bloggang.com mainmenu search


เป็นเอ็นทรี่ที่รูปบานเบอะ ยังไงรอให้โหลดจบก่อนนะคะ

ตอนแรกที่วางแผนไว้ ตุลาคมนี้เราจะไปอิหร่าน แต่บังเอิญเจอตั๋วไปญี่ปุ่นราคาน่าคบหาเสียก่อน เลยเปลี่ยนใจไปดูใบไม้แดงที่นิกโก้แทน เราไปลงที่โตเกียวก็จริง แต่แทบไม่ได้แวะเวียนสถานที่ท่องเที่ยวไหนเลย ทริปนี้เน้นชิลเป็นหลัก

สองวันแรกในโตเกียวหมดไปกับการหาของกินและ (วินโดว์) ช้อปปิ้ง ดังนั้นจะไม่พูดถึง วันที่สาม เรานั่งรถไฟออกเดินทางไปหาฟูจิซังที่ทะเลสาบคาวางุจิ คราวที่แล้วเราก็มาที่นี่ แต่ทัศนวิสัยเลวร้าย ฟ้าปิดหมอกบังไม่เห็นฟูจิซังแม้แต่น้อยนิด แถมยังไม่มีเวลาเที่ยวรอบทะเลสาบด้วย งวดนี้กันเวลาไว้สองวัน ซื้อตั๋ว retro bus เที่ยวให้จุใจไปข้างนึง



รอบๆทะเลสาบมีสถานที่ท่องเที่ยวให้เราแวะชมหลายแห่ง ที่ชอบมากคือ พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตา ของศิลปิน อาตาเอะ ยูกิ (Muse Museum) แต่เค้าไม่ให้ถ่ายรูป เลยเอาภาพจากอินเตอร์เน็ตมาให้ดูกัน ตุ๊กตาสวยน่ารักจับใจ ข้างในเป็นดินเหนียวหุ้มผ้าแล้วเขียนสี มีทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบแฟนตาซี เราชอบตรงที่เขาเขียนหน้าตาได้ดูมีชีวิตจิตใจ เหมือนกับเป็นคนจริงๆ ทุกตัวให้ความรู้สึกนุ่มนวลละมุนละไม มองแล้วจิตใจสงบดี



ที่อื่นๆก็โอเค อย่าง music forest หรือกระเช้า แต่บอกตรงๆนะ มาญี่ปุ่นนี่แย่อยู่อย่าง คืออะไรๆเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด เขียมคำบรรยายภาษาอังกฤษเหลือเกิน ฟังไม่รู้เรื่อง อ่านไม่รู้ความ บางทีเลยออกจะกร่อยๆ

ใบไม้ที่คาวางุจิโกะยังเปลี่ยนสีไม่เต็มที่ เราพยายามตามหา maple corridor จนพบ ปรากฏว่ามันยังเขียวอื๋ออยู่ ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าตรงอื่นก็พอมีให้เห็นเยอะเหมือนกัน


แต่ยังไงไฮไลท์ของที่นี่ก็คือฟูจิซัง ก่อนมาเราเดาว่าอาจจะไม่ได้เห็นฟูจิซังแบบมียอดโปะหิมะขาวๆ เพราะแม้แต่เทศกาลใบไม้แดงก็จะเริ่มเมื่อเรากลับเมืองไทยแล้ว

วันแรกที่มาถึงคาวางุจิโกะ ฟ้าปิดเมฆทะมึน ไม่ว่าจะจากจุดไหนก็เห็นฟูจิซังแค่ฐาน บอกไม่ได้เลยว่า ข้างบนมีหิมะหรือเปล่า คืนนั้นเราก็ได้แต่ลุ้นว่าพรุ่งนี้ขอให้เห็นฟูจิซังแบบยอดขาวๆด้วยเถอะ ขอร้องๆๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น รีบเปิดหน้าต่างและพบว่าฟูจิซัง...

ใส่หมวก...

