กรดไหลย้อนเป็นโรคหนึ่งที่เกี่ยวกับระบบกระเพาะอาหาร ซึ่งมักจะเกิดได้ง่ายกับทุกคน และสร้างความทรมานให้กับผู้ป่วยได้เป็นอย่างมากทีเดียว โดยโรคนี้อาจดูเหมือนไม่เป็นอันตราย แต่หากเกิดภาวะแทรกซ้อนก็จะทำให้อาการรุนแรงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจกับโรคกรดไหลย้อนให้มากขึ้น เพื่อป้องกันและเตรียมตัวรับมือเมื่อเกิดอาการนั่นเอง โดยเฉพาะในบุคคลที่เสี่ยง เช่น คนอ้วนและหญิงตั้งครรภ์ เป็นต้น
โรคกรดไหลย้อนคืออะไร ?
กรดไหลย้อนคือโรคที่เกิดจากการที่มีกรดออกมาในขณะย่อยอาหารมากเกินไป เมื่ออาหารที่ย่อยแล้วถูกบีบลงไปในลำไส้ จึงทำให้กรดส่วนหนึ่งไหลย้อนกลับขึ้นมาในหลอดอาหาร ส่งผลให้เกิดอาการแสบแน่นในทรวงอก และรู้สึกได้ถึงรสเปรี้ยว แสบในคอ ซึ่งใช้เวลานานกว่าอาการจะค่อย ๆ ทุเลาลงไป หรืออาจต้องรับประทานยาลดกรดไหลย้อนร่วมด้วย
สาเหตุ
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน มี 2 สาเหตุหลักด้วยกัน คือ ความผิดปกติของกระเพาะอาหาร และปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่กระตุ้นให้เกิดอาการกรดไหลย้อน ซึ่งมีดังนี้
1.สาเหตุจากกระเพาะอาหารผิดปกติ
2.สาเหตุจากปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ โรคอ้วน การตั้งครรภ์ การสูบบุหรี่ ความเครียด
อาการของโรคกรดไหลย้อน
อาการของโรคกรดไหลย้อน นอกจากแสบร้อนทรวงอกแล้วก็จะมีอาการอื่น ๆ ที่ต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและภาวะแทรกซ้อน ซึ่งอาการของโรคกรดไหลย้อนส่วนใหญ่ที่สังเกตได้ มีดังนี้
- เกิดอาการขย้อนอาหารและเรอจนน้ำย่อยขึ้นมาสัมผัสที่คอ ทำให้รู้สึกถึงรสเปรี้ยวและแสบบริเวณคอหอย หรืออาจมีรสขม ๆ ของน้ำดีด้วย นอกจากนี้การหายใจก็อาจมีกลิ่นออกมาเช่นกัน
- จุกแน่นยอดอกคลื่นไส้ ให้ความรู้สึกเหมือนอาหารไม่ย่อยและมีอาการเรอบ่อย ๆ
- มีอาการไอบ่อย ๆ และรู้สึกเหมือนมีเสมหะอยู่ในคอ โดยอาการแบบนี้เกิดจากการที่กรดไหลย้อนอย่างรุนแรง โดยกรดไหลย้อนขึ้นมาถึงปากและคอหอยนั่นเอง
- รู้สึกขมคอ เจ็บคอ และมีเสียงแหบพร่าเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า หรืออาจมีอาการไอเรื้อรัง เปรี้ยวปาก และเรอบ่อย ๆ ร่วมด้วย ซึ่งก็อยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมากทีเดียว
- ในบางคนอาจมีภาวะแทรกซ้อน โดยจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด กลืนอาหารลำบาก ไอเรื้อรังปอดอักเสบ และที่ร้ายแรงสุดก็คือ อาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกล่องเสียงได้นั่นเอง
วิธีรักษาโรคกรดไหลย้อน
เมื่อเกิดโรคกรดไหลย้อนแล้วจะต้องรักษาโรคอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ จนก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานยิ่งขึ้น ซึ่งการรักษาโรคกรดไหลย้อนสามารถรักษาได้หลายวิธี ดังนี้
- รับประทานยาลดกรด
เนื่องจากโรคกรดไหลย้อนมักจะมีอาการกำเริบบ่อย ๆ จึงต้องรับประทานยาลดกรด ซึ่งอาจรับประทานตามแพทย์สั่งหรือซื้อมารับประทานเองก็
- ผ่าตัด
การรักษาด้วยการผ่าตัดจะใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง โดยไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นให้หายได้ ซึ่งวิธีนี้ก็มีความเสี่ยงมากพอสมควร
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
สำหรับผู้ป่วยแบบเรื้อรังที่มักจะมีอาการกรดไหลย้อนบ่อย ๆ ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารหรือการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อลดความเสี่ยงจากอาการกำเริบ โดยสามารถทำได้ดังนี้
ใส่ใจเรื่องอาหารให้มากขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารทุกชนิดที่เสี่ยงต่อการเกิดกรดไหลย้อน เช่น อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด แอลกอฮอล์ เครื่องดื่มคาเฟอีน น้ำอัดลม กระเทียม และหัวหอม เป็นต้น โดยอาหารเหล่านี้จะกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งน้ำย่อยออกมามากเกินไป และทำลายระบบกระเพาะอาหารให้เสื่อมสภาพอีกด้วย
