bloggang.com mainmenu search
ในช่วงปีที่ผ่านมา ค่ายถยนต์ Mitsubishi ถือ
เป็นค่ายที่มีการรุกคืบในตลาดอย่างมากด้วยการเน้นเพิ่มออพชั่นต่างๆเข้าไปใน
รถมากกว่า แค่การเปิดตัวโฉมใหม่ ออกมาสู้กับคู่แข่ง และแม้ต้องยอมรับว่า
พัฒนาของคู่ต่อสู้จะเริ่มไปไกลยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งห่างมากมายนัก
โดยเฉพาะด้านสมรรถนะการขับขี่ที่ขึ้นชื่อของค่าย
Mitsubishi



Mitsubishi Pajero Sport เป็นรถที่ได้รับการพูดถึงมานานพอตัวแล้ว
กับเจ้าอเนกประสงค์ ที่พัฒนามาจาก Mitsubishi Triton กระบะของค่าย
โดยใช้พื้นฐานโครงสร้างต่างที่ละม้ายคล้ายคลึงกัน
แต่เมื่อมันกลายมาเป็นรถอเนกประสงค์ก็นำเสนอจุดเด่นที่แตกต่างและเมื่อมีการ
ปรับเสริมเติมออพชั่นใหม่ เราก็เลยอยากที่จะนำมันมาลองดี




แมทช์นี้อาจจะต้องเรียกว่า "เป็นการลองจริงขับจริง"
ในสภาพการใช้งานจริงๆ ที่ไม่ใช่เพียงแค่การทดสอบรถทั่วไป
ด้วยความอนุเคราะห์ของ Mitsubishi ในการไปช่วยโรงเรียนของน้องๆ
ที่จังหวัดอุทัยธานี ทำให้การเดินทางครั้งนี้ เราขนกันเต็มพิกัดในสมรรถนะ
และถือเป็บทพิสูจน์ที่หลายคนอยากทราบ





ภายนอกดูดี มีสไตล์ในคราบตัวหรู





ตั้งแต่ที่เราไปน่านกับ Mitsubishi ที่ฝ่าฟันทางเขา
เราเองก็มีโอกาสลูบๆคลำ เจ้า Pajero sport กันไปบ้าง
ที่เริ่มทักทายด้วยการปรับแต่งเพิ่มความทันสมัยเล็กๆน้อย
เน้นเส้นสายที่ยังเหมือนเดิม ที่ยังดูดีด้วยใบหน้าคล้ายกับ Mitsubishi
Triton ให้ความรู้สึกสปอร์ตลู่ลม มาพร้อมบอดี้เฟรมแบบ 5 ประตูอเนกประสงค์
ด้วยเส้นสายทันสมัยถูกลากสู่ด้านข้าง ปิดท้าย
ด้วยฝาท้ายแบบทันสมัยที่ให้ความสปอร์ตด้วย
พร้อมไฟท้ายแนวนอนที่เป็นเอกลักษณ์



Mitsubishi Pajero Sport  GT

ทรวดทรงที่โค้งเว้าผสมเหลี่ยมในบางมุม อาจจะทำให้มันดูแปลกไปหน่อย
แต่ก็ลงตัวเมื่อมันมากับล้ออัลลอยขอบ 17 นิ้วจากโรงงาน
สร้างความภูมิฐานและเกาะถนนหนึบยิ่งขึ้นจากยาง BridgeStone Dueler ขนาด
245/65/17 ที่ให้ความลงตัวด้านการออกแบบมากยิ่งขึ้น
ทำให้ตัวรถดูมีทั้งความหรูและยังสามารถลุยได้ถ้าต้องการ





ห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งสบายตลอดทริป





เปิดประตูเข้าสู่ห้องโดยสาร Pajero Sport
ใหม่ให้ควงามลงตัวด้วยการแนะนำห้องโดยสารทันสมัยมากยิ่งขึ้น
ลงตัวมาพร้อมการตบแต่งสีเบจตัดกับโครเมี่ยมให้ความทันสมัยมากยิ่งขึ้น
แต่ทิ้งคราบความหรูด้วยเบาะหนังสังเคราะห์ และเบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8
ทิศทางใช้งานง่ายยิ่งขึ้น



