bloggang.com mainmenu search
ตั้งแต่ออกมาทำตลาดเมื่อช่วงปี 2007 Nissan Navara จัดว่าเป็นรถกระบะที่ฉีกกฏของตลาดในเมืองไทย ด้วยความตั้งใจจริงของค่ายรถยนต์ Nissan ในการเปิดศักราชใหม่ ในกลุ่มกระบะและเข้ามาครองใจลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว เป็นตัวชูโรงที่ทำให้ แบรนด์นี้กลับมาติดตาคนไทยอีกครั้ง


Nissan Navara ทำตลาดจวบจนทุกวันนี้ก็เข้าไปกว่า 5 ปี แล้ว
ในการนำเสนอเรือนร่างของรถที่คมเข้มดุดัน
แต่เมื่อคู่ต่อสู้มีการปรับทัพใหม่ โดยเฉพาะหลายค่ายแห่ Model Change
แบบเทกระจาดหมด ก็ทำให้ Nissan Navara
ถึงคราวที่ต้องปรับออพชั่นกับเขาบ้าง


เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา Nissan
ได้ปรับทัพกระบะให้ตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น ด้วยรถยนต์ Nissan Navara Grand
Titanium และ Nissan Navara Sport Version Double Cab
ที่เน้นการเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาให้เร้าใจมากยิ่งขึ้น
ที่วันนี้เราก็ได้รับเชิญจาก Nissan ให้ไปร่วมทดสอบถึง สปป. ลาว



2012 Nissan Navara Sport Version

ภายนอกเน้นหรู ซ่อนความสปอร์ต





หลังจากบินมาชั่วโมงกว่าและพักผ่อนอย่างเต็มที่ เช้าวันรุ่งขึ้น Nissan
ต้อนรับเราด้วย ทัพของ nissan Navara 2012
โดยในขบวนนั้นมีรถมากมายในเวอร์ชั่นปีล่าฟ้าใหม่ โดยในทริปนี้เราได้สัมผัส
Nissan Navara Double Cab Sport Version 4X4 5A/T
ซึ่งเป็นรุ่นท๊อปสุดของรถรุ่นนี้สงนราคาจำหน่าย ที่ 954,500 บาท


Nissan Navara Sport Version เป็นความพยายามในการแต่งรถในรุ่น 4 ประตู
double Cab ให้ดูหรูมากยิ่งขึ้น
ทักทายจากกระจังหน้าที่ปรับใหม่จากลวดลายแบบตาข่ายมาสู่
กระจังแบบสปอร์ตมองดูคล้ายเก๋งเน้นขอบโครเมี่ยม
ให้ความโดดเด่นสะดุดตารับเข้ากับชุดกันชนหน้าที่เปลี่ยนใหม่ให้ลงตัวในความ
สปอร์ตมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม



2012 Nissan Navara Sport Version

กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED
ถูกเติมเข้ามาตอบโจทย์ในเรื่องความทันสมัยตามยุค รับฝีเท้าด้วยล้ออัลลอย
ขอบ 16 นิ้วลายใหม่ เน้นเติมความสุภาพเรียบหรู ให้ประดุจดั่งเก๋ง
มาพร้อมความอเนกประสงค์กับ roof Rail ให้ติดตัวมา รับน้ำหนักได้สูงสุด 200
กิโลกรัม พอจะบรรจุของหรือสัมภาระได้ตามต้องการ
ท้ายสุดบอกความแตกต่างจากโลโก้ Sport Version ที่บั้นท้าย





ภายในเปลี่ยนมิติ เน้นความเร้าใจยิ่งขึ้น





ตั้งแต่ Navara ผลิตขึ้นมาจำหน่ายในไทย สิ่งที่คนสงสัยคงไม่พ้นว่า
ทำไมภายในรถกระบะจึงทำเป็นสีเบจ
พูดตามความจริงมันค่อนข้างจะดูแลยากกับรถขาลุยแบบนี้
แต่มันก็มีข้อดีเรื่องความอบอุ่นของห้องโดยสารและมิติที่ดูกว้าง
ที่มันถูกปรับอีกครั้งในรุ่น sport Version


