bloggang.com mainmenu search

ช่วงตั้งแต่ก่อนมอเตอร์โชว์ จนกระทั่งจบลงอย่างสวยงาม รถยนต์ที่ถือว่าเป็นตัวชูโรงในงานนี้ นอกจากจะมีกลุ่มกระบะและ อีโค่คาร์ยังเป็นรถอีกกลุ่มที่มีการขับเคี่ยวอย่างสนุกสนาน และในยกที่ 2 ของรถยนต์กลุ่มนี้ ก็มี 2 น้องใหม่ ที่เราเพิ่งได้ไปลองมาแล้วทั้ง 2 คัน

อาจจะยังไม่สามารถเปรียบเทียบอย่างชัดเจน แต่อย่างน้อนยเราก็สามารถบอกได้ว่าว่ามันเป็นเช่นไรบ้างเมื่อ Mitsubishi เชิญเราไปทดสอบ Mitsubishi mirage อย่างเป็นทางการในสนาม พีระ เซอร์กิต ที่ทำให้เราได้รู้จักกับน้องมิราจ อีโค่คาร์น้องใหม่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

Mitsubishi Mirage

ภายนอกทันสมัย จับใจในเรือนร่าง

เมื่อพูดถึง Mitsubishi Mirage ตั้งแต่แรกพบ เรารู้สึกประทับใจในตัวรถอย่างมาก ด้วยการตอบโจทย์ภายใต้แนวคิดการออกแบบที่เน้นทางด้านความทันสมัย และยังคงความสปอร์ตที่ค่ายรถยนต์เจ้านี้ มักจะนำเสนออยู่ในรถทุกรุ่น ภายใต้แนวคิดของค่ายที่ต้องการเติม "จิตวิญญาณแห่งการแข่งขัน" เข้าสู่รถทุกรุ่น

แม้ Mirage จะเป็นรถยนต์ที่มีต้นกำเนิดมากจากความเป็นรถอีโค่คาร์ แต่เรื่องการออกแบบตัวถังไม่ได้มีความแตกต่างกันเลยด้วยการให้เส้นสายทันสมัยเริ่มจากใบหน้าที่จับเอากระจังหน้าสมัยใหม่ในเรือนร่างเก๋งของค่ายมาปรับให้เข้ากัน ย่อขนาดให้มินิจุ๋มจิ๋มตามไซส์ของรถ เน้นความลงตัว ภายใต้เรือนร่างที่นำเสนอด้วยความยาว 3,710 ม.ม. กว้าง 1,665 ม.ม. และสูง 1,490 ม.ม

Mitsubishi Mirage

การออกแบบที่ที่ทันสมัยก็ยังๆไม่ลืมจะใส่ใจในเรื่องการออกแบบที่ขลับให้มีความลู่ลมมากจนมีค่าสัมประสิทธิเสียดทานเพียง 0.29 cd มาพร้อมล้อขอบ 14 ในทุกรุ่นจะแตกต่างแค่เป็นล้อเหล็กกระทะ หรือล้ออัลอย โดยทั้งหมดรัดด้วยยางขนาด 165/65 R14

ภายในเน้นสบาย ทันสมัยในการออกแบบ

เมื่อเปิดเข้ามาสู่ห้องโดยสาร Mitsubishi Mirage มาพร้อมการตอบโจทย์ในเรื่องความเรียบง่ายด้านการออกแบบของตัวรถที่สามารถตอบสนองการใช้งานจริงได้อย่างลงตัว ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ห้องโดยสาร ที่เน้นการตบแต่งในสไตล์สีดำให้ความสปอร์ตกับตัวรถ พร้อมจัดวางตำแหน่งต่างๆ ไว้ลงตัวเริ่มจากพวงมาลัย 3 ก้านสามารถปรับสูง-ต่ำได้ ตรงหน้าคนขับให้จอแสดงข้อมูลการขับขี่ และยังมีไฟบอกตำแหน่งประหยัดที่จะพบได้จากรุ่น GLX เป็นต้นไป

