bloggang.com mainmenu search

ผมเองใช้ Galaxy Note 4 เป็นเครื่องหลักมาก่อน หลังจากได้ลองเล่นตัวจริงในงาน Mobile Expo ที่ผ่านมาแทบจะไม่ต้องคิดอะไรมากว่าซื้อ Note Edge เถอะ ผมว่าคนที่บ้ามือถือเหมือนกันน่าจะรับรู้ถึงพลังงานบางอย่างได้ว่ามันน่าสนใจ โอเคงั้นลองมาดูว่ามันน่าสนใจจริงๆรึเปล่า

จอโค้งทำให้จับเครื่องและใช้งานลำบาก ผมว่าคนที่คิดแบบนี้คงจะไม่เคยใช้งานมือถือหน้าจอ 5 นิ้วขึ้นไปแบบจริงจังสินะ ผมว่ามือถือที่หน้าจอใหญ่มันใช้งานมือเดียวในบางสถานการณ์ได้ลำบากอยู่แล้ว เช่น ขับรถแล้วอยากโทรออก ปาดโน่นนี่ ซึ่งมักจะเป็นในที่ๆไม่น่าใช้ทั้งนั้น แต่อย่าลืมว่าบน Note 4 หรือ Note Edge เองมันมีโหมดช่วยใช้งานมือเดียวอยู่ด้วย



หน้าจอของ Galaxy Note Edge มีขนาด 5.6 นิ้ว ซึ่งตามสเปคแล้วดูเหมือนจะเล็กกว่า Note 4 นิดหน่อย ส่วนนึงเพราะจะถูกตัดออกไปเป็นจอโค้งด้านข้าง การใช้จอแบบ Super AMOLED ทำให้สีสันดูสดมาก (เป็นจุดเด่นของหน้าจอแบบนี้) แต่แอบตัดกระจกกันรอยขีดข่วนจาก Gorilla Glass 4 เป็น Gorilla Glass 3 ซะงั้น แน่นอนไม่ใช่ปัญหาเราติดฟิลม์กันรอยกันอยู่แล้ว



หากมองจากด้านหน้าตรงๆขอบที่โค้งจะอยู่ทางขวามือและก็ไม่ได้โค้งแบบทิ้งดิ่งมาก ด้านบนของหน้าจอก็จะเป็นส่วนของกล้องหน้า ลำโพงสนทนาและเซ็นเซอร์ต่างๆ ด้านล่างเราจะเห็นเพียงปุ่ม Home เท่านั้นส่วนปุ่ม Recent และเป็น Back จะเป็นแบบทัชสกรีน


     สำหรับ Note Edge ใช้ฟังแบบ 3.5mm โดยจะวางเอาไว้ด้านบนของตัวเครื่อง สำหรับในส่วนของด้านบนนี้จะเป็นที่อยู่ของปุ่ม Power (เปิด/ปิดเครื่อง) และช่อง Infrared port


ด้านซ้ายของตัวเครื่องจะเป็นตำแหน่งของปุ่ม Volume เพิ่มและลดเสียง และตำแหน่งล่างสุดจะเป็นช่องต่อ Micro USBที่เก็บ S-Pen และรูเล็กๆเป็นช่องของไมโครโฟนเอาไว้คุยโทรศัพท์


     ด้านหลังของตัวเครื่องจะประกอบไปด้วยกล้องหลัง , LED flash, และตัว heart rate เซ็นเซอร์ที่อยู่ใกล้ๆกัน ใครที่ชอบออกกำลังกายน่าจะชอบลูกเล่นของ heart rate นี้นะ และสุดท้ายด้านล่างเป็นช่องลำโพง

