bloggang.com mainmenu search


ความหมายของคำว่า “เซรามิกส์(ceramics)” นั้น หมายถึงสิ่งที่เกิดจากการนำเอาสารอนินทรีย์ที่เป็นอโลหะ ซึ่งได้แก่ สารจำพวกแร่หินหรือดินที่เกิดอยู่ตามธรรมชาติมาใช้เป็นวัตถุดิบหลัก และผ่านกรรมวิธีการผลิต และสิ่งที่สำคัญจะต้องผ่านกระบวนการความร้อนเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความแข็งแรงหรือผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำเอาไปใช้งานได้ดี

                ด้วยเหตุนี้ผลิตภัณฑ์เซรามิกส์จึงมีอยู่ด้วยกันหลายประเภทซึ่งได้แก่

ผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผา (Pottery)

ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้เป็นที่รู้จักกันอยู่ทั่วๆไปเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการนำดินและหินประเภทต่างๆอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างนำมาผสมกันแล้วนำไปขึ้นรูปแล้วเผาให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความแข็งแกร่ง โดยจำแนกชนิดของผลิตภัณฑ์ออกได้ดังนี้

ก.ผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อดินปั้นพรุนตัวและซึมน้ำได้แบ่งย่อยออกเป็นชนิดเคลือบและไม่เคลือบตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ คือ หม้อดินหุงต้ม หม้อใส่น้ำ โอ่ง อ่าง กระถางต้นไม้แจกัน ของประดับตกแต่ง อิฐ กระเบื้องมุงหลังคา เป็นต้นผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อดินปั้นประเภทนี้ คือ ผลิตภัณฑ์เอิร์ทเธนแวร์(Earthenware)

ข.ผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อดินปั้นไม่พรุนตัวแบ่งออกเป็นเนื้อดินปั้นชนิดขาวและสีน้ำตาลอ่อนไม่โปร่งแสง เนื้อดินปั้นประเภทนี้คือ ผลิตภัณฑ์สโตนแวร์ (Stoneware)ส่วนเนื้อดินปั้นชนิดสีขาวไม่โปรงแสง (ผลิตภัณฑ์เนื้อเนียน) และชนิดสีขาวโปร่งแสงผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ได้แก่ ผลิตภัณฑ์พอร์สเลน(Porcelain)และเนื้อดินปั้นที่ผสมขี้เถ้า กระดูกสัตว์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์โบนไชน่า (Bonechina) เนื้อดินปั้นประเภทนี้ส่วนมากนำไปผลิตเป็นเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารแจกัน ของประดับต่างๆกระเบื้องเคลือบ แก้วเซรามิค เครื่องสุขภัณฑ์ ฉนวนไฟฟ้า เป็นต้น

ผลิตภัณฑ์วัตถุทนไฟ (Refractories)

ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้มีสมบัติพิเศษ คือ สามารถทนความร้อนได้สูง (สูงกว่า 1,580 องศาเซลเซียสขึ้นไป) มีความแข็งแรงเป็นฉนวนและต้านทานความร้อนทนทานต่อการกัดกร่อนได้ดี ส่วนใหญ่จึงเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญที่ใช้ในการทำเตาเผาทำเตาหลอมเหล็ก หรือใช้กับยานอวกาศที่ต้องเสียดสีและเกิดความร้อนสูงผลิตภัณฑ์วัตถุทนไฟนี้ส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมถลุงเหล็กถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก25 เปอร์เซ็นต์ ใช้ในอุตสาหกรรมเซรามิกส์และอุตสาหกรรมเคมีอื่นๆผลิตภัณฑ์วัตถุทนไฟจำแนกออกได้เป็น 3 ชนิด คือ

                ก.ผลิตภัณฑ์วัตถุทนไฟที่มีสมบัติเป็นกรด(Acid refractories) วัตถุทนไฟประเภทนี้ได้แก่อิฐทนไฟที่มีเปอร์เซ็นต์ของซิลิกา (SiO2) สูงเช่น ซิลิกา บริก หรืออิฐทนไฟที่ได้จากดินทนไฟธรรมดา

