bloggang.com mainmenu search
  กลับมาอีกครั้ง หลังจากหายไปนานซะจนสนิมเกาะ ความขี้เกียจบังเกิด ประกอบกับเริ่มกลับมาทำขนมขายจริงจังอีกครั้งช่วงก่อนปีใหม่จนบัดนี้ รวมถึงโปรเจ็คกลายร่างเป็นชาวสวน ขุดดิน ตากแดด ทำให้ความอยากบันทึกเรื่องราวต่างๆ ลดน้อยถอยลงไปเยอะ แต่ก็พยายามตั้งใจว่าจะกลับมาเขียนไดอารี่ให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง เพื่อเป็นการเก็บประสบการณ์ชีวิต และการเขียนไดอารี่ที่ต้องนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เราต้องการจะบันทึกเก็บไว้ ทำให้เราเรียบเรียงความคิด กลับมาทบทวนใหม่ ความคิดแต่เดิมที่ไม่ได้ละเอียดมากนักก็ทำให้คิดได้ถี่ถ้วนมากขึ้น นี่แหละคือ เหตุผลที่อยากกลับมาเขียนไดอารี่อีกครั้ง แม้ว่าการเขียนไดอารี่จะไม่ได้อาร์ตมากมายเหมือนที่เคยเขียน ณ จุดนี้ขอข้ามความเป็นศิลปะไปชั่วคราว (แต่ก็ไม่ละทิ้ง สักวันพร้อมก็จะทำให้ไดอารี่เป็นศิลปะอีกครั้ง) และเน้นที่เนื้อหาของสิ่งที่อยากจะบันทึกเก็บไว้ก่อนดีกว่าค่ะ

สิ่งที่ยากในเวลานี้คือ จะบันทึกเรื่องอะไรก่อนดี เยอะแยะซะเหลือเกิน ... คิดมากพาลจะไม่ได้เขียน เลือกมาซะอย่างนึงก่อนละกันค่ะ

โปรเจ็ค "สวนใส่ใจ"

 photo sky.jpg

ทำไมถึงกลายเป็นชาวสวน?

ต้นเหตุคือ ที่ดินมรดกตกทอดเนื้อที่ 10 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินที่มีน้ำ มีไฟเข้าถึง อดีตจนถึงปัจจุบันมีคนเช่าที่ดินปลูกผัก และมีอีกคนเช่าเป็นร้านก๋วนยเตี๋ยว ขายอาหารตามสั่ง ขายของเล็กๆ น้อยอยู่ด้านหน้าสวน ว่าไปก็เสมือนมีคนเฝ้าสวนให้ซึ่งก็นับว่าดี แม้รายได้จะน้อยนิดแต่ก็คิดว่าดีกว่าปล่อยให้ที่ดินร้างไปเปล่าๆ ตอนนี้คนเช่าที่ทำเกษตรกรรม ปลูกผักขาย คนทำก็เริ่มจะทำไม่ไหว ลูกหลานก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นไม่ได้หันมาทำเกษตรกรรมเหมือนรุ่นพ่อแม่ คนเช่าจึงค่อยๆ ลดพื้นที่เช่าน้อยลงไปประกอบกับเราเริ่มมองเห็นศักยภาพบางอย่างในที่ดินผืนนี้ ที่เปลี่ยนจากการวาดฝันเดิมของเรา ที่จะเป็นเพียงแค่ปลูกบ้านหลังเล็ก ปลูกต้นไม้ที่ชอบให้เจริญเติบโตและร่มครื้มเพื่อสักวันในอนาคตเราจะมาอยู่กันที่นี่หรือเป็นเหมือนรีสอร์ทเล็กๆ ของเราท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ อากาศบริสุทธิ์ สิ่งที่เรามองในวันนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเรามองถึงทรัพย์ในดินที่มีค่าจะกลายเป็นแหล่งทรัพย์สินที่เราเชื่อว่า จะสร้างรายได้และสร้างความสมบูรณ์แบบในตัวของมันเองต่อไปในอนาคต เราจึงคิดที่จะกลายร่างมาเป็นชาวสวน

