bloggang.com mainmenu search


สรารัตน์ หรุ่มเรืองวงศ์ หรือ ปูดำ สาวผิวคล้ำ จากเวทีประกวดนางสาวไทย ที่เปรียบเสมือนบันได ส่งให้เธอ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ตลอดเวลาที่เธอเวียนว่าย อยู่ในวงการ ชื่อเสียงของ "ปูดำ" มักจะมีแต่ข่าว...คาว!!! กับบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ ทั้งในและนอกวงการ บ้างก็ว่า ... เธอมีเสี่ยเลี้ยง?!... หรือแม้แต่เข้าไปโลดแล่น อยู่ในวงการนักแสดง เมื่อเข้าฉากกับใคร ก็มักตกเป็นข่าวกับคนนั้น! ... ไม่ว่าหนุ่มที่เข้าฉากด้วย จะละอ่อนกว่านับสิบปีก็ตาม ... ชีวิตวันนี้ของ "ปูดำ" เธอเลือกทางเดินไว้อย่างไร เธอเท่านั้นที่จะบอกเราได้อย่างดี...

เริ่มกันตั้งแต่หลังประกวด ปูดำทำอะไรบ้าง

มีงานละครบ้าง แล้วก็เรียนหนังสือ อย่างที่หลายคนทราบว่า ก่อนประกวด "ปูดำ" เป็นนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติ ชีวิตช่วงที่ต้องเรียนก็ไม่ได้เรียนอย่างเต็มที่ พอเริ่มประกวดและได้ตำแหน่งก็ไม่ได้เรียน เพราะทำงานมาตลอด "ปู" ตัดสินใจหยุดเรียนมาตั้งแต่จบ ปวส. เพราะคิดว่า เรามีงานทำ และเป็นงานในวงการบันเทิง ที่ขึ้นเป็นช่วงๆ ช่วงไหนขึ้นก็ต้องรีบโกย นี่คือความรู้สึกในตอนนั้น พอเวลาผ่านไปจึงรู้ว่า เราขาดความรู้ที่แท้จริง ควรจะได้เรียนเพิ่มเติม ตอนนั้นอายุประมาณ 28-29 จึงกลับไปเรียนอีกครั้ง โดยเลือกเรียนภาษาที่อังกฤษ ซึ่งตอนนี้ก็คิดว่าเราคิดพลาดอีก เพราะแทนที่จะเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัย แต่เรียนแค่ภาษา เรียนจบก็เรียนอะไรต่ออีกไม่ได้ คือถ้าคิดอยากจะเรียนต่ออีก ก็ต้องไปนับหนึ่งใหม่ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะคิดว่าคุ้มค่าสำหรับคนที่อยากเรียน แล้วได้เรียนต่ออย่างที่ตั้งใจไว้... (ปูดำเล่าเรื่องของตัวเองอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งว่าทุกเรื่องถูกบันทึกไว้ในหัว...แบบไม่เคยลืม)

ได้ข่าวว่าผันตัวเองมาทำหนัง อะไรเป็นแรงบันดาลใจ

จริงๆแล้วอาชีพบันเทิงค่อนข้างสั้น ถ้า "ปู" เล่นตอนนี้ก็ต้องรับเป็นแม่หรือป้าเท่านั้น จึงคิดว่ามาเป็นผู้สร้างดีกว่า เพราะอย่างไรก็เป็นธุรกิจที่ทำเงินเป็นกอบเป็นกำ (ใหญ่) และตัวเองเป็นคนช่างติ ถ้าเราทำให้ดี ลงทุนแต่น้อย แต่ได้เงินมาก โดยแรงบันดาลใจอยู่ที่เรื่อง งูเกงกอง เพราะทราบมาว่า ลงทุนไป 3 ล้านบาทแต่มีรายได้กว่า 10 ล้านบาท จึงโทร.ไปชวน "ท็อป" (บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์) เพราะเขาอยากเป็นผู้กำกับอยู่แล้ว และ "ท็อป" ก็ไปชวน "เสี่ยเจียง" (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) ต่อ... ช่วงแรกยังถูกโจมตีว่ามีอะไรกับ "ท็อป" พอ "เสี่ยเจียง" เข้ามา ก็หาว่าเป็นแฟน "เสี่ยเจียง" อีก ถูกโจมตีแบบนี้บ่อย... "ปูดำ" เล่าถึงความโชคไม่ดีที่ตกเป็นข่าวคาวอยู่เสมอ...

