Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2550
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
9 พฤษภาคม 2550
 
All Blogs
 
กายสังขาร – จิตสังขาร

พระสุนทรธรรมากร (หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ)

นมัสการพระเดชพระคุณท่านเจ้าคณะจังหวัดนครพนม ครูบาอาจารย์และขอสวัสดี นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
ณ สถานที่แห่งนี้ มีพลังและอำนาจช่วยสงเคราะห์ในการสร้างวัดมรุกขนคร แห่งนี้ เป็นกำลังช่วยสนับสนุนท่านพระครูศรีเจติยาภิรักษ์ผู้เป็นเจ้าอาวาสได้สร้าง ถาวรวัตถุ เพื่อประโยชน์ขึ้นแก่พระพุทธศาสนาโดยตรง ดังนั้น โอกาสนี้หลวงปู่ได้มา เยี่ยมท่านโยคี นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายทุกท่านแต่การปฏิบัติธรรมะอันเป็นคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้ามีมากมายก่ายกองเหลือที่จะคณานับ แต่ว่าเมื่อย่อเป็นส่วน ๆ แล้ว ก็มีทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ย่อลงมาอีก ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่พวกเราทั้งหลายได้ปฏิบัติกันมาในขณะนี้ การมาปฏิบัติธรรมะในครั้งนี้ ให้เรามาดูธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่มาดูในครั้งนี้ พระอาจารย์ท่านผู้ให้กรรมฐานก็มีพระครูศรีเจติยาภิรักษ์ รองเจ้าคณะจังหวัด นครพนมและพระครูสิริปัญญาวุธ เจ้าคณะอำเภอธาตุพนม สำหรับหลวงปู่ ก็จะถือโอกาสนี้ ให้ไฟ เพิ่มเดือนหงาย ชี้แนะช่วยในทางปฏิบัตินี้
การปฏิบัติธรรม ให้มาดูธรรมะ ๒ อย่าง ธรรมะ ๒ อย่าง อยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ตัวของเราเอง คือ ๑ รูปธรรม และ ๒ คือ นามธรรม
รูปธรรม เกิดขึ้นมาด้วยอำนาจธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกันขึ้น สามัคคีกันขึ้น ปรุงกันขึ้น ให้เป็นรูป รูปนี้เจริญขึ้นด้วยข้าวสุก ขนมสด มีความร้อนเป็นนิจ ไม่รู้จักจบรู้จักสิ้น อาศัยอาหารเป็นวิสามัญปัจจัย ช่วยหล่อเลี้ยงให้เป็นอยู่ แต่โลกนี้พวก เราทั้งหลายก็ได้มองเห็นด้วยตาเนื้อ แต่ตาในคือปัญญาของเรานั้น จะเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง เพราะเรายังเป็นปุถุชนอยู่หรือเป็นกัลยาณชน เป็นเมธาชน หรือเมธีชน ก็มีน้อยยากที่จะเห็นรูปในทางปัญญา ดังนั้นโลกนี้เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็เรียกว่า “ รูปธรรม “ รูปธรรมทรงอะไรไว้ ยึดอะไรไว้ ถืออะไรไว้ เป็นอย่างไร รูปธรรมนี้ยึดของสกปรกไว้ข้างใน อาศัย หนังเนื้อหุ้มห่อทางนอก อาศัยผ้าผ่อนแพรพรรณ สบงจีวร ปิดไม่ให้เราเห็นรูป ปิดของสกปรก ของสกปรกนั้นคืออะไร ก็เรียกว่า” อสุภะ “ อาหารที่เราบริโภคเข้าไปเป็นอาหารที่ประณีตบรรจง ญาติโยมนำมาด้วยศรัทธา เมื่อมา อาหารนี้น่ารับประทาน น่าฉัน น่ากิน เมื่อเรากินลงไปแล้วก็กลับกลายเป็นของสกปรกทันที เพราะว่าร่างกายของเรา สกปรกอยู่แล้วแต่ว่าร่างกายเรานี้ก็ขยันอยู่ กายสังขารนี้ขยันมาก ขยันกำจัด กำจัดของสกปรกออกมาทางทวาร ออกทางตาบ้าง ออกทางหูบ้าง ออกทางผิวหนังบ้าง ออกทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ออกทุก ๆ ส่วนเลย เมื่อออกมาแล้ว เราก็เรียกไม่เพราะออกมาแล้วใคร ๆ ก็ไม่ต้องการ แม้แต่เจ้าของผู้กินเข้าไปคายออกมา ก็ไม่ยอมกินอีก เพราะว่ามันสกปรก สกปรกอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่กายเรานี้เอง ดังนั้น จึงเรียกว่ากายนี้หุ้มด้วยของสกปรกไว้ แต่กายก็ขยันกำจัดออก ออกทางตาก็เรียกว่า ขี้ตา ออกทางหูก็เรียกว่า ขี้หู ออกทางจมูกก็เรียกว่า ขี้มูก ออกทางปากก็เรียกว่าขี้ปาก ขี้ฟัน ออกทางเหงื่อ ก็เรียกว่า ขี้เหงื่อ ขี้ไคล ออกทางหัวก็เรียกว่าขี้รังแค เรียกอย่างนี้เหมือนกันทุกคน ของอย่างนี้เราไม่ต้องการ นี่กายสังขาร ขยันอย่างนี้ ไม่ได้ลดละ อีกอย่างหนึ่ง กายสังขารทำงานขยันมากพวกเราทั้งหลายไม่รู้หรอกว่ากายสังขารนี้ มันขยันแค่ไหน ขยันเพื่ออะไร ขยันเพื่อให้รูปนี้ทรงอยู่ ถ้าไม่ขยันรูปนี้ก็ไม่อยู่ อาศัยอาหารเป็นเหยื่อ อาหารก็เปรียบคล้าย ๆ กับน้ำมันของรถยนต์ สิ่งที่หมุนก็คือเครื่องจักรรถยนต์ ส่วนที่หมุนในกายสังขารนี้ก็คือลมหายใจ ลมหายใจเข้าออกอยู่เป็นนิจ เราจะนอนหลับหรือตื่น ขบฉันเดินไปเดินมา นั่งนอน ทำงานอยู่ตลอดเวลาขยันมากๆ มันคลายของสกปรกออกมา
ส่วนนามธรรม คือ “จิตสังขาร” คลายเหมือนกายสังขารหรือเปล่า จิตสังขารที่มันปรุง มันปรุงขึ้นมาดี ปรุงทั้งอนาคตที่ยังไม่มาถึง ปรุงทั้งดีและไม่ดี ปรุงหมด เพราะอาหาร ของนามธรรม คือ ใจ ก็คืออารมณ์ กินอารมณ์อย่างเดียว ไม่ได้กินอย่างอื่น ไม่เหมือนกายของเรา กายของเรากินข้าว กินน้ำ กินอาหาร แต่จิตสังขารกินอารมณ์อย่างเดียว กินทางใจ แล้วยังไม่พอ ยังไม่อิ่มทั้งไม่ได้เลือกด้วย ดีก็กิน ชั่วก็กิน กินตลอด กินในใจของตัวเอง อย่างเดียว ยังไม่พอ ยังกินทางตาอีก ในทางตานี่ เมื่อตามองเห็นรูปภาพ เกิดสัมผัส รู้สึกเป็นวิญญาณ เรียกว่า “จักขุวิญญาณ” รูปดีก็กิน รูปไม่ดีก็กิน กินทางตาก็ยังไม่พอ ยังกิน ทางหูอีก เสียงดีก็กิน เสียงไม่ดีก็กิน กินทางหูยังไม่พอ ยังมากินทางจมูกอีก หอมก็กิน เหม็นก็กิน กินทางจมูกแล้ว ก็ยังมากินทางลิ้นอีก จืด จาง เปรี้ยว หวาน เค็ม มันกินหมด กินทางลิ้นแล้วยังไม่พอ ยังมากินทางกายอีก เย็นก็กิน ร้อนก็กิน อ่อนก็กิน แข็งก็กิน กินหมด เมื่อจิตสังขารกินไม่เลือกอย่างนี้ พระพุทธเจ้าของเราผู้เป็นบรมครู ทางมองเห็นด้วยปัญญา ทรงบอกให้สำรวมเสีย สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายธรรมารมณ์ด้วยใจ มีทั้งอิฏฐารมณ์ ดี ชอบ และอนิฏฐารมณ์ ไม่ดี ไม่ชอบ ก็ให้สำรวมว่า ดีไม่ต้อง ไปยินดี ร้ายไม่ต้องไปยินร้าย ให้พิจารณาว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มันเกิดได้ มันดับ ตกอยู่ในอำนาจของอนิจจัง หรือ ความไม่เที่ยงด้วยกันทั้งนั้น จะกินไปทำไม อย่ายินดี อย่ายินร้าย ถ้าไม่ยินดี ไม่ยินร้าย กิเลสไม่เกิด ความรักไม่เกิด ความใคร่ไม่เกิดถ้าไม่ยินดียินร้าย ความหงุดหงิดฉุนเฉียวก็ไม่เกิด ความโกรธก็ไม่เกิดขึ้นอีกเป็นเครื่องสกัดกั้นกิเลสที่มีอยู่ไม่ให้มีอำนาจ ให้อยู่ภายใต้ อำนาจของจิต
ที่นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายมาปฏิบัติธรรมนี้ ก็เพื่อจะให้รู้จิตสังขาร กายสังขาร กายสังขารมันขยันวาง ขยันปล่อยของสกปรกโสมมออกอยู่ตลอดเวลา จิตสังขาร ขยันปล่อยหรือเปล่า ขยันวางหรือเปล่า ถ้ายังไม่ขยันปล่อย ยังไม่ขยันวาง ก็ขอให้ปล่อยเสีย ให้วางเสีย อย่ายึดมั่นถือมั่นในกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราไม่ยึดไม่วางกิเลส เราปล่อยวันใด ความทุกข์ไม่เกิด ถ้าเรายึดอยู่ ความทุกข์ก็ยิ่งเกิดขึ้น เพราะความทุกข์ติด ตามเรามาตั้งแต่แรกเกิดแล้ว ทุกข์เกิด ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป ทำอย่างไรเราจึงจะทำให้ทุกข์ ดับไปได้ขอให้นักปฏิบัติทุกท่าน โยคาวจรทุกคน ได้พิจารณาว่า เราจะทำอย่างไรทุกข์จึงจะเกิดไม่ได้ ตัวทุกข์มันทนได้ยาก เมื่อมันมีพลังมากขึ้น แหม….ทำให้บ้านแตกสาแหรกขาด แตกหมู่ แตกคณะ แตกบ้านแตกช่อง ผัวเมียแตกกัน ลูกเต้าแตกกัน พี่น้องแตกกัน บ้านเมืองแตกกัน หมู่คณะไม่รวมกลุ่มเลย เพราะอำนาจกิเลสตัวนี้ อย่าให้มันมีพลัง อย่าให้มันเกิดขึ้นเหนือจิตใจของเราได้กิเลสตัวนี้ทำไมมันจึงเกิดได้ มันเกิดก็เพราะเรายึดเราถือมันไว้ เราชอบมัน มันก็ชอบเรา มันจึงเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ยึดไม่ถือมันแล้ว มันก็ไม่เกิด ถ้าเรายึดถือ มันก็เกิดขึ้นได้ทันที
ญาติโยมนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายเวลานอนหลับ ความจริงตัวทุกข์มันก็หลับก็นอนอยู่ นอนหลับแล้วไม่รู้สึกตัว ไม่ได้รับสัมผัส มันจะเป็นทุกข์อย่างไร เราไม่รู้สึก เพราะหลับแล้ว เราไม่รับรู้แต่เวลาเราตื่นขึ้นมาเรารับ เราก็เลยเป็นทุกข์ ความโลภมากเกินไป ก็ปล่อยเสีย มันให้โทษ ความรักเกินไปก็วางเสีย มันให้โทษ ถ้าเรารักกันด้วยกิเลสตัณหา ให้รักกันในวงแคบๆ รักเฉพาะคู่สามีภรรยา อย่าไปรักมากกว่านั้น ถ้าเรารักด้วยเมตตา กรุณาธรรม ให้รักกันมากๆ รักทั่วประเทศ รักทั่วโลกเลยก็ยิ่งดี ดังนั้น ความทุกข์ก็ดี ความสุขก็ดี มันอยู่ที่ไหน เมื่อเรามองเห็นแล้วว่ามันเกิดอยู่ที่ในใจ ใจเป็นศูนย์รวมใจเป็นเครื่องเก็บ มันรู้มัน ตัวสัญญาเป็นตัวเก็บ เก็บว่าไม่ลืม ยิ่งเก็บไว้มากเท่าไร เราไม่ยอมปล่อยวาง มันก็ยิ่งเป็นทุกข์มาเท่านั้น เก็บความรักไว้ก็เป็นทุกข์เก็บความหลงไว้มากๆ ก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์กันไปหมด เพราะเหตุฉะนั้นจึงว่าทุกข์มันเกิดขึ้น ทุกข์มันตั้งอยู่ มันก็ดับไป เรามาปล่อยทุกข์เสีย วางทุกข์เสีย ถ้าเราจะวางทุกข์ เราจะวางด้วยวิธีไหน วางด้วยการปฏิบัติจิต จิตของเราเป็นทาสของความโกรธ เราจะโกรธไปทำไม เมื่อโกรธแล้วเรามีความสุขหรือ เราจะมองเห็นได้ทันทีว่า แหม…..เรามีทุกข์มาก หากอาการกายกิริยาเป็นอากัปกิริยาไปหมด ที่สวยอยู่ หน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใสก็ยิ้มไม่นาน กิริยา ที่อ่อนโยนนิ่มนวล ก็ยิ้มไม่ได้ หน้าตาก็เป็นยักษ์เป็นมาร กิริยาก็ขึงขัง เป็นโจรเป็นมารกันไปหมด นี่อำนาจของความโกรธ มันเป็นสุข หรือมันเป็นทุกข์ทั้งผู้โกรธและผู้รับ ถ้าว่าผู้รับเขาไม่รับ มันก็เป็นทุกข์เฉพาะผู้โกรธ
นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เมื่อเป็นอย่างนี้ทุกข์เราไม่ชอบแล้ว เราจะเก็บมันไว้ ทำไม ปล่อยมันเสีย วางมันเสีย เมื่อเห็นหน้าตาของเขาไม่ดี ก็ให้เห็นว่าเป็นเรื่องของเขา ได้ยินในหูไม่ดี ก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องของเขา ต้องเอาน้ำมาล้างหน้าไปก่อน น้ำล้างหน้าเอามาจากไหน เอามาจากใจสิ เอาน้ำใจ เราเอาริมฝีปากยิ้มออกไป ยิ้มไว้ก่อน ยิ้มแล้วจึงพูดว่า ลูกเอ๊ย หลานเอ๊ย ครูบาอาจารย์ก็พูดว่า ลูกเณรเอ๊ย น้องเณรเอ๊ย ถ้าพูดคำนี้แล้วความโกรธ มันก็เกิดขึ้นไม่ได้ มันหยุดชะงักก่อนมันจะเกิด มันหยุดแล้ว มันยิ้มแล้ว พูดไม่ได้แล้วก็พิจารณาสมมุติฐานว่ามันเกิดขึ้นมาเพราะเหตุใด เพราะความสัมผัสทางตา ทางหู ทางลิ้น ทางกายสัมผัส สิ่งดีไม่ดี ยุให้เกิด กิเลสตัวนี้สำคัญโกรธแล้ว ความโกรธมันอยู่ใต้ อำนาจของจิต บัดนี้จิตเราอยู่เหนืออำนาจของความโกรธ ยิ้มได้แล้วก็สว่าง ระงับความโกรธได้แล้ว ความละนี้เราเรียกว่าอะไร ถ้าเรียกตามภาษาธรรมะ ก็เรียกว่า คติภาษา คือ การปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ถ้าเราเรียกตามอริยสัจ ๔ ก็เรียกว่าเป็นมรรค เป็นทาง ดับทุกข์ เมื่อมีมรรคดับทุกข์ได้แล้ว นิโรธ คือ ความดับจากกิเลสทั้งหลายพ้นจากความโลภ พ้นจากความหลงงมงาย ไม่ต้องพูดถึงหรอก มันเป็นเอง คือไม่พ้นมากก็ต้องพ้นน้อยอย่าง น้อยที่สุดก็เป็นตทังควิมุติ ยกระดับขึ้นไปเป็นวิขัมภนวิมุติ ก็ยังดีอยู่นะโยม ! ถึงแม้ไม่ถึง นิสสรณวิมุติก็ยังดีอยู่ ดีกว่าที่เราไม่ละ ดีกว่าที่เราไม่เลิกเพราะเหตุนั้นจึงขอให้จิตของเรา นี้คลายวางกิเลสทั้งหลายเรื่อยๆ ผ่อนกิเลสทั้งหลายเรื่อยๆ ก็หมดให้สร้างสติ สร้างปัญญา ให้รู้ทันก่อนที่กิเลสจะเกิดเกลียด ทั้งสองอย่างนี้มันเป็นกิเลสทั้งหมด จะรักก็เป็นกิเลส จะโกรธก็เป็นกิเลส ถ้าเรามีสติแก่กล้า มีปัญญาสูงส่ง รู้ทันการณ์ปัจจุบัน ธรรมทั้งสองอย่างคือ อายตนะภายใน ภายนอก มองเห็นรูป รูปดี รูปไม่ดี ก็พิจารณาว่า รูปดีและไม่ดี มันเกิดขึ้นได้ มันก็ดับได้ มันเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา ไม่ใช่เราหรอก ไม่ใช่ของเราหรอก ปล่อยวางมันเสีย เมื่อเราวางได้ในเบื้องต้น มรรคของเราทัน สติปัญญาของเราทัน ตัวมรรคสกัดไม่ให้กิเลสเกิด ความรักก็ไม่เกิด ความโกรธก็ไม่เกิด อันนี้แหละพระพุทธเจ้า จึงสอนให้เราสำรวมอินทรีย์สำรวมอินทรีย์ให้ดี สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราจะเดินก็สำรวม จะนั่งก็สำรวม เราจะขบฉันก็สำรวม สำรวมตลอดเวลา เราสำรวมได้ก็เป็นสมณสารูปที่สวยงาม เป็นนักปฏิบัติธรรมที่ละเอียดอ่อน เดินตามทางของอริยมรรคเดินตามทางมัชฌิมาปฏิปทา ทางเดินสายกลางของพระพุทธเจ้า
นี่ นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ขอให้เอาจิตแข่งกาย กายมันขยันขับของสกปรกออก ใจของเราก็ให้ขับของสกปรกออก อย่าไปยึดถือของสกปรกไว้ของสกปรกก็คือกิเลสทั้งหลายนี่แหละ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทิฏฐิ มานะ อิจฉา ริษยา การเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ให้กำจัดพวกนี้ออกเหมือนกายกำจัดของสกปรกออก เราไม่ต้องไปแข่งที่อื่นหรอก ไม่ต้องแข่งคนอื่นหรอก ให้แข่งกับตัวเราเองนี่แหละ เอาจิตสังขาร มาแข่งกับกายสังขาร ให้แข่งกันให้ได้ อย่าให้กายสังขารได้เปรียบ ความจริงจิตสังขารนี้เป็นของบริสุทธิ์ ผุดผ่อง เกิดขึ้นมาทีแรกขาวสะอาด แต่มาขุ่นมัว เศร้าหมอง เมื่อบรรลุนิติภาวะ รู้เดียงสากันแล้ว รู้รัก รู้โกรธ รู้เกลียด รู้ชัง นี่จิตจึงจะเศร้าหมอง เมื่อ ขอให้เอาจิตแข่งกาย กายมันขยันขับของสกปรกออก ใจของเราก็ให้ขับของสกปรกออก อย่าไปยึดถือของสกปรกไว้ ของสกปรกก็คือกิเลสทั้งหลายนี่แหละ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทิฏฐิ มานะ อิจฉา ริษยา การเบียดเบียน ซึ่งกันและกัน ให้กำจัดพวกนี้ออก เหมือนกายกำจัดของสกปรกออก
จิตเศร้าหมองแล้ว จิตจะกลับกลายเป็นของโง่ทันที แม้ว่าจะมีพ่อแม่เป็นครูสอนเราเบื้องต้นก็ตาม สอนการอยู่ การกิน การไปการมา การคบเค้าสมาคม สอนการทำการทำงาน พ่อแม่สอนลูก ต่อมาก็มี ครูบาอาจารย์สอนเราอีก สอนในประถมถึงมัธยม สอนไปจนถึงปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ก็ยังโง่อยู่ ยังสร้างกิเลสมากมายอยู่ บางคนเรียนรู้แล้วก็ละกิเลส ปล่อยวางกิเลส ดังนั้น จิตจำเป็นต้องอาศัยนักปราชญ์
