bloggang.com mainmenu search







เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการพื้นที่ชีวิต สถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส

  ในขณะที่คนจำนวนมากพยายามแสวงหาความเจริญทางวัตถุ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อสร้างความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิต กลับมีชุมชนเล็ก ๆ อีกแห่งหนึ่งในโลกใบนี้ ที่ยังคงมีวิถีชีวิตเฉกเช่นเมื่อราวร้อยปีที่แล้ว พวกเขาอยู่กันอย่างเรียบง่าย สบาย สงบ และกลมกลืนไปกับธรรมชาติ ไม่คิดดิ้นรนจะหาวัตถุใด ๆ มาเติมเต็ม แต่ทุกย่างก้าวของชีวิตที่ดำเนินไปเปี่ยมไปด้วยความสุขที่หลายคนอาจจะไม่เข้าใจ

  เมื่อวันที่ 26 กันยายน รายการพื้นที่ชีวิต ทางช่อง Thai PBS ได้พาคุณผู้ชมไปสัมผัสชีวิตที่เรียบง่าย ณ ชุมชนชาวอามิช (Amish) ชุมชนเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง บนผืนดินเมือง Gap รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา... ประเทศทุนนิยมเสรียักษ์ใหญ่ที่ยังคงเติบโตอย่างไม่หยุดนิ่ง

          หากใครเคยได้ยินเรื่องราวของชาวอามิชมาแล้วบ้าง คงจะพอทราบว่า พวกเขานับถือศาสนาคริสต์ นิกายอนาแบ๊ปติส (Anabaptists) ที่ยังเคร่งศาสนา จารีตประเพณีแบบดั้งเดิม จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อเราก้าวเข้ามาในชุมชนอามิชแห่งนี้ สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าจะไม่ต่างจากภาพของชุมชนเมื่อราวร้อยปีที่แล้ว นั่นก็คือ ความเงียบสงบบนถนนสายเล็ก ๆ ที่สองข้างทางเพาะปลูกพืช และทำการปศุสัตว์ในแบบดั้งเดิม ขณะที่ชาวอามิชเองก็แต่งตัวเหมือนกับหนังฝรั่งสไตล์ย้อนยุค ขับขี่รถม้าวิ่งไปตามทางบนถนน

          ชาวอามิชประกอบด้วยคน 2 กลุ่ม คือ คนกลุ่มเก่า (Old Order) และคนกลุ่มใหม่ (New Order) โดยคนกลุ่มเก่าจะเป็นกลุ่มที่ปฏิเสธการใช้ไฟฟ้า ยังคงใช้ชีวิตเหมือนกับวิถีชีวิตดั้งเดิมทุกอย่าง และใช้รถม้าเป็นพาหนะเพียงเท่านั้น ขณะที่คนกลุ่มใหม่ แม้จะมีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเทคโนโลยี อย่างเช่น โทรทัศน์ หรืออินเทอร์เน็ต พวกเขาใช้ไฟฟ้าเพื่อให้แสงสว่างภายในบ้าน ใช้เตาแก๊สในการหุงหาอาหาร และบางบ้านก็จะมีรถยนต์ขับ แต่ยานพาหนะสำคัญก็ยังคงเป็นรถม้าอยู่ดี



          อย่างไรก็ตาม เพราะชาวอามิชเคร่งครัดในคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลที่ห้ามสร้างรูปจำลองเหมือนมนุษย์ ทำให้พวกเขาไม่นิยมถ่ายรูปกันเอง และไม่ชอบให้คนภายนอกมาถ่ายรูปของพวกเขาด้วย แต่ชาวอามิชหลายคนที่เป็นคนหัวสมัยใหม่หน่อยก็ไม่ได้ยึดกฎข้อนี้มากนัก บางคนก็ยืดหยุ่นให้ถ่ายรูปได้ แต่อาจถ่ายในระยะไกล หรือหากจะถ่ายโคลสอัพก็ต้องขออนุญาตเสียก่อน

  หลายคนอาจจะมองว่า ชาวอามิชเป็นกลุ่มที่ต้านกระแสของโลก แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจ ยังคงเลือกที่จะเดินไปในจังหวะนี้ ไม่จำเป็นต้องจ้ำอ้าวไปตามโลกที่กำลังหมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งชาวอามิชก็มีความสุขที่อยู่ในวิถีชีวิตแบบนี้ เพราะพวกเขามองว่า สิ่งเหล่านี้มันทำให้พวกเขารู้ว่าตัวเองแข็งแรงขึ้น และมั่นใจในตัวเอง

