bloggang.com mainmenu search
{afp}




ย้อนกลับไปเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว (ประมาณ พ.ย. 61 ) วันนั้นเรามีหน้าที่ Round ward (ตรวจผู้ป่วยที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล) จำได้ว่าตอนนั้นกำลังหงุดหงิดเพราะปริมาณคนไข้ที่เยอะ เเละมีคนไข้คนหนึ่งที่พูดไม่รู้เรื่องอยู่ แต่เราก็ยังคงทำงานต่อไปนั่นเเหละ จนเดินมาถึงเตียงหนึ่ง เป็นผู้หญิงอายุ 37 ปี ไม่มีโรคประจำตัว เพิ่งเข้ามานอนโรงพยาบาลเมื่อวานด้วยอาการเวียนหัว ดังนั้นเราจึงเพิ่งเจอคนไข้คนนี้เป็นครั้งเเรก 
อย่างที่บอกว่าตอนนั้นกำลังหงุดหงิดคนไข้คนก่อนหน้า เราจึงมีอคติเกิดขึ้นในใจว่าผู้หญิงคนนี้สำออยหรือเปล่า เพราะโดยปกติแล้ว อาการเวียนหัวในคนอายุน้อยและไม่มีโรคประจำตัวมักไม่ได้มีสาเหตุจากโรคทางสมอง เเค่กินยาหรือฉีดยาแก้เวียนหัว อาการก็มักจะดีขึ้นโดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
(จริงๆแล้ว หมอไม่ควรสร้างอคติต่อคนไข้ก่อนเริ่มตรวจ เพราะอาจจะทำให้พลาดอาการบางอย่าง หรือวินิจฉัยผิดพลาดได้ง่าย แต่บางครั้งมันก็ห้ามความรู้สึก ความคิดตัวเองไม่ได้ 555)
แม้จะเเอบมีอคติในตอนแรก แต่เราก็ไม่ได้ละเลยหน้าที่ของตัวเอง ยังคงตรวจคนไข้อย่างละเอียดเหมือนเดิม
พอเราเดินเข้าไปถามอาการ ผู้หญิงคนนี้บอกว่า เวียนหัวมากเลย ลุกขึ้นมานั่งไม่ไหว ด้วยความที่อคติอีกนั่นแหละ ก็เลยแอบคิดในใจต่อว่า สำออยแน่ๆ (อันนี้ก็ไม่ควรคิดอีกเช่นกัน)
แต่เราก็ต้องการตรวจให้แน่ชัดว่าตกลงแล้ว อาการหนักจริงๆหรือสำออย (อย่างที่คิด) จึงบอกคนไข้ไปว่า ลองพยายามฝืนลุกขึ้นมานั่งหน่อยเถอะ หมอจำเป็นต้องตรวจจริงๆ
พอคนไข้ลุกขึ้นมานั่ง สิ่งเเรกที่เห็นคือดูเหมือนว่า คนไข้จะนั่งทรงตัวเองไม่ค่อยไหว ต้องใช้มือจับราวกั้นเตียงไว้ คราวนี้เราเริ่มเอะใจว่า คนไข้คงจะไม่ได้แกล้งหรอก
ว่าแล้วก็เริ่มตรวจอาการทางสมองที่สำคัญๆ เช่น Nystagmus, Finger to nose test ซึ่งการตรวจเหล่านี้เอาไว้ดูความผิดปกติที่สมองน้อย (Cerebellum) ปรากฏว่า มันมีความผิดปกติจริงๆ ตอนนั้นเองที่เราได้ข้อสรุปว่า คนไข้คนนี้มีอาการจริง ไม่ได้แกล้งเป็น แบบที่เราคิดไปเองในตอนแรก เท่านั้นเเหละ เรารีบบอกพยาบาลว่า ขอส่งตัวคนไข้คนนี้ไปตรวจเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลจังหวัด โดยให้ไปกับรถพยาบาล เราให้การวินิจฉัยว่าสงสัยภาวะสมองน้อยขาดเลือดเฉียบพลัน (Cerebellar Stroke) และบอกกับคนไข้ว่า เรายังไม่แน่ใจว่าเป็นโรคนี้จริงหรือเปล่า แต่เบื้องต้น ต้องส่งตัวไปตรวจเพิ่มเติมในโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือพร้อมกว่านี้