อะไรเป็นนักปราชญ์ของจิต เมื่อจิตนั้นโง่ มันไม่รู้ มันจะคิดดีก็ตอบดีไม่ได้ คิดชั่ว มันก็ตอบชั่วไม่ได้ มันรักทำดีทำชั่วทำไม อดีตก็รัก อนาคตก็รักรักปนตลอดเวลา เมื่อเรารักอยู่อย่างนี้ จะเอาอะไรมาแก้เบื้องต้น นักปราชญ์ของจิตก็คือสติ สติให้เตือนก่อนคิด เตือนก่อนทำ เอาตัวปัญญาแทรกเข้าไปไปแทรกว่า คิดอย่างนี้คิดอย่างนั้นผิดนะ ไม่ได้นะ ถ้าทำตามความคิดนี้ กายก็ผิด วาจาก็ผิด ถ้ามันถูก ปัญญาก็บอกว่ามันถูก ถ้ามันปฏิบัติแล้วจะดี จะมีความสุขทั้งตัวเองและผู้อื่น การปฏิบัติทางจิต มีเมตตา กรุณา มีมุทิตา มีอุเบกขา การสงเคราะห์ อนุเคราะห์ เกื้อกูลอุดหนุนซึ่งกันและกัน ทำประโยชน์ ต่อตนและประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น ตลอดถึงประเทศชาติ บ้านเมือง ความเป็นอยู่ของตัวเองและของสังคมก็ไม่เดือดร้อนเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความสงบสุข อันนี้เกิดจากมีปัญญาชี้จิตทำตามก็ได้ประโยชน์ ถ้าไม่มีสติปัญญาเตือนอยู่ จิตก็เขวกันไปใหญ่ จิตอาศัยสติปัญญาเป็นนักปราชญ์เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นผู้เตือน เหมือนพ่อแม่ เตือนลูก ๆ ครูบาอาจารย์เตือนศิษย์สติสัมปชัญญะเตือนจิต ก็เช่นเดียวกัน
นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ที่หลวงปู่พูดมาก็นานพอสมควรแล้ว อันนี้พอเป็นแนวทางแก่นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายให้นำไปคิด ถ้าคิดได้ว่า คำพูดของหลวงปู่พอที่จะเป็นแนวทางปฏิบัติได้ ก็ขอนิมนต์รับไปปฏิบัติ ถ้าเห็นว่าไม่ใช่แนวทาง จะปล่อยวางไว้ ณ ที่นี้ ก็ไม่เป็นไรนะ
ในที่สุดนี้ ขอให้นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายทุกท่าน ผู้มีเจตนาดี มีกุศลจิตดี จงเป็นผู้สำเร็จในการปฏิบัติ รู้แจ้งทั่งถึงในธรรมะของพระพุทธเจ้าอันเป็นสัจธรรมที่แท้จริงทุก ๆ ท่าน เทอญ .....


Create Date : 09 พฤษภาคม 2550
Last Update : 9 พฤษภาคม 2550 12:32:08 น. 0 comments
Counter : 547 Pageviews.

คนข้างบ้าน
Location :
บุรีรัมย์ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คืนหนึ่งข้าฯยืนอยู่บนเขา
ใต้ร่มเงาวัดพุทธศาสนา
ภูสูงจนอาจเอื้อมดวงดารา
มาจากฟากฟ้าด้วยมือตน
ทว่า ข้าฯมิกล้าเปล่งสำเนียง
ท่ามกลางความวิเวกวังเวงหน
เกรงว่าจักกรายกายสกนธ์
ของทวยเทพวิมานบนหากจักมี.
Friends' blogs
[Add คนข้างบ้าน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.