Mitsubishi Pajero Sport  GT 2WD

ด้านหลัง ห้องโดยสารสามารถรับผู้โดยสารแบบเต็มสตรีมได้สูงสุดถึง 7 คน
แต่ยามปกตินั้น Mitsubishi Pajero Sport จะมาพร้อมเบาะ2 แถวเป็นมาตราฐาน
โดยสามารถรับผู้โดยสาร 5 คน พร้อมเข็มขัดนิรภัย แต่หากต้องบรรทุกเพิ่ม
ก็ต้องปรับเบาะแล้วกางแถว 3 ออก ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก
แถมยังพับเก็บได้เรียบสนิทไม่แขวน ให้รกหูรกตา





ได้เวลาออกทริปกับการเดินทางสุดปกติของนักเที่ยว





ในทริปนี้ถือเป็นความพิเศษที่เราจะได้ลอง Pajero Sport
ใหม่แบบใช้งานจริงๆ ซึ่งอย่างที่หลายๆคนมักจะทราบว่า
รถอเนกประสงค์จะเหมาะกับการเดินทางไกล และในงวดนี้ เราก็รับผู้โดยสารมา 3
คน รวมคนขับ เป็น 4 ชีวิตในรถ โดยแต่ละคนการันตีน้ำหนัก 60,69,78 และ
คนขับ หนัก 90 กิโลกรัม ส่วนท้ายรถนั้นบรรทุกสัมภาระเต็มที่
มีเป้สัมภาระของแต่ละคนเฉลี่ยใบละ 10 กิโลกรัม พร้อม เต๊นท์-ถูงนอน
ที่สำคัญ ลืมไม่ได้ คือของบริจาคที่เราจะนำไปให้น้องๆในทริปนี้


การเดินทางครั้งนี้เส้นทางเริ่มต้นที่ สำนักงานของ Sanook! ณ นอร์ทปาร์ค
หลังมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เมื่อเริ่มเคลื่อนตัว
ขุมพลังใต้ฝากระโปรงที่พก เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร
ตอบสนองการขับขี่ได้ดีด้วยอัตราการเดินเบา
โดยรอบเครื่องเดินเบาที่อยู่ราวๆ600 รอบต่อนาที
เมื่อเปลี่ยนตำแหน่งไปยังเกียร์ D เพื่อมุ่งสุ่ถนนเบื้องหน้า
ก็ตอบสนองด้วยความเร็วราวๆ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
หมายถึงเครื่องยนต์มีพละกำลังที่เหลือเฟือ แม้ยามที่จัดเต็มเช่นนี้



Mitsubishi Pajero Sport  GT 2WD

เราเคลื่อนตัวออกมาในรูปแบบคาราวาน ผ่าน ถนน วิภาวดีรังสิต
โดยการขับเคลื่อนเมืองใช้ความเร็วไม่มากมายนัก Mitsubishi Pajero Sport
ก็ยังตอบสนองได้อย่างลงตัว
และการเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลทำให้มันมีความเป็นรถหรูมากยิ่งขึ้น
แต่ที่ความเร็วต่ำแบบคลานๆไปตามถนนในความเร็ว 60 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง
เครื่องยนต์นั้นทำงานต่ำมากเพียง 1150 รอบต่อนาที ทำให้น่าจะประหยัดพอตัว


ช่วงขับในเมืองตามถนนวิภาวดี-รังสิต เพื่ออกไปยังถนนสายเอเซีย
ช่วงล่างของ Mitsubishi ให้ความน่าประทับใจ
ด้วยความนุ่มนวลที่สามารถเทียบเท่ารถนั่งได้ในช่วงความเร็วต่ำ
แม้อาการโยนนั้นจะมีบ้างเล็น้อย ถ้าปะกับลูกเนินสูง
แต่มันเป็นเรื่องปกติของรถประเภทนี้ที่ค่อนข้างจะโยกเยกสักหน่อย
แต่การขับช่วงความเร็วในเมืองแบบอัดแน่ ด้วย 4
ผู้โดยสารและสัมภาระอีกบานเบอะ
ก็พอจะพิสูจน์เรื่องการใช้งานที่ลงตัวในเมือง แม้
เราจะไม่ได้วิ่งทดสอบมากมายจริงจังมากนัก



ได้เวลาเดินทางไกล นอกเมืองจะเป็นไงบ้างนะ





เราใช้เวลาพักใหญ่ในการคลานตามกันมาจนกระทั่งมาแวะพักที่อยุธยา
ก่อนเตรียมพร้อมเรื่องเสบียงในการออกเดินทางต่อไปยังปลายทางอุทัยธานี
โดยในถนนเอเซียนี้ถือเป็นช่วงสำคัญของการทดสอบนอกเมือง


การขับขี่ในช่วงทางหลวงนอกเมืองนี้ถือเป็นสิ่งที่หลายคนเฝ้าคิด
ยิ่งนี่คือรถอเนกประสงค์ที่มีน้ำหนักตัวเปล่า 1,950 ก.ก
เมื่อรวมกับผู้โดยสารทั้ง 4 และสัมภาระที่มากมาย เราดีดเครื่องคิดเลขว่า
ในรถตอนนี้ น่าจะมีน้ำหนักราวๆ 2272 ก.ก. และอาจจะมากกว่านั้นเล็กน้อย
เมื่อเราพึ่งสวาปามอาหารที่จุดพักรถมา



Mitsubishi Pajero Sport  GT 2WD

น้ำหนักที่มากขนาดนี้ฟังดูน่าจะเป็นปัญหาบ้าง แต่กับเครื่องยนต์ 2.5 VG
Turbo มันตอบสนองได้ดี ด้วยอัตราเร่งที่อาจจะดอลงไปบ้างเล็กน้อย
แต่เมื่อเทอร์โบเข้ามาทำงานมันก็พาเราลากสู่ความเร็วที่ต้องการ ค่อยๆไต่จาก
80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้รอบเครื่องเพียง 1600 รอบต่อนาที
ก่อนที่จะค่อยๆทะยานสู่ความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ใช้รอบเครื่องยนต์ที่ 1800 รอบต่อนาที
และท้ายที่สุดแล้วเมื่อถนนโล่งก็ได้เวลาจัดเต็มด้วยความเร็วเดินทางปกติของ
ปถุชนที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้รอบเครื่องเพียง 2200 รอบต่อนาที


อัตรารอบเครื่องที่น้อยนิดเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวรวมผู้โดยสารและ
สัมภาระ ถือว่า Mitsubishi Pajero Sport
สามารถผ่านการทดสอบเรื่องความอืดไปได้สบาย
แต่จะมีปัญหาเล็กๆเมื่อเทอร์โบรอรอบทำงานเล็ๆ ซึ่งก็ไม่มากมายนัก
เพราะเมื่อเทอร์โบเข้ามาตอบสนองการทำงาน มันก็จะมาแบบว่า "คอกแตก"
ให้จัดกันยาวๆตามความต้องการจนเราต้องพยายามหักห้ามใจเพราะสงสารผู้โดยสาร
ที่นั่งมาด้วย



Mitsubishi Pajero Sport  GT 2WD

สิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจและมีโอกาสได้ใช้แน่นอนในการเดินทางยาวๆ
เช่นนี้คือระบบ Cruise Control
ที่ช่วยให้คนขับสะดวกสบายมากขึ้นในการเดินทางไกล ที่ใน Mitsubishi Pajero
sport นั้น จัดวางไว้บนพวงมาลัย ทางด้านขวามือ ใช้งานง่าย
เริ่มด้วยปิด-เปิด ก่อนที่จะกดเซทความเร็ว
และสามารถกดยกเลิกได้ทุกครั้งที่ต้องการ และจะยกเลิกเองเมื่อมีการเบรค


การใช้ Cruise Control
ช่วยในการขับขี่นั้นทำให้รถมีเสน่ห์ในการเดินทางมากขึ้น
และช่วยให้คนขับไม่เครียดยามขับขี่ ผ่อนคลายความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี
จนบางทีก็ยากจะหลับเหมือนกัน ส่วนเรื่องความเร็วสูงสุดนั้นยังไม่ได้ลองดู
เพราะเราเดินทางมาเป็นคาราวาน





โหมดขับเองตอบสนองดีกว่า ถ้าคุณชอบขับแบบสปอร์ต





เราเดินทางยาวๆมาถึงช่วงเลี้ยวเข้าสู่อุทัยธานี
โดยในช่วงนี้ถนนที่ถูกน้ำกัดเซาะทำให้อยู่ระหว่างการซ่อมแซมถนน
ทำให้ได้ลองใช้ sporttronic ช่วยในการขับขี่ดูบ้าง


