bloggang.com mainmenu search

วันหยุดยาว หนุ่มสาวออฟฟิศหลายคนคงนั่งมองวันลาพักร้อนกันตาปริบๆ ว่าจะออกร่อนเร่รวนแรมไปยังถิ่นฐานไหนดี ซึ่งทางทีมงานอีแมกกาซีนก็มีสถานที่ท่องเที่ยวดีๆ อย่างการหนีขึ้นดอยไปแดนไกลที่จะช่วยสร้างอีกหนึ่งประสบการณ์ให้นักเดินทางได้จดจำไม่รู้ลืม

ในการออกสู่โลกกว้างครั้งนี้ ทีมงานเลือกที่จะไปเหยียบจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของจุดหมายปลายทางอย่าง "ดอยผ้าห่มปก" ที่ถูกจัดว่ามีความสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากดอยอินทนนท์ และเพื่อให้ได้อรรถรสในการท่องเที่ยวแบบครบสูตร เราจึงขอมุ่งหน้าไปยังเชียงใหม่ด้วยรถไฟ ปู้น ปู้น โดยเริ่มสตาร์ทขบวนกันที่หัวลำโพงในยามเย็น

บรรยากาศของตู้นอนชั้น 1 ด่วนพิเศษ ยังคงเป็นเช่นเดิม บรรดานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมักจะนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย จนแทบจะพูดได้เลยว่า มีมากกว่าชาวไทยเสียซะอีก นั่นเพราะฝรั่งมังค่าเขากล่าวว่า การเดินทางด้วยรถไฟให้ทั้งความปลอดภัยและตวามสะดวกสบาย ซึ่งไฮไลท์เด็ดของการใช้บริการรถไฟไทยคงหนีไม่พ้นความคึกคักของตู้สเบียงที่แม้ว่าราคาข้าวของเครื่องดื่มจะแพงหูฉีกไปสักนิด แต่ด้วยเสียงเพลงเพลินๆ ลมเย็นๆ และความเป็นมิตรของเพื่อนร่วมเดินทางกลับทำให้นี่คือพาหนะที่หลายคนต้องยกนิ้วให้ ระยะเวลาในการเดินทางด้วยหัวรถจักรจากเมืองหลวงมุ่งหน้าสู่เชียงใหม่นับรวมๆ แล้วก็ราว 12 ชั่วโมง โดยรุ่งอรุณของอีกวันใหม่ คุณยังจะได้เห็นถ้ำขุนตาล ซึ่งขอการันตีเลยว่าน่าตื่นเต้นไม่ใช่น้อย แม้จะไม่เห็นวิวทิวทัศน์แต่ความมืดและเสียงที่อื้ออึงมากขึ้นคือมนต์เสน่ห์ของการลอดถ้ำแห่งนี้

หลังจากนั่ง นอน ดื่ม ด่ำกันมาครึ่งวันเต็มๆ ในที่สุดก็ถึงสถานีเชียงใหม่ ซึ่งคับคั่งไปด้วยสองแถวแดงน้อยใหญ่กับบรรดาสิงห์นักขับที่ออกมาแร้งทึ้งเหล่านักท่องเที่ยวให้ขึ้นรถของตนเพื่อไปยังที่หมาย สำหรับการจะไปดอยผ้าห่มปก สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือพาตัวเองให้ไปถึงอู่รถช้างเผือก ซึ่งจะมีทั้งรถสองแถวและรถบัสสีส้มขับผ่านไปถึงอำเภอฝางด้วยเวลาราวๆ 2 ชั่วโงครึ่ง จากนั้นจึงโบกรถไปตามประสาให้ถึงอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก แต่เนื่องด้วยอานิสงค์จากการเป็นครูอาสาในครั้งก่อน งานนี้ทีมงานอีแมกกาซีนจึงโดดลงจากสองแถวแดงราคาหัวละ 70 บาท จากท่ารถช้างเผือกลงมาแหมะอยู่ที่ว่าการอำเภอไชยปราการแล้วจึงขึ้นกระบะคันโก้ของครูดอยลัดเลาะเส้นทางไปจนถึงอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ซึ่งในจุดแรกนี้จะมีลานกางเต็นท์บ่อนน้ำร้อนฝาง ซึ่งถ้ามากันไม่ทันบ่าย 3 โมง ก็อาจต้องนอนค้างที่จุดนี้กันสักคืน เพราะรถโฟร์วิลล์จะไม่สามารถขึ้นบนดอยหลังจาก 3 โมงเย็นไปแล้ว ดังนั้น ในคืนแรกพวกเราจึงจองเต็นท์บริเวณลานน้ำพุร้อนเพื่อของอิงไออุ่นสยบความหนาว

