bloggang.com mainmenu search
 

https://thaipoem.com/forever/ipage/poem139270.html



แอปเปิ้ล (อังกฤษ: apple) เป็นผลไม้ในตระกูล Rosaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Malus domestica
แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่นิยมมากที่สุดชนิดหนึ่งในโลก ต้นสูงประมาณ 5-12 เมตร ผลมีเปลือกสีแดง ชมพู เขียว
และเหลืองตามสายพันธุ์ เนื้อในเป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล

แอปเปิ้ลเป็นไม้ผลเมืองหนาวประเภทผลัดใบ มีแหล่งกำเนิดทางยุโรป แหล่งปลูกที่สำคัญ ๆ ของโลก
คือทวีปอเมริกา ยุโรป ทางแถบเอเซียก็มี เช่น โซเวียต จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
สำหรับประเทศไทยนั้นเพิ่งจะถูกนำเข้ามาปลูกไม่กี่ปีนี้เอง





https://thaipoem.com/forever/ipage/poem139270.html



ลักษณะต้นและใบ เป็นไม้เนื้อแข็ง รูปร่างของยอดที่เจริญเต็มวัยจะแตกต่างไปตามชนิดและตามพันธุ์
โดยทั่วไปต้นแอปเปิ้ลมีรูปร่างเกือบเป็นทรงกลม แต่บางพันธุ์ก็มีลักษณะสูงชลูด บางพันธุ์ก็มีลักษณะ
เป็นพุ่มแจ้ใบเป็นใบเดี่ยวเขียวสลับกันและขอบเป็นหยัก ผลคล้ายชมพู่มีรอยปุ๋มทางด้านขั้วและก้นผล
แต่ไม่ลึกนัก มีสีผิวต่างกันตั้งแต่สีเหลืองจนถึงน้ำตาลแดงเข้ม เนื้อมักจะมีสีขาวหรือขาวนวลซึ่งมีลักษณะหยาบ

คุณค่าโภชนาการ เมื่อกินโดยไม่ปอกเปลือก จะมีพลังงาน 80 แคลอรี วิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม
วิตามินซี 7.9 มิลลิกรัม เหล็ก 0.2 มิลลิกรัม ทองแดง 0.1 มิลลิกรัม และโพแทสเซียม 158.7 มิลลิกรัม
หากปอกเปลือกปริมาณสารสำคัญต่างๆ ก็จะลดลงไปจากที่กล่าวไว้

แอปเปิ้ลมีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ คือ เพคติน
มีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน นอกจากนั้น
ยังมีการกล่าวถึงสรรพคุณ บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้น
การทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส





https://album.sanook.com/files/696211



แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่ช่วยได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber)
ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง มีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้
ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม เหมาะสำหรับสาว ๆ
ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด


กินแอปเปิ้ลวันละผล ร่างกายแข็งแรง
An Apple a Day Keeps the Doctor Away




แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรทและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่
กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม
และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน
แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด





https://watershop-healthcafe.blogspot.com/2010/06/blog-post_13.html



พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป
เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกาย
ช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน





https://goo.gl/dXDIcV



เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทาง
เดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วย
ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอล
ในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1
บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม
ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วย
ในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี
และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจ
ในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ





https://www.121easy.com/contentn.php?id=3627



แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน

เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความ
แตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็น
สารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง





https://goo.gl/K6PK55



ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?

จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร
สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำ
แอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาล
และสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์
ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน



กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์

ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับ กล้วย ฝรั่ง
หรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ
ในปริมาณที่พอเหมาะ

ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน
ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ
ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว
ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผัก ผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย


มาทำความรู้จักกับประโยชน์ของแอปเปิ้ล โดยแบ่งตามสี ดังนี้






1. แอปเปิ้ลแดง เป็นที่คุ้นตากันที่สุด โดยเฉพาะพันธุ์ “Red delicious” ที่มีจุดเด่นในเรื่องสุขภาพ
คือมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วย







2. แอปเปิ้ลสีชมพู เช่น แอปเปิ้ลพันธุ์ "Fuji" นั้น มี ฟิโนลิก มากที่สุดในบรรดาแอปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้ช่วยยับยั้ง
การเกิดฝ้า ชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมี ฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอย
แข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย







3. แอปเปิ้ลสีเขียว มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะการกินแอปเปิ้ลสีเขียว
อย่างพันธุ์  "Granny Smith" นอกจากจะได้รับน้ำตาลน้อยแล้ว ยังมีอิลาสตินและคอลลาเจน
ที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี









4. แอปเปิ้ลสีเหลือง อย่างพันธุ์ "Golden Delicious" มีประโยชน์ต่างจากสีอื่น ๆ โดยมีสารเควอร์เซติน
ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก



สภาพดินฟ้าอากาศ

แอปเปิ้ลเป็นไม้ผลเมืองหนาวที่ต้องการอากาศหนาวเย็นยาวนานโดยจะทำให้ระยะพักตัวยุติลง
อุณหภูมิที่เหมาะสม คือ 60-85 องศาฟาเรนไฮต์ ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาฟาเรนไฮต์ จะเป็น
อันตรายต่อระบบรากอย่างรุนแรง

สำหรับดินที่เหมาะสมกับการปลูกแอปเปิ้ลควรเป็นดินร่วนปนทรายมีความเป็นกรด-ด่างประมาณ 5.0-6.8
 แต่แอปเปิ้ลไม่ชอบดินที่มีน้ำขังบริเวณราก





https://thaipoem.com/forever/ipage/poem139270.html



การขยายพันธุ์

การขยายพันธุ์แอปเปิ้ลทำได้หลายวิธี เช่น การติดตา ตัดกิ่ง วิธีการทำก็เริ่มจากเตรียมต้นตอ ซึ่งอาจจะได้มาจาก
การตอนหรือปักชำ แต่มีวิธีการเตรียมต้นตอซึ่งจะได้จำนวนมากและระยะเวลารวดเร็วก็คือ ทำโดยปลูกแอปเปิ้ลลงไปก่อน
แล้วตัดต้นแอปเปิ้ลให้เหลือแต่ตอ ตอจะแตกกิ่งก้านสาขาออกมามากมาย เราจึงใช้ดินกลบโคนต้น กิ่งเหล่านั้นก็จะแตก
รากออกมา เมื่อรากออกดีแล้วก็ทำการขุดย้ายเอาไปปลูกต่อไป ต้นตอที่ใช้ในประเทศไทยคือพันธุ์ เอ็ม เอ็ม 106 ซึ่ง
เป็นพันธุ์ที่ค่อนข้างแคระและสามารถขยายพันธุ์ได้ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้ก็ยังมีไม้ป่าที่ใช้เป็นต้นตอได้ดี 
เช่น มะขี้หนู กล้วยฤาษี ก่อ เป็นต้น









การปลิดผล เมื่อแอปเปิ้ลติดผลมากเกินไปก็จะทำให้ได้ขนาดผลที่เล็กและอาจเป็นอันตรายแก่ต้นได้
เพราะใช้อาหารจากต้นมาก ดังนั้น จึงต้องมีการปลิดผลออกบ้าง โดยคำนึงถึงความแข็งแรงของต้น กิ่งและใบ
โดยปกติแล้วใบที่จะปรุงอาหารมาเลี้ยงผลไม่ควรต่ำกว่า 40 ใบต่อ 1 ผล

ศัตรู การปลูกแอปเปิ้ลในเมืองไทยขณะนี้มีศัตรูที่สำคัญ คือ นก ซึ่งจะจิกผลแอปเปิ้ลให้เกิดตำหนิเสียหาย
ส่วนศัตรูอื่น ๆ เช่น โรคและแมลงก็มีบ้างแต่ยังไม่ทำความเสียหายมากนัก

การให้ปุ๋ย จะให้ประมาณ 2 ครั้งต่อปี โดยในช่วงเริ่มออกดอกจะให้สูตร 13-13-21 และในช่วงหลังเก็บเกี่ยว
และตัดแต่งจะให้สูตร 15-15-15 ส่วนอัตราที่ใช้ก็แล้วแต่ขนาดและอายุของการเจริญเติบโต วิธีการให้ปุ๋ยก็ทำโดย
พรวนดินบริเวณรอบทรงพุ่มแล้วโรยปุ๋ยลงบนบริเวณที่พรวน จากนั้นก็ให้น้ำตามลงไป








สำหรับวิธีการต่าง ๆ ที่จะช่วยให้แอปเปิ้ลมีดอกและผลก็มีการศึกษาทดลองกันมากมาย เช่น ในประเทศ
อินโดนีเซียใช้การโน้มกิ่งและปลิดใบ เพื่อบังคับให้ตาแตก จากวิธีนี้จะทำให้แอปเปิ้ลออกผลได้ 2 ครั้งต่อปี

การเก็บเกี่ยว แอปเปิ้ลที่ปลูกในประเทศไทยคือที่ดอยอ่างขาง จะเริ่มออกดอกประมาณเดือน
มกราคม-กุมภาพันธ์ และจะเริ่มเก็บผลได้ประมาณต้นเดือนมิถุนายน






อ้างอิง :
https://applesall.blogspot.com/
https://variety.teenee.com/foodforbrain/28104.html
https://www.vcharkarn.com/varticle/40481
https://www.vijai.rmutl.ac.th/kaewpanya/index.php?

Richard Clayderman - Chrismas piano music
Create Date :25 ธันวาคม 2554 Last Update :17 มกราคม 2564 21:41:32 น. Counter : Pageviews. Comments :59