตัดต่อได้สบายๆ)




(เรียกร้องให้เอาคลิปภาพเคลื่อนไหวกล้องตัวนี้ออกมาโชว์)

ถึงแม้ภาพหลักฐานชิ้นนั้นจะช่วยให้ทีมสอบสวนปล่อยนมสดออกจากสถานะ “ผู้ต้องสงสัย” แต่นักสืบไซเบอร์กลับยิ่งไม่ไว้วางใจเขามากเข้าไปอีก จึงร่วมกันส่งสัญญาณเรียกร้องให้เจ้าตัวเอาคลิปภาพเคลื่อนไหวจากกล้อง CCTV ชุดที่กล่าวอ้างออกมาให้ดูกันจะจะ เพื่อพิสูจน์ว่าภาพที่ปรินต์มาเป็นหลักฐานไม่ใช่ภาพตัดต่อ เพราะมือโฟโตชอปหลายรายลองเอาภาพบุคคลอื่นตัดต่อเข้าไป ไม่ว่าจะเป็น “เณรคำ” หรือแม้แต่ “ชัชชาติ” วางในภาพหลักฐานนั้น ผลที่ได้คือภาพออกมาเนียนพอๆ กับภาพหลักฐานดั้งเดิมของนมสด หลายฝ่ายจึงต้องการความกระจ่างในจุดนี้ แต่จนแล้วจนรอด มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีภาพเคลื่อนไหวจากกล้อง CCTV ในช่วงเวลาดังกล่าวออกมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์เลย

พอมาคราวนี้ เจ้าตัวกลับกลับมาพร้อมมุกใหม่ ให้พ่อจัดโต๊ะแถลงข่าว ตรวจดีเอ็นเอต่อหน้าสื่อมวลชน พร้อม พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.), เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ และเจ้าหน้าที่จากสถาบันนิติเวชวิทยา จึงทำให้ชาวเน็ตและนักสืบออนไลน์ผู้ติดตามความคืบหน้าในคดีนี้มาทุกฝีก้าวเกิดอาการไม่ไว้วางใจ ตั้งข้อสงสัยว่านี่อาจเป็นกระบวนการ “ใส่ตะกร้าล้างน้ำ” ลบภาพเละๆ ของทั้งผู้ต้องสงสัยและตำรวจไทยให้ไร้มลทินไปในคราวเดียวกัน

เมาท์กันให้สนั่นโลกออนไลน์ว่า สถานการณ์นี้คือ Win-Win Situation ระหว่างตำรวจและครอบครัวผู้ต้องสงสัย เพราะแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ “ดีโด้-วรท ตู้วิเชียร” หรือ “นมสด” จะถูกจับกุมเพราะผลดีเอ็นเอ ในเมื่อตำรวจก็ปิดสำนวนคดีไปแล้วครั้งหนึ่ง ด้วยหลักฐานจากดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัยชาวพม่า 2 รายว่าตรงกับอสุจิในตัวเหยื่อสาว ถึงแม้พม่ารายดังกล่าวจะออกมากลับคำรับสารภาพว่าไม่ใช่ผู้ร้าย แต่ถูกซ้อมให้เป็น “แพะ” ในภายหลังก็ตาม

ในเมื่อตรวจดีเอ็นเอไม่ช่วยอะไร แล้วนักสืบไซเบอร์จะท้าให้นมสดไปตรวจทำไมตั้งแต่ต้น? หลายคนคงสงสัย คำถามนี้พอจะมีคำตอบ ต้องอย่าลืมว่าในที่เกิดเหตุยังมีถุงยางอนามัยตกอยู่ ด้านนอกถุงยาง ยืนยันแล้วว่าเป็นของฮันนาห์ แต่ที่ “CSI LA” นักสืบไซเบอร์เฉพาะกิจ อยากรู้คือดีเอ็นเอด้านในถุงยางมากกว่า ว่าใครเป็นคนใช้? อยากรู้ว่าจะตรงกับดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัยหรือเปล่า? นั่นแหละ ที่ชวนให้ท้าลูกผู้ใหญ่วอออกมาตรวจตั้งแต่ทีแรก ขณะตำรวจกำลังเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ


(ผลตรวจดีเอ็นเอไม่มีความหมาย ถ้าไม่ได้เก็บดีเอ็นเอในถุงยางไว้)