การนำเรือนร่างเดิมมาเปลี่ยนสีภายในใหม่ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใน Nissan
Navara Double Cab Sport Version 4X4 5A/T
ด้วยความต้องการในการชูความสปอร์ตของตัวรถ
ให้หนักแน่นมากยิ่งขึ้นปรับห้องโดยสารให้ดูคมเข้มขึ้น
ด้วยสีเทาดำให้ความทันสมัยเข้ากับตัวรถ
ที่มันทำให้ห้องโดยสารดูเข้าท่ามากยิ่งขึ้นและยังแปลกตาไปจากเดิม
มาพร้อมเบาะนั่งหนังปรับสูง-ต่ำได้ พร้อมชุดพวงมาลัยมัลติฟังชั่น
เพิ่มปุ่มควบคุมวิทยุช่วยให้เครื่องเสียงจัดการง่าย ส่วนด้านขวา เป็นระบบ
Cruise Control ไว้ตอบโจทย์ความสบายในยามเดินทางไกล




สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดในห้องโดยสารนั้น เห็นทีจะไม่พ้น
ระบบความบันเทิงที่ nissan จัดหนักด้วย เครื่องเสียง Kenwood
พร้อมรองรับการเชื่อมต่อทั้ง USB-Ipod และระบบ Bluetooth
ในขณะที่เรื่องตัวช่วยการขับขี่มีกระจกมองหลังตัดแสง
และถ้าถอยจอดก็มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยกล้องมองหลัง





ได้เวลาลองสมรรถนะ ตะลุยเส้นทางเมืองลาว





ถ้ากล่าวโดยสรุปแล้ว Nissan Navara Sport Version
เป็นรถที่เกิดขึ้นมาเอาใจคอสปอร์ตขนานแท้ โดยในการทดสอบครั้งนี้ทางทีมงาน
sanook! Auto เป็นผู้รับไม้ขับที่ 2 จากเพื่อนสื่อมวลชนจากเว็บ Motor
Trivia.com ที่เราตกลงกันว่าขอซัดมันคนละวันจะได้พูดถึงกันอย่างชัดๆ
และในวันที่ 2 ของประเทศลาวนี้
เราก็เริ่มต้นการเดินทางด้วยการขับขี่แบบในเมือง


ต้องบอกก่อนว่าเป็นการทดสอบแบบการขับคาราวาน
ทำให้การทดสอบบางจุดอาจจะยังทำได้ไม่ชัดเจนนัก
แต่การขับรถในเมืองลาวที่แตกต่างจากบ้านเรา นี่ก็ทำเหวอ
แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการทดสอบ





การเดินทางทริปนี้ เรามีผู้โดยสารทั้งหมด 3 คน รวม คนขับ
โดยตัวแถมเป็นผู้สื่อข่าวสาวสวยฝีปากกล้าจากนิตยสาร "รถวันนี้"
ซึ่งน้ำหนักสัมภาระและผู้โดยสาร ก็คาดว่าจะราวๆ 250 กิโลกรัม
จากสภาวะที่อ้วนขึ้นกระทันหันจากอาหารเช้าเมืองลาว สุดอร่อย
และเป้แพ๊คเสื้อผ้ามากัน คนละ 3 วัน


ตัวรถเปล่าที่หนักกว่า 1,850 ก.ก ตามสเป็คของ Nissan Navara sport
version ที่เราขับรุ่นท๊อปสุดของค่าย 174 แรงม้า จากเครื่อง 2.5 ลิตร
มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด และยังเป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ
เมื่อรวมกับ น้ำหนักประมาณแล้ว Nissan Navara Sport Version คันนี้
จะต้องแบกน้ำหนักกว่า 2100 ก.ก. เลยทีเดียว

เมื่อขบวนคาราวานของเราพร้อม บททดสอบ nissan Navara Sport Version ของ
Sanook! Auto ก็เรื่มขึ้น ด้วยการขับเคลื่อนรถออกจากโรงแรมที่เมืองปากเซ