เมื่อเปลี่ยนมาสู่โหมดการขับขี่เอง ตัวแสดงตำแหน่งเกียร์จะเปลี่ยนจาก D
เป็นตัวเลขที่เกียร์ใช้อยู่ โดยเราสามารถเร่งได้ตามต้องการ
ในแบบเกียร์ธรรมดา โดยจะไม่มีการเปลี่ยนเกียร์เอง
ทำให้หลายครั้งเราลืมที่จะเปลี่ยนและกลายเป็นขับแช่เกียร์ไปโดยปริยาย
(คล้ายที่เกิดกับไทรทันที่น่าน)



Mitsubishi Pajero Sport  GT 2WD

การขับในโหมดอัตโนมือนี้ให้การตอบสนองที่ลงตัวด้วย ระบบ Paddle shift
ที่จะมีอยู่ในรุ่น GT เท่านั้น
ทำให้เราไม่จำเป็นต้องเอามือไปจับด้ามเกียร์ให้ยากเย็น เพียงกระดิกนิ้ว
โดยซ้ายเป็นการลดตำแหน่งเกียร์ และขวา
เป็นเพิ่มตำแหน่งเกียร์ก็สามารถเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ง่ายๆ


เจ้า Paddle Shift นี้มีประโยชน์มากและสามารถใช้ได้ทั้งในโหมด D และ
Sporttronic เพราะการเปลี่ยนเกียร์ในบางจังหวะ
ช่วยให้รถมีอัตราเร่งที่ดีขึ้นมากกว่าการ คิกดาว ที่หลายคนอาจจะเคยชิน
และกับบททดสอบด้วยผู้โดยสาร 4 คน พร้อมสัมภาระ เราก็สามารถ
เร่งแซงได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น
ซุ่งมันลดการหน่วงเวลาก่อนจะเร่งเครื่องยนต์น้อยลงจนเห็นได้ชัด
และน่าจะเหมาะในยามเดินทาง าเมื่อต้องการตอบสนองที่รวดเร็ว


สิ่งหนึ่งที่น่าจะเรียกว่าเป็นจุดบอดใหญ่คือเมื่อเราใช้การปรับเกียร์
ด้วยตัวเองแล้ว การกลับสู่โปรแกรมอัตโนมัติ โดยเฉพาะในเกียร์ D
นั้นค่อนข้างจะช้าไปสักหน่อย ทำให้หลายครั้งที่มีการลากเกียร์เกิดขึ้น
แต่ระบบจะทำการกลับสู่โหมดอัตโนมัติเองเมื่อเราอยู่ในตำแหน่งเกียร์ D
และเราเบรคหรือลดความเร็ว แต่มันก็ช้าไปในหลายๆครั้ง





ช่วงล่างมั่นใจในยามใช้ความเร็ว





หลังจากผ่านเส้นทางมาจนถึงอุทัยและทำกิจกรรมช่วยน้องๆที่โรงเรียนวัดจัก
ษา จ. อุทัยธานี เรียบร้อย ในวันรุ่งขึ้นเราก็เดินทางกลับกันใน Mitsubishi
Pajero Sport เช่นเคย ปัจจัยเรื่องน้ำหนักนั้นมีเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อย
ด้วยสัมภาระที่ถูกนำไปส่งถึงมือน้องๆ
แต่คาดว่าน่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายนักจนสังเกตได้



Mitsubishi Pajero Sport  GT 2WD

การเดินทางวันนี้เราอ้อมมาทางสุพรรณบุรี โดยใช้ความเร็วเดินทางที่ 120
กิโลเมตรต่อชั่วโมงล็อคระบบ Cruise Control ตลอดการเดินทาง ช่วงล่างของ
Mitsubishi Pajero Sport นั้นสามารถตอบสนองได้ดี
จนผู้โดยสารทั้งหลายต่างเริ่มเปิดสถานีรถไฟส่วนตัว
เช่นเดียวกับการเข้าโค้งสามารถทำได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นไม่มีอาการโยนมากมาย
นัก แต่เมื่อเราใช้ความเร็วเพิ่มเป็น 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ช่วงล่างเริ่มมีความกระด้างเพิ่มมากยิ่งขึ้น จนมีผู้โดยสารตื่นมาบ่นๆ
กันบ้าง แล้วก็หลับต่อ (จะตื่นมาทำไมนี่)


ช่วงทางโค้งนั้นสมรรถนะของ Mitsubishi Pajero Sport
ตอบโจทย์การทำงานได้ดีชัดเจน สามารถสาดโค้งได้ แม้จะเหวี่ยงนิดๆก็ตามที
แต่ก็ยังหนึบแน่น ทั้ง โค้ง S โค้งกว้างเรียกว่าไม่มีออกอาการย้วยให้เห็น




