Holding the man


Holding the man เป็นหนังที่ฉายตั้งแต่ พ.ศ. 2558 แต่เราเพิ่งจะเคยดูผ่านทาง netflix ไม่รู้อะไรดลใจให้กดเข้าไปดู แต่ดูแล้ว ประทับใจมากจนต้องเก็บเอามาเขียน
หนังเรื่องนี้ เป็นเรื่องของชายรักชาย สร้างขึ้นจากชีวิตรักของ Timothy Conigrave (ทิม) และ John Caleo (จอห์น)
ตอนดูเรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันเรียลมาก เนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ ค่อยๆเล่าเรื่องของชาย 2 คนที่ค่อยๆเติบโตขึ้นตามกาลเวลา ตอนแรกเราไม่รู้เหมือนกันว่าสร้างจากเรื่องจริง ดูจบแล้วถึงเพิ่งรู้ เพราะในหนังขึ้นรายละเอียดว่าทิมเสียชีวิตหลังจากเขียนเรื่องนี้จบประมาณหนึ่งปี
เราว่าสิ่งที่ทำให้หนังเรียลได้ขนาดนี้ นอกจากจะเพราะเป็นเรื่องจริงแล้ว นักแสดงเองก็สื่อสารอารมณ์ออกมาได้ดีไม่แพ้กัน ผู้กำกับและทีมงานก็ใส่รายละเอียดได้อย่างครบถ้วน ไม่เว้นแม้กระทั่งฉากกินยา (เดี๋ยวจะเล่าละเอียดอีกครั้ง)
เรื่องเริ่มต้นเล่าที่ปี ค.ศ. 1970 เป็นช่วงที่ทิม และจอห์นอยู่ในวัยมัธยม ทั้ง 2 คนเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน จอร์นเป็นนักกีฬาโรงเรียน ส่วนทิมอยู่ชมรมการเเสดง 
ฉากหนึ่งที่เราชอบคือทั้ง 2 คนจีบกันผ่านโทรศัพท์บ้าน ในสมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือหรืออาจจะเริ่มมีแล้วแต่ราคาแพงมากและยังไม่แพร่หลาย เพราะฉะนั้นการโทรไปบ้านของอีกฝ่าย มักจะผ่านพ่อแม่ที่เป็นคนรับสายก่อน และยังต้องลุ้นว่าคนที่เราโทรหาจะอยู่บ้านหรือไม่
ต่อมาหลังจากตกลงเป็นแฟนกัน ทั้ง 2 คนก็ต้องปกปิดความสัมพันธ์นี้ไว้ เพราะสมัยนั้น ผู้คนยังไม่ยอมรับความรักของคนเพศเดียวกัน มันเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายหรืออาจจะผิดกฎศาสนา แต่แล้ววันหนึ่ง ความลับของทั้งคู่ก็ถูกเปิดเผยโดยบังเอิญ พ่อแม่ของทั้ง 2 คนไม่ยอมรับ และขัดขวางความรักครั้งนี้ แต่สุดท้ายจอห์นและทิมก็ยังยืนยันคบกันต่อไปและย้ายออกมาอยู่ด้วยกัน 
หลังจากย้ายออกมาอยู่ด้วยกัน เรื่องเล่าข้ามมาถึงช่วง ปี ค.ศ. 1980 ช่วงนี้เป็นช่วงวัยทำงาน ในเรื่องไม่ได้เล่าเเน่ชัดว่าจอห์นทำงานอะไร ส่วนทิมเริ่มสานฝันการเป็นนักแสดงต่อ ในช่วงนี้เริ่มเเสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนเเปลงหลายอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นแม่ของจอห์นและทิม ที่เริ่มยอมรับเพศสภาพของลูกชายตัวเองมากขึ้น ในขณะที่พ่อยังยอมรับไม่ค่อยได้เเต่ก็เริ่มต่อต้านลดลง ในสมัยนี้เองที่คนในสังคมบางส่วนเริ่มยอมรับความรักของเพศเดียวกันมากขึ้น ชายรักชาย หญิงรักหญิงเริ่มเปิดเผยความรักของพวกเขาในที่สาธารณะมากขึ้น จอห์นและทิมเองก็ได้เข้าร่วมสมาคมที่เรียกร้องความเท่าเทียมให้กับคนที่รักเพศเดียวกัน