หลังจากวันนั้นเราก็ลางานไปประมาณ 1 อาทิตย์ กลับมาทำงานอีกครั้ง พยาบาลก็มาแจ้งข่าวกับเราว่า "หมอๆ จำคนไข้ผู้หญิงคนนั้นได้มั้ย ที่เวียนหัวๆ เเล้วหมอส่งตัวไปโรงพยาบาลจังหวัดอ่ะ สรุปว่าไปถึง เค้าได้รับการผ่าตัดสมองเลยนะ" เราก็ตกใจ ไม่คิดเหมือนกันว่าคนไข้เราจะอาการหนักขนาดนั้น จึงถามไปว่า "จริงเหรอพี่ แล้วสรุปว่าเค้าเป็นอะไรอ่ะ" พี่พยาบาลคนเดิมตอบกลับมา พร้อมเปิดรูปให้ดู "จริงสิ เนี่ยเค้าโพสต์ลงเฟสบุ๊คว่าโชคดีมากเลยที่เค้าได้รับการผ่าตัดทันเวลา แล้วก็ขอบคุณหมอที่รักษาเค้า" ตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าโพสต์ขอบคุณหมอคนไหนบ้าง ได้แต่คิดว่าคงขอบคุณหมอที่ทำการผ่าตัดสมอง แต่สำหรับเรานั้น ไม่ว่าเค้าจะขอบคุณใคร เราก็ดีใจ เราดีใจมากจริงๆที่รู้ว่า เราเป็นส่วนเล็กๆที่ช่วยให้คนไข้รอดชีวิต ดีใจที่ตัดสินใจส่งคนไข้ไปโรงพยาบาลจังหวัด เราคิดว่าหมอหลายคนก็คงรู้สึกแบบนี้ เวลามีคนไข้คนหนึ่งที่อาการหนัก แล้วเราสามารถรักษาจนเค้าดีขึ้นหรือหายได้ มันมีความสุขจริงๆนะ
หลังจากเรารู้เรื่องนี้ เราแอบเอาชื่อคนไข้คนนี้ไปติดตามต่อที่โรงพยาบาลจังหวัด จึงได้ข้อมูลว่า คนไข้เป็นภาวะสมองน้อยขาดเลือดจริง และสมองบวมจนเกือบจะไปกดทับศูนย์หายใจ ต้องรีบผ่าตัดเปิดกะโหลกเพื่อลดความดันในสมอง พูดง่ายๆคือ ถ้าผ่าไม่ทัน สมองอาจจะบวมมากจนกดทับศูนย์หายใจและเสียชีวิตได้ เรียกได้ว่าเราได้รับข่าวดีถึง 2 ข่าว คือ คนไข้รอดชีวิต และ เราวินิจฉัยถูกต้อง

เหตุการณ์ในครั้งนี้ ให้ประสบการณ์เราหลายอย่าง
1. ไม่ควรมีอคติเวลาตรวจ หรือถ้าเผลอมีไปแล้ว ก็อย่าละเลยรายละเอียดต่างๆ ให้ตรวจด้วยความใส่ใจเหมือนเดิม
2. แม้ว่าอาการสมองขาดเลือดจะพบไม่บ่อยในคนอายุน้อย แต่ก็อย่าลืมนึกถึงมัน เพราะทุกโรคย่อมมีข้อยกเว้น และมีบุคคลส่วนน้อยเสมอ

ถึงวันนี้ เรื่องนี้ผ่านมา 2 เดือน จนเราลืมหน้าคนไข้ไปเเล้ว 
ขณะที่เรากำลังนั่งตรวจคนไข้ที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอกอยู่ มีคนไข้ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วพูดว่าวันนี้จะมาขอต่อใบส่งตัวเพื่อไปตรวจที่โรงพยาบาลจังหวัด
เรากำลังจะเขียนใบส่งตัวให้ จู่ๆ คนไข้ก็ยกมือขึ้นมาไหว้เรา เเล้วพูดว่า ขอบคุณหมอมากๆเลยที่ส่งตัวไปโรงพยาบาลจังหวัดวันนั้น ไม่อย่างนั้นเค้าคงเหลือเเต่ชื่อ ตัวคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ ตอนแรกเรางงไปแป๊ปหนึ่ง แล้วก็นึกขึ้นได้ อ๋อ ผู้หญิงคนนั้นนั่นเอง
วันเเรกที่เราเจอ เค้าเป็นผู้หญิงผมยาว แต่ตอนผ่าตัดสมองต้องโกนผมออกหมด ตอนี้ผมจึงสั้นกุด คล้ายทรงผมผู้ชาย
เราเองก็อยากบอกเค้าไปเหมือนกันว่า ขอบคุณมากที่สอนประสบการณ์ดีๆให้ และขอโทษด้วยที่ตอนแรกอคติและคิดไม่ดีกับเค้า

บันทึกจาก OPD วันที่ 13/02/2019
Create Date :17 กุมภาพันธ์ 2562 Last Update :17 กุมภาพันธ์ 2562 18:40:42 น. Counter : 593 Pageviews. Comments :0