bloggang.com mainmenu search


ยังจำกันได้มั๊ยคะ...
ปีที่แล้ว  อ๋อตีเค้กสปันจ์อยู่ร่วมสองเดือนกว่า 
พยายามจะตี โดยไม่ใช้สารเสริมพวกเอสพีช่วย
ซีรีย์เค้กนมสด


ในที่สุดก็ตีได้  

และก้อนสุดท้ายที่ตีสปันจ์ (อย่างมั่นใจ)  ก็ราวๆกลางเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
เค้กก้อนที่ 12

เกือบๆปีนึงเต็มๆที่ไม่ค่อยได้ตีสปันจ์อีก
ส่วนมากจะทำคุกกี้  ทำขนมปัง  ทำกับข้าวยากๆ 
(ไม่เคยทำมาก่อน  ก็เรียกว่ายากไงคะ)
พออยากจะกินเค้ก  ก็เลยเลี่ยงไปตีชิฟฟอน  เพราะชัวร์ดี


ช่วงนี้นิวยอร์คร้อนจัด
วันแรกของซัมเมอร์ปีนี้ คือวันที่ 20 มิถุนาที่ผ่านมา

จากอุณหภูมิ 25 เซลเซียสอยู่ดีๆ
วันรุ่งขึ้นเปลี่ยนเป็น 35 เลย!

แล้วก็ 35-36 มาสามสี่วันแล้วค่ะ
ในบ้านจะสูงกว่านี้นะคะ  บวกไปอีกสัก 3-4 ดีกรีน่ะค่ะ







วันนี้อ๋อร้อนจัด  นั่งอยู่ชั้นบนนี่
เหงื่อหยดจากหน้า  เข้าตาเข้าปากเลย...ขนาดนั้นเลยค่ะ
เลยเกิดลูกบ้า...ลงไปทำเค้กกินละกัน


ไหนๆก็บ้าแล้ว
บ้าก็บ้า (วะ)...

ตีสปันจ์ไม่ใส่เอสพี ซะเลย







อ๋อตีสปันจ์  บางทีก็อุ่นไข่
บางทีก็ไม่อุ่นค่ะ...แล้วแต่ขี้เกียจมั๊ย

วันนี้ไม่อุ่น  ไม่ได้ขี้เกียจ
แต่เพราะทำเค้กแบบไม่ซีเรียส
ไม่เกร็ง
ทำแบบไม่หวังผลมาก  



ก็ตีไข่ฟูดี...ใส่น้ำตาล
ยุบไปหน่อยล่ะ

ตียังไงก็ไม่ข้นจนเป็นริบบอนสเตจเลย





พอใส่แป้งแล้ว  ไม่ค่อยข้นหรอกค่ะ






ผสมเสร็จแล้วได้ออกมาค่อนข้างเหลวๆด้วยค่ะ  








วันนี้ใช้พิมพ์ 9 นิ้วนะคะ








พอ 15 นาทีแรก  ขึ้นฟูมาได้เท่านี้ (รูปซ้าย)  ก็ดีใจแล้วค่ะ  



ครบ 30 นาทีเค้กสุก (รูปขวา)  ...ก็ยุบลงนิดหน่อย







วันนี้ไม่ตีวิปครีมค่ะ

ร้อนขนาดเหงื่อหยดเข้าตาเข้าปาก
ตีวิปครีมก็คงเหลว

เลยคิดว่าจะใช้ราดซอสเอาก็พอ







แล้วก็ไม่สไลด์เค้กเป็นชั้นล่ะค่ะ
ราดหน้าอย่างเดียวค่ะ






รอจนเค้กเย็นแล้วก็ตัดเลย
อยากดูเนื้อข้างในค่ะว่าตีออกมาเป็นไง......






























ทำเค้กนี้ทีไร 
กินกันหมดก้อนภายใน 3 วันทุกทีค่ะ  

ถ้าเป็นเค้กแบบอื่น  จะอยู่ถึง 5-6 วันกว่าจะหมด





เอาซอสมาราด......
แล้วก็กินเดี๋ยวนั้นเลยค่ะ  




















ถึงจะเป็นวันที่ร้อนแทบบ้า

แต่ก็เป็นวันที่มีความสุขอีกวันนึงเลยค่ะ 
YEAHHH !!!!




ตกลงความมั่นใจก็กลับคืนมาแล้วนะคะ
ไม่กลัวที่จะตีสปันจ์แล้วทีนี้  



June 23, 2012

Create Date :24 มิถุนายน 2555 Last Update :21 ตุลาคม 2556 4:01:11 น. Counter : 4099 Pageviews. Comments :64