ก่อนจะไปอ่านรีวิวเพิ่มเติมเรามาอัพเดต Spec กันก่อน

-  มาพร้อมแอนดรอยเวอร์ชั่น Android OS, v4.4.4 (KitKat)
ใช้ชิพเซ็ท Qualcomm Snapdragon 805 ซีพียูความเร็ว Quad-core 2.7 GHz Krait 450 / Adreno 420
ตัวเครื่องมีหน้าจอขนาด 5.6 นิ้ว แบบ Super AMOLED ความละเอียดของหน้าจออยู่ที่ 1600 x 2560 pixels (~524 ppi )
ใช้กระจกกันรอยแบบ Corning Gorilla Glass 3 และมีจุดขายที่เด่นก็คือการใช้หน้าจอ Curved edge screen ด้านข้าง
ขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 151.3 x 82.4 x 8.3 mm และหนัก 174 g
ใช้ซิมแบบ Micro-SIM
มาพร้อมหน่วยความจำ RAM 3 GB และ ROM 32 GB สามารถเพิ่มหน่วยความจำแบบ Micro SD ได้สูงสุด 128 GB
กล้องหลังความละเอียด 16 MP, 3456 x 4608 pixels มาพร้อมความสามารถอย่าง optical image stabilization, autofocus และ LED flash
กล้องหน้าความละเอียด 3.7 ล้าน
คุณสมบัติการถ่ายวีดีโอ 2160p@30fps, 1080p@60fps, 720p@120fps, optical stabilization, dual-video rec ส่วนของกล้องก็ 1440p@30fps
และสุดท้ายให้แบตความจุ 3000 mAh




ถ้าพูดถึง Note Edge จริงๆมันก็แทบจะเหมือนกับ Note 4 ยกเว้นในส่วนของ Edge Panel Screen และลูกเล่นที่เพิ่มเข้ามา ดังนั้นในหลายๆจุดที่เคยพูดไปแล้วบน Note 4 ผมอาจจะไม่พูดถึงนะครับ

หน้าจอของ Note Edge อาจจะดูเล็กกว่า Note 4 นิดหน่อยเพราะส่วนโค้งที่เป็น Edge Panel Screen จะกินหน้าจอเข้ามานิดนึง หลายคนอาจจะสงสัยว่าหน้าจอมที่แปลกไปมีผลต่อการใช้แบตเตอรี่ยังไงบ้าง ก็ใช้ได้เหมือน Note 4 ก็คือประมาณ 1 วันเต็มพอดี ส่วนเรื่องกันรอยหน้าจอหากใครต้องการติดฟิลม์ตอนนี้มีขายแล้ว (จะติดมาถึงส่วนของจอโค้งๆด้วย) เคสก็มีให้เลือกทั้งแบบซิลิโคนใสหรือเคสฝาพับของแท้จากซัมซุง

ผมเองชอบหน้าจอแบบ Super AMOLED อยู่แล้ว หน้าจอประเภทนี้จะให้สีสันที่จัดจ้าน การมีไอค่อนที่ Edge Panel Screen ไม่ได้ทำให้เรากดพลาดไปโดนมันมากเหมือนกับที่หลายๆคนกลัวกัน

เราสามารถตั้งรหัสใช้งานด้วยลูกเล่นปลดล็อคผ่านนิ้วมือ (Finger Scan) ได้จะว่าไปลูกเล่นส่วนใหญ่ที่ Galaxy S5 หรือ Note 4 บน Note Edge ก็ขนมาทั้งหมด  (Accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer, UV, heart rate, SpO2)



จุดขายของ Note Edge ก็คือหน้าจอที่เรียกว่า Edge Panel Screen ซึ่งความสามารถหลักๆของหน้าจอนี้มีด้วยกัน 4 อย่าง

1. เวลาปิดหน้าจอ มันเอาไว้โชว์ Status หากมีข้อความหรือสายเรียกเข้าแล้วเราไม่ได้อ่าน และยังใช้เป็นนาฬิกาใน Night Mode ได้