เบาะนั่งแนะนำด้วยวัสดุแบบผ้าโอบกระชับลงตัวในสไตล์สปอร์ตทั้งยังสามารถปรับสูงต่ำได้ตั้งแต่รุ่น GLX เป็นต้นไป เช่นเดียวเบาะหลังสามารถปรับพับได้ในอัตรา 60/40 ลงตัวทางด้านการใช้งาน ซึ่งเมื่อเข้าไปลองนั่งก่อนการทดสอบขับขี่ เราซึ่งมีความสูง 182 ซ.ม. ในท่านั่งปกติ ยังมีพื้นที่เหนือหัวเหลือพอที่จะไม่รู้สึกอึดอัด เช่นเดียวกับการ พื้นที่วางขาที่แม้จะเล็ก แต่ก็ไม่ได้ให้ความแคบไปนัก

Mitsubishi Mirage

เมื่อลองมานั่งทางตอนหลัง เราพบว่าอาจจะมีปัญหาบางเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มากมายนัก ด้วยพื้นที่เหนือหัวลดลง ส่วนพื้นที่วางขาก็ไม่มากมายนักอย่างที่คิด แต่ด้วยการออกแบบเบาะนั่งหลัง ที่ปรับท่านั่งให้ให้เหมาะสมต่อการเดินทาง มันก็น่าจะเพียงพอต่อการใช้งานจริง แต่นี่เป็นซิตี้คาร์ที่ไม่ได้เน้นเดินทางไกลกันมากนัก

ลองชิวๆกับเกียร์อัตโนมัติ

ในที่สุดหลังจากรอกันอย่างนานในการทดสอบเจ้า Mitsubishi Mirage ก็ถึงคิวการทดสอบของเราเสียที โดยในการทดสอบในสนาม พีระฯ ทาง Mitsubishi ได้จัดแบ่งสถานีต่างๆ ออกเป็น 5 สถานี สำคัญ คือ 1. สถานีอัตราเร่ง จะใช้ช่วงทางตรงเพื่อทำอัตราเร่งสูงสุด 2.สถานีแรงบิด ดูการใช้กำลังของเครื่องยนต์บนทางชัน 3.สถานีการทรงตัว ให้ผู้ขับทำการขับสลาลม 4.สถานีทรงตัว (2) ดูการเข้าโค้งและการเปลี่ยนเลน เป็นสำคัญ และท้ายที่สุดสถานีที่ 5 สถานีขับทางแคบ ให้ดูความคล่องตัวในการขับขี่ในที่แคบ

5 ภารกิจสำคัญที่ต้องปฏิบัติ ใน 1 รอบ เมื่อขึ้นรถสวมหมวกนิรภัยและคาดเข็มขัดเรียบร้อย ก็เป็นการเริ่มภารกิจสำคัญ โดยในรถคันแรกที่เราขับเป็นรุ่นเกียร์อัตโนมัติ มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร ให้กำลัง 78 แรงม้าที่ 6000 รอบต่อนาที และแรงบิดให้สูงสุด 100 นิวตันเมตรที่ 4000 รอบต่อนาที โดยในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ มาพร้อมระบบเกียร์ Invect III-CVT มีอัตราทดตั้งแต่ 4.007-0.550

Mitsubishi Mirage

ถึงสถานีแรกเราก็พร้อมลองในอัตราเร่งของเครื่อง 1.2 ในเจ้าตัวเล็กของค่าย Mitsubishi ที่เราค่อนข้างจะใส่ความคาดหวังไว้พอตัวด้วยรถคันนี้มีน้ำหนักเบากว่าคู่แข่งราวๆ 100 กิโลเมตร โดยเราขับขี่คนเดียว น้ำหนักตัวตอนนี้ก็ 90 กว่า ก.ก. หน่อยๆ แต่เมื่อกระแทกคันเร่งธรรมดาไม่ได้ใช้ตัวช่วยใด Mirage ก็ออกตัวแบบเอื่อยไปแบบเรื่อยๆ ตลอดระยะทางอัตราเร่ง กำลังมาดูดีช่วงรอบกลาง ซึ่งเป็นช่วงที่มีแรงบิดสูงสุด แต่มันก็ยังไม่ถูกใจมากมายนัก จะพูดก็เหมือนยังไม่เต็ม 100 แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันขาดอะไรไป

