bloggang.com mainmenu search
ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีรุ่นเล็กกว่านี้อย่าง Q1 ตามออกมาขายหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ในตอนนี้ ถ้าพูดถึงตัวลุยที่มีไซส์เล็กที่สุดเท่าที่ออดี้มีวางขายบนโชว์รูม ตำแหน่งตรงนี้ตกเป็นของ Q3 เอสยูวีน้องใหม่ที่เพิ่งเผยโฉมให้เห็นตัวเป็นๆ ในงานออโต้ เซี่ยงไฮ้ 2011 ไปแล้ว โดย Q3 ถูกกำหนดให้พร้อมลุยตลาดเพื่อเป็นคู่ปรับโดยตรงของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 1 และจะเริ่มขายในยุโรปช่วงเดือนมิถุนายนนี้

การเปิดตัว Q1 ช่วยเติมเต็มทางเลือกของเอสยูวีในแบรนด์ออดี้ให้ครอบคลุมกับทุกความต้องการ ของลูกค้า และรับมือกับคู่แข่งสำคัญอย่างบีเอ็มดับเบิลยูได้อย่างครบถ้วน โดย Q7 จะประชันกับ X5 และ Q5 จะประชันกับ X3 โดยที่ Q3 จะมีต้องรับบทบาทที่สำคัญในการช่วยขยับยอดขายให้แก่ค่าย 4 ห่วง ซึ่งวางแผนที่จะขึ้นเป็นนัมเบอร์วันของตลาดรถยนต์หรูของโลกให้ได้ภายในอีก 3 ปี ข้างหน้า

งานนี้ก็เหมือนกับ Q5 และ Q7 เป็นการหยิบยืมและแชร์พื้นฐานร่วมกับแบรนด์พี่น้องในเครือ ซึ่ง Q3 ถูกพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับโฟล์คสวาเกน Tiguan โดยใช้พื้นตัวถังรุ่น PQ35 สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าไซส์คอมแพ็กต์อย่างโฟล์คสวาเกน กอล์ฟ, ออดี้ เอ3 และในอนาคตเอสยูวีอีกรุ่นที่จะเปิดตัวออกมาโดยแชร์พื้นฐานเดียวกับ คือ เซียท Tribu ที่พัฒนามาจากต้นแบบชื่อเดียวกันนี้ แต่เปิดตัวออกมาในปี 2007

สิ่งที่ยืนยันถึงเรื่องนี้คือ ไลน์ผลิตของ Q3 ซึ่งแทนที่จะอยู่ในเยอรมนีเหมือนกับพี่น้อง แต่กลับถูกโยนไปอยู่ที่โรงงานของเซียทในเมืองมาร์โทเรลล์ ประเทศสเปน ซึ่งทางบริษัทแม่ได้ลงทุนถึง 300 ล้านยูโร หรือ 15,000 ล้านบาท ในการปรับไลน์ผลิตรองรับการประกอบเอสยูวีรุ่นนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีกำลังการผลิตต่อปีอยู่ที่ 80,000 คันเลยทีเดียว

จากเลย์เอาต์พื้นตัวถังรหัส PQ35 การจัดวางของเครื่องยนต์จะเป็นแบบวางตามขวางเหมือนกับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อ หน้าทั่วไป ส่วนในแง่ของรูปทรงของตัวรถถูกถอดแบบมาจากเอสยูวีรหัส Q เน้นความโฉบเฉี่ยวของเส้นสาย โดยเฉพาะเส้นแนวหลังคาที่ให้สัมผัสถึงความสปอร์ตตามสไตล์ Crossover Coupe กับค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทาน หรือ Cd 0.32 แต่มาในรูปแบบ 5 ประตูที่มีความยาวตัวถังในระดับ 4.39 เมตร กว้าง 1.83 เมตร และสูง 1.60 เมตร

ในห้องโดยสารตอบสนองความสะดวกสบายได้ อย่างเต็มที่ด้วยเบาะนั่ง 2 แถว 5 ที่นั่ง เบาะนั่งหลังสามารถแยกพับในอัตราส่วน 40:60 ซึ่งเมื่อเบาะหลังอยู่ในสภาพปกติ พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายจะมีความจุอยู่ที่ 460 ลิตร แต่เมื่อพับเบาะหลังลงทั้งหมด ตัวเลขจะขยับขึ้นมาเป็น 1,365 ลิตร

ขณะที่งานออกแบบภายในมีการผสมผสานความสปอร์ตกับความหรูได้อย่างลงตัว และมีการติดตั้งระบบอำนวยความสะดวกมากมาย ซึ่งก็รวมถึงหน้าจอแบบ MMI ที่ควบคุมและสั่งการทำงานของระบบต่างๆ ภายในตัวรถ และยังทำหน้าที่เป็นหน้าจอสำหรับระบบนำทางอีกด้วย ส่วนคนที่ชอบความปลอดโปร่งในการรับแสงแดดก็มีหลังคาแบบ Panoramic Sunroof ให้เลือกเป็นออปชันอีกด้วย

3 ทางเลือกของเครื่องยนต์ในแบบไดเร็กต์อินเจ็กชัน เทอร์โบ 2000 ซีซี แบบ 4 สูบ โดย 2 รุ่นเป็นแบบเบนซินในรหัส TFSI ที่มีให้เลือก 2 ระดับของการขับเคลื่อน คือ 170 และ 211 แรงม้า ส่วนอีกรุ่นเป็นเทอร์โบดีเซล 140 แรงม้า ซึ่งมีแรงบิดระหว่าง 28.5-38.7 กก.-ม. โดยหลังจากนั้น ออดี้จะส่งอีกทางเลือกของรุ่นเทอร์โบดีเซลตามออกมาขาย ทุกอย่างเหมือนกัน แต่อัปกำลังขึ้นมาเป็น 177 แรงม้า

ทางด้านสมรรถนะในการขับเคลื่อนเร้าใจอย่างมากโดยเฉพาะรุ่นท็อป 211 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่ที่ 6.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตร ส่วนรุ่นเทอร์โบดีเซล 140 แรงม้าก็ตอบสนองในด้านความประหยัดอย่างลงตัว โดยในรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ มีอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเพียง 19 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับการขับแบบเฉลี่ย

สำหรับระบบส่งกำลังนอกจากเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะแล้วก็มีเกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ S-Tronic เป็นอีกทางเลือก เช่นเดียวกับระบบขับเคลื่อนซึ่งนอกจากรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าเพียงอย่างเดียว แล้วก็ยังมีรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา Quattro เป็นอีกทางเลือก

ออดี้เลือกวางกลยุทธ์ในการ เข้าถึงความต้องการของลูกค้าอย่างเต็มที่ และตั้งราคาเอาไว้ไม่แรงมากเพื่อหวังแชร์ส่วนแบ่งในตลาดจากรุ่ท็อปของตลาด ล่างที่ครอบครองโดยโอเปิล แอนทารา และโฟล์คสวาเกน Tiguan โดยในรุ่นพื้นฐานสตาร์ทกันที่ 29,900 ยูโร หรือ 1.5 ล้านบาท

Create Date :24 พฤษภาคม 2554 Last Update :24 พฤษภาคม 2554 8:31:10 น. Counter : Pageviews. Comments :0