bloggang.com mainmenu search
   ก่อนหน้านี้ เราได้ทำรีวิว ‘Toyota Hybrid’ โฉมใหม่ในแบบ Group Test กันไปแล้ว ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นการปรับโฉมที่ทำออกมาได้เหนือความคาดหมายเลยทีเดียว


แต่สำหรับไฮไลท์เด็ดของ ‘คัมรี่ ใหม่’ ที่เปิดตัวไปล่าสุดนี้ ถ้านับกันจริงๆคงต้องยกให้รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ที่นอกจากจะปรับโฉมภายนอก-ภายในใหม่ดูโฉบเฉี่ยวกว่าเดิมแล้ว ยังมาพร้อมเครื่องยนต์บล็อกใหม่ล่าสุด ซึ่งติดตั้งระบบวาล์วแปรผัน ‘VVT-iW’ และหัวฉีดตรง ‘D-4S’ เป็นครั้งแรกในรถโตโยต้าระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ที่วางจำหน่ายในเมืองไทยอีกด้วย ซึ่งช่วยให้แรงและประหยัดยิ่งขึ้น

โดยคันที่เราจะมารีวิวกันในครั้งนี้ เป็นรุ่น ‘Camry 2.0G Extremo’ ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นตกแต่งแบบสปอร์ต รวมถึงยังเป็นรุ่นท็อปสุดในไลน์เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรที่มีจำหน่ายในขณะนี้อีกด้วย

เริ่มต้นกันที่รูปลักษณ์ภายนอกกันก่อนเลย ด้านหน้าของ Camry 2.0G Extremo ติดตั้งไฟหน้าแบบ HID Single Projector ขณะที่ไฟสูงยังคงเป็นแบบฮาโลเจน รวมชุดไฟเลี้ยวเข้าไว้ด้วยกัน (รุ่นไฮบริดจะแยกไฟเลี้ยวมาไว้บริเวณกันชน) รวมถึงติดตั้งไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (Daytime Running Light) แบบ LED ไว้ในชุดโคมเดียวกัน

ไฟหน้าทั้งสองข้างถูกออกแบบให้เชื่อมกันด้วยกระจังหน้าสีดำ เสริมด้วยเส้นโครเมี่ยมที่ลากยาวจรดปลายไฟหน้าทั้งสองข้าง ช่วยให้ดูหรูหรา มีมิติมากยิ่งขึ้น ขณะที่กันชนหน้าจะถูกออกแบบต่างจากรุ่น 2.0 ลิตรธรรมดา ด้วยการเสริมแถบสีดำรูปทรงตัว ‘d’ เชื่อมเข้ากับช่องดักลมสีดำขนาดใหญ่บริเวณกันชน ซึ่งหากเป็นตัวถังสีขาวจะดูตัดกันลงตัวเป็นอย่างดีทีเดียว รวมถึงติดตั้งสเกิร์ตด้านหน้าที่ช่วยให้รถดูเตี้ยลง เพิ่มความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ขณะที่ไฟตัดหมอกเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร

ถัดมาด้านข้าง สะดุดตาด้วยสเกิร์ตข้างพร้อมสัญลักษณ์ ‘Extremo’ พร้อมตัวอักษร ‘VVT-iW’ ถูกแปะอยู่บริเวณบังโคลนหน้า กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถพร้อมไฟเลี้ยว มือเปิดประตูทั้งสี่บานเป็นแบบโครเมี่ยม โดยฝั่งคนขับจะมีเว้าเซ็นเซอร์แบบสัมผัสสำหรับใช้งานคู่กับกุญแจสมาร์ทคีย์ สำหรับล็อครถโดยไม่ต้องควักกุญแจออกจากกระเป๋า รวมถึงล้ออัลลอยสีดำตัดเงินขนาด 17 ดีไซน์เฉพาะรุ่น Extremo พร้อมยางขนาด 215/55 R17

ด้านหลังโดดเด่นด้วยไฟท้ายแบบรมดำ ที่เสริมด้วยโครเมี่ยมพาดยาวตลอดแนวฝากระโปรงท้าย ติดตั้งสปอยเลอร์บริเวณฝากระโปรง พร้อมสเกิร์ตกันชนท้ายตกแต่งด้วยสีดำ และท่อไอเสียแบบคู่ ซึ่งทั้งหมดนี้มีเฉพาะในรุ่น 2.0G Extremo เท่านั้น

