bloggang.com mainmenu search
“จอใหญ่-เครื่องโค้ง” ช่วยชีวิตซัมซุงได้ไหม? วิชัย พรพระตั้ง รองประธานองค์กร ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด สัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าพ่อไอทีเกาหลีใต้ “ซัมซุง (Samsung)” โชว์ตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ Galaxy S6 Edge Plus และ Galaxy Note 5 ทั้งคู่ยังคงดีไซน์ดั้งเดิมสไตล์ซัมซุง แต่ถูกจัดเต็มหน้าจอ 5.7 นิ้ว บนลูกเล่นความโค้งมนที่ทำให้ Note 5 มีส่วนโค้งด้านหลังเครื่อง ขณะที่ S6 Edge Plus ใช้หน้าจอโค้งมนที่มุมเครื่องด้านหน้า ทั้งหมดนี้แสดงว่าซัมซุงวางเดิมพันไว้กับความใหญ่ และโค้งของสมาร์ทโฟน ท่ามกลางสายตาของนักวิเคราะห์ว่า 2 คุณสมบัตินี้จะสามารถช่วยชีวิตของซัมซุงไว้ได้จริงหรือ?

       หากไม่นับชื่อรุ่นที่เปลี่ยนไป Galaxy Note 5 และ Galaxy S6 Edge Plus แทบจะไม่เห็นความแตกต่างระหว่างกัน ทั้งคู่มีหน้าจอ 5.7 นิ้ว (ใหญ่กว่า 5.5 นิ้วของ iPhone 6 Plus) ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และใช้หน่วยประมวลผลในเครื่องรุ่นเดียวกัน พร้อมกับกล้องดิจิตอลความละเอียดสูงไม่แพ้กัน

       สิ่งที่แตกต่างชัดเจนคือ Note 5 มีปากกาสไตลัส ขณะที่ S6 Edge Plus โยนปากกาทิ้งไปแต่ใช้หน้าจอโค้งที่มุมเครื่องด้านหน้าแทน ทั้งหมดนี้ทำให้ Note 5 มาพร้อมซอฟต์แวร์ที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับการจดโน้ตด้วยปากกาสไตลัสหลากรูปแบบ ขณะที่ S6 Edge Plus เน้นซอฟต์แวร์ที่จะใช้ประโยชน์จากหน้าจอโค้งที่มุมเครื่องให้ได้มากที่สุด

       ถามว่าทำไมซัมซุงไม่รวมคุณสมบัติทุกอย่างไว้ในเครื่องรุ่นเดียว หรือพูดอีกอย่างคือ ทำไมซัมซุงไม่พัฒนาสมาร์ทโฟน 5.7 นิ้วที่ใช้หน้าจอโค้งด้านหน้าเครื่อง และมีปากกาสไตลัส? จุดนี้ดริว แบล็กคาร์ด (Drew Blackard) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของซัมซุง ให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวนิวยอร์กไทมส์ ว่า เป็นเพราะการเพิ่มปากกาให้ S6 Edge Plus ที่มีหน้าจอโค้งจะทำให้เครื่องมีความหนามากเกินไป ความหนา และใหญ่อาจทำให้ผู้บริโภคมองสินค้านี้เป็นแท็บเล็ต แต่จุดยืนของซัมซุงคือ การพัฒนา “แฟ็บเล็ต (phablet)” หรือสมาร์ทโฟนจอยักษ์

“จอใหญ่-เครื่องโค้ง” ช่วยชีวิตซัมซุงได้ไหม? *** ซัมซุงขอเป็น “เทรนด์ เซ็ตเตอร์” สมาร์ทโฟนจอใหญ่

       นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงต้นปีนี้ ตลาดสมาร์ทโฟนจอใหญ่เกิน 5.5 นิ้ว ถือว่ามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนล่าสุดของกลุ่มขนาดจอนี้เพิ่มขึ้นมาสูงถึง 44% ในตลาดสมาร์ทโฟน จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 30% และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ถือเป็นข้อมูลที่น่าสนใจต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่า ซัมซุง ถือเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายแรกที่เริ่มบุกเบิกในตลาดดังกล่าว ด้วยการสร้างเซกเมนต์ใหม่ขึ้นมาภายใต้ซับแบรนด์แอนดรอยด์โฟนอย่าง Galaxy ด้วยการใช้ชื่อรุ่นว่า Note ตั้งแต่รุ่นแรก จนมาถึงปัจจุบันที่ถือเป็นรุ่นที่ 5 แล้ว ด้วยการชูจุดเด่นในแง่ของการใช้งานสมาร์ทโฟนจอใหญ่ ร่วมกับปากกาสไตลัสที่ช่วยให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานมากยิ่งขึ้น

