bloggang.com mainmenu search


ระลึกถึงความหลังครั้งเยาว์วัยในกำแพงเพชร
ไพรัช ธัชยพงษ์
25/07/2554

ผมเป็นคนกำแพงเพชรโดยกำเนิด บ้านที่ผมเกิดอยู่ริมแม่น้ำปิงในอำเภอเมืองตั้งอยู่บนถนนเลียบแม่น้ำชื่อถนนเทศา(ตรงข้ามกับโรงแรมชากังราวในปัจจุบัน) ตั้งแต่จำความได้ผมก็ช่วยพ่อแม่และพี่ๆอีก 7 คนขายของหน้าร้านและขนของไปส่งลูกค้าในตลาดเป็นประจำ บ้านของเราเป็นร้านขายของชำ 3 คูหาชื่อ “ฮั่นพงษ์กี่” ปัจจุบันก็ยังอยู่แต่ย้ายที่ตั้งไปไม่ไกลจากที่เดิมนักเพราะหลังเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่เมื่อพ.ศ. 2505 เทศบาลห้ามก่อสร้างอาคารริมแม่น้ำอีก กำแพงเพชรเป็นจังหวัดที่เล็กประชากรอยู่ในหลักหมื่นต้นๆเท่านั้น ตลาดอำเภอเมืองเล็กมากคนทั้งตลาดรู้จักกันแทบทั้งนั้น

ตอนผมเกิดมานั้นไม่มีทั้งโรงพยาบาลไม่มีไฟฟ้าไม่มีประปาไม่มีรถยนต์ ยามเจ็บป่วยก็รักษากันด้วยยาทั่วไป หากเจ็บหนักต้องนั่งเรือกลไฟไปยังจังหวัดนครสวรรค์ซึ่งมีทุกอย่าง ใช้ตะเกียงลานตะเกียงเจ้าพายุให้แสงสว่างยามค่ำคืน น้ำดื่มเป็นน้ำฝนที่รองเก็บใช้ตลอดปี น้ำอาบน้ำซักผ้าล้างจานชามอาศัยแม่น้ำปิง จักรยานเป็นพาหนะที่สำคัญ ชาวบ้านใช้เกวียนขนของ

จะขาดแคลนอะไรอย่างไรผมก็มีความสุขมากกับชีวิตตอนยังเด็กทั้งเล่นกับเพื่อนๆและช่วยครอบครัวทำงาน สถานที่เล่นกันสนุกสนานก็คงไม่พ้นหาดทรายตอนน้ำในแม่น้ำปิงลดต่ำลงในหน้าแล้ง การรู้จักพายเรือและว่ายน้ำในแม่น้ำ การรู้จักตกปลา แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องขอบคุณบรรพบุรุษไทยมาจนปัจจุบันคือการก่อตั้งโรงเรียนประจำจังหว้ดชายชื่อ “วัชรราษฎร์วิทยาลัย” ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ระดับมัธยมต้นเป็นรากฐานให้ผมได้ศึกษาในระดับสูงตามลำดับ หากไม่มีโรงเรียนนี้ผมคงไม่ได้มีชีวิตที่เจริญเติบโตรับใช้บ้านเมืองมาจนปัจจุบัน

แม่ผมเป็นคนธรรมะธรรมโมทำบุญและเข้าวัดเป็นประจำ มีเวลา
เมื่อไรก็สอนลูกๆให้เป็นคนดีไม่ทำบาป แม่เรียนหนังสือจบเพียงชั้นประถมอ่านและเขียนหนังสือได้สนับสนุนให้ลูกเรียนหนังสือ พอถึงวัยที่ต้องเข้าเรียนชั้นประถมแม่เอาไปฝากให้เรียนที่โรงเรียนอนุกูลศึกษา(ปัจจุบันเลิกกิจการไปแล้ว)ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของถนนเทศา เวลาไปโรงเรียนก็เดินไปกับพี่ชายโตถัดจากผมไปอีก 2 คน เจ้าของเป็นคนที่แม่นับถือชื่อคุณป้ากรีด ตอนเรียนไม่มีเก้าอี้ต้องนั่งกับพื้นมีโต๊ะให้หัดเขียน ก.ไก่ ข.ไข่บนกระดานชนวนซึ่งผมคิดว่าประหยัดดีเพราะเขียนแล้วลบเขียนใหม่ได้ คุณป้ากรีดดุถือไม้เรียวสั่งให้อ่านและเขียนแต่ผมไม่เคยเห็นคุณป้าตีเด็กคนไหนสักคน