แรกทีเดียวปูอยากทำหนังเรื่องสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่พอคุยกับ "ท็อป" เขามีเรื่อง "ตำนานกระสือ" อยู่ จึงลองดู และการทำหนังนี่ ต้องมีครบวงจรจึงจะไปรอด เพราะการที่หนังจะลงโรงไหน ต้องเอางบประมาณให้เขาก้อนหนึ่งก่อน เพื่อไปวางแผนทำโฆษณาล่วงหน้าเป็นปี ดีที่เรามี "เสี่ยเจียง" เขาเป็นเจ้าของโรงหนังเอง มีเงินร่วมลงทุนด้วย และ "เสี่ยเจียง" ก็อยากสร้างผู้ผลิตหน้าใหม่ๆเพิ่มขึ้น "ปู" จึงมีโอกาส และการสร้างหนังเราทำคนเดียวไม่ได้ ต้องมีผู้ใหญ่ช่วย



ตอนเล่นหนังคนก็เม้าท์ ลงทุนทำหนังคนก็เม้าท์อีก ... ถูกเม้าท์ในทางลบตลอดเสียใจบ้างไหม

ไม่ค่อยเสียใจ เพราะบ่อยครั้งจะมีคนคอยแก้ข่าวให้ แต่บางข่าวทำให้ครอบครัวแตกก็มี "ปู" คิดว่าเราเกิดตรงนี้ เป็นคนของประชาชน แล้วบางคนเขาไม่รู้จักเราดี ก็อาจจะพยายามจินตนาการไปเอง คนที่รู้จักจะรู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร "ปู" เป็นคนรู้จักคนในวงการน้อยมาก ชีวิต "ปู" เป็นแบบนี้จริงๆ เล่นหนังเสร็จกลับบ้าน ไปไหนไปกับแม่ "ปู" มีครอบครัวที่ดี แต่ชีวิตไม่ค่อยมีเพื่อน อาจจะเป็นเพราะเล่นละครก็ถูกเล่นบทร้ายตลอด ออกไปข้างนอกก็ไม่ค่อยยิ้ม คนมักพูดว่า "ปู" ดุ ซึ่งก็ยอมรับว่าหน้าตาเฉยๆไม่ยิ้มจะดูดุ ก็เลยไม่ค่อยมีใครกล้ามาใกล้ชิด เหมือนเป็นสิ่งป้องกันเราได้อย่างหนึ่ง ประกอบกับประสบการณ์ ที่มีอยู่บ้าง บางครั้งอาจหลงระเริง หรือผิดพลาดไปบ้างก็เคยมี แต่พยายามคิดว่า คนเราบางช่วงก็ขึ้น เหมือนดอกไม้ที่กำลังบานก็ดึงดูด เป็นแบบนี้ทุกวงการ ไม่ว่าจะในรั้วมหาวิทยาลัย ไฮโซ ดารา และยิ่งวงการดาราเป็นวงการที่แคบ บางเรื่องเป็นข่าวขึ้นมาก็ดูน่าสนใจ เป็นของปกติ อยู่ที่ว่าจะเพ้อฝันไปหรือไม่ ทุกสังคมปะปนไปด้วยกัน ทั้งฝ่ายเสนอและสนอง แต่อาจจะไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูด

แล้วเรื่องที่ถูกพูดว่าเป็น "เมียเก็บ" ของผู้ใหญ่ผู้โตล่ะคะ?