                ข.ผลิตภัณฑ์วัตถุทนไฟที่มีสมบัติกลาง (Neutural Refractories) วัตถุทนไฟประเภทนี้ ได้แก่อิฐทนไฟที่มีเปอร์เซ็นต์ของอะลูมินา (Al2O3) สูง อิฐทนไฟที่ได้ทำมาจากแร่บอกไซด์ (Bauxite- Al2O3.2H2O)เช่น โครม บริก

                ค.ผลิตภัณฑ์วัตถุทนไฟที่มีสมบัติเป็นด่าง(Basic Refractories) ได้แก่อิฐทนไฟประเภทแมกนีเซียบริก(Magnesia Brick) และไดโลไมต์บริก(DolomiteBrick)

ผลิตภัณฑ์แก้ว(Glass)

แก้วจัดเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทเซรามิกส์ตรงที่นำเอาสารอนินทรีย์ชนิดอโลหะซึ่งได้แก่ ทราย มาเป็นวัตถุดิบหลักและผ่านกระบวนการผลิตที่ต้องใช้ความร้อนให้เกิดการหลอมเหลวแล้วปล่อยให้เย็นตัวลงจนอยู่ในสภาพของแข็งโดยไม่เกิดการตกผลึกในเนื้อแก้วนั้น แก้วมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด เช่นแก้วที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันมีหลายอย่างด้วยกัน เช่น โซดา-ไลม์กลาส(Soda-lime glass)ลีดกลาส(Lead glass) ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับ Soda – Lime Glass ใช้ทำแก้วดื่มน้ำกระจกแผ่น ขวดน้ำอัดลม เป็นต้น

                ส่วนแก้วที่ราคาแพงและขั้นตอนการผลิตยุ่งยากแก้วประเภทนี้ ได้แก่ แก้วที่ใช้ในวงการวิทยาศาสตร์ แก้วนิรภัย (Safety Glass) เช่น แก้วกระจกรถยนต์ แก้วกันกระสุนแก้วในวงการอิเล็กทรอนิคส์และโทรคมนาคม แก้วประเภทนี้ ได้แก่ หลอดโทรทัศน์หลอดสุญญากาศ และแก้วที่ใช้ในวงการยานอวกาศ เช่น พวกหน้าต่างเครื่องบินและจรวดเป็นต้น

                อนึ่งแก้วที่อยู่ในรูปอิสระเป็นเนื้อแก้วล้วนๆไม่ต้องยึดเกาะอยู่กับอะไรแก้วประเภทนี้ก็คือแก้ว (Glass) ประเภทที่ใช้อยู่ทั่วไป

                ส่วนแก้วที่ไม่ได้อยู่ในรูปอิสระคือส่วนหนึ่งของแก้วที่ต้องยึดเกาะกับผลิตภัณฑ์ที่ทำจากดินเราเรียกว่าเคลือบ (Glaze) และแก้วที่ยึดเกาะติดกับผลิตภัณฑ์โลหะเราเรียกว่า โลหะเคลือบ (Enamel)

ผลิตภัณฑ์ซีเมนต์ (Cement)

                ซีเมนต์คือ วัสดุที่เป็นเชื้อประสานที่ใช้มากในการก่อสร้าง เช่น งานคอนกรีต งานปูนหล่อปูนก่อ ปูนฉาบ หรืองานปูนปั้น เพราะใช้ได้สะดวกและมีความแข็งแรงหลังจากการแข็งตัวส่วนประกอบของซีเมนต์ที่ใช้กันทั่วไปซึ่งเป็นพอร์ตแลนด์ ซีเมนต์ (Portland Cement)ส่วนประกอบที่สำคัญ คือ หินปูน (CaCO3)ซิลิกา (SiO2) อะลูมินาและเหล็กออกไซต์(Alumina and Ferric Oxide) นำมาบดผสมกันแล้วเผาด้วยเตาที่หมุนได้ (RotaryKiln) ที่อุณหภูมิประมาณ 1,000 – 1,300 องศาเซลเซียส หลังจากนั้นก็นำมาทำให้เย็นแล้วบดเป็นผงอีกครั้งหนึ่งซีเมนต์ที่ใช้กันอยู่มีหลายชนิดด้วยกันแล้วแต่ส่วนประกอบทางเคมีที่สำคัญของชนิดนั้นๆ