นอกจากนี้ทั้ง 2 คน ยังเริ่มมีปัญหากันทั้งเรื่องความหึงหวงและงานของทิม คือตัวทิมเอง อยากลองมีอะไรกับคนอื่นนอกจากจอห์น และทิมเองก็ต้องการไปเรียนการเเสดงเพิ่ม ทำให้ทั้ง 2 คนต้องห่างกัน ในช่วงเวลาที่ห่างกันไปนี่เองที่เราเดาว่าต่างฝ่ายต่างน่าจะมีใครอีกคนก่อนจะกลับมาคบกันอีกครั้ง เพราะเรื่องเล่าว่าทิมก็มีอะไรกับชายคนอื่น แต่ไม่ได้เล่าถึงจอห์นว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ในช่วงรอยต่อปี 1980-1990  (เราจำปี ค.ศ.ไม่ได้) มีฉากหนึ่งที่ทิมมีโอกาสสัมภาษณ์ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นชายรักชายเหมือนกัน ชายคนนี้เป็นโรคเอดส์ ซึ่งในขณะนั้นกำลังระบาดหนักในกลุ่มคนรักร่วมเพศ  และมีประโยคหนึ่งที่ชายคนนั้นย้อนถามทิมกลับว่าทิมมั่นใจได้อย่างไรว่าตัวเองไม่เป็นเอดส์ ทิมมีคู่นอนคนเดียวจริงๆหรือ ทิมและจอห์นจึงตัดสินพากันไปตรวจ HIV โชคร้ายที่ทั้งผลเลือดเป็นบวก คือทั้งคู่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเอดส์ ในช่วงเวลานั้นโรคเอดส์กำลังระบาดหนักในกลุ่มรักร่วมเพศ จนมีคำว่าพูดที่ว่าเกย์เท่ากับเอดส์ แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ก็ไม่พลาดที่จะใส่ประโยคนี้เข้าไปด้วย  ( ก่อนหน้านี้โรคเอดส์เคยระบาดมากในกลุ่มรักร่วมเพศ ก่อนจะเปลี่ยนมาระบาดในกลุ่มหญิงให้บริการ และแพร่มาสู่ครอบครัวในสุด เพราะคนที่ไปเที่ยวบริการทางเพศนำมาติดคู่สามีภรรยาของตนเองอีกทอดหนึ่ง) หลังรู้ข่าวร้าย จอห์นพูดทำนองว่า ทิมอาจจะติดจากจอห์น ฉากนี้แหละที่ทำให้เราเดาว่า ในระหว่างที่แยกกัน จอห์นเองก็คงมีคนอื่นเช่นเดียวกับทิม
ในช่วงระยะเวลานี้มีหลายฉากที่เราประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ครอบครัวของทั้ง 2 คนรับรู้ว่าพวกเขาเป็นเอดส์ แต่ก็ยังพูดคุยและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างคนปกติ มันเเสดงออกว่าคนในครอบครัวน่าจะเข้าใจถึงตัวโรค และการติดต่อแพร่กระจายของโรค (สมัยนั้น คนเป็นโรคเอดส์ ถือเป็นโรคที่น่ารังเกียจ บางคนไม่กล้าเข้าใกล้ พูดคุย หรือสัมผัสตัวเพราะกลัวติดโรค แต่ในความเป็นจริงแล้วโรคเอดส์ไม่ได้ติดต่อผ่านการพูดคุยหรือสัมผัสตัว แต่ติดผ่านทางเลือดและเพศสัมพันธ์) หรือฉากกินยาต้านไวรัสที่มีเป็น 10 กว่าเม็ด กินยาครั้งละเป็นกำมือ ฉากนี้ออกมาไม่ถึง 10 วินาที แต่เราชอบจนต้องเขียนถึง เพราะสมัยก่อนยาต้านไวรัส HIV ต้องกินครั้งละเป็น 10 เม็ดจริงๆ จึงมีปัญหาเรื่องคนไข้ไม่อยากกินยา ลืมกินยา เกิดเป็นความท้าทายของเภสัชกรปรุงยา ว่าทำอย่างไรให้ยาเหล่านี้ผสมรวมในเม็ดเดียวได้ เพื่อให้คนไข้กินยาง่ายขึ้น แต่การทำให้ยาเหล่านี้มารวมในเม็ดเดียวใช่ไม่เรื่องง่าย เพราะมีปัญหาเรื่องโครงสร้างเคมีของยา ทำให้ยาแตกตัว จนกระทั่งหลายปีต่อมา มีคนไทยที่ทำเรื่องนี้สำเร็จ นั่นคือ ดร.กฤษณา อโศกสิน ทำให้ทุกวันนี้ยาต้านไวรัสกินง่ายกว่าเดิมมาก