2012 Nissan Navara Sport Version


ขบวนที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ทำให้เราได้มีโอกาสเริ่มสัมผัสรถ Nissan
Navara sport Version
ที่ไหลเลื่อนตามขบวนด้วยการใช้ความเร็วของเครื่องยนต์ในรอบเดิน เบา ซึ่ง
เมื่อเราปรับตำแหน่งเกียร์ D
มันถตอบสนองการขับขี่ได้อย่างลงตัวที่พาเราทะยานตามคันหน้า ด้วยรอบเดินเบา
800 RPM แต่สามารถทำความเร็วได้ถึง 10 ก.ม./ ช.ม.
โดยไม่ต้องแตะคันเร่งแม้แต่น้อย


ขบวนขับเคลื่อนไปในเมืองปากเซ
ฝ่าการจราจรที่ไม่ต่างจากเมืองใหญ่ๆในกรุงเทพแม้ถนน
จะไม่ได้อุดมไปด้วยรถยนต์คับคั่ง แต่ในกระแสการจราจรที่มี 2 ล้อ
ค่อนข้างเยอะ ทำให้การเคลื่อนตัว ต้องทำด้วยความระมัดระวัง
แต่อัตราเร่งที่เฉียบขาดเปี่ยมด้วยพลังใต้ฝากระโปรงของ Nissan Navara
sport Version ก็พาเราฝ่าฟันอุปสรรคได้อย่างง่ายดาย
จะแซงเมื่อไรก็พร้อมทุกเมื่อ ทำให้
รถกระบคันใหญ่มีความคล่องตัวเทียบเท่ารถซิตี้คาร์เลยทีเดียว








ทางไกลมั่นใจ นิ่มขึ้น แต่หนึบเหมือนเดิม





เราเริ่มคล้อยออกจากปากเซ มุ่งหน้าสู่น้ำตกตาดเฮือน
ที่สูงที่สุดในจำปาสัก ของลาว ตลอดเส้นทางการเดินทางนี้ถนนนอกเมืองลาว เป็น
ถนน 2 เล นสลับกับบางช่วงที่มีหลุมบ่อโรยหินกรวด ซ่อมไว้ชั่วคราว


เส้นทางถนน 2 เลน พร้อมทางสุดหฤโหดแบบพอหอมปากหอมคอช่วยแสดงสมรรนถะ
Nissan Navara Sport Version ได้เป็นอย่างดี สิ่งที่โดดเด่นง
ที่สามารถสัมผัสได้ใน Nissan Navra นั้น เห็นที่จะเป็นระบบ
ช่วงล่างที่เหมือนมีการปรับเซทใหม่เล็กน้อย ให้มีความเป็นรถนั่งมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่ถูกลูกค้าบ่นว่าแข็งกระด้าง
ยิ่งเจอเบาะนั่งภายในตอนหลังที่ชันจนชูคออยู่หลังคนขับก็ทำให้มันไปกันใหญ่


2012 Nissan Navara Sport Version


Nissan ดูเหมือนจะเห็นข้อบกพร่องนี้เช่นกัน และ
จัดการมันด้วยการปรับช่วงล่าง ที่ส่วนหนึ่งได้ดีจากยางที่มีแก้มสูง จาก
Dunlop Grandtrek ขนาด 255/70 R16 เฉพาะในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ
เมื่อมันปั่นไปบนพื้นถนนหน้ายางที่กว้าง
ช่วยให้เรามั่นใจยิ่งขึ้นในเรื่องการเกาะถนน ซึ่ง Nissan Navara
ค่อนข้างโดดเด่นอยู่แล้ว แต่กลับกลายเป็นผลเสียตามมา
เมื่อแก้มยางที่สูงขึ้นอาจเป็นปัญหาบ้าง ยามกระเด้งกระดอน
ยิ่งช่วงคอสะพานที่จะยวบยาบ ตามจังหวะ 2-3 ครั้ง
ก่อนจะนิ่งเหมือนเดิมทำให้อาจจะคุมรถได้ยากขึ้น


ถนน 2 เลนสวนกัน เริ่มสร้างความยากลำบากให้ขบวนคาราวาน
เมื่อมีรถหน้าช้าบ่อยครั้ง
ทำให้ถึงเวลาที่ต้องเรียกม้าศึกของเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร
มาปฏิบัติการความแรง


