bloggang.com mainmenu search
'ตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจ...ว่ากำลังทำอะไรอยู่'

"เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องสำคัญ สำคัญยิ่งกว่าเรื่องส่วนตัวของ พล.อ.เสถียร หรือ พล.อ.ชาตรี หากต่อไปศาลให้ทุเลาคำสั่งให้ทหารไปช่วยราชการต่างจังหวัดหรือไปชายแดน หรือไปจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว จะเป็นอย่างไร คำสั่งให้ทหารไปปฏิบัติหน้าที่เป็นดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชา เป็นแบบธรรมเนียมยอมรับกันมาช้านาน ทหารทุกระดับชั้นยศต้องปฏิบัติตามไม่ใช่คิดเอาเองว่าตนควรทำหน้าที่อะไร อยู่ที่ไหน ไม่เช่นนั้นจะปกครองสั่งการกันไม่ได้"

กับข้อคิดของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม เจ้าของคำสั่งเด้งฟ้าผ่า นายทหารระดับ 3 นายพล พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา ให้ไปช่วยราชการสำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม โดย เฉพาะยิ่งเมื่อศาลปกครองมีคำสั่งให้ต้องคืนตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงกลาโหม ให้กับ พล.อ.ชาตรี ทัตติ เนื่องจากศาลเห็นว่าไม่พบข้อเท็จจริง ว่านำข้อมูลสำคัญซึ่งถือเป็นความลับทางราชการไปเปิดเผยต่อบุคคลภายนอก

ส่วนคำขอที่ พล.อ.ชาตรี ขอให้ศาลมีคำสั่งไม่ให้ รมว.กห.กระทำการใดๆ เกี่ยวกับการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลนั้น ศาลเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นหน้าที่ของ รมว.กห. ศาลไม่มีอำนาจที่จะสั่งห้ามไม่ให้ รมว.กห.กระทำการดังกล่าว

ดังนั้น ศาลจึงมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับใช้คำสั่งทางปกครอง โดยสั่งระงับคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ให้ พล.อ.ชาตรี ไปช่วยราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกลาโหมไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา หรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ประเด็นที่น่าคิด คือการที่ พล.อ.อ.สุกำพล ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า หากต่อไปผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้นายทหารไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ อย่างสั่งไปรบ หรือไปประจำยังพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้วเกิดมีทหารที่ได้รับคำสั่งเกิดไม่พอใจไปฟ้องศาลขึ้นมา อย่างนี้ระบบและธรรมเนียมปฏิบัติที่ยอมรับกันมาอย่างช้านานของกองทัพคงต้องแย่

หากพิจารณาตามคำพูดและความคิดเห็นของเจ้ากระทรวงกลาโหมท่านนี้ ก็ต้องถือว่ามีเหตุมีผลพอที่จะรับฟังได้ เพราะหากในอนาคตเกิดมีนายทหารไม่พอใจคำสั่ง อาทิ สั่งให้ไปออกรบ หรือไปปฏิบัติหน้าที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้วไปร้องต่อศาลขึ้นมา ระบบการปกครองของกองทัพที่มีมาอย่างยาวนานคงเกิดการติดขัดปั่นป่วนอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องเลยไปถึงเรื่องผิดขนบธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติต่อกันมาของกองทัพอย่างยาวนาน ที่ว่า "ทหารต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยเคร่งครัด"

ขณะที่ด้าน พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ส่วนตัวเห็นว่าไม่มีอะไรถูก หรืออะไรผิด เพราะมันเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในการแต่งตั้งโผทหารระดับชั้นนายพล ผมคงให้ความเห็นอะไรไม่ได้มาก เพราะออกมาจากวงการนานแล้ว เลี่ยงกันในทีแบบ "บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น" เพราะไม่ว่าจะให้ความคิดเห็นอย่างไรไป ก็ต้องกระทบกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน

ขณะที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ว่า ส่วนตัวเห็นว่า ตามธรรมดาเรามีศาลทหารเราอยู่แล้ว ถ้ามันมีเรื่องอะไรปกติจะขึ้นศาลทหารอยู่แล้ว ขึ้นศาลปกครองไม่ได้ เพราะถือเป็นศาลของเราโดยเฉพาะ เราไม่เหมือนข้าราชการอื่น คนอื่นต้องขึ้นศาลยุติธรรม ศาลอะไรต่อมิอะไร ขอหาคำตอบ หาข้อมูลอีกนิดหนึ่ง ในอดีตยืนยันว่า ไม่เคยมี มันต้องขึ้นศาลทหาร เพราะเรามีของเราโดยเฉพาะ ก็ต้องร้องไปที่ศาลทหาร ข้ามไปแบบนี้มันไม่เคยมี ผมก็งงอยู่ ก็ยอมรับอยู่ว่า เกรงว่ามันอาจกลายเป็นบรรทัดฐาน อีกหน่อยหากให้ไปรบ ทหารอาจไม่ไปรบก็ได้

