นายกรัฐมนตรี นำถก นบข. นัดแรกเร่งปฏิรูปประเทศ ขอทุกฝ่ายร่วมมือให้เกิดเป็นรูปธรรม สั่งพณ.-กษ.ออกมาตรการดูแลเกษตรกร

 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ครั้งที่ 1/2560 ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีกรมการข้าว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวตอนต้นของการประชุมว่า ปี 2560 นี้ เป็นปีของการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะเรื่องข้าวและการเกษตร ที่จะต้องช่วยกันและร่วมมือทำให้เกิดเป็นรูปธรรม รวมทั้งการส่งออกข้าวไทยด้วย เพราะหากปฏิรูปไม่สำเร็จในปีนี้ ก็จะส่งผลกระทบไปปีต่อไป จึงขออย่าฝากความหวังไว้กับผู้อื่น เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่ที่เราที่จะต้องช่วยกันหาทางออก

นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ว่า เป็นการแจ้งสถานการณ์บริหารจัดการข้าวประจำปี ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ซึ่งน่ายินดีที่ข้าวหอมมะลิไทย ได้รับรางวัลชนะเลิศ รัฐบาลจึงได้จัดตั้งสำนักงานการบริหารจัดการข้าวอย่างครบวงจร โดยกำชับให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออก 14 มาตรการดูแลเกษตรกร เพื่อให้เกิดความยั่งยืน 

 

 

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาว่า จะทำอย่างไรถึงจะทำให้ประชาชนมีที่ดินทำกินโดยไม่บุกรุกพื้นที่ป่า พร้อมขอความร่วมมือภาคเอกชน ให้ประชาชนได้ยืมที่ดิน เพื่อทำการเกษตรแปลงใหญ่ ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีอำนาจแต่ไม่สามารถบังคับประชาชนให้หยุดปลูกข้าวได้ 

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่บรรดานักการเมืองออกมาว่ารัฐบาลไม่ดูแลเกษตรกร ว่า ที่ผ่านมากว่า 30 ปี นักการเมืองทำได้ดีหรือไม่ เพราะหากทำได้ดีรัฐบาลนี้คงไม่ต้องเข้ามาบริหารประเทศ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ออกมาคัดค้านมติคณะรัฐมนตรีในการระเบิดแก่งกลางแม่น้ำโขงเพื่อทำล่องน้ำเดินเรือระหว่างประเทศ ในแม่น้ำโขงว่ากระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ว่า การระเบิดล่องแม่น้ำโขงจะต้องได้รับความเห็นชอบจาก 4 ประเทศ คือ จีน เวียดนาม ลาว และไทย จึงจะสามารถดำเนินการได้และโครงการดังกล่าวไม่กระทบต่อประมงพื้นบ้าน