โรงเรียนอนุกูลศึกษาเล็กมากสอนถึงประถมศึกษา 1-4 ผมคิดว่ามีนักเรียนราวชั้นละ 10-15 คน เพื่อนนักเรียนมาจากครอบครัวที่หลากหลายทั้งลูกคนค้าขายในเมืองและชาวไร่ชาวนาในเขตอำเภอเมือง พี่สาวจะสอนให้ทำการบ้านให้เสร็จทุกวัน พอจบประถมศึกษาผมก็ไปสอบเพื่อเข้าเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำจังหวัดชาย “วัชรราษฎร์วิทยาลัย” ซึ่งสมัยนั้นสอนตั้งแต่มัธยมศึกษา1-6 เท่านั้น หากจะเรียนต่อต้องไปกรุงเทพหรือเชียงใหม่ที่มีโรงเรียนชั้นมัธยมศึกษา 7-8 แล้วจึงเข้ามหาวิทยาลัยอีกที

โรงเรียนวัชรราษฎร์วิทยาลัยถือว่ามีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดคู่กับโรงเรียนสตรีกำแพงเพชร “นารีวิทยา” นักเรียนภูมิใจในโรงรียนของเราแข่งกีฬาประจำปีเมื่อไรก็ชนะโรงเรียนอื่นโดยเฉพาะโรงเรียนอาชีวะศึกษาที่สอนวิชาช่างไม้ซึ่งมีนักเรียนที่อยู่ในวัยเดียวกัน นักเรียนชอบฤดูการแข่งกีฬาเพราะสนุกสนานกับการฝึกซ้อม การหัดเดินสวนสนามและกายบริหาร ผมคิดว่าที่เราชนะบ่อยได้รางวัลมากกว่าก็เพราะเรามีนักเรียนมากกว่ามาก นักเรียนมาจากทุกอำเภอเพราะเป็นเพียงโรงเรียนชั้นมัธยมศึกษาแห่งเดียวของจังหวัด เพื่อนนักเรียนจึงต่างจากสมัยชั้นประถมที่อยู่ในอำเภอเมืองเท่านั้น แต่เพื่อนชั้นมัธยมมาจากหมู่บ้านตำบลและอำเภอที่แตกต่างกัน เพื่อนเหล่านี้พ่อแม่จะมาฝากให้อาศัยอยู่กับญาติหรือวัดที่อยู่ในอำเภอเมือง

โรงเรียนเราตั้งอยู่นอกเมืองชาวบ้านเรียกกันว่าอยู่ในเมืองเก่าเพราะเป็นบริเวณที่บริเวณที่ตั้งของเมืองชากังราวมาก่อน ที่ไปอยู่ตรงนั้นก็เพราะเป็นพื้นที่รกร้างเต็มไปด้วยป่าหญ้าคา ตอนเรียนหนังสือก็มองเห็นเชิงเทินกำแพงเมืองเก่ามองเห็นพระประธานองค์ใหญ่ตั้งอยู่นอกหน้าต่างห้องเรียน เราเรียนวิชาลูกเสือด้วยและบ่อยครั้งจะหยุดเรียนในห้องเรียน 1 วันแล้วเรียนวิชาบำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ของลูกเสือ กิจกรรมที่ทำก็จะเป็นการออกไปช่วยกันถางหญ้าคาให้หายรกรุงรังเป็นประจำราวเดือนละครั้งสองครั้ง พวกเราชอบมากเพราะไม่ต้องเข้าห้องเรียนหนังสือ ได้อยู่กลางแจ้งและบ่อยครั้งที่พวกเราจะพบแตงไทยที่โตอยู่ในดงหญ้าคามาแบ่งกันกินอร่อยและชื่นใจดี บางคนก็ไปเด็ดลูกมะขามป้อมมาแบ่งกันอมลดกระหายน้ำได้