คือคุณฟูจิมียอดสีขาวตามคำขอ แต่เป็นเมฆ ฟูจิซังอย่าเล่นอย่างนี้สิคะ *กัดผ้าเช็ดหน้าช้ำใจ* ตลอดช่วงเช้าเราเที่ยวไปก็ภาวนาไป (พร้อมกับเช็คสกอร์เบสบอลไป) ว่าขอให้ฟูจิซังมียอดหิมะขาวๆ เพี้ยงๆๆ เราขอเท่านี้แหละ

ตกบ่าย เมฆเคลื่อนคล้อยออกจากยอดเขา แล้วฟูจิซังก็ปรากฏโฉมอย่างสวยงาม วี้ดดดด



หลังจากนั่งกินซอฟครีมลาเวนเดอร์ชมโฉมคุณฟูจิ และถ่ายภาพอย่างชื่นอกชื่นใจที่ oishi park กบน้อยผู้ไม่รู้จักพอก็คิดต่อ แหม ถ้าฟ้าไม่มีเมฆเยอะขนาดนี้จะสวยสักแค่ไหนนะ *หันขวับ* คุณฟูจิคะ ขอแบบท้องฟ้าเป็นสีฟ้าหน่อยสิคะ (ฟูจิซัง : ไหนว่าขออย่างเดียวไง!)

ความโลภคนเรานี่ไม่มีสิ้นสุดจริงๆ

แต่คุณฟูจิก็ใจดีนะ เพราะเช้าวันรุ่งขึ้น ฟ้าใสไร้เมฆ อากาศสดชื่นสว่างปิ๊ง ลักกี้!



ที่พักคาวางุจิโกะงวดนี้ถือว่าคุ้มค่า เป็นเกสต์เฮาส์ที่โฆษณาว่าเห็นวิวฟูจิทุกห้อง แถมยังมีออนเซ็นให้จองเวลาใช้ส่วนตัวได้ฟรีห้องละ 45 นาทีทุกวัน หรือใครจะแช่ตอนเช้าด้วยก็ได้ ห้องกว้างขวาง แช่ไปชมฟูจิซังไป ได้บรรยากาศสุดๆ



อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาที่พักมันค่อนข้างถูก จึงเดาว่าออกเซ็นที่นี่น่าจะเป็นน้ำร้อนใส่ผงออนเซ็นมากกว่าน้ำแร่จริงๆ 555 แต่ก็คิดว่าเวิร์คแล้วสำหรับราคาที่จ่ายไป

จากคาวางุจิโกะ เราจับบัสรอบเช้ากลับโตเกียว แล้วนั่งรถไฟไปนิกโก้ ซื้อ all nikko pass ซะเลย ที่พักเราอยู่นอกนิกโก้ด้วย ถือโอกาสนั่งรถไฟฟรี ใช้มันจนคุ้มละ ว่างั้น



นิกโก้คือจุดประสงค์หลักของทริป เราอุตส่าห์กะจังหวะเป็นอย่างดีว่าช่วงปลายตุลานี่แหละ ใบไม้แดงที่ทะเลสาบชูเซ็นจิต้องกำลังสะพรั่งสวยงาม แต่ความซวยคือใบไม้เกิดแดงเร็วขึ้นเกือบสองอาทิตย์ ทำให้พอมาถึงทุกอย่าง..โกร๋นหมด ตัวทะเลสาบยังงามอยู่นะ น้ำตกเคกอนก็ยังสวย แต่ฉากหลังมันไม่ใช่อะ เป็นอะไรที่ผิดความคาดหมายอย่างยิ่ง มรดกโลกก็ปิดบูรณะหลายแห่ง ทั้งทางเข้าศาลโทโชขุ วัดรินโนจิ และหอต่างๆ กว่าจะเปิดให้ชมอีกทีก็ปี 2019 นู่น กำลังคิดว่าเราอาจจะต้องมาซ่อมอีกรอบ แต่ค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการมานิกโก้มันแพงหูดับ กลับมาถึงบ้านป่านนี้ก็ยังคิดไม่ตกเลย



สิ่งที่ประทับใจ แน่นอนว่าเราปลื้มศาลเจ้าโทโชขุ แต่ก็ชอบสวนของวังแปรพระราชฐานจักรพรรดิด้วย ที่นั่นใบไม้เปลี่ยนสีบ้างแล้ว สวยสุดๆไปเลย แต่ยิ่งขึ้นเขาใบไม้ยิ่งโกร๋นนี่สิ โคตรชีช้ำ