"ปู" อยู่ในมุมของตัวเองมาตลอด และก็มีแฟนมาตลอด ตอนเป็นนางงาม "ปู" ก็มีข่าวแบบนี้ ไปอังกฤษก็หาว่าไปอยู่กับสุลต่าน หรือมีคนเลี้ยงเป็นเจ้าของเต็นท์รถ คนขายโทรศัพท์...ซึ่งเป็นเรื่องตลก แต่ "ปู" ก็คิดว่า เขาเขียนดีกว่าเขาไม่เขียน ต้องบอกว่าเราเกิดจากเรื่อง ที่นักข่าวเขียนแหย่! เขาอาจจะรักแกมหมั่นไส้บ้าง แต่ก็มักเป็นข้อมูลที่ไม่ค่อยจริง "ปู" คิดว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ คนหวังดีก็มี หวังร้ายก็มาก คือหลายครั้งเราก็เสียหาย ครอบครัวก็บอบช้ำ แต่เราถือว่า เราได้มากกว่าความบอบช้ำที่ได้รับ ไม่อยากสร้างศัตรู ถือเสียว่าเจ๊ากันไป....

อย่างนี้ไม่เบื่อวงการมายาหรือ?

ทุกที่ก็มายาทั้งนั้นค่ะ ทุกสังคมเมื่อมาเจอกัน ก็ไม่ใช่สิ่งจริงเสมอไป ต้องบอกว่า ชีวิตจริงๆนี่มายามากกว่าละคร ที่เราเล่นเสียอีก "ปู" มีทุกวันนี้ได้ ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง อยู่ในวงการบันเทิง ตั้งแต่อายุ 19 ปี คิดว่าถ้าไม่ได้ประกวด วันนี้ยังไม่รู้ว่าไปเป็นพนักงานอยู่ห้างไหน เพราะจบแค่พาณิชย์ คงไม่ได้รู้จักใครอีกหลายคน คนรู้จักเราก็จากวงการนี้ มีคนช่วยเหลือ ให้เครดิต มีคอนเนกชั่นดีๆ ทำงานได้สตางค์ ได้ประสบการณ์ ได้แขนขาต่ออาชีพ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครรู้จัก "ปูดำ" อย่างทุกวันนี้

ก่อนเข้าวงการ "ปู" ต้องทำงานมาตลอดตั้งแต่อายุ 16 ปี เป็นโอปะเรเตอร์รับโทรศัพท์ บ.โตโยต้าแถวบ้าง เป็นประชาสัมพันธ์ธนาคารบ้าง เพราะพ่อไม่เคยให้อยู่บ้านเฉยๆ จะฝากลูกให้ทำงานตลอด ส่วนที่ให้ว่ายน้ำ ก็เพราะพ่อไม่อยากให้ออกไปเที่ยวหรือซ่าข้างนอก ว่ายน้ำจะได้หมดแรง กลับบ้านจะได้นอนหลับอุตุ และอีกอย่างพ่อทำงานไม่มีเวลาให้ จึงต้องอัดให้ลูก ช่วงที่ต้องว่ายน้ำ 10 ปี ชีวิตมีแต่การแข่งขัน สร้างเพื่อนไม่ได้ พอประกวดขึ้นเวทีเราก็คิดอย่างเดียวว่าต้องชนะ! ต้องที่หนึ่ง! ไม่มีคำว่าเพื่อน ไม่มีใครที่คิดว่า ตัวเองเอาตำแหน่งรองก็ได้ ให้เพื่อนที่หนึ่งไปดีกว่า รับรองไม่มีใครคิดแบบนี้ พอเข้าวงการบันเทิง เล่นหนังเสร็จก็กลับบ้าน ชีวิตเป็นแบบนี้มาตลอดจึงไม่มีเพื่อน ทำให้หลายคนแปลกใจว่า เราไม่มีมนุษยสัมพันธ์หรืออย่างไร?