มาดูอัตราประหยัดดีกว่า





ต้องบอกก่อนเลยว่า
ปัจจัยเรื่องความประหยัดในทริปนี้อาจจะค่อนข้างมีเยอะมากมาย ทั้ง
ปัจจัยทางด้านความเร็ว ปัจจัยทางด้าน้ำหนัก
และการขับขี่ที่โดยส่วนใหญ่ค่อนข้างไปทางการใช้ความเร็วสูงเสียมาก
เราเดินทางเฉลี่ยนนอกเมือง 120 ก.ม./ช.ม.
เป็นหลักในการเดินทางและมีบ้างที่เหยียบไป 140 ก.ม. /ช.ม.
ทว่าผลที่ได้อาจจะต้องบอกแบบไม่เกรงใจว่า มันค่อนจะกินดุอยู่พอตัว



Mitsubishi Pajero Sport  GT 2WD

ด้วยระยะทางการใช้งาน
ที่เราคำนวนเส้นทางทั้งหมดตั้งแต่ได้รับรถมาจนถึงสิ้นสุดในการเดินทางที่มี
เส้นทางหลักจาก กรุงเทพมหานคร(ทุ่งสองห้อง) ไปยัง จังหวัดอุทัยธานี
ต่อด้วยสุพรรณบุรี และใช้รถจิปาถะ แบบว่า ยัดเต็มตลอด
ทั้งการบรรทุกคนเต็มอัตรา 7 ที่นั่ง
หมายความว่าตลอดการทดสอบครั้งเราใช้รถแบบเต็มพิกัดเกือบตลอดเส้นทาง


เมื่อคำนวนเส้นทางทั้งหมดที่อยู่ราวๆ 820 กิโลเมตร
เราใช้น้ำมันไปประมาณ 1 ถัง (70 ลิตร) โดยเติมแทบจะทันทีที่ไฟน้ำมันโชว์
ที่น่าจะเหลืออยู่ราวๆ 8 ลิตร เมื่อบวกกับที่เติมไปอีก 500 บาท
ที่อุทัยธานี ในราคา31.13 บาท /ลิตร ได้มา 16.01 ลิตร เดินทางกลับบ้าน
เท่ากับว่า เราใช้น้ำมันไป 70-8 +16.01= 78.01 ลิตร
ผลคือเราได้อัตราประหยัด 10.51 กิโลเมตรต่อลิตร
โดยยังมีน้ำมันไปส่งรถคืนอีกด้วย
ถือว่าค่อนข้างมากพอสมควรเช่นกันกับการขับนอกเมืองเป็นหลัก





สรุป ดีหรือเปล่า Pajero Sport





หลังจากลองขับ Pajero Sport มาตลอด 3 วันที่ผ่านมา เรารู้สึกว่า
Mitsubishi Pajero Sport เป็นรถที่ค่อนข้างเพียบพร้อมไปด้วยความหรูหรา
เช่นเดียวกับความทันสมัย
และยังเหมาะต่อการเดินทางด้วยการออกแบบที่นั่งที่ลงตัว และเหมาะสม
ซึ่งเป็นจุดเด่น


แน่นอนว่าจากการทดสอบในอัตราเต็มพิกัดนั้นมันออกจะซดไปสักนิด
แต่ด้วยสมรรถนะที่แก่กล้าจนลงตัวทางด้านสมรรถนะ ทั้ง เครื่องยนต์ 178
แรงม้า 2.5 ลิตร VG Turbo และช่วงล่างที่ตอบสนองได้ดี
มันก็เป็นรถที่น่าคบหาใช่น้อย
และคงไม่บ่อยนักที่เราจะบรรทุกเต็มพิกัดเหลือขนาดแบบที่เราได้ทำในครั้งนี้





ผลการทดสอบ


รอบเครื่องยนต์


(ที่ตำแหน่งเกียร์ D)


ที่ความเร็ว 60 กิโลเมตร ต่อชั่วโมงได้ 1150 รอบต่อนาที


ที่ความเร็ว 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมงได้ 1600 รอบต่อนาที