          หากมองไปรอบ ๆ จะเห็นภาพของเด็ก ๆ ชาวอามิช ทั้งตัวเล็ก ตัวน้อย ช่วยพ่อแม่ทำเกษตรกรรม ดูแล้วเป็นภาพความผูกพันของครอบครัวที่เหนียวแน่น และอาจจะเหนียวแน่นกว่าหลาย ๆ ครอบครัวในสังคมทุนนิยมที่ต่างฝ่ายต่างไม่มีเวลาให้กันเท่าไหร่นัก

          คุณยายลิเดีย แลนซ์ ชาวอามิช เล่าให้ฟังว่า พ่อแม่สอนให้เธอทำงานหนักมาตั้งแต่เล็ก ๆ แต่เวลาเล่น พวกเธอก็เล่นกันอย่างสนุกสนาน แม้เธอจะเคยคิดว่า เราทำงานหนักเกินไปไหม แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ มันก็ทำให้เธอรู้สึกดีใจที่พ่อแม่เลี้ยงมาแบบนี้ เพราะทำให้รู้สึกถึงคุณค่าของชีวิต



แอน ไบเลอร์

ในการเดินทางมาเยือนชุมชนอามิชครั้งนี้ ทีมงานรายการพื้นที่ชีวิตได้พบกับ "แอน ไบเลอร์" ผู้ก่อตั้งร้านขนมอานตี้ แอนส์ ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก เธอเล่าให้ฟังว่า เธอเคยเป็นชาวอามิชมาก่อน ทุกคนจะถูกสอนไม่ให้ละโมบโลภมาก และให้ศรัทธาในพระเจ้า สมัยที่เธอยังเด็ก เธอก็ใช้ชีวิตเหมือนเด็กอามิชทั่ว ๆ ไป คือ ช่วยงานที่บ้านและในฟาร์ม จนกระทั่งเมื่ออายุ 12 ปี แอน ไบเลอร์ ก็ได้ออกมาจากบ้าน จนได้มาเห็นเมืองใหญ่ ซึ่งทำให้เธอตื่นตาตื่นใจกับโลกที่ปรากฏตรงหน้า และนั่นก็ทำให้เธอเริ่มตั้งคำถามกับความเป็นอามิช

   และเมื่อถึงวัยที่สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นอามิชต่อไปหรือไม่ แอน ไบเลอร์ ก็ตัดสินใจออกจากการเป็นอามิช เพราะเธอมองว่า ชีวิตอามิชเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ที่ทำให้เธอหายใจไม่ออก แต่เธอก็ยังคงมีความทรงจำดี ๆ จากการที่ช่วยคุณแม่ทำขนม ซึ่งในสมัยเด็กนั้น เธอไม่ชอบทำขนมเลย เพราะรู้สึกเหนื่อย แต่กลับกลายเป็นว่า ณ วันนี้ เธอได้กลายเป็นคนทำขนมให้คนทั่วโลกได้ลิ้มรส



          ได้พบปะพูดคุยกับเจ้าของอานตี้ แอนส์ แล้ว ก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า จริง ๆ แล้ว ชาวอามิสคนอื่น ๆ เคยคิดอยากออกไปสัมผัสโลกภายนอกบ้างหรือไม่ เพราะชีวิตส่วนใหญ่ของพวกเขาอยู่ในกฎเกณฑ์มาโดยตลอด

          ชาวอามิชก็คงคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน จึงได้มีกฎข้อหนึ่งคือ เด็ก ๆ ที่อายุ 16 ปีแล้ว จะมีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตในโลกภายนอกอย่างสุดเหวี่ยงเท่าที่ตัวเองต้องการ อยากไปเที่ยวที่ไหน อยากเรียนอะไร หรืออยากมีแฟน ทุกคนสามารถทำได้ดังใจปรารถนา และเมื่อเดินทางกลับมายังชุมชนอามิชแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องตัดสินใจเลือกว่า จะยังอยากเป็นชาวอามิชต่อไปหรือไม่ ถ้าตัดสินใจเป็นชาวอามิชต่อไป ก็จะต้องไปรับศีลอนาแบ๊ปติส