แต่ที่น่าเศร้าก็คือ ดูเหมือนว่าหลักฐานดีเอ็นเอด้านในถุงยางอนามัยชิ้นนั้น จะไม่มีการกล่าวถึงอีกเลย กระทั่งถึงตอนนี้... เมื่อรูปคดีออกมาเป็นแบบนี้ ไม่ว่าผลดีเอ็นเอของนมสดจะออกมาเป็นเช่นไร ก็อาจไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่า กระบวนการลบข้อกล่าวหาให้ครอบครัวผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น” พร้อมกับลบภาพเละของ “ตำรวจไทย” ที่ถูกครหาว่าไม่กล้าเอื้อมมือแตะความจริง ดีแต่จับแพะไปวันๆ



หมดศรัทธาตำรวจ ไม่สนผลดีเอ็นเอ!!?

(พม่า ที่ว่ากันว่า กลายเป็น "แพะม่า" ไปแล้ว)

"เพิ่งนึกออกว่าต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ประเด็นก็คือหน่วยงานที่จะตรวจตำรวจหรือเปล่า ถ้าใช่ก็เลิกพูดไปเลย" คุณป้ามหาภัย

"ตลกสีกากี จัดฉากเตรียมมุกไว้เรียบร้อยโรงเรียนจีน ทุกอย่างพร้อม จ่ายแล้ว เคลียร์แล้ว ถึงเอามาตรวจ มั่นใจถึงขนาด ประกาศให้สื่อแห่กันมาประโคมข่าว เอา CCTV ภาพเคลื่อนไหวที่นักสืบเขาถาม มาฉายด้วยนะ ร้องถามอยากดู ร้องถามให้ตรวจ DNA เหมือนรอให้รอยซ้อมพม่าหายก่อน ค่อยมา X-Ray ตรวจดู" จ่าเฉย

"หลักฐานทางนิติเวชถูกตะกวดทำลายไปหมดแล้วมิใช่รึ? มาตรวจอะไรตอนนี้ แต่ถ้าตะกวดเอาจริง เปลี่ยนตัวหน่วยทำคดีซะใหม่ รับรองคนร้ายไม่รอด" ฅนไท

"จัดฉากอีกแล้ว DNA(ของคนอื่น) เตรียมพร้อมแล้ว... เนียน ได้ข่าวว่าทำมาเยอะแล้ว วางยารุมโทรม ยุคนี้ กรรมติดจรวดนะ"

"ตอนนี้ความเสียหายมันเกิดขึ้นกับตำรวจ ไม่ใช่กับผู้ใหญ่วอ นมส่งนมสดไรหรอก ผบ.ตร.น่ะเดือดร้อน เพราะไปการันตีว่าพม่าเป็นตัวจริง ไม่ใช่แพะ มันก็ต้องจริง พลิกไม่ได้แล้วน่ะ ก็ต้องไปทั้งน้ำขุ่นๆ นั่นแหละ แต่ผู้ใหญ่วอได้ประโยชน์ไปเต็มๆ ตรวจยังไงเขาก็ไม่ให้มันตรงกันหรอก มันทำง่ายกว่าการทำให้ตรงกับแพะอีก ถ้ามีคลิป CCTV ที่หอพัก ตามวันเวลาในภาพนิ่งที่เอามาโชว์ก่อนหน้านี้ ผมจึงจะเชื่อ"

"เนียนมากๆ เนียนจริงๆ! คำถามจะมีตามมาอีกมากมายแน่นอน อาทิ ทำไม? ไม่โผล่หัวออกมาช่วงแรกๆ ที่พบถุงยางอนามัย? การเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากวัตถุพยานต่างๆ นั้นน่ะ ครบถ้วนมากน้อยแค่ใหน? ตัวอย่างดีเอ็นเอที่เก็บได้จากวัตถุพยานทั้งในที่เกิดเหตุและสถานที่อื่นและตรวจสอบแล้วนั้น ยังอยู่ครบถ้วนและระบุชี้ตั้งไว้ในสำนวนคดีครบถ้วนหรือไม่?