       กระแสตอบรับของตลาด Note ในประเทศไทยช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาของซัมซุง ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะถือว่าเป็นการจุดกระแสเครื่องสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอใหญ่กว่า 5 นิ้ว ที่ออกมาตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคชาวไทยที่นิยมใช้งานร่วมกับปากกา

       โดยผลสำรวจผู้ใช้งาน Galaxy Note ระบุว่า 3 ฟังก์ชันหลักที่นิยมใช้มากที่สุดคือ S-Pen ถัดมาคือ กล้องถ่ายภาพ และการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก ส่วน 3 การใช้งานหลักจะเน้นไปที่การค้นหาข้อมูล การจัดเก็บข้อมูล และความบันเทิง ทำให้ซัมซุงนำข้อมูลเหล่านี้มาเป็นตัวช่วยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์

       วิชัย พรพระตั้ง รองประธานองค์กร ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า ด้วยการที่สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันอาจจะไม่เอื้ออำนวยให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าอุตสาหกรรมโทรคมนาคมจะยังมีอัตราการเติบโตอยู่เช่นเดิม ด้วยปัจจัยกระตุ้นที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้

“2 ปีที่ผ่านมา ตลาดสมาร์ทโฟนเกิดการเติบโตสูงมาตลอดมีผลมาจากปัจจัยหลักคือ การเปิดให้บริการ 3G ที่ทำให้ผู้บริโภคต้องมีการไมเกรดโทรศัพท์จากฟีเจอร์โฟนมาเป็นสมาร์ทโฟน ซึ่งทำให้ที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอยู่ในระดับ 2 ดิจิตมาโดยตลอด แต่ปีนี้อาจจะลดลงมาอยู่ในระดับ 1 ดิจิต”

       ด้วยการที่จะมีการเปิดประมูลคลื่น 4G ในช่วงปลายปี ก็หวังว่าจะเรื่องดังกล่าวจะกลายเป็นปัจจัยบวกที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดการเปลี่ยนเครื่อง หรือมองหาเครื่องใหม่ที่รองรับการใช้งาน 4G ทดแทนเครื่องเดิมไปในทันที และทางซัมซุงก็มีแผนที่จะนำสมาร์ทโฟนที่รองรับ 4G ในระดับราคาที่หลากหลายเข้ามาทำตลาดเช่นเดียวกัน จากปัจจุบันที่เริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 7,990 บาท

“จอใหญ่-เครื่องโค้ง” ช่วยชีวิตซัมซุงได้ไหม?        “ในตอนนี้ระยะเวลาการใช้งานสมาร์ทโฟนต่อรุ่นของผู้บริโภคจะเฉลี่ยอยู่ประมาณ 12-18 เดือน ดังนั้น ถ้าผู้บริโภคที่มีแผนจะเปลี่ยนสมาร์ทโฟนในช่วงเวลานี้เชื่อว่าส่วนใหญ่จะเลือกซื้อเครื่องที่รองรับ 4G เป็นอันดับแรกๆ เพื่อให้รองรับการใช้งานเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ทันที”

แน่นอนว่าการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนของผู้บริโภคจะให้ความสำคัญต่อขนาดหน้าจอเป็นหลัก เพราะจากข้อมูลที่ได้มา พบว่า กลุ่มผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนที่มีขนาดหน้าจอใหญ่กว่า 5.5 นิ้ว เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในสิ้นปีนี้จะคิดเป็นสัดส่วนราว 50% ของตลาด

       วิชัย กล่าวต่อว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุถึงสัดส่วนที่แท้จริงของตลาดได้ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ซัมซุงเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ทิศทางก็ตลาดก็จะเทไปทางนั้น อย่างที่ผ่านมา เมื่อมีการเปิดตัว Galaxy S6 รวมถึง Galaxy A5 และ A7 ก็ทำให้สัดส่วนของหน้าจอขนาดประมาณ 5 นิ้วเพิ่มสูงขึ้น

