bloggang.com mainmenu search


       แม้ว่าแนวคิดกล้องคอมแพกต์ดิจิตอลพลังแอนดรอยด์ใน Samsung Galaxy Camera รุ่นแรกจะสร้างเสียงฮือฮาให้กับวงการกล้องทั่วโลกและดึงกระแสตลาดกล้องดิจิตอลคอมแพกต์ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนกระแสจะเงียบหายไปเพราะซัมซุงยังปรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ให้เข้ากับความเป็นกล้องดิจิตอลได้ไม่สมบูรณ์นัก หลายส่วนมีปัญหาตั้งแต่เปิดเครื่องเริ่มระบบช้าไปถึงอาการ Force Close แอปฯ เด้งปิดตัวเองเพราะแรมหมดหรือระบบตรวจพบปัญหาที่ส่วนมากผู้ใช้จะพบเห็นได้บ่อยครั้งบนสมาร์ทโฟนและไม่ควรเกิดกับอุปกรณ์กล้องถ่ายภาพที่ต้องมีความพร้อมในการบันทึกภาพความประทับใจที่อาจไม่มีโอกาสได้พบเห็นอีกแล้ว

       วันเวลาผ่านไปซัมซุงปรับปรุง Galaxy Camera ใหม่พร้อมเปิดตัวอีกครั้งกับ Samsung Galaxy Camera 2 ที่ผม เป๋า @dorapenguin จะนำมารีวิวให้รับชมในบทความนี้

การออกแบบ




       เริ่มจากหน้าตา Galaxy Camera 2 ที่ปรับเปลี่ยนใหม่หมด โดยพลาสติกด้านหน้าส่วนลำตัวเครื่องถูกเปลี่ยนลวดลายเลียนแบบหนังแท้ (ตามแนวคิดเดียวกับวัสดุด้านหลัง Galaxy Note 3) ตัดกับขอบบนล่างสีเทาพร้อมกริปจับ และเลนส์กล้องที่ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้จากซัมซุงสเปกเดียวกับ Galaxy Camera รุ่นแรกคือเป็นเลนส์ Super Long Zoom 21 เท่าหรือระยะ 4.1 - 86.1 มิลลิเมตร (เทียบเท่าฟิล์ม 35มม.: 23 - 483 มิลลิมเตร) ที่ค่ารูรับแสง f2.8 ที่ระยะเลนส์กว้างสุด ส่วนเมื่อซูมภาพรูรับแสงกว้างสุดจะอยู่ที่ f5.9 และรูรับแสงแคบสุดที่สามารถปรับได้คือ f8.0 พร้อมไฟโฟกัสติดตั้งเหนือเลนส์

       ในส่วนขนาดของมิติตัวกล้อง กว้าง 71.2 มิลลิเมตร ยาว 132.5 มิลลิเมตร หนา 19.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 285 กรัม



       ด้านหลังจะเป็นหน้าจอสัมผัส 10 จุด HD Super Clear LCD (TFT) ขนาด 4.8 นิ้วความละเอียด 1,280x720 พิกเซล ปราศจากปุ่มกดใดๆ เพราะสั่งงานผ่านหน้าจอแบบสมาร์ทโฟนทั้งหมด




       มาดูด้านบนตัวเครื่อง เริ่มจากซ้ายมือจะเป็นช่องไฟแฟลชแบบ Pop-up พร้อมปุ่มกดเพื่อเปิดใช้ไฟแฟลช ถัดมาเป็นปุ่มเปิด-ปิดตัวเครื่องและขวาสุดเป็นปุ่มชัตเตอร์ครอบด้วยวงแหวนหมุนซ้ายขวาเพื่อซูมภาพ ส่วนด้านล่างหลักๆ ตรงกลางจะเป็นช่องสำหรับใส่กับขาตั้งกล้อง ส่วนขวาสุดจะเป็นช่องใส่แบตเตอรี BP2000 ขนาด 2,000mAh (ถ่ายภาพได้ประมาณ 394 ภาพ) การ์ดความจำ MicroSD (ใส่ได้สูงสุด 64GB) พร้อมช่อง HDMI