2. เวลาเปิดหน้าจอ มันเป็นส่วนโชว์ช็อตคัตแอพที่เราใช้งานบ่อยๆ แน่นอนว่าเราเลือกแอพเองได้ และถ้ามีใครโทรเข้ามาก็จะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอ Edge Panel Screen ตรงนี้เราสามารถเลือกรับสายหรือไม่รับสายผ่านขอบจอได้ทันที ในส่วนของ Edge Panel Screen เราสามารถใส่ได้หลายรูปแบบนอกจากช็อตคัตแอพ เช่น อาจจะใส่ในส่วนของ Shealth หรือ Notification และอื่นๆ


     3. เวลาใช้งานแอพปกติทั่วไป มันก็จะทำงานเป็นส่วนของการโชว์ Status พวกข้อความเข้ามาและเบอร์โทรได้เช่นเดียวกัน เราแทบจะต้องไม่เสียอารมณ์เวลาท่องเว็บหรือเล่นเกมแล้วโดนบดบังหน้าจอด้วยการโทรเข้าหรือข้อความจากเพื่อนๆ

4. เป็นทูลในแอพพิเศษบางตัว หาเราเปิดแอพที่รองรับการทำงานของ Edge Panel Screen ตรงส่วนนี้ก็จะกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือใช้งานแอพนั้นๆทันที เช่น แอพ Camera ตรงนี้ก็เอาไว้ปรับโหมดและถ่ายภาพ หรืออย่างในแอพ S-Note ส่วนนี้ก็เอาไว้เปลี่ยนปากกาหรือรูปแบบของสีนั่นเอง


เราสามารถปรับเปลี่ยนอะไรในส่วนของ Edge Panel Screen ได้บ้าง

ตัว Note Edge ออกแบบมาให้เราปรับเปลี่ยน Edge Panel Screen ได้ แน่นอนมันคือข้อดีและในเครื่องก็มีให้เลือกใช้งานอยู่บ้างแล้ว หากใครอยากได้รูปแบบของ Edge Panel Screen ใหม่ๆก็สามารถเข้าไปดาวโหลดได้ที่ Samsung App หรือ Play Store

การปรับเปลี่ยน Edge Panel Screen ทำได้ 3 ส่วนหลักๆ ก็คือ



1. เลือกแถบของ Edge Panel Screen ได้ว่าอยากได้แบบไหน : เราสามารถเข้าไปเพิ่มหรือลดจำนวนแถบได้ที่เมนู Manage panels (แต่ละแบบเราสามารถ Edit การแสดงผลเพิ่มเติมได้)

2. ปรับเปลี่ยนการแสดงผลในส่วนของแถบ Edge Panel Screen ที่หน้าจอล็อกสกรีน : การแก้ไขส่วนนี้เราเรียกว่า Express me เราสามรถเลือกรูปแบบที่จะโชว์ได้ เลือกเอฟเฟคได้ เขียนข้อความที่ตัวเองต้องการแบบไหนก็ได้ และแน่นอนว่าจะสร้างจากภาพของตัวเองที่มีในแกลอรี่ก็ได้เหมือนกัน ใครออกแบบสวยๆจะทำให้ Note Edge ของเราสวยจนหลายคนอิจฉาแน่ๆ



3. เปลี่ยนข้อความของ Edge Panel Screen : เวลาเราเข้าไปใช้แอพแถบด้านข้างจะไม่ได้โชว์ในส่วนของ แอพช็อตคัตหรือแถบข้อมูลอื่นๆเอาไว้ตลอดเวลา ตัวแถบนี้จะโชว์ข้อความเพื่อให้เรารู้ว่าส่วนบริเวณนี้คือ Edge Panel Screen นะ และข้อความเหล่านี้เราเลือกจะเขียนขึ้นเองใหม่ได้ / กลับกันหากอยากจะเรียกแถบช็อตคัตหรือแถบข้อมูลอื่นๆเพียงแค่เอามือไปปาดตรงขอบเท่านั้นก็จะทำงานทันที

ทั้งสามข้อด้านบนก็คือการใช้งานหลักๆ และปลีกย่อยที่แก้ไขได้อีกก็คือการเลือกโชว์ Edge Panel Screen ไปอยู่ทางซ้ายมือการเปิดการทำงานให้โชว์เป็นนาฬิกาแบบ Night Clock