       อย่างไรก็ตาม ตัวเลขสัดส่วนผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนจอใหญ่กว่า 5.5 นิ้ว นั้นไม่ได้มาจากแบรนด์ซัมซุง เพียงแบรนด์เดียว เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวทางแอปเปิลก็ได้มีการวางจำหน่าย iPhone 6 Plus ออกสู่ตลาดด้วยเช่นเดียวกัน ทำให้สัดส่วนดังกล่าวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปอีก หลังจากการเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ในเดือนกันยายนนี้

พร้อมไปกับการนำ Galaxy S6 Edge Plus เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ไม่ต้องการใช้ S-Pen และต้องการตัวเครื่องที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สุดท้ายก็คงต้องมองกันต่อไปว่า ซัมซุง จะสามารถรักษาการเป็นเทรนด์ เซ็ตเตอร์ ในตลาดสมาร์ทโฟนได้ต่อเนื่องมากแค่ไหน ในเมื่อคู่แข่งก็พยายามจี้เข้าหาอย่างต่อเนื่อง

“จอใหญ่-เครื่องโค้ง” ช่วยชีวิตซัมซุงได้ไหม? *** “จอยักษ์” จะช่วยได้ไหม?

       ซัมซุงนั้นยอมรับว่ายอดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือของบริษัทตกต่ำจริง โดยไตรมาสที่ผ่านมา แผนกสินค้ากลุ่มโมบายทำกำไรลดลงมากกว่า 35% ถือเป็นสัดส่วนการตกต่ำที่ไม่ธรรมดา

สำหรับ Galaxy Note 5 และ S6 Edge Plus สมาร์ทโฟนที่ซัมซุงคาดหวังว่าจะเป็นพระเอกกู้สถานการณ์ให้บริษัทนั้น นักวิเคราะห์มากมายมองว่า ยังมีความเสี่ยงที่ทำให้ซัมซุงไม่อาจนอนใจ โดยเฉพาะการตัดความสามารถในการเพิ่มหน่วยความจำ “ไมโครเอสดี การ์ด (microSD card)” และความสามารถในการถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ทิ้งไป ทั้งที่สมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy Note รุ่นอื่นยังมี 2 คุณสมบัตินี้

       ที่ผ่านมา Note ถูกวางจุดยืนเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นใหญ่ทั้งในแง่ประสิทธิภาพ และขนาด แต่เมื่อมีการแข่งขันดุเดือด ผู้บริโภคมีโอกาสเลือกสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ที่มีประสิทธิภาพไม่ต่างกัน ในราคาที่ประหยัดกว่า ความจริงข้อนี้ทำให้ซัมซุงต้องเทเงินให้แก่การตลาดสูงมากไม่แพ้การทุ่มงบประมาณวิจัยเพื่อสร้างความต่างให้สินค้า ทั้งหมดนี้ส่งให้ความได้เปรียบของซัมซุงถูกมองว่าอ่อนด้อยกว่าคู่แข่งบางราย

       นอกจากนี้ การทิ้งช่องสำหรับเสียบการ์ดไมโครเอสดี และโอกาสในการถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ ยิ่งทำให้ Galaxy Note 5 ขาดจุดต่างเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นในตลาด หรือแม้แต่การเปรียบเทียบกับสินค้าที่ซัมซุงเปิดตัวเมื่อปีที่แล้วอย่าง Galaxy Note 4 ก็ยังถูกมองว่าด้อยกว่า จุดนี้ถือเป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างมากหากสินค้ารุ่นเก่าถูกวิจารณ์ว่ามีจุดเด่นเหนือกว่าสินค้ารุ่นใหม่

ความผิดพลาดนี้ทำให้ Note 5 ถูกบางส่วนวิจารณ์ว่าเป็นเพียง “S6 หน้าจอใหญ่ที่มีปากกา” ซึ่งยังมีความสามารถไม่เพียงพอที่จะดึงดูดสาวกซัมซุง ให้ตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่แทนรุ่นเก่าที่มีอยู่เดิม

       ไม่แน่ ชาวไอทีหลายคนอาจกำลังรอดูคุณสมบัติใหม่ใน “ไอโฟน” รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวเดือน กันยายนนี้ ก่อนจะตัดสินใจว่าจะซื้อ Note 5 ดีหรือเปล่า?