       สุดท้ายบริเวณสันเครื่องด้านซ้ายจะเป็นตำแหน่ง NFC เพิ่มมาจากรุ่นแรก ถัดมาจะเป็นตำแหน่งลำโพง และด้านขวาจะเป็นช่อง MicroUSB พร้อมช่องเสียบแจ็ึคหูฟัง

สเปก



       มาถึงสเปกของภายในจะขอแบ่งรายละเอียดเป็น 2 ส่วนเริ่มจากส่วนแรกคือ สเปกของกล้องถ่ายภาพจะยังคงใช้เซ็นเซอร์รับภาพ BSI CMOS ขนาด 1/2.3” ความละเอียด 16.3 ล้านพิกเซลตัวเดียวกับที่อยู่ใน Galaxy Camera รุ่นแรกพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว Optical Image Stablization ร่วมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับการหมุน

       ส่วนการถ่ายวิดีโอรองรับความละเอียดสูงสุด 1,920x1,080 พิกเซลที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที ส่วนความละเอียด 1,280x720 พิกเซลจะสามารถถ่ายวิดีโอที่ความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาทีได้

       สำหรับความเร็วชัตเตอร์ที่รองรับอยู่ที่ 1/8 - 1/2,000 วินาที โดยค่า ISO สามารถเลือกใช้ได้ตั้งแต่ 100-3,200 ไฟแฟลชสามารถเลือกใช้ได้ทั้ง Auto, Auto Red-eye reduction, Fill Flash, Slow Sync และ Red-eye fix

       ส่วนที่สองกับสเปกฮาร์ดแวร์และระบบปฏิบัติการขับเคลื่อนตัวกล้อง โดย Galaxy Camera ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.3 Jelly Bean เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก พร้อมด้วยหน่วยประมวลผล (ซีพียู)Exynos 4412 แบบ Quad-core ความเร็ว 1.6GHz แรม 1.68GB เหลือให้ใช้จริงประมาณ 566MB พร้อม GPS /GLONASS, WiFi802.11 a/b/g/n, WiFi Direct ไม่รองรับซิมการ์ดโทรศัพท์ และสนับสนุน HDMI 1.4

ส่วนพื้นที่ให้ใช้งานตามสเปกของซัมซุงจะให้มา 8GB แต่เมื่อผมได้ตรวจเช็คดูจากระบบแล้วเหลือให้ใช้งานจริงแค่ 2.2GB เท่านั้น เพราะโดนไฟล์ระบบบริโภคเข้าไปถึง 4.42GB + ไฟล์แอปพลิเคชันที่ติดตั้งมาจากโรงงานอีกเล็กน้อย ใครชอบถ่ายภาพจำนวนมากคงต้องหาการ์ด MicroSD มาเพิ่มความจุกันก่อนครับ

ฟีเจอร์เด่น




       ใน Galaxy Camera 2 ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่ซัมซุงเลือกใช้จะเป็นรุ่น Jelly Bean 4.3 โดยในหน้าโฮมสกรีนจะมี Widget อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้กล้องถ่ายภาพในชื่อ Camera Studio ที่จะรวมแอปฯและช็อตคัทที่เกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพทั้งหมดไว้ให้ผู้ใช้กดเข้าใช้งานได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญสำหรับผู้ใช้งาน Dropbox ครั้งแรกผ่าน Galaxy Camera 2 จะได้รับดีลเพิ่มพื้นที่ฟรี 50GB เป็นเวลานาน 2 ปี และสามารถดาวน์โหลดแอปฯ เพิ่มเติมได้เองจาก Play Store และ Samsung Apps