ผลิตภัณฑ์โลหะเคลือบ (Enamel)

เซรามิกส์ชนิดนี้ คือสารที่ใช้เคลือบบนผิวโลหะให้มีความสวยงามและคงทนในการใช้งานในสมัยก่อนนิยมใช้โลหะประเภททองคำเงิน แต่ราคาแพง ปัจจุบันนิยมใช้โลหะประเภททองแดง เหล็ก เหล็กกล้าและอะลูมิเนียมแทน เพราะราคาถูกนำมาทำผลิตภัณฑ์ เช่น เครื่องสุขภัณฑ์โลหะเคลือบเครื่องใช้ในครัวเรือน เช่น จานโลหะเคลือบ ปิ่นโต ป้ายจราจร ตัวตู้เย็น เป็นต้น

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ขัดหรือตัด (Abrasive)

                ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้มีความสำคัญในโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆมากเพราะใช้ในงานขัดผิวหรือตัดซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำมาจากวัตถุดิบที่มีความแข็งมากซึ่งในบางครั้งวัตถุดิบเหล่านี้ก็มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น ทราย อะลูมินาที่เกิดเป็นผลึก คือ คอรันดัม(NaturalCorundum) และเพชร เป็นต้น หรือวัตถุดิบที่สังเคราะห์ขึ้น เช่นซิลิคอน คาร์ไบด์(Silicon Carbide) ฟิวส์ อะลูมินา (FusedAlumina) และเพชรสังเคราะห์ (Synthetic Diamon) เป็นต้น ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ที่รู้จักกันแพร่หลายทั่วไป คือกระดาษทราย หินขัด แผ่นตัดอิฐ เป็นต้น

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์(Electronic and Electrical Ceramic’s)

ได้แก่ผลิตภัณฑ์ประเภทฉนวนไฟฟ้าที่มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ เช่นสะพานไฟ (Electrical Insulator) ประเภทไฟแรงต่ำ (LowTension) ไฟแรงสูง (High Tension) ได้แก่ปลั๊กไฟ ตลับแยกสายไฟ ที่หุ้มหัวเทียนรถยนต์ ลูกถ้วยไฟฟ้า เป็นต้น

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับวิทยุเป็นพวกเซมิคอนดักเตอร์(Semiconductor) ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer)ซึ่งเป็นแมกนีติก อินซัวเลเตอร์ (Magnetic Insulator) เช่น พวกเฟอร์ไรต์คอร์(Ferrite Core) เป็นต้น

ผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ชนิดพิเศษอื่นๆ (Special Ceramic’s)

ผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ชนิดพิเศษนี้มีอยู่ด้วยกันหลายประเภทซึ่งไมได้กล่าวมาข้างต้น เช่น เซรามิกส์ที่ใช้กับยานอวกาศ (Rocket) ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการแพทย์ (ArtficialBone) ได้แก่ กระดูกเทียม และฟันเทียม เป็นต้น

จากตัวอย่างและชนิดของผลิตภัณฑ์ที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่าเป็นผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ที่ครอบคลุมกว้างมากจนในปัจจุบันมีนักวิชาการหลายท่านได้แยกเอาผลิตภัณฑ์ประเภทแก้วและซีเมนต์ไปเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะอย่างแต่อย่างไรก็ตามความรู้ทางด้านวิชาการก็ยังคงเกี่ยวเนื่องกันและการที่จะปรับปรุงผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ทั้งหมดให้ดีขึ้นจำเป็นต้องใช้ความรู้ความสามารถหลาอย่างสาขาวิชาประกอบกัน เช่น ทางด้านวิทยาศาสตร์วิศวกรรมศาสตร์ และทางด้านศิลปะควบคู่กันไป


ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.ceramiclover.com

Create Date :26 สิงหาคม 2557 Last Update :14 มิถุนายน 2560 12:41:05 น. Counter : 118363 Pageviews. Comments :0