สำหรับที่พัก เราเช่าบ้านเล็กๆห่างจากเมืองนิกโก้ออกมาค่อนข้างไกล เป็นบ้านสไตล์ญี่ปุ่นริมทุ่งในบรรยากาศรอบข้างที่แสนจะบ้านน้อกบ้านนอก พวกเราสนุกกับตัวบ้านมาก (หรือบ้ากันไปเองก็ไม่รู้) ไปจ่ายตลาดซื้ออาหารมาทำครัวกินเอง ทำใส่กล่องข้าวไปกินตอนเที่ยงด้วย ตกเย็นผิงฮีตเตอร์ตัวจิ๋ว (เพราะในบ้านไม่มีระบบทำความอุ่น) ปูฟูตงนอนเสื่อตาตามิ พับเพียบกินข้าวกับโต๊ะเล็กๆ (ถ้ามีโคทัตสึคงเปรม) เล่นเงามือกับประตูโชจิ เช้าขึ้นมาก็นั่งระเบียงจิบชา ชมวิวภูเขาแสนงามกับนาข้าวสีทองที่เห็นอยู่ไกลๆ ต้องจิบชาร้อนเพราะมันหนาวมาก เช้าขึ้นมามีน้ำค้างแข็งเกาะหญ้าด้วย วันรุ่งขึ้นคุณเจ้าของบ้านเช่าถึงกับรีบเอาผ้าห่มมาให้อีกสองผืน คงกลัวกะเหรี่ยงแข็งตาย XD เป็นสามวันที่มันส์ดี



สถานีรถไฟใกล้ที่พักก็บ้านนอกสุดชีวิต เราออกเช้าช่วง rush hour รถไฟทั้งขบวนมีแต่นักเรียนมัธยม ไม่รู้ที่ญี่ปุ่นโรงเรียนเข้ากี่โมง แต่มีวันหนึ่งเราออกหลังแปดโมงไปแล้ว เห็นเด็ก ม.ปลาย ในชุดกักขุรังกลุ่มนึงจับกลุ่มป้วนเปี้ยนเฮฮาเอะอะอยู่ที่สถานี ตอนแรกเราเดากันว่า เอ๊ะ เป็นเด็กเกเรโดดเรียนรึเปล่านะ (ดูการ์ตูนมากไป) มีผลักกันตรงรางรถไฟด้วย จากนั้นดูไปสักพัก... ไม่ใช่ละ เพราะเจ้าเด็กกลุ่มนี้มันเล่นไล่จับ กับซ่อนแอบกันค่ะ แถมยังมีโค้งคารวะขออภัยทางรถไฟอีก เด็กเกบ้านไหนคะ เด็กติงต๊องชัดๆ!



เวลาที่เหลือเราไปเที่ยวเอโดะวันเดอร์แลนด์ ซึ่งเป็นสวนสนุกแบบย้อนยุค เราว่าเค้าทำได้ดีเชียวละ เสียแต่ค่าบัตรแพงไปหน่อย สภาพแวดล้อมเหมาะกับการถ่ายรูปอย่างยิ่ง วันที่ไปอากาศดีมาก และมีเด็กประถมมาทัศนศึกษาถึงสามฝูง ประกอบด้วยฝูงหมวกเขียว ฝูงหมวกขาว และฝูงหมวกเหลือง จนพาลให้เข้าใจผิดได้ว่านี่เป็นเครื่องแบบของคนสมัยเอโดะ ^^