และถ้าสังเกตให้ดีๆตรงแถบนี้หากเราปาดจากบนลงล่างมันจะมีไอค่อนเครื่องมือซ่อนอยู่อีก เช่น ลูกเล่นไม้บรรทัด, นาฬิกาจับเวลา, ลูกเล่นไฟฉาย หรือการอัดเสียงสนทนา

Galaxy Note Edge สามารถเพิ่มหน้าจอในส่วนของหน้า Home ได้สูงสุด 8 หน้า สามารถใส่แถบด้านข้างของ Edge Panel Screen ได้ไม่อั้น แน่นอนว่าแอพที่เราจะเอามาใส่ในแถบหน้าจอด้านข้างนี้ก็ไม่อั้นเช่นเดียวกัน ใครชอบหน้าจอโล่งๆเพราะอยากจะโชว์ภาพสวยๆก็คงจะถูกใจแน่ๆ

ผลทดสอบคะแนนจากแอพ Antutu , Quadrant Standard และ MultiTouch Tester

การมาพร้อมซีพียูและหน่วยความจำที่จัดเต็มเรียกได้ว่าเอามาเล่นเกมหรือใช้งานแอพได้ทุกอย่าง หน้าจอที่ดูแปลกกว่ารุ่นอื่นๆก็ไม่ใช่ปัญหาในการใช้งาน ผมลองทดสอบผลคะแนนจากแอพ Antutu มาให้ดูก็แล้วกัน (จริงๆเครื่องระดับนี้ผลคะแนนก็ไม่น่าสนใจมากไปกว่าการใช้งานว่าโดนใจรึเปล่าหรอก)


     ตามภาพสำหรับ Note Edge รองรับ มัลติทัชได้ 10 จุด คะแนนจากการทดสอบดูเหมือนจะน้อยกว่า Note 4 อยู่เล็กน้อย แต่อย่าลืมว่ามันคือผลต่างทางด้านตัวเลขเท่านั้น ยังไงซีพียูและหน่วยความจำของ Note Edge ก็เรียกได้ว่าจัดมาเต็มอยู่แล้ว สำหรับหน่วยความจำ 32 GB จะเหลือให้ใช้จริงๆประมาณ 25 GB ถ้าไม่พอก็เพิ่มผ่าน Micro SD Card ได้สูงสุด 128

มันคือ Galaxy Note 4 ที่ล้ำมากขึ้น

อะไรที่ Note 4 มีเราก็มี ทั้งหมดนี้รวมไปถึงทุกความสามารถเช่น ลูกเล่นของ S-Pen แบบใหม่ลูกเล่นของ Air Command แบบใหม่ที่จะช่วยให้การใช้งานเราสะดวกมากขึ้น




Download booster , Ultra Power Saving และ Multi Window

พูดถึงสามข้อด้านบนแล้วถ้าไม่ใส่มาให้ก็คงเป็นไปไม่ได้ Download booster จะช่วยให้การดาวโหลดไฟล์ของเราไวมากขึ้นมันจะสลับการดาวโหลดแบบต่อเนื่องให้เราตามความแรงของสัญญาณระหว่าง Data มือถือ และ WiFi


ส่วน Ultra Power Saving เป็นโหมดประหยัดพลังงานที่เริ่มมีให้ใช้ครั้งแรกบน Galaxy S5 มันจะทำให้เราสามารถยืดอายุของแบตเตอรี่ออกไปได้เยอะพอสมควร เอาไว้ใช้งานยามฉุกเฉิน เช่น หากเราปรับการใช้งานในโหมดนี้ตัวหน้าจอจะถูกปรับเข้าโหมดขาวดำ

แต่เราก็ยังสามารถเล่น Social อย่าง Line , Facebook หรือคุยโทรศัพท์ได้ตามปกติ / แต่ถ้า Stand by เวลาแบตเหลือ 10% แล้วปรับเข้าโหมดนี้จะใช้งานได้ต่อไปอีก เกือบ 24 ชั่วโมง (ผมเคยทดลองจะใช้ได้ประมาณ 10-15 ชั่วโมง)