ในสถานีที่ 2 ซึ่งเป็นสถานีแรงบิดเราต้องลองเหยีบขึ้นเนิน ซึ่ง Mitsubishi Mirage ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ขึ้นเนินได้แบบไม่ขาดตกเรื่องพละกำลัง แต่เมื่อเทียบกับเร่องอัตราเร่งที่เราทดสอบมาก่อนหน้า ต้องบอกว่าสถานีแรงบิดทำได้ดีกว่า แม้ในยามขึ้นทางชันโค้ง ซึ่งจะพบได้ตามถนนต่างจังหวัดหากเราไปเดินทางไกล

ผ่านมาแล้วในเรื่องของเครื่องยนต์ครั้งนี้เราก็มาในส่วนของเครื่องยนต์ ต่อไปนี้ก็เป็นเรื่องของช่วงล่างล้วนๆ ในสถานีนี้เป็นการทดสอบในเรื่องการหักเลี้ยวและความแม่นยำของพวงมาลัย ด้วยการสลาลม ตวัดรถไปมาเพื่อดูการตอบสนอง และเมื่อ พร้อมเราก็จัดการกดคันเร่งลงไปขับเข้าสลาลมด้วยความเร็วป้วนเปี้ยนแถวๆ 40-50 ก.ม./ช.ม. เท่าที่ดูการตอบสนองของ Mitsubishi Mirage ต้องยอมรับในเรื่องการตอบสนองของตัวรถที่สามารถให้ความลงตัวได้ดีพอสมควร ส่วนหนึ่งด้วยการให้อารมณ์ที่คล่องแคล่ว แต่ยอมรับว่าท้ายรถค่อนข้างมีความไว ด้วยอานิสงค์จากช่วงตัวที่สั้นประกอบกับระยะฐานล้อ 2,450 ม.ม จากขนาดรถที่ได้กล่าวไปว่ามีความยาวเพียง 3,710 ม.ม. ส่งผลให้ Mitsubishi Mirage เป็นรถที่มีท้ายค่อนข้างสั้น

ด้านพวงมาลัยการตอบสนองถือว่าทำได้ดีในระดับรถอีโค่คาร์ การตอบสนองดังกล่าวจะชัดเจนขึ้นสถานีที่ 4 ซึ่งเน้นหนักในทางโค้งและการเปลี่ยนเลน ในยามเข้าโค้ง Mitsubishi Mirage ให้การตอบสนองพวงมาลัย ที่เฉียบคม แต่ยังไม่คมเท่ารุ่นพี่ Lancer ส่วนหนึ่งต้องยอมรับเรื่องการตอบสนองที่ฉับไว้หักปุ๊ปเลี้ยวปั๊ป จนอดสงสัยไม่ได้ว่าอาจจะเป็นอุปสรรคต่อยามฉุกเฉินหรือไม่

Mitsubishi Mirage

อีกประการที่สำคัญคงเป็นเรื่องของระบบกันสะเทือนที่สามารถแสดงสมรรถนะได้ดีในด่านนี้ แม้รถคันนี้จะมียางเพียง 165/65 /R14 ถือว่าเป็นยางที่มีขนาดค่อนข้างเล็กจนเราไม่อยากจะเชื่อสายตา แต่เมื่อเดินเครื่องผ่านสถานีที่ 4 การเข้าโค้ง หรือการเปลี่ยนเลน ถือว่าทำได้ดีไม่หยอก แม้จะมีอาการโยนบางเล็กน้อยจากขอบยางที่มีแก้มค่อนข้างจะสูงพอตัวแต่เมื่อตอบโจทย์ในภาพรวม ถือว่าไม่เลว

ในที่สุดการทดสอบรถก็ดำเนินถึงด่านสุดท้า ยกับด่านที่ 5 ในเรื่องของทางแคบ ซึ่ง Mitsubishi Mirage ต้องผ่านทางโค้งสั้นที่มีขนาดวงเลี้ยวพอดีตัว 4.4 เมตร โดยประมาณ และเพียงหักพวงมาลัยปล่อยเบรคให้เครื่องเดินเบาก็สามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย เช่นเดียวกับทางแคบขนาดรถคันนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาหรืออุปสรรคต่อการขับขี่