แสดงว่า "ปูดำ" นี่สู้ด้วยลำแข้งของตัวเองมาตลอด?!

เหนื่อยมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะพ่อเป็นข้าราชการ เป็นอาจารย์สอนหนังสือที่จุฬาฯ จึงเป็นหน้าที่เราที่ต้องสร้าง ต้องเหนื่อยและเก็บหอมรอมริบ พอยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว....ช่วงนี้ ยังมีแรงก็ต้องตักตวงไว้ "ปู" สู้ด้วยลำแข้งของตัวเอง เพราะคิดว่า ชัวร์ที่สุดคือ สร้างตัวเอง!! เพราะไม่รู้ว่าคนให้จะหยุดให้เมื่อไร หรือคนรักเราจะหมดรักเมื่อไหร่! สมัยนี้มีโอกาสเลือกเด็กสาวๆที่ขึ้นมาใหม่ๆ จึงคิดว่า การทำงานทำให้เราอยู่รอด จะมีใครเข้ามาในชีวิตหรือไม่เราก็ทำงานของเรา ถ้ามีใครให้อะไร ถือเป็นลาภลอย เป็นสิ่งที่มีมาเติมต่างหาก แต่ต้องหาด้วยตัวเอง และตอนนี้ (หัวใจ) ยังว่างค่ะ!!

หลายครั้งที่มีคนมาถาม มาติดต่อ "ปู" แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่เรารู้จัก บ้างก็รู้จักคนของเขา อยากหาคนที่ไกลตัว ทีนี้ก็ต้องย้อนไปที่ว่า วงการบันเทิงนั้นแคบ พอเราเลิกกับคนหนึ่งแล้วไปกับคนอื่น ก็กลายเป็นไปแย่งเขามา หมอดูเคยทำนายไว้ว่า "ปู" ไม่มีเรื่องคู่ ต้องทำงานเอง อยู่กับใครสักพักก็ต้องแยกกัน ดังนั้น เราต้องใฝ่หาความรู้ต้องทำงาน ถ้ามีใครผ่านเข้ามาก็ให้ผ่านไป อย่าไปยึดติดหรือร้องไห้ดึงเขาไว้ "ปู" ไม่ได้ปิดกั้น แต่ถ้าเข้ามาแล้วช่วยผ่อนแรง ผ่อนความเหนื่อย เพราะเราอายุมากแล้ว ก็คงไม่มาคิดแบบเด็กๆ "ปู" ทำงานหนักและเหนื่อยมาก ก็ต้องการคนมาช่วยผ่อนแรงเหมือนกัน!!

แล้วรู้สึกอย่างไรกับคำว่า "ผัวเดียว เมียเดียว"

ผัวเดียว เมียเดียวเป็นเรื่องสำคัญ แต่จำนวนประชากรทำให้ตัวเลือกของผู้ชายมีมาก ผู้หญิงทุกคนอยากมีโอกาสดีๆ แต่โอกาสเลือกอาจจะไม่มี บ่อยครั้งสำหรับ "ปู" ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป อาจไปเจอคู่ของคนอื่น หรือถ้าเดี่ยว ก็อาจไม่ค่อยรับผิดชอบ ก็คิดว่าคนคนนั้นมาร่วม สร้างความสุขกายสบายใจด้วยกัน ใครที่ทำให้ทุกข์ใจ ก็ให้เขาเป็นครู หากมีโอกาสก็คงไม่เลือกเข้ามาอีก แต่ดวงเราอาจจะดึงดูด ถ้าเห็น "ปู" จะบอกได้ทันทีว่า ใช่หรือไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่ "ปู" ก็ไม่ดันทุรัง เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องการคนมาดูแล มาซับพอร์ต ต้องการพ่อบ้าน แต่บางคนเป็นผู้ใหญ่ที่เขามีความพร้อมแล้ว แต่เรารับบางอย่างไม่ได้ ก็ถอยเองดีกว่า "ปู" คิดว่า โอกาสมี แต่ก็เลือกมาก ดังนั้น ถ้าใช่ก็ต้องใช่ เป็นบุพเพสันนิวาสกันจริงๆ มันก็ต้องใช่ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ



"ปูดำ" จบท้ายการสนทนา โดยบอกถึงความฝันของเธอ ที่คิดอยากทำธุรกิจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อหาโรงเรียน ในต่างประเทศให้เด็กๆ ทำธุรกิจสปา... แต่ถึงอย่างไรช่วงนี้ยังไม่กล้าลงทุน เพราะสู้เศรษฐกิจไม่ไหว แต่ที่ตัดสินใจแล้ว "ปูดำ" คงเลือกสร้างภาพยนตร์ต่อไปอีก หลังจากสร้าง "กระสือ" แล้ว ก็วางแผนจะสร้างเรื่อง "พระเวสสันดร" หนังฟอร์มใหญ่ ที่อยากร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ เพราะหนังเรื่องนี้ จะสอดแทรกให้นักเรียน ผู้ปกครอง รู้จักเรื่องของการให้

และนอกเหนือจากการลงทุนนับสิบๆล้านกับธุรกิจสร้างภาพยนตร์แล้ว ตอนนี้เธอยังขอมีความสุขเล็กๆน้อยๆ กับการเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว ซึ่งมีชื่อว่า "เส้นใหญ่" อุตสาหกรรมในครอบครัว ที่ใช้สนามภายในรั้วบ้านในซอยวิภาวดีฯ 60 เป็นที่ตั้งร้าน ซึ่งจะได้เห็นคุณแม่และ "ปูดำ" อยู่หน้าหม้อก๋วยเตี๋ยวด้วยตัวเอง...

....ปูดำ นับเป็นผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ธรรมดา รู้จักทำมาหากินด้วยลำแข้งของตัวเอง แทนที่จะเลือกนั่งกินนอนกินเป็นนกน้อยในกรงทอง!!... ซึ่งคงไม่ใช่วิสัยของลูกผู้หญิงคนนี้อย่างแน่นอน


บทความจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 2 กุมภาพันธ์ 2546

.....................................

“ปูดำ” ขยายกิจการ “เส้นใหญ่” เปิดแฟรนไชส์-ขายซอสเย็นตาโฟ



ดาราหันมาจับธุรกิจกันเยอะแยะ โดยส่วนมากมักจะเป็นธุรกิจด้านความสวยความงาม โดยเฉพาะเหล่าดาราหญิงสาวทั้งหลาย แต่อดีตนางงามอย่าง ปูดำ-สรารัตน์ หรุ่มเรืองวงศ์ ที่เดิมตั้งใจจะเปิดสปา กลับเปลี่ยนใจมาเปิดร้านอาหารในบ้านตัวเองที่ ซ.วิภาวดี 60 ชื่อว่า “เส้นใหญ่”

สรารัตน์ หรุ่มเรืองวงศ์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นธุรกิจร้าน “เส้นใหญ่” ว่า เมื่อถึงวันหนึ่งของวัย เห็นว่าการแสดงไม่ใช่อาชีพหลัก ก็เริ่มขบคิดว่าตัวเองเหมาะกับธุรกิจแบบไหน เริ่มต้นก็คิดเรื่องสปา เพราะเป็นนางงาม เป็นดารา ก็ต้องมีเรื่องความสวยความงาม แต่ช่วงนั้นได้เรียนปริญญาตรีที่ ม.รามคำแหง และไปต่อปริญญาโท ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ก็เรียนหนัก จะเปิดสปาต้องมีเวลาดูแลมากๆ พอดีกับที่ผู้จัดการส่วนตัวมีความรู้เรื่องทำอาหาร ที่บ้านก็ชอบหาทานเหมือนกัน จึงตัดสินใจเปิดร้านอาหาร