       ส่วนแอปฯที่ติดตั้งมากับตัวเครื่อง Galaxy Camera 2 หลักๆ จะคล้ายกับ Galaxy Camera รุ่นแรกและสมาร์ทโฟนของซัมซุง เช่น Paper Artist หรือแอปฯพื้นฐานอย่าง Group Play, Photo Wizard และ Google Apps ก็ติดตั้งมาให้ครบถ้วน สามารถใช้งานได้เต็มความสามารถแบบเดียวกับบนสมาร์ทโฟน



       นอกจากนั้นซัมซุงยังเพิ่มความน่าสนใจและความแตกต่างจาก Galaxy Camera รุ่นแรกด้วยการติดตั้งแอปฯพิเศษในชื่อ Xtremera มาให้ โดยแอปฯตัวนี้มีความสามารถในการจัดการฮาร์ดแวร์กล้องเพื่อถ่ายแบบชัตเตอร์ช้า (ต้องใช้ร่วมกับขาตั้งกล้อง) โดยในตัวแอปฯจะมีโหมดให้เลือก 2 โหมดหลักได้แก่

Star Trail หรือถ่ายภาพหมู่ดาวให้เกิดเป็นหางดาวจากการเปิดหน้ากล้องไว้นานเกิน 30 นาทีขึ้นไป ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกระยะเวลาเปิดหน้ากล้องถ่ายได้ตั้งแต่ 30-120 นาที พร้อมหน้าจอบอกกลุ่มดาวที่อยู่เหนือศรีษะเราโดยระบบจะทำงานร่วมกับเข็มทิศภายในเครื่อง และหน้าที่ของผู้ใช้ก็เพียงนำกล้องไปยึดติดกับขาตั้งกล้อง จากนั้นก็หมุนกล้องหาดาวเหนือพร้อมกดชัตเตอร์และรอกล้องประมวลผลเท่านั้น

Light Art หรือการถ่ายภาพเส้นแสงทั้ง Light Painting หรือไฟรถวิ่งกลางคืนให้สวยงาม โดยโหมดนี้เหมาะแก่คนที่ชอบสร้างสรรค์ภาพแปลกตาหรือใช้ถ่ายภาพวิวกลางคืน โดยระบบจะบังคับให้กล้องเปิดรูรับแสงแคบและปรับสมดุลแสงให้พอดีทั้งภาพ




       มาถึงอีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นที่เพิ่มเข้ามาสำหรับ Galaxy Camera 2 ก็คือ NFC ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Tag&Go โดยผู้ใช้สามารถนำสมาร์ทโฟนที่รองรับ NFC และติดตั้งแอปฯ Samsung Smart Camera ไว้มาแตะที่โลโก้ NFC บริเวณกล้องเพื่อแชร์ภาพและทำเป็น Remote Viewfinder กล้องจากสมาร์ทโฟนได้ง่ายขึ้น หรือจะเชื่อมต่อผ่านสมาร์ททีวีผ่าน Samsung Link ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายด้วย NFC หรือ WiFi Direct



       ส่วนในโหมดกล้อง หน้าตา UI ยังคงเหมือนเดิมทั้งหมดแต่จะมีสิ่งแตกต่างเล็กน้อยตรงจุดโฟกัสที่สามารถจิ้มเพื่อขยายออกเป็น จุดโฟกัสภาพหนึ่งกรอบ และส่วนวัดแสงอีกหนึ่งกรอบเพื่อความแม่นยำในการวัดแสงและจับโฟกัสวัตถุโดยเฉพาะการถ่ายภาพมาโคร



       สำหรับโหมดถ่ายภาพสำเร็จรูปซัมซุงให้มามากถึง 28 โหมดหรือเรียกได้ว่าครอบคลุมทุกรูปแบบการใช้งาน โดยโหมดถ่ายภาพที่เพิ่มเติมเข้ามาจากรุ่นแรกได้แก่ Selfie alarm หรือโหมดถ่ายภาพตัวเองโดยเมื่อผู้ใช้หันเลนส์กล้องมาที่ใบหน้าของผู้ถ่ายเอง กล้องจะใช้ระบบตรวจจับใบหน้าค้นหาใบหน้าของผู้ถ่าย และเมื่อพบชัตเตอร์กล้องจะเริ่มทำงานอัตโนมัติพร้อมเสียงบอกให้ทราบว่ากล้องถ่ายภาพใบหน้าเราแล้ว