ห้องโดยสารของรุ่น 2.0G Extremo ถูกตกแต่งด้วยโทนสีดำ ต่างจากรุ่นอื่นที่เน้นโทนสีเบจ เสริมด้วยลายไม้สีพิเศษที่ช่วยให้ห้องโดยสารดูสุขุมลงตัว เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังพร้อมเดินตะเข็บสีแดง โดยตัวเบาะคู่หน้าสามารถปรับด้วยไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง พร้อมระบบดันหลังในฝั่งผู้ขับ รวมถึงยังติดตั้งปุ่มปรับเบาะผู้โดยสารด้านหน้าไว้บริเวณด้านข้างตัวเบาะอีกด้วย ห้องโดยสารถูกตกแต่งด้วยหนังและวัสดุที่มีความอ่อนนุ่ม โดยเฉพาะจุดที่มีการสัมผัสกับร่างกายอยู่บ่อยๆ เช่น ที่วางแขน, แผงประตูด้านข้าง แผงคอนโซลหน้า ฯลฯ ช่วยยกระดับให้ดูพรีเมี่ยมมากขึ้น

มาตรวัดความเร็วเป็นแบบเรืองแสงโทนสีฟ้า-ม่วง พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 4.2 นิ้ว สามารถแสดงอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย, อัตราสิ้นเปลืองแบบ Real-time, ข้อมูลการนำทาง, เข็มทิศ, ระบบ Cruise Control, ระบบแจ้งเตือนที่สำคัญ เป็นต้น

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้านหุ้มหนังเดินด้ายสีแดง ประกอบไปด้วยปุ่มควบคุมระบบความบันเทิง ปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์, ปุ่มควบคุมหน้าจอแสดงผลการขับขี่ และปุ่มควบคุมระบบ Cruise Control ซึ่งบริเวณเหนือกึ่งกลางรอบวงพวงมาลัยจะมี Grip เล็กๆปูดออกมา ช่วยให้จับได้ถนัดยิ่งขึ้น พร้อมแป้นเกียร์ +, - ด้านหลังพวงมาลัยซึ่งมีเฉพาะในรุ่น 2.0G Extremo

คอนโซลกลางถูกติดตั้งด้วยหน้าจอแบบสัมผัส รองรับระบบนำทาง สามารถเล่นแผ่น DVD ได้ 1 แผ่น รองรับการเชื่อมต่อ USB/VTR สำหรับดูหนังฟังเพลง ขับกำลังเสียงผ่านลำโพง JBL จำนวน 10 จุดรอบคัน ที่สามารถสร้างเสียงแบบรอบทิศทางได้ โดยหน้าจอนี้ยังใช้สำหรับกล้องมองหลัง Back Guide Monitor ที่มาพร้อมเส้นกะระยะแบบ Dynamic ที่จะคอยขยับตามทิศทางของพวงมาลัย ช่วยให้การถอยจอดทำได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงยังมีเซ็นเซอร์รอบคันหน้า-หลังอีกต่างหาก

ระบบเครื่องเสียงใน Camry 2.0G Extremo ยังสามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือเพื่อการสนทนาแบบ Hand-free ผ่าน Bluetooth ได้ สามารถดึงข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์เข้ามาไว้ในรถ เพื่อความสะดวกในการโทรออก ติดตั้งปุ่มรับสาย-วางสายบนพวงมาลัย รวมถึงยังสามารถใช้เล่นเพลงที่เก็บอยู่ในโทรศัพท์เครื่องนั้นๆได้อีกต่างหาก

เลื่อนลงมาจะพบกับระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual-zone ที่ถูกปรับปรุงหน้าตาให้ดูน่าใช้งานมากขึ้น สามารถปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวาได้ ให้ความเย็นรวดเร็วทันใจตามสไตล์โตโยต้า เหมาะสำหรับสภาพอากาศบ้านเราที่ช่างร้อนระอุเหลือเกิน

ถัดมาด้านล่างจะเป็นปุ่มสำหรับเปิด-ปิดม่านบังแดดไฟฟ้ากระจกหลัง รวมถึงช่องเชื่อมต่อ USB/VTR และ AUX และช่องจ่ายไฟขนาด 12 โวลท์

และที่ล้ำไปกว่านั้น คือ ที่ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) ที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานใน คัมรี่ ใหม่ทุกรุ่น ซึ่งการทำงานก็เพียงแค่วางเครื่องโทรศัพท์ที่รองรับฟังก์ชั่นชาร์ไร้สาย แล้วกดสวิทช์เพื่อเปิดการทำงาน ก็จะเริ่มป้อนกระแสไฟเข้าตัวเครื่องทันที ซึ่งเท่าที่ดูแล้วน่าจะรองรับโทรศัพท์มือถือที่มีขนาดหน้าจอ 6 นิ้วได้อย่างสบายๆ