จะต้องแห่ระดมกันเข้ามาในสังคมออนไลน์หรือในสำนวนมโนแน่นอน!! เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะกลุ่มผู้ยิ่งใหญ่พวกนี้ รับรู้รับทราบข่าวสารจากวงใน คนในโดยใช้สาย ใช้พวกลูกแถวที่เป็นตำรวจชั้นเลวในพื้นที่นั่นแหละหาข่าวส่งข่าวมาให้ ก่อนหน้าพร้อมยืนยันนอนยันแล้วว่า หากโผล่หัวเสนอหน้ากันออกมาสำแดงความบริสุทธิ์ แก้ต่าง ก็ต้องรอดต้องหลุดแน่นอน เพราะตรวจไปตอนนี้ กี่พันครั้งก็ไม่ตรงแน่นอน เพราะไม่รู้ว่าจะไปเทียบกับตัวอย่างดีเอ็นเอตัวใดที่เก็บได้และระบุอยู่ในสำนวน!! จึงกล้าออกมาฟอกขาวกันเป็นทิวแถว เว้นก็แต่น้องชายผู้ยิ่งใหญ่นี่แหละ ที่ยังหวาดๆ ไม่กล้าโผล่ออกมา!" น้า

"แก้หลักฐานเรียบร้อยแล้วใช่หรือเปล่า มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ในใต้ปฐพีนี้ คุกมีไว้ขังหมากับแพะ" tigtog


(หลากความคิดเห็น ไม่เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรม)


ทั้งหมดนี้คือความคิดเห็นของประชาชนชาวไซเบอร์ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หลังทราบข่าวผู้ใหญ่วอพร้อมส่งลูกชายตรวจดีเอ็นเอ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมไทยซึ่งแทบไม่หลงเหลืออยู่ในใจของคนไทยด้วยกันอีกต่อไปแล้ว ยิ่งมีปากคำของ “แพะม่า” ออกมาแฉหมดเปลือกทีหลังว่าถูกซ้อมจึงยอมเป็นแพะ ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ทีมสืบสวนสีกากีเน่าเฟะไปกันใหญ่



(ครอบครัวของผู้ต้องสงสัยชาวพม่า เดินทางมาขอความเป็นธรรมถึงไทย)

“ลูกชายของผมและเพื่อน บอกกับผมว่าพวกเขาถูกตำรวจไทยและล่ามแปลภาษาทรมานทางร่างกาย เจ้าหน้าที่สอบปากคำบอกให้พวกเขายอมรับสารภาพ พร้อมกับขู่ตัดแขนขาเอาใส่ถุงและไปทิ้งลงแม่น้ำ หากไม่ยอมทำตาม นอกจากนี้ตำรวจยังขู่มัดเด็กชาย 2 คนติดกับยาง ราดเบนซินและจุดไฟเผา ลูกชายผมบอกว่าเขากลัวมากเลยยอมรับสารภาพ แต่ตอนนี้ พอครอบครัวและเจ้าหน้าที่พม่าปรากฏตัว พวกเขาจึงสามารถพูดความจริงได้แล้ว พวกเขาไม่ได้ก่อเหตุฆาตกรรม”
ฮตุน ฮตุน ฮไต บิดาของ “วิน ซอ ฮตุน” หนึ่งในผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมบนเกาะเต่า เปิดใจต่อเว็บไซต์การ์เดียน สื่อสัญชาติอังกฤษ หลังเข้าเยี่ยมผู้ต้องหาในเรือนจำ


เผยปรากฏการณ์ “ทรมานแพะ” เต็มเมือง!
กรณีทรมานแพะที่เกิดขึ้นกับคดีนี้จนถูกกล่าวถึงอย่างหนาหูครั้งนี้เอง จุดประเด็นให้คนจำนวนไม่น้อยหันมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์อันเลวร้ายที่ได้รับอย่างหนักภายใต้อิทธิพลของเครื่องแบบสีกากี และบรรทัดต่อจากนี้คือตัวอย่างเบาะๆ บางส่วนเท่านั้น


(ประเด็น "ทรมานแพะ" กลายเป็นที่กล่าวขวัญในโลกโซเชียลมีเดีย)


"แม่เคยถูกกระชากสร้อยค่ะ จำหน้าคนร้ายได้ ตำรวจบอกจับตัวได้แล้วให้ไปชี้ตัว แต่เราบอกว่าไม่ใช่คนนี้ ตำรวจมันบอกว่าให้ชี้ไอ้นี่ไป มันเคยทำ!!? คือ...ทุกคนต้องชี้เด็กคนนี้ (10 กว่าคดีโยนให้เด็กคนนี้หมด สงสารมาก) เพื่อ... ตำรวจมันจะปิดคดี ไม่ต้องไปวิ่งตามหาคนร้าย นี่คือวงการตำรวจไทย... กูล่ะเซ็ง" นางเฟส นิสัยเสีย