เกียร์ธรรมดาดีกว่า เห็นชัดจากอัตราเร่ง

ความประทับใจของ mirage ทำให้อดไม่ได้จะทำให้เราอยากลองขับเกียร์ธรรมดาดูบ้าง ในตัวเกียร์ธรรมดาที่ตอบสนองด้วยอัตราทดเกียร์ 5 สปีด เริ่มตั้งแต่ 3.545 ยันเกียร์สุดท้ายที่มีอัตราทดมากกว่าที่ 0.804 ให้อัตราทดเฟืองท้ายใช้ 4.055 ต่างจากเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งใช้ 3.757 ไม่เพียงเท่านั้นรถคันนี้ยังหนักเพียง 830 ก.ก. ไม่รับรวมคนขับที่ต้องเหมาเอาว่าบวกไป 150 ก.ก. จากพี่สื่อจาก Auto-Thailand ขอมาร่วมแจมด้วยในครั้งนี้

โดยรวมแล้วในรุ่นเกียร์ธรรมดาระบบช่วงล่างต่างๆ ทำได้ค่อนข้างดีพอๆกันกับเกียร์อัตโนมัติ แต่ความโดดเด่น นั้นอยู่ที่เครื่องยนต์ ซึ่งสามารถทำได้ดีกว่าเห็นได้ชัดเจนในสถานีที่ 1 ซึ่งเราสามารถเค้นจนสามารถแตะเลข 100 ก.ม./ช.ม. จากรุ่นเกียร์อัตโนมัติที่ได้ราวๆ 90 ก.ม./ช.ม. และที่สำคัญการเทแรงบิดลงล้อในสถานีที่ 2 ก็ยังทำได้ดีกว่าอย่างชัดเจน จนเรียกว่าทุกครั้งที่แตะคันเร่งคือความสนุกสนานในการขับขี่ ไม่มีอืดหรือเอื่อยให้เห็น เป็นสิ่งที่น่าแปลกจากขุมพลังเดียวกันแค่ต่างเกียร์และเฟืองท้ายอะไรๆก็เปลี่ยนไปได้

Mitsubishi Mirage

ท่านประธาน ลงมาลองขับด้วยตัวเอง..เลยครับ  

อัตราประหยัดสุดช๊อก นอกเมืองตัวเลขสูงสุด 28 ../ลิตร

ในระหว่างที่เรากำลังขับขี่อย่างเมามันส์ในสนาม พี่สื่อมวลชนอีกกลุ่มหนึ่งก็ใช้เวลาที่เรากำลังสนุกไปทดสอบ Mitsubishi Mirage นอกเมือง โดยเป็นการวิ่งบนถนนจริงในเส้นทางจากหน้าสนามพีระ เซอร์กิต ผ่านยัง ถนนบายพาส ที่ตัดไปเข้าตรงช่วงเมืองพัทยา และย้อนกลับมาที่สนามอีกครั้ง การขับทดสอบเป็นการขับแบบ Eco Run ใช้ความเร็ว 90-110 ก.ม./ช.ม. ตามคำบอกเล่าของ Mitsubishi

ผลคือในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ Mitsubishi Mirage สามารถทำอัตราประหยัดได้สูงสุด คือ 24.608 ก.ม./ลิตร แต่ใครจะไปคิดว่ามีมากกว่านั้นกับอัตราประหยัดในรุ่นเกียร์ธรรมดา ที่สามารถทำได้สูงจนทะลุตัวเลข 28.43 ก.ม./ลิตร ถือว่าทั้งหมดนั้นมากกว่าที่ Mitsubishi Mirage มากกว่าที่ได้โฆษณาไปเสียอีก

ความจริงแล้วในการทดสอบ Mitsubishi Mirage เป็นเพียงการทดสอบในเชิงการทดสอบปิดทำให้ยังไม่สามารถบอกอะไรได้มากมาย แต่ในครั้งหน้า ซึ่งเราจะคงจะได้จับรถคันนี้มาทดสอบอย่างจริงจัง โดยเฉพาะสภาวะการใช้งานจริง ก็หวังว่าจะได้อะไรมาเล่าให้เพื่อนๆฟังได้มากกว่านี้

เรื่องและภาพโดย ณัฐยศ ชูบรรจง

//auto.sanook.com/3697/

Create Date :17 เมษายน 2555 Last Update :17 เมษายน 2555 9:37:36 น. Counter : Pageviews. Comments :0