เครื่องยนต์ของรุ่น 2.0G ไมเนอร์เชนจ์ เป็นเครื่องยนต์บล็อกใหม่ล่าสุดรหัส 6AR-FSE ความจุ 2.0 ลิตร 4 สูบ VVT-iW พร้อมหัวฉีดตรง D-4S ให้กำลังสูงสุด 167 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 199 นิวตัน-เมตร ที่ 4,600 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด (จากเดิม 4 สปีด)

ซึ่งวิศวกรของโตโยต้าเคลมตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองรุ่น 2.0G Extremo ไว้ที่ 11.97 กิโลเมตร/ลิตร เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน 7 เปอร์เซ็นต์ และรุ่น 2.0G ปกติอยู่ที่ 12.85 กม./ลิตร เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน 15 เปอร์เซ็นต์ รองรับเชื้อเพลิงสูงสุดแบบ E20

ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง และระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบอิสระดูอัลลิงค์สตรัท ขณะที่รุ่น 2.0G Extremo จะมีความพิเศษเพิ่มขึ้นมาด้วยเหล็กค้ำโช๊คแบบยืดหยุ่น (Performance Damper) ช่วยลดการบิดตัวของตัวถังเพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการเข้าโค้ง ซึ่งเป็นรุ่นเดียวที่ติดตั้งมาให้ และยังหาไม่ได้จากรถยนต์ค่ายอื่นๆ

ด้านระบบความปลอดภัยได้รับการปรับปรุงจากรุ่นก่อนเช่นกัน จากเดิมที่มีเฉพาะถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ลูก ถูกเพิ่มเป็น 4 ลูกทั้งด้านหน้าและด้านข้าง เพิ่มระบบควบคุมเสถียรภาพ VSC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Traction Control, ระบบเบรก ABS, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill-start Assist Control), เข็มขัดนิรภัย ELR แบบ 3 จุดทั้ง 5 ที่นั่ง รวมไปถึงระบบความปลอดภัยใหม่ ทั้งระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (Blind Spot Monitor), ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert) และสัญญาณไฟกระพริบเมื่อเบรกกะทันหัน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มีมาให้ครบทุกรุ่นย่อย

     ขณะที่กล้องมองหลังจะมีเฉพาะในรุ่น 2.0G Extremo เท่านั้น

เริ่มเข้ามานั่งภายในห้องโดยสาร สัมผัสได้ถึงความโอ่อ่า โปร่งสบาย เบาะนั่งคู่หน้าขนาดค่อนข้างใหญ่ ให้ความโอบกระชับได้ดี ไม่นิ่มไม่แข็งจนเกินไป พวงมาลัยสามารถปรับขึ้นลง-เข้าออก ได้ 4 ทิศทาง ขณะที่เบาะนั่งสามารถปรับสูง-ต่ำได้ด้วยไฟฟ้า ช่วยให้หาจุดที่ลงตัวกับสรีระได้อย่างไม่ยากเย็น

อัตราเร่งของเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร บล็อกใหม่ จากการทดสอบโดยมีผู้โดยสารไซส์มาตรฐานชายไทยจำนวน 2 คน ด้วยเชื้อเพลิงแบบ E20 ปรากฏว่าทำได้อยู่ที่ 11.08 วินาที ซึ่งถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เพราะน้ำหนักตัวรถเปล่าก็ปาเข้าไป 1,480 กิโลกรัมแล้ว

ขณะที่การเปลี่ยนเกียร์ทำได้รวดเร็ว ลื่นไหลและนุ่มนวล ไม่มีอาการกระตุกหรือกระชากให้เห็น โดยระยะเวลาในการเปลี่ยนเกียร์แม้จะไม่รวดเร็วเท่ากับเกียร์แบบคลัทช์คู่ แต่ก็ถือว่าเร็วกว่าเกียร์อัตโนมัติแบบทอร์คคอนเวิตเตอร์ลูกเดิม

อัตราทดที่เพิ่มขึ้นมาอีก 2 จังหวะ จากเดิม 4 สปีด เป็น 6 สปีดนั้น นอกจากจะช่วยให้แรงบิดสามารถถ่ายทอดไปยังล้อได้อย่างต่อเนื่องกว่าเดิมแล้ว ยังช่วยทดรอบเครื่องยนต์ให้ต่ำลงในการเดินทางไกล  ช่วยให้ไม่ต้องเค้นกำลังเครื่องยนต์มากเกินไป แถมยังช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยรอบเครื่องยนต์ที่ใช้ในเกียร์สูงสุด (เกียร์ 6) เมื่อเทียบกับความเร็วที่ได้มีดังนี้