อีกฉากหนึ่งที่ต้องเขียนถึงคือ สภากาชาดโทรมาหาทิมเพื่อขอตรวจเลือดของทิม และเเจ้งว่ามีคนไข้หลายคนที่ได้รับเลือดแล้วติดโรคเอดส์ จึงขอตรวจสอบผู้ที่เคยบริจาคเลือด ฉากนี้เองที่เป็นตัวเฉลยว่าความจริงเเล้วน่าจะเป็นทิมที่นำโรคเอดส์มาติดจอห์นมากกว่า จริงๆแล้วทิมอาจจะมีเชื้อไวรัส HIV แฝงอยู่หลายปีแล้วก่อนจะตรวจพบ แต่ไม่แสดงอาการ ซึ่งการดำเนินโรคเป็นแบบนี้จริงๆ บางคนได้รับเชื้อไปเเล้วเป็น 10 ปี กว่าจะเเสดงอาการ และระยะนี้แหละที่น่ากลัวเพราะผู้ติดเชื้อไม่รู้ตัว และมีโอกาสไปเเพร่เชื้อให้คนอื่นต่อ
แต่ประเด็นที่เราชอบคือผู้สร้างหนังใส่ใจในรายละเอียด ไม่ได้ตัดเรื่องที่ว่ามีคนไข้ติดเชื้อจากการรับเลือดออกไป เพราะเมื่อก่อนเลือดที่ได้รับการบริจาคมายังไม่มีการคัดกรองที่ดี และยังไม่มีการตรวจเอดส์ ทำให้มีคนไข้หลายคนติดโรคเอดส์จากการรับเลือด เราเองยังเคยเจอคนไข้เป็นธาลัสซีเมีย ต้องได้รับเลือดเป็นประจำ เขาเล่าให้ฟังว่าติดโรคเอดส์ตั้งแต่ตอนอายุประมาณ 5-6 ขวบจากการรับเลือดนี่แหละ (ถ้านับย้อนกลับไปก็ประมาณ 20 ปีก่อน) นอกจากโรคเอดส์แล้ว ก็ยังมีโรคอื่นที่ติดผ่านการรับเลือดอีก แต่ในหนังไม่ได้พูดถึง เช่น ไวรัสตับอักเสบบีและซี
มีอีกเรื่องที่ในหนังไม่ได้พูดถึง เเต่เราอยากจะเสริมเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการบริจาคเลือด อย่างที่เราได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ว่า เมื่อก่อนเอดส์ระบาดมากในกลุ่มรักร่วมเพศ ทำให้สภากาชาดออกเงื่อนไขมาว่าไม่รับบริจาคเลือดจากกลุ่มรักร่วมเพศ ปัจจุบันเงื่อนไขข้อนี้ยังคงอยู่ ซึ่งเรามองว่าอยากให้ยกเลิกไป เพราะทุกวันนี้ โรคเอดส์ไม่ได้แพร่เฉพาะในกลุ่มรักร่วมเพศเหมือนแต่ก่อน เงื่อนไขนี้จึงดูไม่ยุติธรรมสำหรับคนกลุ่มนี้ ที่ก็มีใจอยากจะบริจาคเลือดเช่นกัน
ออกนอกเรื่องไปไกล ขอวกกลับมาที่หนังต่อ ช่วงท้ายของเรื่องเล่าว่าจอห์นเกิดภาวะเเทรกซ้อนจากการเป็นเอดส์ นั่นคือมะเร็ง อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะงงว่าเอดส์ทำให้เป็นมะเร็งได้ด้วยหรือ จริงๆเเล้วเอดส์ (AIDS) เป็นคำย่อของ Acquired immune deficiency syndrome แปลว่า ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ในคนปกติ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันมากำจัดเชื้อโรคและเซลล์ที่ผิดปกติ แต่ในคนที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ร่างกายจะไม่สามารถจัดการกับเชื้อโรคที่เข้ามาหรือเซลล์ที่ผิดปกติใตตัวเองได้ ซึ่งเซลล์ที่ผิดปกตินี้จะเเบ่งตัวไปเรื่อยๆและเป็นจุดกำเนิดของมะเร็ง (ขอไม่ลงรายละเอียดนะ เดี๋ยวจะวิชาการเกินไป) ในตอนที่จอห์นเป็นมะเร็งและเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิต เป็นตอนที่เรียกน้ำตาเราได้อย่างดี เพราะทิมและครอบครัวของจอห์นยังคงอยู่เคียงข้างจอห์นไม่ไปไหน มันให้ความรู้สึกอบอุ่นละมุนละไมมาก ฟังแบบนี้อาจจะไม่ค่อยอิน ไปดูเองอินกว่าเยอะ 
หลังจากจอห์นเสียชีวิต ทิมก็เสียชีวิตหลังจากนั้นประมาณ 1 ปี

