นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com
(1 ต.ค.) ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 3 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เปิดเผยถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภาพรวมโดยจะเน้นการซ่อมแซมเป็นหลัก เนื่องจากการก่อสร้างจะต้องมีการตรวจสอบรายละเอียดจำนวนมาก และจะเน้นแก้ปัญหาเกษตรกรที่มีรายได้น้อย แต่ในปัจจุบันเศรษฐกิจโลกซบเซา ส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศซบเซาตามไปด้วย แผนการแก้ไขจึงจะเน้นสร้างงานให้กับคนในประเทศเป็นหลัก
สอดคล้องกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ที่เปิดเผยถึงมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยใช้งบประมาณจำนวน 324,500 ล้านบาท จากงบประมาณที่ค้างจากปี 2557 และงบประมาณปี 2558 ซึ่งจะเริ่มผลักดันให้มีการจ้างงาน ตั้งแต่เดือนตุลาคมโดยใช้งบลงทุนจำนวน 129,000 ล้านบาท ดำเนินการตามโครงการแต่ละกระทรวง รวมถึงจะมีการนำงบกลางเหลื่อมปี 2555-2557 และงบที่เหลือจากโครงการไทยเข้มแข็งรวม 23,000 ล้านบาท มาซ่อมแซมอาคารเรียนและจัดซื้อคุรุภัณฑ์ภายใต้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ การจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ขาดแคลนของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงปรับปรุงถนน และคูคลองที่ชำรุดจากเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554
ซึ่งทั้งหมดนี้คือโครงการที่ไม่ผ่านการพิจารณาใช้งบประมาณปี 2558 แต่เนื่องจากมีงบเหลือ ครม.จึงมีมติเห็นชอบให้ใช้งบทั้งหมดดำเนินการได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้สำนักงบประมาณ และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจตรวจสอบการใช้งบประมาณการใช้จ่ายทั้งหมดเพื่อป้องกันการทุจริต
สำหรับการแก้ไขปัญหาชาวนาที่ประชุมครม.มีมติอนุมัติงบประมาณ40,000 ล้านบาท จัดตั้งโครงการเพิ่มรายได้ให้กับชาวนาที่มีพื้นที่ทำกินน้อย โดยจะมีการตรวจสอบพื้นที่ทำกินของชาวนา ที่จดทะเบียนการปลูกข้าวกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. เพื่อให้เงินช่วยเหลือชาวนา เฉพาะข้าวนาปีเท่านั้น
โดยชาวนาที่มีพื้นที่ปลูกข้าวตั้งแต่ 0-15 ไร่ จะได้เงินอุดหนุนไร่ละ 1,000 บาท ส่วนชาวนาที่มีพื้นที่ปลูกข้าวมากกว่า 15 ไร่ จะได้รับเงินเพียง 15,000 บาท
ทั้งนี้ การอุดหนุนเงินดังกล่าวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะหน้า ซึ่งรัฐจะจ่ายเงินให้กับชาวนาเพียงปีเดียว ยืนยันว่าไม่ใช่นโยบายประชานิยมและไม่ต้องการคะแนนเสียง โดย ธ.ก.ส.จะจ่ายเงินให้กับชาวนาผ่านทางบัญชีธนาคาร ส่วนรัฐบาลได้มีมติคืนเงินให้กับ ธ.ก.ส.ในปี 2559