•    ความเร็ว 80 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องยนต์ที่ 1,400 รอบต่อนาที
•    ความเร็ว 90 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องยนต์ที่ 1,600 รอบต่อนาที
•    ความเร็ว 100 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องยนต์ที่ 1,800 รอบต่อนาที
•    ความเร็ว 110 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องยนต์ที่ 1,950 รอบต่อนาที
•    ความเร็ว 120 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องยนต์ที่ 2,100 รอบต่อนาที

*ตัวเลขดังกล่าวอ้างอิงจากความเร็วและรอบเครื่องยนต์ที่แสดงบนหน้าปัดเป็นหลัก

น่าสังเกตจุดหนึ่งว่า ระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) นั้น จะไม่ได้ทำงานแบบโหมดเกียร์ธรรมดาเหมือนรถทั่วไป แต่จะเป็นการเลือกตำแหน่งเกียร์สูงสุดเหมือนกับการเลือกตำแหน่งเกียร์ด้วยคันเกียร์ปกติ (ลองนึกถึงแป้นเกียร์ที่มีให้เลือกตั้งแต่ P R N D 4 3 2 1 นั่นแหละ การเปลี่ยนเกียร์ด้วยแป้นที่พวงมาลัยของคัมรี่ ก็เหมือนการเลือกตำแหน่ง 4 3 2 1 ในรถทั่วไป) ซึ่งหมายความว่า ถ้าหากเราเลือกตำแหน่งเกียร์ 4 ด้วยแป้น Paddle Shift ตัวสมองกลเกียร์จะไล่การทำงานตั้งแต่เกียร์ 1 ไปจนถึงเกียร์ 4 ตามความเร็วของตัวรถ หากมีการคิกดาวน์เกิดขึ้น สมองกลเกียร์ก็จะสั่งลดอัตราทดเกียร์ไปยังเกียร์ที่ต่ำกว่าได้อย่างอิสระ ต่างกับ Paddle Shift แบบที่มีระบบ Manual ที่สามารถล็อคอัตราทดเกียร์ตามที่เลือกเองได้โดยไม่มีการเปลี่ยนอัตราทดเป็นตำแหน่งอื่น

ช่วงล่างของ คัมรี่ ไมเนอร์เชนจ์ ยังคงเน้นความนุ่มนวลเป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันก็ยังให้ความหนึบอยู่พอประมาณ ตอบโจทย์การใช้งานในบ้านเราที่มักต้องเจอทั้งทางขรุขระ และยังต้องขับขี่ด้วยความเร็วสูงเมื่อขับข้ามจังหวัดไกลๆ เนื่องจากช่วงล่างของคัมรี่สามารถซับแรงสะเทือนได้ค่อนข้างดีเวลาที่ขับผ่านผิวทางที่ไม่เรียบ เสียงรบกวนจากช่วงล่างเข้ามายังห้องโดยสารน้อย ขณะที่ช่วงทางหากใช้ความเร็วสูง ตัวรถก็ยังคงให้อาการนิ่ง ไว้ใจได้ จะมีก็เพียงจังหวะที่เข้าโค้งแรงๆ อาจมีอาการช่วงท้ายพยายามเป๋ออกให้เห็นอยู่นิดๆ ซึ่งถือว่าเป็นธรรมชาติของรถที่มีฐานล้อยาวอยู่แล้ว แต่กระนั้นทุกอย่างก็ยังถือว่าอยู่ในการควบคุมของผู้ขับเป็นอย่างดี

การเก็บเสียงถือว่าทำได้ดีเช่นกัน เพราะนอกจากเสียงจากช่วงล่างที่ค่อนข้างเงียบแล้ว เสียงจากยางสัมผัสกับพื้นถนนและเสียงลมปะทะก็ถือว่าน้อยเช่นกัน  จะมีเสียงลมเล็ดลอดเข้ามาให้พอได้ยินบ้างก็ต่อเมื่อขับด้วยความเร็ว 120 กม./ชม.ขึ้นไป ซึ่งเสียงทีว่าจะแทรกเข้ามาบริเวณเสากลาง ช่วงรอยต่อของประตูเล็ดลอดเข้ามานิดหน่อย