ที่ความเร็ว 90 กิโลเมตร ต่อชั่วโมงได้ 1800 รอบต่อนาที


ที่ความเร็ว 120 กิโลเมตร ต่อชั่วโมงได้ 2200 รอบต่อนาที





อัตราประหยัด 10.51 กิโลเมตร ต่อลิตร ด้วยอัตราน้ำหนักรวม 2.3 ตัน
โดนประมาณ ( ผู้โดยสาร 4 คน รวมคนขับ พร้อมสัมภาระ)
เดินทางด้วยความเร็วเฉลี่ย 120 กิโลเมตร ตลอดทาง





ตารางคะแนนผลการทดสอบ Mitsubishi Pajero Sport 2.5 VG Turbo 2WD


คะแนนที่ได้จากการทดสอบ 92 คะแนน










หัวข้อ




คะแนนที่ได้


(เต็ม 25 คะแนน)




ข้อติชม-เสนอแนะ






รูปลักษณ์ภายนอก




24




รูปร่างที่ออกแบบมาได้อย่างลงตัวถือเป็นจุดเด่นที่สำคัญของรถรุ่นนี้ด้วย
การนำเสนอความหรูและสปอร์ตที่กลมกลืนกันได้ดีทีเดียว
จนต้องเรียกว่าน่าจะถูกใจใครหลายๆมากขึ้น และ
มันยังเป็นรถอเนกประสงค์ที่ดูแล้วน่าจะวัยรุ่นที่สุดในตลาดด้วย
แต่ถ้าจะติก็เรื่องการดูแลรักษานี่แหละที่อาจจะแพงโดยเฉพาะยางขอบ 17
นิ้ว 4X4 ที่ต้องงบประมาณพอตัวแน่นอน






ภายในห้องโดยสาร




23




ห้องโดยสารถูกจัดวางไว้ได้ลงตัวมาก-มากที่สุด
เครื่องเสียงกระหึ่มเร้าใจดี แต่อ่านแผ่นช้าในบางอารมณ์
ทำให้เราอาจจะขุ่นเคืองใจสักหน่อย แต่เรื่องการโดยสารทำได้ดีทีเดียว
การใช้งานเบาะแถว 3 ก็ง่ายแม้จะต้องทำความเข้าใจเล็กน้อย
แต่ก็นั่งได้สบายไม่มีติดขัดเลย แต่ไม่แนะนำให้นั่งเดินทางไกลนะ
อาจจะมีเวียนหัว






สมรรถนะเครื่องยนต์และความประหยัด




22




ขุมพลังที่โดเด่น 178 แรงจากเครื่อง 2.5 ลิตร ผสาน VG Turbo
คงเป็นอะไรที่หลายๆคนชื่นชอบพอสมควรในเรื่องความแรง แต่กับรถระดับ 1.950
ก.ก. นั้น ถือว่ามันจะค่อนข้างแบกน้ำหนักไปสักหน่อย
ยิ่งเมื่อเจอการบรรทุกเต็มพิกัด เลยทำให้
ผลงานไม่เป็นที่น่าประทับใจเท่าไร แต่ยังอยู่ระดับที่เรียกว่าพอรับได้
แต่เราอยากฝากเรื่องนี้ให้วิศวกรช่วยดูว่า รถที่มีน้ำหนักขนาดนี้
น่าจะใช้เครื่องยนต์ที่มีบล็อกใหญ่กว่านี้อีกนิดรึเปล่า เพราะ
แม้จะเรียกแรงบิดจากเทอร์โบได้ แต่เมื่อ เทอร์โบ lag หรือรอรอบ
เรามันก้อืดจนต้องเหยียบมิด แล้วพอมาก็แบบว่าคอกแตก พุ่งพรวด
ซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญในการทำให้รถกินน้ำมันมากกว่าไปแบบเนิบๆ
(รึเปล่า)






ระบบกันสะเทือนและเทคโนโลยี




23




ช่วงล่างถือว่าดีทีเดียว เรียกว่า ยิ่งนั่งยิ่งนิ่ม
แต่ปัจจัยเรื่องความสูงของรถก็ดูเหมือนจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้เช่น
กัน ส่วนเรื่องเทคโนโลยี โดดเด่นแต่ไม่หวือหวา
ยิ่งเมื่ออาจจะต้องสู้กับคู่แข่งที่จะออกมาในไม่ช้า คำถามคือ
ทางมิตซูบิชิ จะมีอะไรมาให้เราได้ลุ้นกันอีกบ้าง นะ










Create Date :06 กุมภาพันธ์ 2555 Last Update :6 กุมภาพันธ์ 2555 8:04:39 น. Counter : Pageviews. Comments :0