และสุดท้าย Multi Window ที่ช่วยให้เราใช้งานหลายแอพได้ในหน้าจอเดียว คิดดูเราสามารถเปิดเว็บไปพร้อมกับการดูวีดีโอใหม่ๆบน Youtube ได้พร้อมกันมันจะมีความสุขแค่ไหน

กล้องและภาพถ่าย



ถ้าชอบกล้องของ Note 4 อารมณ์ของภาพจาก Note Edge ก็ไม่แตกต่างกันมาก สเปคของกล้องรุ่นนี้ให้กล้องหลังความละเอียดมาที่  16 MP, 3456 x 4608 pixels มาพร้อมความสามารถอย่าง optical image stabilization, autofocus และ LED flash ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 3.7 ล้าน

ลูกเล่นส่วนใหญ่ก็ยังจัดเต็มเหมือนเดิม เช่น Dual Shot, Simultaneous HD video and image recording, geo-tagging, touch focus, face/smile detection, panorama, HDR สำหรับมือใหม่เวลาถ่ายภาพทางซัมซุงเค้าจะมีโหมดที่เซ็ทอัพค่ามาให้แล้วให้เราเอาไว้ถ่าย และเราสามารถดาวโหลดเพิ่มเติมได้

โดยโหมดพวกนี้ไม่ได้ติดตั้งมาให้ตั้งแต่ต้น เช่น Sport shot , Sound & shot , Animated photo , Surround shot , Food shot (โหมดถ่ายภาพอาหารแนะนำๆให้รีบโหลด) และสุดท้าย Sequence shot

Galaxy Note Edge Camera Galaxy Note Edge Camera Galaxy Note Edge Camera Galaxy Note Edge Camera Galaxy Note Edge CameraGalaxy Note Edge Camera Galaxy Note Edge Camera Galaxy Note Edge Camera

ผมมีตัวอย่างภาพถ่ายบางส่วนจากกล้องของ Note Edge มาให้ชมกันนิดหน่อย (ไม่ได้แต่งภาพแค่ย่อเท่านั้น) กดดูที่ภาพเพื่อชมภาพที่ใหญ่ขึ้นได้



บทสรุปของ Galaxy Note Edge

     มันคือ Galaxy Note 4 เพิ่มจุดขายใหม่ที่เราเรียกว่า Edge Panel Screen ลงไป แน่นอนถ้ามีคือ Note 4 นั่นหมายถึงอะไรก็ตามที่ Note 4 มีมันก็มีในนี้ด้วย ในรีวิวผมไม่ได้พูดถึงเรื่อง S-pen และการใช้งานซึ่งหลายคนคงจะพอรู้อยู่แล้วว่ามันทำอะไรได้บ้างและน่าสนใจแค่ไหน


ถ้างบคุณไม่จำกัดผมเชียร์ Note Edge มากกว่า Note 4 นะ มันดูล้ำกว่าและใช้แล้วประทับใจกว่า มีเพียง 2 สิ่งเท่านั้นที่ทำเราไม่อยากได้มัน ข้อแรกคุณไม่ชอบมือถือหน้าจอใหญ่ระดับ 5 นิ้วขึ้นไป และข้อสองกำลังรอการมาของ Galaxy S6 แต่ผมชอบมือถือหน้าจอใหญ่ ผมสามารถใช้ปากกา (S-pen) ได้คุ้มค่าที่มีให้มา ยิ่งมีหน้าจอที่เราปรับแต่งได้ไม่ซ้ำใคร มันเลยทำให้ผมใช้เวลาไม่นานที่ตัดสินใจ

ขอบคุณที่มา: appjeed.com

Create Date :17 กุมภาพันธ์ 2558 Last Update :17 กุมภาพันธ์ 2558 8:24:24 น. Counter : 1218 Pageviews. Comments :0