โชว์ต่างๆในสวนสนุกเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด แต่สื่อสารพอรู้เรื่อง เพราะทุกอย่างโอเวอร์แอ็คชั่นจนโคตรจะการ์ตูน ชอบบ้านนินจา ชอบการแสดงนินจา และเขาวงกตนินจา (เออ เรามันไม่รู้จักโต) โดยเฉพาะเขาวงกตเนี่ย ต้องคอยสังเกตว่ามีประตูกลตรงไหนบ้าง บริเวณที่เห็นเป็นทางตัน อาจจะมีบานเลื่อนหรือประตูผลักออกไปที่อื่นก็ได้ สารภาพว่าเราแก้เขาวงกตไม่สำเร็จ ขนาดเดินตามเด็กแล้วนะ (คือมีกลุ่มน้องตัวเล็กๆสงสารป้ากะเหรี่ยงยืนงงเซ่อซ่า เลยโบกมือให้ตามมาด้วยตอนเค้าแก้ประตูกลสำเร็จ) ตามรายทางมีประตูยอมแพ้หลอกล่อเป็นระยะๆ แต่เราไม่ใช้หรอกอายเด็กมัน เรา...เดินกลับไปตรงทางเข้า ฮือ ขายหน้าจริงๆ ถ้ามีเวลาอยากกลับไปแก้มือใหม่นะนี่



ละครกลางแจ้งทำได้ฮาดี ถึงจะฟังไม่ออก ก็ยังขำ เด็กๆที่มาดูหัวเราะกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ ที่นี่เค้าให้เช่าชุดโบราณใส่เดินเล่นได้ด้วย บางทีก็เลยเห็นซามูไรกับแม่นางกิโมโนเดินกดไอโฟน ตลกดี




จากนั้นก็กลับมาโตเกียว เพื่อให้เราไปเยี่ยมสักการะปูชนีย์ เอ๊ย กันดั้ม ที่ห้างไดเวอร์ซิตี้ โอไดบะ น่าเสียดายฟ้าไม่เป็นใจ เลยถ่ายรูปไม่สวยเท่าไหร่ จากนั้นก็ไปเที่ยว miraikan หรือพิพิธภัณฑ์แห่งอนาคต เราเป็นคนชอบเที่ยวพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ แต่ที่นี่เราว่าไม่ค่อยเวิร์ค คือมันยากไปน่ะ ถึงกลุ่มเป้าหมายจะเป็นเด็ก แต่เน้นวิชาการซะเยอะ มีสิ่งที่คล้ายๆกระสวยอวกาศให้ดู แต่กลับมีเจ้าหน้าที่คอยคุมแจ เล่นอะไรไม่สนุกเลย อ้อ ที่นี่มีแอนดรอยด์ที่คล้ายคนมากๆอยู่ด้วยละ เคยดูจากยูทูป ได้มาเห็นตัวจริงซะที เวลาเราคุยกับแอนดรอยด์ นางหันหน้ามาตามเสียงได้ด้วยนะ ...เท่นะ แต่ก็แอบหลอน ^^;

ช่วงที่ไปตรงกับวันฮัลโลวีน เลยสบโอกาสไปท่องราตรีชมหนุ่มสาวแต่งแฟนซี ลงสถานีไล่มาตั้งแต่รปปงงิ (ประปราย) ฮาราจูกุ (ตลาดวายไวไปหน่อย) ชิบุย่า (โป๊ะเชะ!) ขอแนะนำที่หลังสุดนะคะ สนุกมาก ดูจนเพลินเลย แต่คนก็เยอะมากๆด้วย เราไม่ได้เอากล้องไป อาศัยโทรศัพท์ สกิลถ่ายรูปแต่เดิมก็ต่ำต้อยอยู่แล้ว นี่ถ่ายรูปกลางคืน ภาพออกมาไหวมั่งเบลอมั่ง เสียดาย





แซมเปิ้ลเป็นน้ำจิ้มแค่นี้แหละ ที่เหลือชวนไปดูรูปกระทู้นี้ดีกว่า

ช่วงเวลาในโตเกียวของเราส่วนใหญ่หมดไปกับการช้อปปิ้ง เสาะหาขนมอร่อย และ...หลงทาง ความคุ้มเกินคุ้มอีกอย่างในทริปนี้ก็คือ data sim ของ b-mobile มหกรรมตามหาร้านของกินของเราอาศัย google maps เป็นหลัก คือถ้าไม่มีมัน หลงแหลกเป็นเรียวกะจากเรื่องรันม่าแหงๆ