“จอใหญ่-เครื่องโค้ง” ช่วยชีวิตซัมซุงได้ไหม? *** 5 จุดเด่น Samsung Galaxy Note 5

       การเปิดตัว Samsung Galaxy Note 5 ในครั้งนี้ถือว่าซัมซุงทำการเซอร์ไพรส์หลายๆ อย่างด้วยกัน ตั้งแต่วันวางจำหน่ายที่จะพร้อมจำหน่ายกันใน 1 สัปดาห์หลังเปิดตัว ขณะที่ในมุมของสื่อมวลชนซัมซุงก็มีเครื่องมาให้สัมผัสกันพร้อมกับการเปิดตัวเลยทีเดียว

       ดังนั้น ภาพเดิมๆ ที่เคยเห็นการเปิดตัวในต่างประเทศ และต้องรอสินค้าเข้ามาจำหน่ายอย่างต่ำประมาณ 1 เดือนจึงหายไป และกลายมาเป็นการวางจำหน่ายในประเทศไทย พร้อมกับประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ในโลกด้วย

1.การดีไซน์ตัวเครื่องแบบใหม่ ด้วยแนวคิดการออกแบบ “Curve back design” ทำให้ Galaxy Note 5 มีความโค้งบริเวณขอบหลังเครื่อง คล้ายคลึงกับหน้าจอโค้งใน S6 Edge เพียงแต่จุดที่โค้งเป็นอะลูมิเนียมแทน โดยซัมซุงพยายามชูว่าการจับถือด้วยดีไซน์เครื่องแบบนี้จะช่วยให้สามารถถือใช้งานด้วยมือข้างเดียวง่ายขึ้น

       แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ซัมซุงหันมาใช้วัสดุที่เป็นอะลูมิเนียมเคลือบผิวเงา ทำให้เวลาจับใช้งานแล้วจะพบคราบรอยนิ้วมือเต็มตัวเครื่องทั้งส่วนหน้าจอ และหลังเครื่อง ในจุดนี้คงต้องพึ่งพาการใส่เคสหุ้ม หรือพกผ้าเช็ดติดมือไปก่อน

       2.หน้าจอเท่าเดิม แต่เครื่องเล็กลง อีกจุดที่น่าสนใจคือ เรื่องของขนาดหน้าจอ Super AMOLED ที่ยังรักษาขนาดไว้ที่ 5.7 นิ้ว เพิ่มความละเอียดขึ้นมาเป็น QuadHD เช่นเดียวกับใน Galaxy S6 ที่สำคัญคือ แม้ว่าจะคงขนาดหน้าจอเท่าเดิม แต่ขนาดของตัวเครื่องกลับมีขนาดเล็กลงจาก Note 4 ที่ 78.6 มิลลิเมตร เหลือ 76.1 มิลลิมเตร และบางลงจาก 8.5 มิลลิเมตร เหลือ 7.6 มิลลิเมตร

       อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าเสียดายอีกอย่างก็คือ การเปลี่ยนรูปแบบการออกแบบใหม่ ทำให้ Note 5 ไม่สามารถถอดฝาหลังเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรีได้เหมือนเดิม เช่นเดียวกับการที่ไม่มีช่องสำหรับใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่ม ทำให้ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่างจะเลือกซื้อเครื่องที่มีขนาด 32 GB หรือ 64 GB เท่านั้น

       ในแง่ของเทคนิค ซัมซุง ให้ข้อมูลว่า การที่เลือกใช้งานหน่วยความจำเฉพาะภายในเครื่องเท่านั้นไม่รองรับการเพิ่มไมโครเอสดีการ์ด เนื่องมาจากที่ผ่านมาผู้ใช้งานแอนดรอยด์ที่ใช้การเก็บข้อมูลบนการ์ดมักจะมีปัญหาอย่างเครื่องช้า ข้อมูลเสียหายจากการ์ดที่ไม่ได้มาตรฐาน ซัมซุง จึงต้องทำการควบคุมตัวแปรเหล่านี้ให้เหมาะสมต่อการใช้งานมากที่สุด ดังนั้น การที่เครื่องไม่สามารถเพิ่มการ์ดได้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่องมากขึ้น

นอกจากนี้ ซัมซุงยังมีการตัดฟีเจอร์บางอย่าง เช่น พอร์ตอินฟราเรด (IR) ที่ซัมซุงนำเข้ามาใช้งานตั้งแต่ Note 3 มา Note 4 แต่ภายใน Note 5 กลับถูกตัดออกไป ทำให้ความสามารถในการใช้สมาร์ทโฟนควบคุมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่นๆหาย ไปด้วย