ผ่อนคลายความเครียด พยายามผ่อนคลายความเครียด และนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ซึ่งจะช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะได้เป็นอย่างดี
ควบคุมน้ำหนักอยู่เสมอ โดยเฉพาะในคนอ้วน ควรหมั่นออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม เมื่อน้ำหนักลด ความดันในกระเพาะอาหารก็จะลดลงไปด้วย และส่งผลดีต่อสุขภาพด้านอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมหรืออิริยาบถบางอย่าง ควรหลีกเลี่ยงการนอนราบหรือการก้มหยิบของหลังจากเพิ่งรับประทานอาหารเสร็จ ควรยืนหรือนั่งตัวตรงอย่างน้อยประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพื่อรอให้อาหารย่อยผ่านกระเพาะอาหารเรียบร้อยแล้ว และที่สำคัญไม่ควรออกกำลังกายในช่วงนี้ด้วย เพราะจะทำให้กรดไหลย้อนได้ง่ายเช่นกัน
ควรรับประทานอาหารครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามากเกินไป และการดื่มน้ำในระหว่างรับประทานอาหารจะช่วยเจือจางกรดในกระเพาะได้เป็นอย่างดี
- บรรเทาอาการด้วยสมุนไพร
สมุนไพรบางชนิดสามารถบรรเทาอาการกรดไหลย้อนให้ทุเลาลงได้ และมีสรรพคุณที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมาย โดยสมุนไพรที่สามารถนำมาแก้อาการกรดไหลย้อนได้ มีดังนี้
ขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรที่มีส่วนช่วยในการขับน้ำดี แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยลดการตกค้างของอาหารในกระเพาะและลำไส้ จึงป้องกันและบรรเทาอาการกรดไหลย้อนได้อย่างดีเยี่ยม โดยส่วนใหญ่จะรับประทานในรูปของแคปซูลหรือแบบผงสำเร็จรูป
ย่านาง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษาอาการกรดไหลย้อนโดยตรง
กะเพรา สมุนไพรที่แค่นำมาต้มดื่มก็สามารถบรรเทาอาการกรดไหลย้อนได้ดี โดยให้นำกะเพรา 1 กำมาต้มกับน้ำประมาณ 2-3 ลิตร ด้วยไฟปานกลาง 20 นาที ดื่มหลังอาหาร 1 แก้ว
ขึ้นฉ่าย สมุนไพรที่นอกจากจะช่วยลดกรดไหลย้อนแล้ว ก็มีส่วนช่วยในการบำรุงระบบย่อยอาหารให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
กระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบแดงว่ามีประโยชน์แล้ว กระเจี๊ยบเขียวก็มีประโยชน์ไม่น้อยเช่นกัน โดยสามารถนำมาต้มในน้ำเกลือแล้วใช้รับประทานแก้อาการกรดไหลย้อนได้ดี
วิธีการจัดการกับอาการแสบร้อนกลางหน้าอก
คุณสามารถบรรเทาอาการดังกล่าวได้ด้วยตนเอง เช่น การปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตและอาหารที่รับประทาน
นี่คือบางตัวอย่างที่เราอยากแนะนำ
- อย่าเข้านอนในขณะที่ท้องยังอิ่มควรรออย่างน้อย 3 ชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหารหรือขนมมื้อสุดท้ายก่อนที่จะเข้านอน เพราะจะช่วยให้ระดับของกรดลดลงก่อนที่ร่างกายจะอยู่ในท่าที่เกิดอาการแสบร้อนกลางหน้าอกขึ้นมาได้ง่าย
- นอนหัวสูงขึ้นการนอนหัวสูงจะช่วยป้องกันการเกิดกรดไหลย้อนระหว่างคืน
- เลิกบุหรี่สารนิโคตินสามารถทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนปลายซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเปิดปิดระหว่างหลอดอาหารกับกระเพาะอาหาร และป้องกันอาหารที่มีสภาพเป็นกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาสู่หลอดอาหารอ่อนแอลง
- ใส่เสื้อผ้าที่สบายตัวการใส่เสื้อผ้ารัดรูปจะบีบร่างกายส่วนกลาง และทำให้สารในกระเพาะไหลขึ้นด้านบน
- ลดน้ำหนักการลดน้ำหนักสามารถช่วยลดอาการได้ หากคุณมีน้ำหนักเกินเกณฑ์
- เคี้ยวหมากฝรั่งการเคี้ยวหมากฝรั่งจะช่วยลดอาการแสบร้อนได้ชั่วคราวจากการกระตุ้นการสร้างน้ำลาย ซึ่งจะช่วยเจือจางและล้างกรดจากกระเพาะออก
- ดื่มน้ำอุ่นการดื่มน้ำอุ่นหรือชาสมุนไพรหลังอาหารสามารถช่วยเจือจางและล้างกรดจากกระเพาะอาหารออกไปได้
วิธีป้องกันโรคกรดไหลย้อนทำได้อย่างไร ?
