โตโยต้ายังเดินเกมรุกตลาดเอสยูวีอย่างต่อเนื่องด้วยการนำเสนอทางเลือกใหม่ออกสู่ตลาด โดยหลังจากที่เผยโฉมรุ่นใหม่แกะกล่องของเอสยูวีอิงพื้นฐานเก๋งอย่าง ราฟโฟร์ และ ไฮแลนเดอร์ ไปได้ไม่นาน คราวนี้ถึงคิวของผลผลิตที่อิงจากพื้นฐานของปิกอัพอย่าง โฟร์รันเนอร์ จะได้ออกมาลุยตลาดกันบ้าง

สำหรับชื่อของ โฟร์รันเนอร์ อยู่คู่กับตลาดเอสยูวีมานานร่วมๆ 3 ทศวรรษแล้ว โดยเป็นเอสยูวีที่แชร์พื้นฐานร่วมกับปิกอัพขนาดคอมแพ็กต์อย่างไฮลักซ์ ซึ่งในช่วงแรกๆ ของการทำตลาดจะมีการเปลี่ยนชื่อมาเป็นเซิร์ฟเพื่อขายในตลาดญี่ปุ่น และตลาดบางกลุ่มด้วย ก่อนที่รุ่นหลังๆ จะหันมาใช้พื้นฐานของ ทาโคมา ซึ่งเป็นปิกอัพขนาดกลางที่ขายอยู่ในตลาดสหรัฐอเมริกา แทนเช่นเดียวกับรุ่นปัจจุบัน

โฟร์รันเนอร์ถือเป็นเอสยูวีแบบ ฮาร์ดคอร์ ที่เน้นการลุยบนทุกเส้นทาง ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าหาแทบไม่ได้แล้วในตลาด เพราะอย่างจี๊ป และฟอร์ด ที่ผลิตเชโรกี และเอ็กซ์โพลเรอร์ รุ่นใหม่ก็หันมาอิงพื้นฐานของรถเก๋งแบบขับเคลื่อนล้อหน้าแทน หรือแม้แต่นิสสัน พาร์ธไฟเดอร์ ซึ่งแต่เดิมเป็นคู่ปรับโดยตรง ก็มีการเปลี่ยนมาเอสยูวีแบบอิงอยู่กับรถเก๋งด้วยเช่นกัน



ไม่ใช่แค่พื้นฐานที่เน้นความแข็งแกร่งเท่านั้น รูปลักษณ์ภายนอกบนตัวถังของเอสยูวีแบบ 5 ประตูก็ให้สัมผัสของความดุดันไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าทรงเหลี่ยมเฉียง ซึ่งถูกออกแบบรับกันกระจังหน้าขนาดใหญ่ที่มีทรงบึกบึนและให้ความสมบุกสมบันด้วยโป่งซุ้มล้อรอบค้น

รุ่นที่ทำตลาดมีให้เลือกทั้งแบบ 5 หรือ 7 ที่นั่งขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า เช่นเดียวกับระบบขับเคลื่อน ซึ่งก็มีทั้งแบบขับล้อหลัง 4X2 และขับเคลื่อน 4 ล้อทั้งแบบ Full-Time หรือ Part-Time ที่มีระบบปรับอัตราทดเกียร์ต่ำเตรียมไว้ใช้สำหรับลุยด้วย และไม่ว่าจะเป็นรุ่นย่อยไหนก็ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงแบบเดียว คือ เบนซินวี6 4,000 ซีซี ที่มีกำลังสูงสุดในระดับ 270 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 38.7 กก.-ม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะแบบ ECT-I

ในแง่ของความประหยัดน้ำมันก็อยู่ในระดับที่ไม่ถึงกับเด่น แต่เมื่อดูกับขนาดตัวรถและเครื่องยนต์แล้วก็ถือว่าคนที่คิดจะซื้อคงทำใจยอมรับได้ โดยมีตัวเลขประหยัดสุดในรุ่น 4X2 แบบขับเคลื่อนล้อหลังอยู่ที่ 6.7 กิโลเมตร/ลิตรสำหรับในเมือง และ 9.32 กิโลเมตร/ลิตรสำหรับการขับในเมือง

โตโยต้าจะส่งโฟร์รันเนอร์วางขายในอเมริกาเหนือช่วงกลางปีนี้ ส่วนราคายังไม่เปิดเผย










//www.manager.co.th/Motoring/viewNews.aspx?NewsID=9560000057594