bloggang.com mainmenu search
ปัจจุบันนี้คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า นอกจาก สมาร์ทโฟน จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันแล้ว อุปกรณ์สวมใส่แบบพกพาอย่าง หรือนาฬิกาอัจฉริยะ ก็เริ่มมีบทบาทสำคัญแล้วเช่นกัน ซึ่งทางฝั่งของ Android นาฬิกาอัจฉริยะได้บุกตลาดมานานพอสมควรแล้ว ทั้งจากทาง ซัมซุง กับ Samsung Gear และ Samsung Fit หรือจะเป็นทางฝั่ง โซนี่ กับ Sony Smartwatch และ โมโตโรล่า กับ Moto 360 ที่ขายดีเทน้ำเทท่าเช่นกัน

     และล่าสุด ด้านแอปเปิล ก็บุกตลาด Smartwatch กับการเปิดตัว Apple Watch เมื่อเดือนกันยายน ปี 2014 และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบางประเทศ เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา

     ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีอย่างมาก โดยมีรายงานว่า ในสหรัฐฯ Apple สามารถทำยอดขายได้ถึง 30,000 เรือนต่อวัน และขาดตลาดอยู่ในตอนนี้ ต้องทำการสั่งจองเท่านั้น ด้าน กูเกิล เอง ก็เตรียมบุกเบิกตลาด Smartwatch ด้วยการพัฒนาแพลทฟอร์ม Android Wear ให้รองรับการใช้งานกับ iPhone

     ซึ่งจะเปิดตัวในงาน Google I/O วันพรุ่งนี้อีกด้วย โดยจะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ใช้ เนื่องจาก Smartwatch ทางฝั่ง Android มีราคาที่ถูกกว่า

     อย่างไรก็ดี ระหว่าง Apple Watch กับ Android Wear นั้น คงจะไม่มีข้อสรุปที่แน่นอนว่า ทั้ง 2 รุ่นนี้ รุ่นใดดีกว่ากัน เนื่องจากมีข้อดีข้อเสีย และการใช้งานที่แตกต่างกันไป

     ด้วยเหตุนี้ นักเขียนจากทั้ง 2 เว็บ ซึ่งได้แก่ ทาง Cult of Mac ซึ่งเป็นกลุ่มของคนรัก iOS / iPhone กับ Cult of Android ซึ่งเป็นกลุ่มของคนรัก Android ได้นำประเด็นดังกล่าว มาวิเคราะห์กัน โดยทางทีมงาน techmoblog จะนำข้อดีข้อเสียของทั้ง Apple Watch และ Android Wear มาสรุปให้ชมกันว่า ทั้ง 2 รุ่นนี้ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง

ราคา

     ถ้ามองกันในเรื่องของราคา ต้องบอกเลยว่า เมื่อเทียบกันแล้ว Apple Watch ชิดซ้ายไปเลย เนื่องจากมีราคาสูงกว่า Android Wear มาก โดยราคาเริ่มต้นของ Apple Watch อยู่ที่ $349 ในขณะที่ Android Wear ส่วนใหญ่จะมีราคาไม่เกิน $250 อย่างเช่น Moto 360 มีราคาแค่ $180 เท่านั้น

ฟีเจอร์

     ถ้าตัดเรื่องราคาออกไป ด้าน Apple Watch จะมีจุดขายที่ดีกว่า ทั้งในเรื่องของ Fitness-Tracking ที่ถือว่า เป็นจุดขายหลักของอุปกรณ์สวมใส่อย่าง Smartwatch นอกจากนี้ ยังมี Apple Pay การชำระเงินรูปแบบใหม่ ที่สะดวกขึ้นกว่าเดิม หรือลูกเล่นอย่าง Doodles กับ Heartbeats, ความสามารถในการใช้งานโทรศัพท์, Digital Crown หรือเม็ดมะยมอัจฉริยะ ที่ทำหน้าที่เหมือนเมาส์ในตัว ในการเลื่อนขึ้นลง และ อินเทอร์เฟสแบบ Force Touch

แอปพลิเคชัน

     ถ้าหากมองในเรื่องของ แอปพลิเคชัน ต้องยอมรับว่า Android Wear สะดวกในเรื่องของการใช้งานมากกว่า เนื่องจากแอปพลิเคชันแต่ละตัว แยกออกจากสมาร์ทโฟนโดยตรง ไม่เหมือนกับ Apple Watch ที่แอปพลิเคชันบางอย่าง จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ยกเว้นแอปฯ ของแอปเปิล ที่สามารถแยกใช้งานเดี่ยวๆ ได้

Android Wear รองรับ iOS เมื่อไหร่ แอปเปิลจะเสียเปรียบ

     อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า กูเกิล จะเปิดตัวแพลทฟอร์ม Android Wear โฉมใหม่ ในงาน Google I/O ที่แว่วๆ ว่า จะสามารถรองรับการใช้งานกับ iOS ได้ด้วย

     ซึ่งถ้าหากเป็นความจริง จะถือว่า แอปเปิล เสียเปรียบอย่างแน่นอน เนื่องจากผู้ใช้จะมีตัวเลือกที่มากขึ้น และอุปกรณ์ที่รัน Android Wear จะมีราคาที่ถูกกว่า Apple Watch แต่ว่า Android Wear จะใช้งานได้ดีบน Apple Watch ได้มากน้อยแค่ไหน คงต้องดูที่รีวิวกันต่อไปครับ

รายละเอียดเพิ่มเติม : cultofandroid.com

สนับสนุนเนื้อหา: www.techmoblog.com

Create Date :02 มิถุนายน 2558 Last Update :2 มิถุนายน 2558 8:37:56 น. Counter : 963 Pageviews. Comments :0