นี่เป็นวิธีง่าย ๆ ที่คุณทำตามแล้วจะป้องกันอาการกรดไหลย้อนได้
- รับประทานให้น้อยลงแต่บ่อยขึ้น
กระเพาะอาหารที่เต็มแน่นจะมีแรงกดเป็นพิเศษต่อหูรูดกระเพาะอาหารส่วนล่าง ซึ่งจะเพิ่มโอกาสที่อาหารบางส่วนจะไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร
- จำกัดการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่กระตุ้นความเป็นกรด
รับประทานอาหารที่แทบจะไม่ทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อน และหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้บ่อย
- ไม่รับประทานอาหารภายในเวลาสองถึงสามชั่วโมงก่อนเข้านอน
การนอนลงด้วยกระเพาะที่เต็มแน่นจะทำให้อาหารในกระเพาะกดเบียดหูรูดทางเดินอาหารส่วนล่าง เพิ่มโอกาสที่กรดจะไหลย้อนขึ้นไปได้
- ยกหัวสูงขึ้นไม่กี่นิ้วขณะนอนหลับ
การนอนหงายราบจะกดอาหารในกระเพาะของคุณกับหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง หากหัวอยู่สูงกว่ากระเพาะอาหาร แรงโน้มถ่วงจะช่วยลดแรงกดดังกล่าวได้ คุณสามารถยกหัวสูงได้หลายวิธี อาจวางก้อนอิฐ หิน หรืออะไรก็ตามที่แข็งแรงมั่นคงรองขาเตียงฝั่งหัวนอน หรืออาจใช้หมอนรูปลิ่มหนุนหัวให้สูงขึ้น
- ควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม
ความอ้วนจะเพิ่มแรงกดในช่องท้อง ซึ่งจะบีบให้อาหารในกระเพาะกลับไปในหลอดอาหาร จากสถิติแล้วประมาณ 35% ของผู้ที่มีน้ำหนักเกินจะมีอาการกรดไหลย้อน ข่าวดีคือสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว การลดน้ำหนักลงเพียงสิบเปอร์เซ็นต์จะช่วยให้อาการกรดไหลย้อนดีขึ้นได้
- ไม่สวมเข็มขัดหรือเสื้อผ้าที่รัดแน่นบริเวณเอว
เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่รัดแน่นบริเวณท้องจะกดเบียดกระเพาะอาหาร บีบอาหารสวนขึ้นไปที่หูรูดอาหารส่วนล่างและเป็นเหตุให้อาหารไหลท้นกลับไปในหลอดอาหาร เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่สามารถทำให้เกิดปัญหานี้ ได้แก่ เข็มขัดที่รัดแน่นและชุดชั้นในกระชับสัดส่วน
- อย่าสูบบุหรี่
นิโคตินทำให้หูรูดของหลอดอาหารคลายตัว และการสูบบุหรี่ยังกระตุ้นการสร้างกรดในกระเพาะอาหารอีกด้วย
- อย่าดื่มแอลกอฮอล์
หากคุณยังต้องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้ใช้วิธีต่อไป
- ผ่อนคลาย
แม้ว่าความเครียดจะไม่ได้สัมพันธ์กับอาการกรดไหลย้อนโดยตรง แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าความเครียดนำไปสู่พฤติกรรมที่กระตุ้นอาการกรดไหลย้อนได้ ทำตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อผ่อนคลายความเครียด และลดโอกาสการเกิดกรดไหลย้อนที่เกี่ยวกับความเครียด
- จดบันทึกอาการกรดไหลย้อน
จดบันทึกว่าอะไรกระตุ้นอาการกรดไหลย้อน ความรุนแรงของอาการในแต่ละครั้ง ร่างกายตอบสนองอย่างไร และอะไรทำให้ดีขึ้น ขึ้นตอนต่อไปคือนำข้อมูลเหล่านี้ไปพบแพทย์เพื่อที่ทั้งคุณและแพทย์จะได้ร่วมกันตัดสินใจว่าควรปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวันอย่างไร และการรักษาแบบใดที่จะบรรเทาอาการได้ดีที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก : honestdocs.co
ขอบคุณรูปจาก : michaelkoeplinmd.com
ดูบทความดีๆได้ที่ : //www.thaihomeonline.com หรือ LINE@ : @thaihomeonline ครบเครื่องเรื่องบ้าน คอนโด การลงทุน
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : Thaihomeonline.com หรือ Line@ : thaihomeonline - ครบเครื่องเรื่องบ้าน คอนโด การลงทุน
คลิกเลย : https://www.thaihomeonline.com