เมื่อพูดถึงเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ที่อยู่ใต้ฝากระโปรงรุ่น Sport
Version แล้ว ในรุ่นนี้ Nissan เน้นหนัก ในเรื่องการตอบโจทย์สมรรถนะ
กับขุมพลัง บล็อก 174 แรงม้าจากโรงงาน ขุมพลังบล็อกนี้ ดูผิวเผิน
เปิดหน้ามาจ๊ะเอ๋ !! ก็ดูท่าว่ามันจะคล้ายกับตัวล่าง
แต่เมื่อมองถึงเรื่องทางเทคนิค
กลับมีหลายประการที่แตกต่างกันและน่าจ่ายเงินเพิ่ม ตั้งแต่ตัวเครื่องเอ
ที่มีเพลาดถ่วงสมดุลคู่
ทำให้รถมีความนิ่งจากการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ในการใช้งานมากยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกับตัวเทอร์โบก็มีความแตกต่างกันเล็กน้อย


ขุมพลังที่อัดแน่นด้วยสมรรถนะสามารถตอบโจทย์ได้ ในการขับขี่ภาวะคับขัน
ยิ่งถนนเลนสวนแบบนี้ การขับขี่ที่เน้นความแม่นยำและพละกำลัง
ถือเป็นคำตอบที่ดีสุดในการสอดประสานการทำงานถ่ายทอดกำลังลงล้อ
โดยเฉพาะระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ที่ตอบสนองฉับไว แม้สิ่งที่ Nissan
ไม่ให้มา คือ ความสามารถในการเลือกเกียร์ด้วยตัวเอง แต่มันแทนที่ด้วยปุ่ม
Over Drive ที่ซ่อนไว้ตรงตำแหน่งหัวเกียร์ของรถ ใช้งานง่ายปลายนิ้วสัมผัส



2012 Nissan Navara Sport Version

ในการใช้งานปุ่ม Over Drive การตัดตำแหน่งเกียร์ลงไป
ทำให้เราสามารถเรียกแรงม้าและแรงบิด ออกใช้ได้อย่างเต็มที่ช่วยเร่งได้ฉับไว
และในขณะที่รถเราอาจจะมีน้ำหนักถึง 2100 ก.ก.
แต่ยังเร่งแบบสู้ไม่ถอยตลอดเส้นทางการขับขี่
ทว่าหลังเริ่มคุ้นเคยมีข้อสังเกตนิดๆว่าถ้าเราขับแบบมันมากๆ น้ำมัน
ดูเหมือนจะหายตัวได้ แต่ที่ความเร็ว 120 เราใช้รอบเครื่องยนต์เพียง 2500
รอบต่อนาที





ลุยเล็กๆ บนทางฝุ่น





ในที่สุดเราก็มาถึงทางเข้าน้ำตกตาดเฮือง น้ำตกที่สูงที่สุดในเขตจำปาสัก
ซึ่งการเข้าไปยังน้ำตกต้องตะลุยทางฝุ่นสักเล็กน้อย
และเป็นโอกาสดีที่เราจะลองระบบขับเคลื่อน 4ล้อ


เราบิดสวิทช์จาก 2H มายัง 4H เริ่มการขับขี่ในโหมดตะกุย 4
ขาบนทางฝุ่น แต่ไม่ไช้ความเร็วสูงมากนัก เมื่อระบบขับ 4 ล็อคเริ่มการทำงาน
Nisssan Navara Sport Version 4X4 ก็ตะลุยดะ และ แม้ล้อทั้ง 4
จะตะกุยไปพร้อมกัน แต่ในช่วงชะลอ ใช้ความเร็วต่ำ
ความเร็วรอบเดินเบาก็ไม่ได้เชื่องช้าหรือหนืดจนเกินไปนัก ลดลงจากเดิม
อยู่ที่ราวๆ 8 กิโลเมตร/ช.ม. แต่ให้ความหนึบแน่น มั่นใจยิ่งขึ้น