       และสำหรับผู้ถ่ายภาพที่ต้องการปรับแต่งค่ากล้องเอง ทางซัมซุงได้ใส่โหมด Expert ไว้ให้ด้วย โดยในโหมดนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับรูรับแสง ค่าความไวแสง ความเร็วชัตเตอร์และระบบชดเชยแสงเองได้ รวมถึงยังมาพร้อมระบบสั่งงานกล้องด้วยเสียง เช่น ถ้าต้องการให้กล้องถ่ายภาพก็เพียงพูดว่า Smile, Cheese, Capture หรือ Shoot เท่านั้น



       มาถึงฟีเจอร์เด่นส่วนสุดท้ายกับ Gallery ที่มีการปรับเปลี่บนในเรื่องการแสดงผลภาพเล็กน้อยคือ จากเดิมการแสดงพรีวิวรูปภาพจะดูได้แต่ภาพอย่างเดียว แต่ใน Galaxy Camera 2 เวลากดรับชมรูปภาพ ถ้าเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไว้จะสามารถดูรายละเอียดของสภาพอากาศขณะถ่ายภาพจาก AccuWeather.com และชื่อสถานที่ที่เราถ่ายภาพได้จากพิกัดที่กล้องบันทึกไว้พร้อมวันเดือนปีที่ถ่ายภาพ

       นอกจากนั้นสำหรับผู้ใช้ที่อยากสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวไว้รับชม ทางซัมซุงมีแอปฯที่ชื่อ Story Album ไว้บริการ โดยลักษณะการจัดเรียงภาพใน Story Album จะเน้นเป็น Timeline และหน้าปกอัลบั้มแบบหน้าปกหนังสือ ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับแต่ง Layout ของอัลบั้มภาพส่วนตัวได้


ส่วนภาพนี้คือหน้าตาคีย์บอร์ดภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่ให้มากับ Samsung Galaxy Camera 2


ทดสอบประสิทธิภาพ



       ก่อนจะไปรับชมไฟล์ภาพที่ถ่ายจาก Samsung Galaxy Camera 2 เรามาชมเรื่องทดสอบประสิทธิภาพภของตัวเครื่องกันก่อน

       โดยจากการทดสอบและใช้งานร่วมหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ส่วนของประสิทธิภาพที่ปรับปรุงจาก Galaxy Camera รุ่นแรกถือว่าอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น การทำงานรวดเร็ว และปัญหาความล่าช้าในการเข้าสู่โหมดกล้องทำได้ดีขึ้นมาก จากเดิมในรุ่นแรกกล้องชอบปิดตัวเองลงเมื่อไม่ใช่เป็นเวลานานจนบางครั้งในหนึ่งวัน ถ้าปิดๆ เปิดๆ กล้องบ่อยเครื่องสามารถค้างได่้ตลอดเวลา

       แต่สำหรับในรุ่น 2 นี้ระบบการสแตนบายกล้องจะถูกปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น โดยเมื่อไม่ได้ใช้กล้องเป็นเวลานานกล้องจะเข้าสู่โหมดสแตนบายและสามารถตื่นขึ้นพร้อมถ่ายภาพทันทีแค่เพียงกดปุ่มชัตเตอร์กล้องค้างไว้ (กล้องสามารถสแตนบายพร้อมถ่ายได้ตลอดทั้งวัน) อาการกล้องชอบค้างและปิดตัวเองลงได้หายไปแล้ว เลนส์กล้องยืดเข้าออกได้ลื่นไหลกว่าเดิมและรวดเร็วขึ้น แต่ถ้าผู้ใช้ไม่ได้ใช้งานกล้องเป็นเวลานานกว่า 12 ชั่วโมงเป็นต้นไปกล้องจะเข้าสู่โหมดปิดตัวเองเหมือนรุ่นแรกและแน่นอนว่าถ้ากล้องปิดตัวลงเมื่อใด กว่าจะเปิดกล้องให้เข้าสู่โหมดกล้องพร้อมถ่ายภาพต้องใช้เวลานานพอสมควร