โดยในตอนแรกๆ ก็ไปตระเวนหาสถานที่ แต่ละสถานที่ก็ต้องเสียค่าเช่าสูง ก็เลยคิดว่าที่บ้านมีพื้นที่ว่าง น่าจะเปิดที่บ้านดีกว่า แม้จะไกลอยู่ในซอยตัน โอกาสขายได้ก็ยาก แต่ร้านที่ชอบไปทานหลายร้าน ก็เดินทางไปลำบากเหมือนกัน คิดว่าถ้าอาหารอร่อยจริง ของดีจริง คนทานก็ต้องดั้นด้นเข้ามาจนได้

“วันแรกที่เปิดร้านขายได้ 70 บาท จากคนที่เขาขับรถเข้ามาหาเพื่อนในซอยและก็แวะลองทานดู หลังจากนั้นก็มีลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ จากการบอกปากต่อปาก”

แรกๆ สรารัตน์ก็ไม่กล้าบอกเรื่องธุรกิจของเธอกับสื่อ ด้วยเหตุที่กลัวว่าร้านจะไปไม่รอด แต่ครั้นลูกค้าเยอะพอสมควร จนร้านอยู่ตัวแล้ว ก็เริ่มบอกนักข่าวให้ช่วยประชาสัมพันธ์ร้านให้ ปัจจุบันเธอบอกว่า พูดได้เต็มปากว่ามีลูกค้าประจำ โดยในช่วงเที่ยงจะมีคนเต็มร้านเกือบทุกวัน ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์จะมีลูกค้าเข้าออกตลอด

“อาหารยอดฮิตก็เย็นตาโฟ ร้านมีโต๊ะ 30 โต๊ะ ช่วงเที่ยงก็จะเต็มทุกวัน แต่หน้าฝนอย่างนี้ลูกค้าก็จะลดลง เพราะเดินทางลำบากหน่อย เขาจะหาทานใกล้ที่ทำงานมากกว่า ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของร้านจะเป็นคนทำงานที่มีหน่วยงานอยู่ใกล้ๆ เช่น การบินไทย กรมป่าไม้ กรมตำรวจ”

อาหารในร้าน “เส้นใหญ่” นั้น มีหลากหลาย ไม่ใช่แค่เย็นตาโฟ แต่ยังมีเมนูข้าวหมูอบ, ข้าวหน้าไก่, สเต็ก เป็นต้น โดยจะทำวันต่อวันไม่ให้เหลือค้างคืน ส่วนชื่อร้านที่ตั้งว่า “เส้นใหญ่” นั้นก็เพราะคนที่มาทานแรกๆ ก็เป็นคนใหญ่คนโต มียศ ที่ทำงานอยู่แถวนี้ แล้วก็เป็นการเล่นคำว่า “เส้นใหญ่” คือคนที่มาทาน หรือเจ้าของร้านกันแน่

คุณภาพของอาหารในร้านนั้น สรารัตน์ บอกว่า ซอสเย็นตาโฟของเธอไม่ใส่สี รสกลมกล่อม สะอาด ปลอดภัย ลูกชิ้นปลาก็ใช้เนื้อปลา 99 เปอร์เซ็นต์ อีก 1 เปอร์เซ็นต์เป็นไข่ขาว สะอาด อร่อย ไร้สารพิษ ซึ่งเธอเองกินของในร้านของตัวเองได้อย่างสบายใจ และไม่ว่าจะซื้ออะไรมาก็จะมีการหยดน้ำยาตรวจหาสารแปลกปลอมก่อน และสั่งโรงงานที่ผลิตของให้ไว้เลยว่าต้องปลอดภัยไร้สารพิษ ถ้าตรวจเจอเมื่อไหร่ จะยกเลิกการผลิตทันที

“ร้านเปิด 9 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น ราคาอาหารอยู่ที่ 40-100 บาท ตะเกียบเราก็สั่งทำพิเศษ ส่วนชามเมื่อก่อนใช้ชามตาไก่ แต่ดินเผาจะดูดความร้อน ชามร้อนแต่น้ำซุปไม่ร้อน จึงเปลี่ยนมาใช้ชามเมลามีน” สรารัตน์ กล่าว