เมื่อย้อนมองกลับไป 6-7 ปีที่ผ่านมา ห้วงเวลาที่เราเดินตามแผนการการสร้างรีสอร์ทส่วนตัว ทำให้เราต้องผ่านอะไรกันมามากมาย

สองคนที่เดินหาซื้อต้นไม้ครั้งแล้วครั้งเล่า ปลูกแล้วตายก็ซื้อใหม่ (คนเช่ารดน้ำให้บ้าง ไม่รดบ้าง บางปีเจอน้ำท่วมเข้าไปอีก)

สองคนที่ลงมือตากแดด ขุดดิน ลงมือปลูกต้นไม้กันเอง

สองคนที่ตักกระบวยน้ำ นึกภาพกระบวยที่ต่อด้วยไม้ไผ่ยาวๆ ตักแล้วแหว่งมารดน้ำต้นไม้ที่เราลงมือปลูก (ยังไม่ได้เดินท่อ มีแต่คูที่ผ่านข้างๆ และกลางสวน) ช่วงนั้นเอวคอด แขนล่ำไปเลย

สองคนที่ลากผักตบชวาจากคู ลากมาสุมกองรอบโคนต้นไม้ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดินและคลุมดินไว้ไม่ให้น้ำที่เรารดลงไประเหยเร็ว

สองคนที่ช่วยกันคิดหาหนทางในการสร้างฝันให้เป็นจริง

สองคนที่ไปยืนมองต้นไม้ตายเพราะโดนน้ำท่วม เกือบทั้งหมด

สองคนที่ช่วยกันค้นหาข้อมูล แหล่งซื้อต้นไม้ที่เราสนใจ

คนหนึ่งที่ขับรถไปถึงแพร่ เพียงซื้อไผ่จากที่นั่นลงมาปลูกที่สวน

สองคนที่ช่วยกันเพาะเมล็ดพันธุ์

และอีกมาก .... ที่เราสองคนผ่านมาด้วยกัน

 photo gardener2.jpg

เราสองคนมองว่า สิ่งที่เราประสบและผ่านมาทั้งหมดตลอดระยะ 6-7 ปีนั่น บางครั้งคือความล้มเหลว แต่บางครั้งที่ว่านั่นมันคือ ประสบการณ์ที่ทำให้เราเดินมาถึงจุดนี้

ในวันปัจจุบันที่เราก้าวข้ามสิ่งที่หลายคนเรียกว่า ปัญหาหรืออุปสรรคท่ามกลางความคิดและเสียงคนรอบข้าง

"จะทำไปได้ยังไง"
"ปลูกแล้วได้อะไร"
"หาคนจ้างมาทำก็ยาก ทำเองสองคนจะไหวเหรอ"
"จะหาดินที่ไหนมาปลูกต้นไม้"
"จะทำอะไรต่อไป"
"จะแก้ไขปัญหาตรงนี้ยังไงได้"
และอีกมาก ....

เรามองว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเราคือ ปัญหา แต่เรามองว่า ทุกปัญหาคือ โอกาส เราไม่ได้มอง ครุ่นคิด และวนเวียนถึงอุปสรรคของคำว่า "ปัญหา" เพราะถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว เราก็ไม่ก้าวเดิน อะไรก็ไม่มีทางเกิดขึ้น เราจึงเชื่อว่า เราต้องลงมือทำ การลงมือทำจะทำให้เรารู้เองว่าจะทำอะไรต่อไปหรือแก้ไขอะไร ได้อย่างไร

"ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม" ประโยคนี้จึงไม่ใช่การพูดไปเพียงเพื่อปลอบใจตัวเอง แต่เรามั่นใจว่า เราเข้าใจประโยคนี้อย่างลึกซึ้ง และเราเชื่อว่า ถ้าเราจะทำอะไร เราทำได้ ปัญหาอยู่เคียงข้างเราเสมอ แต่เรามองปัญหาเป็นเพื่อน ไม่ใช่ศัตรูเท่านั้นเองค่ะ