แต่หลงก็ไม่ต้องกังวล สิ่งที่น่าประทับใจสุดๆคือการถามทางคนญี่ปุ่น ช่วยเหลือกันอย่างดีสุดๆ ต่อให้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ก็พยายามพูดภาษาญี่ปุ่น ชี้ไม้ชี้มือกับเรา ไม่ว่าจะน้องหนูคุณลุงคุณป้า ไม่มีใครปฏิเสธที่จะช่วยเราเลย ภาษาญี่ปุ่นเรางูปลามากนะคะ ลืมไปเกือบหมดแล้ว แต่ต่อให้ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลย เราขอแนะนำศัพท์สามคำที่จะทำให้ชีวิตท่านง่ายขึ้น

มัตสึกุ - ตรงไป
ฮิดาริ - ซ้าย
มิงิ - ขวา

เวลาเค้าบอกทาง คอยเงี่ยหูฟังไว้ รับรองรอดชัวร์

รายการขนมตามลายแทงงวดนี้ มีสมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง เฉยๆบ้าง ขนาดไปกินโดรายากิเจ้าลือชื่อก็ยังไม่ถูกใจ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเราไม่ปลื้มความหวานแสบไส้ของถั่วแดงญี่ปุ่น จริงๆยังไปไม่ครบตามโพย แต่ขอบอกเล่าถึงสามอันดับขนมอร่อยสำหรับเราในทริปนี้ก่อนละกัน

1. โมจิหิมะ (yuki ichigo)



พิกัด : เห็นว่าร้านใหญ่อยู่ที่สถานียูราคุโจ แต่เราซื้อที่สถานีโตเกียว ถ้าใช้ metro ก็ตามลายแทงกระทู้นี้ไป แต่ถ้ามา JR เหมือนเรา ต้องแตะบัตรออกมาจากสถานีก่อน จากนั้นก็เดินออกจาก south exit มาลงตรงนี้ Marunouchi Underground Southgate



สำหรับความอร่อยเหนียวนุ่มนั้นเราได้บันทึกอาการสติหลุดไว้ในโพสต์นี้แล้ว

2. ซูเฟล่ร้าน Le Souffle Glacier



พิกัด : อยู่ในร้าน Sweet Forest สถานีจิยูงะโอกะ

แรงบันดาลใจของเราจากกระทู้นี้ค่ะ ไม่ผิดหวังเลย กินเข้าไปคำแรก อร่อยเสียสติมาก แทบจะวางช้อนเพื่อถ่ายรูปไม่ได้ ซูเฟล่ต้องทำยี่สิบนาที แต่เราจ้วงเอาๆหมดเกลี้ยงในพริบตา ถ้าเลียชามได้เลียไปแล้ว

ขนมของร้านย่อยอื่นๆก็อร่อยนะคะ แต่ยังไงซูเฟล่ชนะขาด

3. บัตเตอร์เค้กส้ม ที่ร้านข้างสถานีโทบุ ที่นิกโก้

พิกัด : ตามกระทู้นี้ไปนะคะ อยู่ช่วงล่างๆค่ะ



มันเนียนนุ่มเนื้อแน่นแต่ไม่หนัก หอมส้มด้วย! กินหมดวันแรก วันต่อไปกลับไปซื้ออีกสองก้อน จากนั้นพอคำนวณเงินก็พบว่า เฮ้ย มันแพงเหมือนกันนี่หว่า แต่ไม่เป็นไร เพราะนี่กลับมาเมืองไทย ตัดกินแบบละเลียดแล้วก็คิดว่า รู้งี้ซื้อมาอีกก้อนก็ดีหรอก เก็บได้ตั้งเดือนนึงด้วย T^T

สรุปว่าเป็นทริปที่โคตรชิล ชมวิวสวยๆ เดินเล่นพอประมาณ หนุกหนานกับที่พัก และแอบดูชีวิตชาวบ้าน เราชอบแบบนี้แหละ เปลี่ยนตารางได้ตามใจชอบแล้วแต่ดินฟ้าอากาศและความขี้เกียจ เลือกของอร่อยได้ตามสะดวก เดี๋ยวนี้ญี่ปุ่นไปง่ายแล้ว เราคงได้ไปซ้ำอีกแน่ๆ มาตะ เนะ~

Create Date :06 พฤศจิกายน 2557 Last Update :6 พฤศจิกายน 2557 7:22:06 น. Counter : 2701 Pageviews. Comments :4