ขณะที่การขับขี่เมืองนั้น แม้ว่าตัวถังของ คัมรี่ จะมีความยาวถึง 4,850 มิลลิเมตร แต่ก็ยังให้ความรู้สึกคล่องตัว ด้วยอัตราทดพวงมาลัยที่ค่อนข้างกระชับ สามารถซอกแซกไปตามการจราจรได้อย่างไม่ยากเย็น บวกกับทัศนวิสัยรอบคันที่สามารถมองเห็นได้อย่างทั่วถึง

ส่วนระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (Blind Spot Monitor) จะถูกเปิดใช้งานทุกครั้งที่มีการสตาร์ทรถ โดยหากเซ็นเซอร์ตรวจพบรถคันอื่นอยู่บริเวณมุมอับสายตา ระบบดังกล่าวจะเตือนเป็นไฟสีส้มอยู่บริเวณปลายกระจกมองข้างทั้งสองด้าน แต่หากผู้ขับยกก้านไฟเลี้ยว ไฟสัญญาณดังกล่าวก็จะกระพริบให้เห็นเพื่อให้ใช้ความระมัดระวังในการเปลี่ยนเลน

ในจังหวะถอยรถนั้น นอกจากจะมีภาพจากกล้องมองหลัง พร้อมเซ็นเซอร์กะระยะทั้ง 4 มุมแล้ว ยังมีระบบสัญญาณเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert) อีกด้วย โดยหากมีรถเคลื่อนผ่านด้านหลังเวลาที่เรากำลังจะถอยออกจากที่จอด ระบบจะส่งสัญญาณเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบ ประกอบกับสัญญาณไฟกระพริบที่กระจกมองข้างจะสว่างขึ้น ซึ่งมีประโยชน์มากในกรณีที่มีรถจอดขนาบข้างอยู่จนไม่สามารถมองเห็นรถที่วิ่งมาด้านหลังได้

อัตราสิ้นเปลืองของ Camry 2.0G Extremo จากการทดสอบตามมาตรฐานของ Sanook!Auto นั้น  เราใช้วิธีเติมน้ำมันเชื้อเพลิงชนิด E20 จนเต็มถังเท่าที่หัวจ่ายตัด จากนั้นจึงขับขี่บนเส้นทางชะอำมุ่งหน้าทางด่วนดาวคะนอง ด้วยความเร็วประมาณ 80-120 กม./ชม.สลับกันไป ผ่านจุดที่มีการจราจรหนาแน่นเป็นบางช่วง แล้วจึงเติมน้ำมันกลับจนเต็มถังเท่าที่หัวจ่ายตัดเช่นเดิม ปรากฏว่าสามารถเติมน้ำมันกลับเข้าไปเป็นจำนวน 10.13 ลิตร เมื่อเทียบกับระยะทางทั้งหมดจำนวน 138.8 กิโลเมตร คิดเป็นอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 13.7 กม./ลิตร ซึ่งถือว่าไม่เลวเลยสำหรับรถเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรที่ต้องแบกน้ำหนักตัวรถกว่าตันครึ่งพร้อมผู้โดยสารอีก 2 คน

สรุป Toyota Camry 2.0G Extremo ที่เรานำมาทดสอบในครั้งนี้ ถือว่าเป็นรถระดับผู้บริหารที่ยังคงรักความสปอร์ต ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูโฉบเฉี่ยว แต่ก็ยังสามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน เหมาะสำหรับใช้เป็นรถขับไปทำงานในวันธรรมดา และพาครอบครัวไปเที่ยวด้วยกันในวันหยุด เครื่องยนต์บล็อกใหม่ให้สมรรถนะที่ดีขึ้น บวกกับอัตราทดเกียร์ 6 จังหวะ ให้อัตราเร่งลื่นไหลขึ้น อัตราประหยัดเชื้อเพลิงดีขึ้น ช่วงล่างมาในสไตล์นุ่มนวล แต่ยังคงให้ความแน่นหนึบเมื่อใช้ความเร็วสูง อ็อพชั่นครบครัน ทั้งความบันเทิงและความปลอดภัย ถือว่าเป็นรถระดับ D-Segment ที่น่าใช้งานมากที่สุด ณ วินาทีนี้

ราคาจำหน่าย Toyota Camry 2.0G Extremo อยู่ที่ 1,429,000 บาท


ที่มา  //auto.sanook.com/15587/

Create Date :14 พฤษภาคม 2558 Last Update :14 พฤษภาคม 2558 8:51:56 น. Counter : 2754 Pageviews. Comments :0