การขับขี่ที่มีระยะทางราวๆ 500 เมตรจากถนนใหญ่เลนสวน 2 เลน
พอจะทำให้เห็นว่า แม้จะสปอร์ต แต่มันก็พร้อมลุย
และช่วงล่างที่เราว่านิ่มขึ้น นั้น
ก็ทำให้เส้นทางที่โคลงเคลงนี้ไม่กระเทือนสู่ห้องโดยสารมากนัก
เช่นเดียวกับยางแก้มสูงสามารถซับแรงกระแทกได้ดี
จะมีการสั่นคลอนบ้างตามสภาพถนน เว้นแต่กระแทกแบบแรงๆในบางจังหวะ
ก็อาจจะมีบ้างตามสภาพถนนที่ขับขี่




จัดหนักความเร็วเดินทาง เคาะสรุปตัวเลขความประหยัด





เราท่องเที่ยวทั่วลาวจนหนำใจ ก็ได้เวลากลับไทย
โดยสภาพการขับขี่โดยรวมจากถนนที่ สปป. ลาว ส่วนใหญ่เป็น ถนนแบบ 2
เลนสวนเสียมากกว่า เราเดินทางใช้ความเร็วเฉลี่ยที่ 110 กิโลเมตร
มีช้าบ้างเร็วบ้าง ตามภาษาการจราจรรถมอเตอร์ไซค์เยอะ
ทำให้ต้องเร่งและหยุดบ่อยครั้ง
แต่ที่หนักหน่วงคงเป็นการเร่งแบบสุดฝีเท้าของ Nissan Navara Sport Version
ที่ทำบ่อยครั้งในช่วงเร่งแซง ด้วยการใช้ปุ่ม Over Drive



2012 Nissan Navara Sport Version

หลังจากที่เราเดินทางจนกลับมาฝั่งไทย เข็มน้ำมันที่ตกเกย์ ประมาณ 3-4
คันเราก็เกือบจะไม่รอดเช่นกัน จึงต้องเป็นหนึ่งในรถที่เข้าเติมน้ำมัน
โดยวันที่ 2 ของการเดินทางเราวิ่งไป 194 ก.ม. เมื่อรวมกับ เส้นทางวันแรก
ที่ขับจริง อยุ่ที่ 953 กิโลเมตร โดยประมาณ สรุปได้ตัวเลขไปท่อง สปป.ลาว
647 กิโลเมตร


ตามมาตรฐานแล้วรถจะเริ่มเตือนน้ำมันแดงเมื่อมันเหลือ 7 ลิตร โยประมาณ 
แต่ความจริงแล้ว รถเรายังไม่ขึ้นไฟโชว์ด้วยซ้ำ
ทำให้คาดว่าน่าจะมีน้ำมันเหลือราวๆ 10 ลิตร จาก ถัง 80 ลิตร เท่ากับ
เราใช้น้ำมันไป 70 ลิตร เฉลี่ยจากการเดินทางเราได้อัตราซดน้ำมันที่ 9.2
กิโลเมตร/ลิตร บนความเร็วเดินทางจริง พร้อมยางหน้ากว้าง 255/60R16
และการใช้ฟังชั่นอย่างขับเคลื่อน 4 ล้อด้วย





Nissan Navara Sport Version ถือ
เป็นหนึ่งในกระบะที่ยังทรงสมรรถนะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ที่แม้วันนี้คู่แข่งจะเพิ่ม แต่ด้วยการปรับทัพในเรื่องของออพชั่น
รกระบะทรงสมรรถนะรุ่นนี้ก็ยังตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี
และไม่ควรมองข้ามมัน แม้จะมีกระบะใหม่หลายรุ่นเข้ามาทำตลาด