       ส่วนการใช้งานแอปฯ ต่างๆ ถือว่าด้วยสเปกที่สูงขึ้นทำให้การใช้งานลื่นไหลมากขึ้น สามารถแสดงวิดีโอ 1080p ได้อย่างลื่นไหล สามารถเล่นเกม 3 มิติได้ หน้าจอสัมผัสลื่นไหล Facebook Twitter Instagram ใช้งานได้ดีเหมือนสมาร์ทโฟนยกเว้นเรื่องแบตเตอรีที่ไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้งานหนัก เพราะหมดเร็วมากถ้าผู้ใช้เน้นเปิดหน้าจอเล่นแอปพลิเคชันต่างๆ โดยเฉพาะใช้เล่นเกมเหมือนสมาร์ทโฟน แบตเตอรีสามารถหมดลงได้เพียงระยะเวลาแค่ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น ส่วนการถ่ายภาพแบตเตอรีหนึ่งก้อนสามารถถ่ายได้ประมาณ 280-320 ภาพใกล้เคียงกับที่ซัมซุงเครมไว้



       มาถึงการทดสอบถ่ายภาพ ด้วยความคาดหวังว่า Samsung Galaxy Camera 2 จะให้คุณภาพของไฟล์ภาพแตกต่างจาก Galaxy Camera รุ่นแรก แต่ท้ายสุดแล้วคุณภาพไฟล์ก็ไม่แตกต่างกัน ข้อสังเกตที่เคยเขียนไปแล้วตอนที่ผม @dorapenguin ได้ทดสอบตอน Galaxy Camera รุ่นแรกก็ยังคงมีอยู่ เช่น ไฟล์ภาพสีค่อนข้างจืดชืด ไม่ธรรมชาติ แถมเลนส์เมื่อถ่ายระยะไวด์ก็ยังติดขอบเบลอ ซูมสุด 21 เท่าภาพก็ไม่คมชัดเท่าที่ควรรวมถึงหน้าจอที่ให้สีสว่างสดใสเกินไป เพราะเมื่อนำไฟล์ออกมารับชมผ่านจอคอมพิวเตอร์แล้วภาพที่ออกมานั้นแสนธรรมดาเหมือนกล้องคอมแพกต์ราคาไม่เกิน 1 หมื่นบาท

       แต่ก็ใช่ว่า Galaxy Camera 2 จะหาข้อดีไม่ได้ เพราะด้วยการที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เป็นตัวขับเคลื่อนหลักจนเรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟน+กล้องคอมแพกต์ ก็ไม่ผิด ทำให้การใช้งานและฟีเจอร์ค่อนข้างเปิดกว้างและมีให้เลือกใช้ค่อนข้างครอบคลุมทุกสถานการณ์ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องคุณภาพไฟล์ภาพมากนัก แค่มีกล้องเก็บภาพความประทับใจเวลาไปเที่ยวแถมเลนส์ก็ใช้งานได้ครอบจักรวาลโดยแท้ Galaxy Camera 2 ตอบโจทย์เหล่านั้นได้ดี

       และอีกสิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจสำหรับการเปลี่ยนแปลงจาก Galaxy Camera รุ่นแรกไปสู่รุ่นสองก็คือ การมาพร้อม NFC ที่ฉลาดมากจนอยากให้แบรนด์ผู้ผลิตกล้องทั้งหลายมาศึกษาเป็นการบ้านจริงๆ เพราะ NFC ใน Galaxy Camera 2 เป็นสไตล์ Tap&Go แตะติดง่ายมาก ไม่ต้องตั้งค่า ไม่ต้องกดหน้าจอ อีกทั้งถ้าหน้าจออยู่ในโหมดไหน ระบบเชื่อมต่อสามารถเรียนรู้ได้ เช่น อยู่ในหน้ากล้องพร้อมถ่ายภาพเมื่อนำสมาร์ทโฟที่มี NFC มาแตะ (ต้องลงแอปฯ Samsung Smart Camera ไว้ด้วย) ระบบจะเรียนรู้ว่าเราต้องการใช้ Remote Viewfinder หรือถ้าเราอยู่ในหน้าพรีวิวภาพเมื่อนำสมาร์ทโฟนที่มี NFC มาแตะระบบจะเรียนรู้ว่าเราต้องการคัดลอกภาพไปยังสมาร์ทโฟนโดยที่เราไม่ต้องสั่งงานใดๆ ทุกอย่างถูกจัดการแบบอัตโนมัติทั้งหมด

ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป?

ข้อดี

       - มาพร้อมระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ใช้งานได้แบบสมาร์ทโฟนซึ่งเปิดกว้างมาก จะแชท ถ่าย แชร์ทำได้หมด
       - ดีไซน์ใหม่จับถนัดมือกว่ารุ่นแรก และงานประกอบเก็บความเรียบร้อยดีขึ้น
       - เลนส์ซูม 21 เท่า
       - NFC ฉลาดมาก
       - Xtremera แนวคิดดี ใช้ได้จริง
       - HDR Richtone ให้ผลลัพท์ที่น่าพอใจ
       - Smart Mode Suggest วิเคราะห์ภาพได้แม่นยำและช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับคนที่ไม่รู้จะเลือกโหมดถ่ายภาพแบบใด

ข้อสังเกต

       - เลนส์กล้องคุณภาพยังไม่ดี ระยะกว้างสุดขอบภาพเบลอ ซูมสุดภาพไม่คมชัด
       - ถ้ากล้องปิดตัวเองลงแล้วจำเป็นต้องเปิดกล้องบันทึกภาพทันทีไม่สามารถทำได้ ต้องรอเวลาระบบบู๊ตตัวเองก่อนเหมือนปิดเปิดสมาร์ทโฟน
       - พบเจออาการแรมหมดให้เครื่องค้างและแอปฯเด้งหลุดบ้าง

       สำหรับราคาเปิดตัว Samsung Galaxy Camera 2 อยู่ที่ 15,900 บาท ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกล้องคอมแพกต์ดิจิตอลที่มีความโดดเด่นในเรื่องลูกเล่น ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์แบบสมาร์ทโฟนที่ทำให้ตัวกล้องมีความสามารถมากขึ้น ในขณะที่คุณภาพไฟล์ภาพอยู่ในเกณฑ์พอใช้เหมือนกับ Galaxy Camera รุ่นแรกทั้งหมดจะแตกต่างกันแค่ในรุ่นที่สองจะมาพร้อมการออกแบบใหม่ สเปกที่ดีขึ้นและรองรับ NFC พร้อมฟีเจอร์ภาพที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

ใครที่กำลังมองหากล้องใช้งานง่าย ไม่เน้นเรื่องคุณภาพไฟล์ Samsung Galaxy Camera 2 เป็นตัวเลือกที่ใช้ได้ แต่ถ้าถามความคุ้มค่าจริงๆ แล้วเงิน 15,900 บาทยังมีตัวเลือกที่ดีและคุ้มค่ากว่านี้มากมาย ยกเว้นคุณจะตกหลุมรักด้านความเป็นกล้องแอนดรอยด์เท่านั้นเอง

Company Related Link :
Samsung
Create Date :01 พฤษภาคม 2557 Last Update :1 พฤษภาคม 2557 22:41:11 น. Counter : 1514 Pageviews. Comments :0