ณ ลานบ่อน้ำพุร้อน จะมีทั้งแอ่งน้ำร้อนและบ่อน้ำร้อนกระจัดกระจายอยู่เป็นบริเวณกว้าง ซึ่งอาจต้องใช้ความระมัดระวังกันสักนิดในการเดินชมธรรมชาติ และในขณะที่ทีมงานกำลังหันซ้ายแลขวาเพื่อเตรียมตัวเช็คอินจองเต็นท์ เสียงดังฟู่......อันกึกก้องก็สร้างความประหลาดใจให้กับนักท่องเที่ยวจนต้องวิ่งออกจากสำนักงานที่ทำการ และนั่นคือเสียงของน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งขึ้นจากใต้พื้นพิภพ ซึ่งเจ้าหน้าที่กล่าวว่าจะเป็นเช่นนี้ทุก 30 นาที และจะยาวนานถึง 13 นาที กันเลยดีเดียว เมื่อได้ที่ซุกหัวนอนในค่ำคืนแรกด้วยเงินเพียง 250 บาท กันแล้ว ก็ถึงเวลาออกตระเวนไปชำระร่างกาย ซึ่งช่วงที่ทีมงานได้ออกไปเก็บเกี่ยวสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ตรงกับฤดูหนาว การจะนำร่างไปแช่น้ำอุ่นจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดช่วงก่อนหัวค่ำ

เมื่อเก็บข้าวเก็บของและรับประทานอาหารกันอย่างพร้อมสรรพ เครื่องนุ่งห่มและอุปกรณ์อาบน้ำก็ถูกเหน็บไว้ข้างตัวเป็นอย่างดี ทีนี้ก็ถึงเวลาที่จะสาวเท้าให้ว่องเพื่อไปยังบ่อแช่น้ำร้อน ซึ่งพวกเรากลับต้องพบความผิดหวังที่ห้องอาบน้ำอุ่นๆ นั้นปิดก่อนเวลา 1 ทุ่ม นั่นเพราะเจ้าหน้าที่แอบเก็บสัมภาระเตรียมกลับบ้านกันจนหมด ดังนั้น น้ำเย็นเจี๊ยบจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ต้องยอมจำใจอย่างไรข้อกังขา

บรรยากาศหลังอาทิตย์อัสดงของลานบ่อน้ำพุร้อน เรียกได้ว่าอบอุ่นกว่าที่คิดไว้ โดยอุณหภูมิที่ปรอทจากเมืองกรุงวัดได้คือ 7 องศา ไอน้ำร้อนลอยละล่องอยู่ทุกถิ่นที่ ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ก็ยังมีดวงดาวให้นอนนับอยู่เกือบค่อนคืน ซึ่งธรรมชาติเช่นนี้นี่เองที่แม้แต่ความหนาวเย็นก็ไม่สามารถจะบีบบังคับให้พวกเราข่มตานอน จนต้องชวนกันออกมาต้มไข่ท้าสายลมเย็นแล้วค่อยกล่าวราตรีสวัสดิ์เบาๆ

ไอน้ำของเช้าวันใหม่ที่ลานน้ำพุร้อนดูจะแน่นหนาและให้ความอบอุ่นได้มากกว่าเมื่อค่ำคืนก่อน ถ้าคุณได้ลองเดินดูจนทั่วจะรู้สึกเลยว่า สถานที่แห่งนี้มีหยดน้ำค้างมากเป็นพิเศษ จึงทำให้เห็นนกน้อยและผีเสื้อหลายชนิดบินวนอยู่รอบกาย หลังจากสำรวจความงามของยามเช้ากันแล้วก็ถึงคราวที่จะลองไปสัมผัสกับน้ำร้อนๆ ในบ่ออุ่น ซึ่งที่อุทยานจะมีทั้งบ่อแช่น้ำแร่ทั้งแบบรวมและแบบส่วนตัวให้คุณๆ ได้เพลิดเพลินใจในราคาเพียงหัวละ 20 บาท สำหรับบ่อรวม และ 50 บาท สำหรับผู้ต้องการความเป็นส่วนตัว

อาบน้ำ กินข้าว ชมธรรมชาติอย่างจุใจ ก็ถึงเวลารอหาสมัครพรรคพวกมาหารค่ารถโฟร์วิลล์เพื่อขึ้นไปยังลานกิ่วลม ซึ่งเป็นอีกจุดกางเต้นท์ที่อยู่สูงและเข้าใกล้ยอดดอยเข้าไปทุกที แต่ ณ เวลานี้ คงต้องหยุดภาคหนึ่งไว้เพียงเท่านี้ เนื่องจากทีมงานมีสมาชิกเพียง 3 หน่อ จะให้โหนกระบะคันโตราคา 1,800 บาท ก็ดูจะใช่เรื่อง ดังนั้น นั่งๆ นอนๆ รอเพื่อนร่วมทางแล้วค่อเดินทางต่อกับภาคสองที่รับรองว่า อดใจรอกันอีกไม่นานแน่นอน




สนับสนุนเนื้อหา emaginfo
Create Date :09 สิงหาคม 2556 Last Update :9 สิงหาคม 2556 8:00:04 น. Counter : 1442 Pageviews. Comments :1