       3.คงคุณภาพสุดยอดกล้องมือถือ ในแง่ของการถ่ายภาพซัมซุง ทำการบ้านมาได้ดีตั้งแต่สมัย Note 4 ไล่มาจนถึง S6 แล้ว ดังนั้นใน Note 5 ก็เช่นเดียวกัน ที่ยังสามารถรักษาคุณภาพของกล้องถ่ายภาพไว้ได้ โดยในรุ่นนี้ใส่กล้องความละเอียด 16 ล้านพิกเซลมาพร้อมระบบกันสั่น OIS และไฟแฟลช LED เช่นเดิม โดยสามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 4K ได้ด้วย

       ส่วนสิ่งที่น่าสนใจในแง่ของโหมดกล้องเลยคือ การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างการบันทึกภาพไฟล์ RAW ในโหมดโปร เพื่อเปิดโอกาสให้สามารถนำภาพไปแต่งต่อได้ง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปอื่นมาใช้ความสามารถของแอนดรอยด์ 5.0

       นอกจากนี้ ก็จะมีโหมดถ่ายภาพวิดีโอที่น่าสนใจคือ สามารถ Live Broadcast วิดีโอที่ถ่ายผ่านระบบอินเทอร์เน็ตไปให้ผู้รับได้ทันที โดยสามารถเลือกรายชื่อผู้ที่จะสามารถเข้าชมวิดีโอได้ เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น

4.เพิ่มขีดความสามารถ S-Pen แน่นอนว่าผู้ที่ซื้อ Galaxy Note ใช้งานส่วนใหญ่จะติดใจกับความสามารถของปากกา S-Pen เริ่มกันจากระบบการปลดปากกาที่ใช้การกดเข้าไปในตัวเครื่อง เพื่อให้ปากกาเด้งออกมา เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น

       ถัดมาก็คือ ควมสามารถของ Air Command ที่มีการออกแบบใหม่ให้ดูแล้วใช้งานง่ายขึ้น รวมถึงสามารถเลือกแอปที่ใช้งานบ่อยๆ มาเพิ่มไว้ตรงส่วนนี้ได้ กับการจับภาพหน้าจอรูปแบบใหม่ที่สามารถเลื่อนหน้าจอจับภาพได้เรื่อยๆ ส่งผลให้สามารถจับภาพหน้าจอเว็บไซต์ที่มีขนาดยาวๆ ได้ในทีเดียว เช่นเดียวกับในแง่ของความแม่นยำ และการใช้งานที่ซัมซุงพยายามนำข้อมูลจากผู้ใช้ไปพัฒนาเพื่อให้รองรับการใช้งานได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

       5.แบตเตอรี่แค่ 3,000 mAh แต่เพิ่มระบบชาร์จเร็ว แม้ว่า Galaxy Note 5 จะมากับแบตเตอรี่ขนาดเพียง 3,000 mAh ที่อาจจะดูแล้วเล็กเกินไปสำหรับใช้งานกับหน้าจอเครื่องขนาดนี้ ทำให้ทางซัมซุงเลือกที่จะใส่ฟังก์ชันอย่างการชาร์จไร้สาย (Wireless Charge) เข้ามา พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพในการชาร์จผ่านทั้งพอร์ตไมโครยูเอสบี และไวร์เลสให้รวดเร็วขึ้น

       โดยซัมซุง ระบุว่า สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มเครื่องจากการใช้สายชาร์จได้ภายในเวลา 90 นาที ส่วนถ้าใช้ที่ชาร์จแบบไร้สายโดยใช้ที่ชาร์จของซัมซุงจะสามารถชาร์จเต็มได้ ภายในเวลา 120 นาที อีกจุดหนึ่งคือ ระบบบริหารจัดการทรัพยากรภายในเครื่อง ที่ออกแบบมาให้ประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้นด้วย

ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นจุดสำคัญของ Galaxy Note 5 ที่จะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 สิงหาคม 2558 เพียงแต่สินค้าจะทยอยเข้าไปให้สัมผัสที่หน้าร้าน และตัวแทนจำหน่ายตั้งแต่ 15 สิงหาคม และถ้าร้านมีของเข้าสต๊อกก็สามารถจำหน่ายได้ทันที สนนราคาเปิดตัวของ Note 5 รุ่น 32 GB จะอยู่ที่ 25,900 บาท และรุ่น 64 GB จะอยู่ที่ 29,900 บาท
//manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9580000094642
Create Date :22 สิงหาคม 2558 Last Update :22 สิงหาคม 2558 22:27:06 น. Counter : 667 Pageviews. Comments :0