"ผมเลย เพิ่งโดนมาสดๆ วันนั้นผมเป็นไข้แล้วกินยาดีคอลเจนเข้าไป ประมาณ 5 ทุ่ม มันเรียกผมตรวจฉี่ ผลเลยออกมา 1 ขีด ล็อกผมขึ้นรถอย่างไวเลย ทั้งที่ผมพยายามอธิบาย แต่แม่งไม่ฟังซักนิด พอถึงโรงพักจับผมเข้ากรงเลย ยึดโทรศัพท์ ยึดอะไรทุกอย่าง บอกผมเอาตังค์มา 10,000 มาประกัน ไอ้ผมมันไม่ได้เล่นยาจริงๆ จะยอมได้ไง ผมบอกขอตรวจฉี่อีกที แม่งก็กดดันให้ผมยอมรับว่าเสพยาตลอด ขู่นั่นขู่นี่ ผมรอจนถึงตี 5 เพื่อให้ฤทธิ์ยามันละลายแล้วตรวจใหม่ คราวนี้ขึ้น 2 ขีด แม่งพูดไม่ออกซักคน เสียเวลาจริงๆ ยิ่งเป็นไข้อยู่ด้วย เหี้ยมจริงๆ ตำรวจพวกนี้
เดี๋ยวนี้ออกจากบ้านดึกๆ ไม่ต้องกลัวโจรหรอก กลัวตำรวจมากกว่า วันดีคืนดีแม่งจับใส่กุญแจมือขึ้นรถ แล้วหาเรื่องยัดข้อหาก็มี แย่สุดๆ" เพียงชายคนนี้ ไม่ใช่ผู้วิเศษ

"เคยถูกตำรวจถอยรถมาชนรถเราตอนเด็กๆ ตอนแรกลงมาจะโยนให้เราผิด หาว่ามาขับจี้แล้วตอนเขาถอย เราขับเดินหน้ามาชน เรายืนยันว่าไม่ใช่ สุดท้ายเรียกให้ไป สน. พอไปถึงเหมือนจะชดใช้ แล้วเหมือนลงบันทึกอะไรให้เราแผ่นนึง รายละเอียดว่ารถเราจอดอยู่แล้วโดนรถถอยมาชนแล้วหนีไป ไม่ทราบเลขทะเบียนรถที่ถอยมาชน แล้วบอกให้เราเอาใบนั้นไปเคลมกับประกันภัยได้เลย เราบอกรถเราไม่มีประกัน มันถามเรากลับ แล้วงี้จะทำไง ทำนองว่าไม่รับผิดชอบหรอก แล้วก็ให้เรารอนานๆ ดึงเกมจนเราทำอะไรไม่ได้ เพราะตอนนั้นยังเด็ก อายุ 15-16
       แล้วสุดท้ายเลยออกจากตรงนั้นมา ออกมาแล้วโยนกระดาษบันทึกที่มันให้ทิ้ง จำใจต้องซ่อมเอง นี่ขนาดเรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องซ้อมผู้ต้องหา ใช้เขียนแพะแล้วปัดความรับผิดชอบเอา กับเด็กไม่มีอะไรแม่งยังจะเอาเปรียบ โกงกันซึ่งๆ หน้า" Boavorn Loundkaewnoo

"เพื่อนเราเคยโดนไฟช็อตไข่ สุดท้ายตำรวจปล่อยกลับมาตายที่บ้าน เขาเป็นชาวบ้านไม่มีปากเสียงอะไร ก็ปล่อยให้เรื่องเงียบ คนหัวหินรู้ดีว่าถ้าโดนพวกนี้จับไป โดนซ้อมแน่ๆ" ปาริชาต เกิดลำเจียก