สมัยนั้นงบประมาณคงจะขาดแคลนผู้ปกครองนักเรียนแต่ละคนต้องออกทุนสร้างโต๊ะเรียนให้ลูกของตนเอง ผมก็ว่าดีเพราะเป็นการแบ่งเบาภาระหลวง เราจึงต้องเขียนชื่อที่โต๊ะไว้ว่าเป็นของใคร พวกเราจะผลัดเวรกันทำความสะอาดกระดานดำและห้องเรียนเป็นกิจวัตรเสมอนับเป็นการฝึกนิสัยที่ดี การเดินทางไปโรงเรียนนั้นนักเรียนต้องเดินไป แต่ส่วนใหญ่ขี่จักรยานไปโรงเรียนเพราะอยู่ไกลจากตัวเมือง พอสอบเข้าได้พี่ชายที่เรียนอยู่ที่นั้นอยู่แล้วก็สอนให้หัดขี่จักรยาน สมัยนั้นจักรยานมีขนาดเดียวเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ ตอนนั้นผมอายุ 11 ขวบเท้าหยั่งไม่ใคร่ถึงบันไดที่ใช้ปั่นจักรยานนัก แต่ก็ต้องห้ดจนขี่ได้เพราะความจำเป็น บางครั้งก็อาศัยซ้อนท้ายจักรยานของพี่ชายไปโรงเรียน นักเรียนที่เพิ่งเข้าใหม่มักจะหิ้วปิ่นโตไปโรงเรียนเพื่อเป็นอาหารกลางวันเพราะโรงเรียนไม่มีโรงอาหาร นักเรียนชั้นโตมีจักรยานของตนเองก็มักขี่กลับไปรับประทานอาหารกลางวันที่บ้านแล้วกลับมาเข้าห้องเรียนตอนบ่าย เวลาเพียงพอไม่มีการติดขัดของการจราจรแต่ประการใด

ตอนเช้าก่อนเข้าห้องเรียนจะต้องร้องเพลงชาติและเคารพธงชาติ ครูใหญ่และบางครั้งก็ศึกษาธิการจังหวัดจะมากล่าวอบรมแทบทุกครั้ง ผมเข้าใจว่าปัจจุบันก็ยังปฏิบัติอยู่ แน่ละพวกเราก็เป็นเด็กก็ซุกซนเวลาเรียนก็มักจะมีนักเรียนหลังห้องคุยกัน ครูก็จะต้องดุให้เงียบให้ฟัง ผมเกิดมาโชคดีชอบเรียนชอบอ่านหนังสือชอบนั่งแถวหน้าไม่ใคร่กังวลว่าครูจะถามหรือไม่ถามอะไร มองกระดานดำเห็นชัดเจนดี วิชาไหนคนบอกว่ายากก็มักสนใจว่าทำไมมันยาก หัดอ่านหรือถามพี่สาวพี่ชายให้ช่วยอธิบายจนรู้ ผมเป็นคนเรียนดีเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็ได้ไปสอบเข้าเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 7-8 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพญาไท กรุงเทพมหานคร

ทั้งหมดเป็นควมทรงจำที่เขียนออกมาในเวลาจำกัดและเนื้อที่ที่ได้รับ
มอบหมายมา ชีวิตตอนไหนก็ไม่สนุกสบายเท่าตอนเป็นเด็กไม่ต้องรับผิดชอบมาก ทำผิดทำถูกได้เพราะอยู่ในวัยเรียนรู้ ครูทุกท่านที่ผมได้เรียนรู้จากท่านล้วนแล้วแต่ให้ความเมตตากรุณากับผมมาตลอด ผมอยากจะจบโดยการกล่าวเตือนสติพวกเราการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ พระมหากษัตริย์ไทยสร้างคุณประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองมาตลอด สำหรับผมแล้วมีสองประการที่สำคัญ ประการแรกการเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปราศจากชั้นวรรณะแล้วประการสำคัญถัดมาคือการสร้างระบบการศึกษาที่ทำให้คนไทยทุกระดับสามารถสร้างฐานะตนเอง สร้างครอบครัวและที่สำคัญคุณประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมด้วยอาชีพที่สุจริตและพอเพียงได้

Create Date :02 ตุลาคม 2554 Last Update :2 ตุลาคม 2554 0:53:02 น. Counter : Pageviews. Comments :1