จากสิ่งเหล่านี้เอง ทำให้โปรเจ็ค "สวนใส่ใจ" เกิดขึ้น

 photo gardener3.jpg

"ใส่ใจ" เป็นชื่อที่เราระดมความคิดในครอบครัวของเราว่า จะตั้งชื่ออะไรดี ท้ายที่สุดมาลงตัวที่ชื่อนี้ เพราะเป็นคำที่เรามักคุ้นและใช้พูดกันจนติดปากค่ะ ความใส่ใจในการเลือกอาหารการกิน ความใส่ใจในการคิดถึงเรื่องลูก อนาคตของลูก ความใส่ใจในการปลูกต้นไม้ที่ต้องการให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด ไม่ใช่เพียงแค่ลดการใช้สาเคมี แต่เราจะไม่ใช้สารเคมีใดๆ ในสวนของเราเลย เพื่อความปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

สวนใส่ใจ จะไม่ใช่เป็นเพียงสวนเกษตรธรรมชาติที่เราตั้งใจทำและเป็นแหล่งเรียนรู้ของเราสองคน แต่สวนแห่งนี้จะแหล่งเรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่พ่อแม่จะส่งต่อให้กับลูกสาวทั้งสามคนของเราด้วยค่ะ

"เอาลูกไปสวนด้วยทำไม ร้อน"
"เด็กไป จะมีอะไรทำ ไม่มีอะไร"
ประโยคที่เรามักได้ยิน แสนจะคุ้นเคย แต่ไม่เคยทำตาม ...

ถ้าเราคิดว่า ไปแล้วร้อน และบอกลูกว่า ร้อน เชื่อมั๊ยคะว่า เราจะรู้สึกและมองว่าร้อนตลอดไป รวมถึงตัวลูกเองก็จะฝังหัวว่า ไปที่สวนมันร้อน ไม่น่าไป ไม่สนุก  เราจึงไม่พยายามไปจำกัดกรอบคำว่า ความสนุก ความสุขของลูก เพราะเด็กก็คือเด็กค่ะ ความสนุกของเค้าสามารถหาได้เสมอ เรารู้จักลูกเราดีค่ะ เค้ามีความสุขได้ในทุกที่จริงๆ

 photo gardener4.jpg

และที่สำคัญคือ เราต้องการให้ลูกได้เห็นสิ่งที่พ่อแม่ทำอยู่ด้วยสายตาของลูกเอง

การที่ลูกได้ยินพ่อแม่คุยกันเรื่องปลูกต้นไม้ หาอุปกรณ์ทางการเกษตร การแก้ปัญหาต่างๆ ภายในสวน ... แค่ได้ยินมันไม่ซาบซึ้งเท่ากับการที่ลูกได้เห็นกับตาของตัวลูกเองหรอกค่ะ นอกจากนี้พ่อแม่อยากให้ลูกรู้ว่า สิ่งที่พ่อแม่ทำ ไม่ใช่พ่อแม่รู้ทั้งหมดหรือเคยทำ ทุกคนมีทั้ง "ทำเป็น" "ทำไม่เป็น" "ทำแล้วผิด" "ทำแล้วเสียหาย" แต่เราจะไม่กลัวที่จะแก้ไขและปรับปรุง เราจะสร้างความ "ไม่กลัวปัญหา" ให้ลูกได้เข้าใจ ไม่ได้คาดหวังว่า ลูกจะทำได้ดีที่สุด เก่งที่สุด แต่เรามองว่า ลูกจะเห็นปัญหาเป็นโอกาส กล้าที่จะคิด กล้าที่จะทำ ไม่กลัวที่จะแก้ แก้ไม่ได้ก็ไม่กลัวที่จะหาวิธีอื่นต่อไปมากกว่าค่ะ

สวนใส่ใจ แหล่งเรียนรู้ตามธรรมชาติที่หาได้จริงของเราและของลูก
Create Date :06 มีนาคม 2557 Last Update :6 มีนาคม 2557 23:51:50 น. Counter : 3408 Pageviews. Comments :20