ผลการทดสอบ Nissan Navara Double Cab Sport Version 4X4 5A/T






ที่ความเร็ว 100 ..ชม ,ใช้รอบเครื่อง 2000 รอบต่อนาที


ที่ความเร็ว 110 ..ชม ,ใช้รอบเครื่อง 2250 รอบต่อนาที


ที่ความเร็ว 120 ..ชม ,ใช้รอบเครื่อง 2500 รอบต่อนาที






ตารางคะแนน ผลการทดสอบ Nissan Navara Double Cab Sport Version 4X4 5A/T













หัวข้อ




คะแนน 




ข้อเสนอแนะ และติชม






ภายนอก




17




เรือนร่างเดิมปรับใหม่ดูเท่ห์ดี แต่มันยังไม่แสดงความแตกต่างนัก
เราเข้าใจดี แต่ส่วนหนึ่งในใจอยากเห็นพัฒนาการของนาวาร่าใหม่มากกว่านี้
เช่นเพิ่มขอบแม็ก หรือ ไหนๆ ทำตัวพิเศษ ก็จัดให้มันสุดๆไปเลย






ภายใน




18




เราชอบนะห้องโดยสารโทนสีเทาดำ
เราเชื่อว่ามันเป็นความใฝ่ฝันของคนจำนวนมากที่มองรถรุ่นนี้แต่แน่นอนว่านี่
มันเหมือนเป็นการบังคับลูกค้า ซึ่ง Nissan น่าจะทำตลาดแบบ
Alternative คือ มีให้เลือกให้ น่าจะดีใช่น้อย
แต่ที่ขอติและน่าจะดูแย่สุดในห้องโดยสาร คือ เรื่องของ ไมค์ Bluetooth
ที่มาแปะไว้ที่คอพวงมาลัย ดูขัดตาชอบกล แม้ยามขับขี่จะไม่สังเกตเห็น
แต่ เอาจริงๆมัน น่าจะมีทางออกมากกว่านี้รึเปล่า ???






เครื่องยนต์




19




เครื่องยนต์ 174 แรงม้า อยากบอกว่าจี๊ดดีมาก
แต่น่าเสียดายที่มันยังสูงเกินเอื้อมมีให้ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ
ซึ่งแน่นอนว่า มันอาจจะยากที่ได้สัมผัสกันทุกคน แต่ อย่างน้อย
น่าจะปรับเพิ่มแรงม้า เครื่องยนต์บ้าง
แต่ถือว่าเครื่องยนต์บล็อคนี้ยังเป็นสุดยอดอยู่ในเรื่องการตอบสนอง แม้
ดีที่สุดในกลุ่ม 2.5 ลิตรจะเป็น 178 แรงม้า ของคู่แข่งก็ตาม






เทคโนโลยี




17




เราไม่ค่อยมองเห็นอะไรใน Nissan Navara
และมันเป็นหอกข้างแคร่ที่ทำให้รถไม่น่าสนใจ
แม้ออพชั่นใหม่ที่เติมเข้ามาจะเพิ่มในจุดนี้เข้ามาพอตัว
แต่มันก็ยังทำได้ไม่ดีนัก พูดตามตรงควรมีเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นกว่านี้
ยิ่งถ้าต้องแข่งกับรถรุ่นใหม่ๆ






ระบบกันสะเทือนและสมรรถนะการขับขี่




19




ช่วงล่างที่ปรับเล็กๆจนใครที่ไม่ใช่ นาวาร่าจะไม่รู้สึก เมื่อ
รวมกับ ยางแก้มสูง 70 จาก Dunlop มันก็ทำให้ Nissan Navara
เกาะถนนยิ่งขึ้น ดูหล่อขึ้น และกลับกัน ก็ ดึ๋งดั๋งมากขึ้น
ยิ่งกระแทกคอสะพาน จะชัดเจนมาก ยวบยาบ
แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เกาะถนนนะ






สรุป (เต็ม  100 คะแนน )




90




Nisan Navara
ยังมาตามปรัชญาเรื่องปิคอัพทรงสมรรถนะที่คุณสามรถสัมผัสครบทุกออพชั่นได้ใน
ราคา 954,500 บาท แต่ถ้าถามเรื่องอื่นๆคุณอาจจะไม่ชอบมันก็ได้นะ












เรื่องโดย ณัฐยศ


ภาพ โดย  Nissan


ขอบคุณคาราวานทดสอบ โดย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด


//auto.sanook.com/3466/

Create Date :16 กุมภาพันธ์ 2555 Last Update :16 กุมภาพันธ์ 2555 8:08:22 น. Counter : Pageviews. Comments :0