          มาถึงตรงนี้อยากรู้แล้วใช่ไหมว่า คนส่วนใหญ่เลือกเส้นทางไหน จากสถิติพบว่า ชาวอามิชกว่า 95% เลือกรับศีลที่จะเป็นชาวอามิช และอาศัยอยู่ในชุมชนต่อไป ถ้าถามถึงเหตุผล ก็อาจเป็นเพราะ 16 ปีที่ผ่านมา พวกเขาโตมากับสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตแบบนี้ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เคยชินกับการออกไปเผชิญโลกภายนอกที่คนนอกอาจจะมองว่าเป็นโลกที่อิสระเสรีมากกว่า




  ชาวอามิชถูกสอนให้มีชีวิตที่เรียบง่ายมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ หากมองไปรอบ ๆ จะเห็นว่า สิ่งที่อยู่รอบตัวแฝงไปด้วยความเรียบง่าย และให้แง่คิดได้หลาย ๆ ประการ อย่างเช่น ตุ๊กตาไร้หน้า ที่คุณย่าคุณยายเย็บให้หลาน ๆ ได้เล่น มันแสดงถึงว่า ชาวอามิชไม่ต้องการมีหน้ามีตาในสังคม ไม่จำเป็นต้องแสดงความโดดเด่นออกมา เปรียบเหมือนตุ๊กตาไร้หน้าที่มีหน้าตาแบบเดียวกันหมด

          3 สิ่งที่ชาวอามิชให้ความสำคัญมากที่สุด ก็คือ Faith หมายถึง ความศรัทธา Family หมายถึงครอบครัว และ Friends หมายถึงเพื่อน ซึ่งใครที่ได้เข้ามาเยือนดินแดนเล็ก ๆ แห่งนี้แล้ว คงจะสัมผัสถึง 3 สิ่งนี้ได้ชัดเจน จากความเชื่อ ความรัก ความอบอุ่นที่ชาวอามิชแสดงให้เห็นอย่างจริงใจ รวมทั้งการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือทุกคนในชุมชนที่มีปัญหา ไม่ต่างจาก "คนในครอบครัวเดียวกัน"

  "เราพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ รู้ไหม โลกภายนอกอาจมองเข้ามาแล้วพากันสงสารเรา ขณะเดียวกัน เราก็มองว่า คนในโลกข้างนอกนั่นแหละที่น่าสงสาร เรารู้ดีว่าชีวิตในโลกข้างนอกนั้นยากลำบากกว่าเรามากนัก แน่นอน ผมไม่ได้บอกว่าชีวิตของชาวอามิชโรยด้วยกลีบกุหลาบ เรามีคนที่อยู่แบบนี้ไม่ได้ และลาออกไป บางทีก็มีเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควรเกิดขึ้น แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้ การเป็นอามิชไม่ได้หมายความว่า เราดีกว่าใคร หรือชีวิตแบบเราถูกต้องเสมอไป ไม่มีชีวิตใครสมบูรณ์แบบ เราเพียงแค่พยายามใช้ชีวิตให้ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำได้" คุณปู่ชาวอามิช กล่าว



อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ชาวอามิชกังวลก็คือ จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการไม่คุมกำเนิดที่ขัดต่อความเชื่อของเขา ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนที่ดินตามมา ดังนั้น ชาวอามิชรุ่นหลัง ๆ จึงเริ่มออกไปทำงานในเมืองมากขึ้น นี่อาจเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ระบบวิถีชีวิตของชาวอามิชค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย ซึ่งชาวอามิชหลายคนคงไม่อยากให้มันเกิดขึ้น

          การเยือนชุมชนอามิชครั้งนี้ ทำให้เราได้เห็นมุมมองบางอย่างที่ชาวอามิชต้องการสอนให้คนภายนอกได้เข้าใจ อย่างเช่นสิ่งหนึ่งที่บอกได้ชัดเจนก็คือ บางทีการมีชีวิตที่ดีอาจไม่ได้หมายถึงเราต้องมีทุกอย่างที่เราอยากได้ แต่มันอาจคือการที่ไม่มีบางอย่างที่ไม่จำเป็น เพื่อที่จะได้ใช้เวลากับสิ่งที่จำเป็นและสำคัญต่อชีวิตเราจริง ๆ ก็เป็นได้
Create Date :29 กันยายน 2555 Last Update :29 กันยายน 2555 21:07:01 น. Counter : 2575 Pageviews. Comments :0