ต่อมา สรารัตน์ ได้มีโอกาสเข้าอบรมในโครงการ NEC ดารากับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ทำให้เริ่มคิดทำร้านเป็นระบบธุรกิจแฟรนไชส์ จากที่ครั้งแรกอยากเปิดสาขาเอง แต่เมื่อได้ไปอบรมก็คิดว่าการเปิดแฟรนไชส์จะทำให้เหนื่อยน้อยกว่า และนอกจากการทำระบบแฟรนไชส์แล้ว ก็ยังทำซอสเย็นตาโฟขายด้วย โดยเป็นซอสที่คนมุสลิมทานได้ ตอนนี้ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการเลือกสรรแพกเกจจิ้ง เพื่อให้ซอสอยู่ได้นานโดยไม่ใส่สารกันบูด

“ตอนแรกอยากทำเป็นผง แต่ต้องลงทุนเครื่องจักรเยอะ เรายังไม่ขายดีขนาดนั้น ก็เลยเอาแค่นี้ก่อนดีกว่า”

สรารัตน์ กล่าวต่อว่า ลูกค้าแฟรนไชส์ติดต่อเข้ามาเยอะพอสมควร แต่ตอนนี้ระบบยังเซ็ทไม่เรียบร้อย จึงยังไม่ได้ตกลงกับใคร ซึ่งแฟรนไชส์นั้นจะมีเย็นตาโฟเป็นหลัก แต่ก็จะเสริมอาหารอื่นๆ เช่น ข้าวหมูอบให้ด้วย โดยขณะนี้ระบบแฟรนไชส์เสร็จไปแล้วกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ เหลืออีก 5 เปอร์เซ็นต์ คือการเลือกสรรและคำนวณงบประมาณวัสดุอุปกรณ์ เช่น หม้อ จานชาม โต๊ะ เป็นต้น

“ไม่อยากคิดราคาแฟรนไชส์ให้เว่อร์ แม้เราจะมีคุณภาพสูง แต่ถ้าขายแฟรนไชส์แพงมากก็คงสร้างความลำบากให้แฟรนไชซี เราไม่เอาค่าวิชามากมาย ให้เขาอยู่ได้ แต่เราเข้าไปดูแลว่าเขาเพี้ยนคอนเซ็ปต์เราหรือเปล่า และก็ไม่จำเป็นต้องมีสาขาทั่วประเทศ มีไม่กี่ร้านแต่คุณภาพดีดีกว่า” สรารัตน์ กล่าว

หากมีปัญหาอะไร สรารัตน์ก็จะปรึกษาอาจารย์ที่กรมฯ อยู่ตลอด โดยปัญหาส่วนมากที่เธอเจอก็เกิดจากบริวาร

“ต่อให้เราบอกอะไร สั่งอะไรไว้ ลับตาเราเขาก็ทำตามแบบเขา ตามความคล่องตัวของเขา อาจารย์ก็พยามสอนว่าต้องมีแรงจูงใจ เด็กเขาอายที่จะขายของ อายที่จะพูด บริวารสำคัญมาก ต้องหาคนที่รักงานจริงๆ เราก็ต้องเล่าปัญหาเหล่านี้ให้แฟรนไชส์ฟังด้วย”

“ปูก็มุ่งมั่นกับธุรกิจ ยึดหัวหาดให้ดีเสียก่อน แล้วดูแลสาขาให้ดีด้วย คนคิดว่าดาราเปิดร้านก็จะตูมสักพักก็เงียบหาย ปูก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น”

สรารัตน์ กล่าวสรุป

ร้าน “เส้นใหญ่” ซ.วิภาวดี 60 โทร.0-1484-4444

บทสัมภาษณ์จากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

Create Date :13 กันยายน 2548 Last Update :15 กันยายน 2548 2:53:09 น. Counter : Pageviews. Comments :6