"ผมอธิบายในฐานะผมทำงานด้านนี้ ตัวผมเองไม่เคยได้ซ้อมใครเลย คนที่ผมจับได้ ไม่เคยวิ่งหนีผมพ้น เขายิ้มตอนผมจับ แต่ผมก็ได้ยินเสียง ผู้ต้องหาร้องมาจากห้องๆ นึง ผมไม่สนใจ ผมไม่อยากรู้ นั่นเป็นการทำงานของตำรวจสมัยโบราณ เป็นห้องผีสิง ผมไม่อยากให้มีแบบนั้น เพื่อนผมเคยซ้อมผู้ต้องหา แต่พอเจอกันข้างนอก เพื่อนผมก็โดนไล่รุมยิง ผมเตือนมันแล้วว่าอย่าทำ ทุกวันนี้ผมไม่ได้พกปืนโชว์หรา ผมมือเปล่ากับกระเป๋าแบนๆ และผมไม่ต้องกลัวผู้ต้องหาออกจากคุกกลับมาเอาคืนคนใดเลย ส่วนตำรวจที่ทำแบบนั้นไม่กล้าออกไปไหน ไม่กล้าเที่ยว ไปไหนคนเดียวลำบาก น่าเห็นใจแต่ไม่เห็นใจ" Sut Jit



(ความหวังริบหรี่ อยู่ที่ทีม ทีม “Scotland Yard” นักสืบอังกฤษ)

ดูเหมือนว่า นักสืบอังกฤษ ทีม “Scotland Yard” ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อนุญาตให้เข้ามาสานต่อคดีในภายหลังจะเป็น “ความหวังสุดท้าย” ของคดีนี้เสียแล้ว แม้แต่ “CSI LA” ยังอดหวังไม่ได้ที่จะเชียร์การทำงานของหน่วยสืบสวนทีมอังกฤษทีมนี้เอาไว้ในหน้าแฟนเพจด้วย

“สื่ออังกฤษเเฉ ตำรวจไทยถูกตำรวจอังกฤษสับขาหลอก เพราะทางอังกฤษได้ส่งตำรวจ 2 คน ที่เชี่ยวชาญทางด้านสืบสวนคดีฆาตกรรมเเละนิติเวช ได้ลงพื้นที่กว่าหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านี้เเล้ว ก่อนที่ทีมงานสืบสวน 3 คนจากอังกฤษจะขึ้นฮ.มาจากกรุงเทพฯ พร้อมกับ พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี สื่ออังกฤษยังบอกอีกว่า ทางเจ้าหน้าที่อังกฤษไม่ได้ให้ความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น”


(นมสด เตรียมตัวเจอสื่ออีกครั้งพร้อมดีเอ็นเอ)

“ได้ยินว่าข่าวผู้ใหญ่วอ จะพาลูกชายมาตรวจดีเอ็นเอ อยากทราบว่าใครจะเป็นคนตรวจครับ Scottland Yard หรือตำรวจไทย? เเล้วผู้ใหญ่วอนำกล้องวงจรปิดจาก AC BAR มาให้ทุกคนดูหรือเปล่า ทำไมไม่ให้ Scotland Yard ใช้เครื่องจับเท็จตรวจนมสดด้วย”
ยังไม่มีใครรู้ว่าคดีนี้จะจบลงเช่นไร ใครถูกใครผิด ใครแพ้ใครแพะ... รูปคดีจะไปทางทิศไหน ยังไม่มีใครเดาถูก...

ไม่แน่ว่า นี่อาจถึงการอวสานของนักสืบผู้ผดุงความยุติธรรมบนโลกไซเบอร์ “CSI LA” หากผลดีเอ็นเอพิสูจน์ออกมาว่านมสดไม่ใช่คนร้าย ถึงตอนนั้น ตำรวจอาจมาในมุกใหม่ ใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เอาผิดนักสืบออนไลน์โทษฐานป้ายสีและบิดเบือนข้อมูล หรืออาจใช้หลักฐานตรงนี้ตอกย้ำภาพ “ชาวมโนโซเชียล” ให้เสียความน่าเชื่อถือก็เป็นได้

เมื่อถึงตอนนั้น อาจถึงเวลาที่คนในสังคมต้องตัดสินกันเองว่า จุดไหนที่จะเป็นที่พึ่งให้ประชาชนได้อุ่นใจ แบบไหนที่เหมาะกับคำว่า “กระบวนการยุติธรรม”!!?


(CSI ไซเบอร์ ยังคงเดินหน้าตั้งขอสันนิษฐานต่อไปผ่านแฟนเพจ CSI LA)








(ขอวิญญาณของพวกเขาจงสู่สุขคติและได้รับความเป็นธรรม - ขอบคุณภาพ Bangkok Post)

ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพและข้อมูลบางส่วน: แฟนเพจ CSI LA และ //www.dailymail.co.uk

Create Date :30 ตุลาคม 2557 Last Update :30 ตุลาคม 2557 8:16:44 น. Counter : 2674 Pageviews. Comments :0