จบแล้ว 555 ไม่รู้ว่าคนอ่านจะรู้เรื่องกับเรามั้ย เพราะเขียนตัดไปตัดมา เเทรกความคิดเห็นและเกร็ดความรู้เข้าไปหลายอย่างเลย ใครสนใจก็ลองไปหาดูกันนะ



Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2562
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2562 11:41:44 น.
Counter : 2471 Pageviews.

5 comments
  
เขียนออกมาได้ดี ผมก็พึ่งดูจบ อินมากๆ หนังทำออกมาดีจริงๆ
โดย: Audy K. IP: 27.145.133.39 วันที่: 26 กันยายน 2562 เวลา:6:17:55 น.
  
ทิมเสียชีวิตหลังจากนั้น 10ปีไม่ใช่เหรอค่ะ
โดย: เมย์ IP: 124.122.86.12 วันที่: 19 ตุลาคม 2562 เวลา:1:54:00 น.
  
พึ่งมาดูหนังจบพออ่านกระทู้นี้แล้วอินมากๆ T T
โดย: Peawa IP: 49.49.233.18 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2562 เวลา:23:45:26 น.
  
เราก็เพิ่งดูจบเหมือนกันค่ะมันเศร้าและซึ้งมากร้องไห้หนักเหมือนแต่พอรู้ว่าสร้างจากเรื่องจริงร้องไห้หนักกว่าเดิมอีกอธิบายได้ดีมากๆเลยค่ะ
โดย: นามแฝง IP: 1.47.236.34 วันที่: 4 มิถุนายน 2563 เวลา:0:17:56 น.
  
ขอแก้นะครับ Tim เขียนเรื่อง Holding the man จบเดือนตุลาคม 1994 อีก 10 วันหลังจากเขียนจบ Tim ก็ได้จากไปครับ
โดย: Aj IP: 1.132.31.44 วันที่: 29 ตุลาคม 2565 เวลา:18:01:59 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 4968949
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



กุมภาพันธ์ 2562

 
 
 
 
 
1
2
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
 
 
3 กุมภาพันธ์ 2562