พล.อ.พัลลภ กล่าวต่อว่า ล่าสุดทราบว่า รมว.กลาโหม กำลังพิจารณาตั้งกรรมการสอบสวนแล้ว แต่ท่านใจดีเกินไป เห็นว่าเป็นน้องๆ เป็นทหารต้องมีวินัย อย่างที่ พล.อ.อ.สุกำพลว่า ถ้าสั่งให้ไปรบ แต่ไม่รบ เลยไปฟ้องศาล มันก็ทำให้กองทัพอยู่ไม่ได้ ทหารถ้าไม่มีวินัยมันคือโจรดีๆ นี่แหละ

"ส่วนทางแก้ไขจากนี้ไป คงต้องรอดูที่กรมทหารพระธรรมนูญเป็นผู้พิจารณา และตีความว่าอย่างไร ถ้าออกมาว่าทาง รมว.กลาโหมถูกต้องก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าออกมาทางศาลปกครอง ก็ต้องมีการแก้โผก็แค่นั้น ผมก็ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร เพราะกฎหมายศาลปกครองผมก็ไม่รู้ รู้แต่กฎหมายทหาร ไม่เคยมี ตั้งแต่ตั้งกองทัพมา มีคนนี้เป็นคนแรกที่ไปฟ้องศาลปกครอง ก็ต้องดูกันต่อไป" พล.อ.พัลลภ กล่าว

อย่างไรก็ดี พล.อ.อ.สุกำพล ก็ต้องไม่ลืมหลักสำคัญในการปกครองที่ว่า เมื่อมีโอกาสเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ และได้เป็นถึง รมว.กลาโหม สิ่งที่สำคัญที่สุด จึงไม่ใช่ “ทหารจะต้องเชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยเคร่งครัดเพียงอย่างเดียว แท้ที่จริงควรอยู่ที่ว่า คำสั่งนั้นมีความเหมาะสม เสมอภาค ชอบธรรม และถูกต้องตามหลักจริยธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามที่ควรปฏิบัติ และเป็นที่ยอมรับของผู้ใต้บังคับบัญชาของกองทัพหรือไม่ต่างหาก”

ทั้งนี้ “บิ๊กโอ๋”เอง ก็ย่อมทราบว่า หากคำสั่งนั้นไม่ถูกต้องชอบธรรมแล้ว ก็คงไม่แปลกใจที่ต้องถูกต่อต้าน จากผู้ที่ได้รับผลกระทบและไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว

ฉะนั้น พล.อ.อ.สุกำพล จึงควรต้องหันกลับไปทบทวนและถามตัวเองด้วยว่า ที่ทำไปทั้งหมด โดยเฉพาะกรณีแต่งตั้งปลัดกลาโหมคนใหม่ ตนได้ทำอย่างถูกต้อง ชอบธรรมที่สุด โดยไม่มีผลประโยชน์อะไรแอบแฝงหรือยัง? หากเห็นว่าดีสำหรับประเทศชาติและประชาชนคนไทยแล้ว ก็เดินหน้าต่อไปได้ โดยไม่ต้องเกรงกลัวอุปสรรค แต่หากไม่ใช่ มันก็จะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งทันที

ต้องยอมรับ ยิ่งกรณีของ "พล.อ.ชาตรี ทัตติ"ซึ่งมองอย่างไร ก็หาความผิดที่ชัดเจน จนถึงขนาดต้องมีคำสั่งโยกย้ายไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐานว่า เอาความลับทางราชการไปปูดให้บุคคลภายนอกฟังจนทำให้ศาลปกครองมีคำสั่งทุเลา คืนตำแหน่งรองปลัดกระทรวงกลาโหมให้ ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า พล.อ.ชาตรี มีอาวุโสสูงสุด ทั้งคุณวุฒิ และวัยวุฒิ สูงกว่า พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ทบ.) ที่กำลังมีชื่อในโผทหาร เตรียมเข้ามานั่งในตำแหน่ง ปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ด้วยซ้ำ

หรือจะเป็นไปตามที่มีคนวิเคราะห์กันไว้ก่อนหน้าว่า หากยังให้ พล.อ.ชาตรี ยังอยู่ในตำแหน่งรองปลัดกห.ต่อไป พล.อ.ทนงศักดิ์ ก็คงไม่สะดวกนัก ที่จะมาจัดทำโผรายชื่อโยกย้ายนายทหารระดับนายพล รวมไปถึงกรณีมานั่งเป็นปลัดกลาโหมคนใหม่ แทน พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ด้วย

ของอย่างนี้ ตัวเราเองรู้แก่ใจตัวเองดีที่สุด คนอื่นไม่มีทางรู้ได้ ว่าที่ทำลงไปทั้งหมดแท้ที่จริงแล้ว เพื่ออะไร หรือใครจะว่าไม่จริง...!!!

โดย: ไทยรัฐออนไลน์

Create Date :18 กันยายน 2555 Last Update :18 กันยายน 2555 8:42:36 น. Counter : 2039 Pageviews. Comments :0