ไปไหว้พระที่ล้านนากัน
ดอยสุเทพเป็นศรี
ประเพณีเป็นสง่า
บุปผาชาติล้วนงามตา
นามล้ำค่านครพิงค์
เมื่อไม่นานมานี้คุณใบไม้ต้องลมเคยถามผมเรื่องเที่ยวในอำเภอเมือง จ.เชียงใหม่ ผมคิดว่าเป็นงานเร่งด่วน แต่เนื่องจากคุณใบไม้ต้องลม เป็นผู้ชาย ผมจึงไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ 555 (ไม่ช่าย กำลังวุ่นเรื่องเรื่องสิงหปุระอยู่) ผมคิดว่าป่านนี้ท่านก็คงกลับมากรุงเทพฯแล้วกระมัง น่าเสียดายนะ แต่ก็ดีเพราะถ้ามาอ่านแล้ว เอาเรื่องของผมไปทำจริงๆ คงรู้แล้วหละว่าผมเขียนมั่วสุดๆ
ตอนแรกผมไปลอกเอาตารางทัวร์ 9 วัด ในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งก็มีคนจัดอยู่หลายเวอร์ชั่นเหมือนกัน แต่ผมหาที่ถูกใจไม่ได้ เพราะเส้นทางและหมายกำหนดการของเขา เหมือนว่าเขาเอาชื่อวัดมาเป็นตัวกำหนดเส้นทาง หรือไม่ก็เป็นธรรมเนียมพาแขกต่างถิ่นมาไปแบบนั้นมานานแล้ว ซึ่งคงต้องเน้นเรื่องสร้างความเป็นศิริมงคล และไปที่ไหน แขกจะประทับใจมากที่สุด ผมก็เป็นพวกนอกกรอบ นอกรั้ว นอกแนว เลยคิดว่า ถ้าไปเที่ยวแบบนั้น ก็ต้องพึ่งยานพาหนะ ถ้าเราไม่มีรถ หรือหาไม่ได้ ก็ต้องเช่าเขา หรือไม่ก็ต้องไปซื้อ package tour ผมว่าไม่ค่อยคุ้มสำหรับยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้ ผมเลยจัดเส้นทางทัวร์แบบมั่วนิ่มขึ้นมาเอง แบบให้เดินเล่นแก้หนาวกัน
สำหรับคนที่บังเอิญเกิดเหลือเวลาว่าง 1 วัน และพักอยู่ในตัวเมืองชั้นใน หรือในเมืองเชียงใหม่ และไม่อยากนอนเล่นอยู่ในโรงแรมกับน้ำพริกถ้วยเก่า(เป็นอาการของผู้ชายโฉดทุกคนกระมัง) ซึ่งถ้าเป็นช่วงกลางคืน ท่านอาจจะไปเที่ยวที่ ไนท์บาซาร์ ถนนคนเดิน ตลาดโต้รุ่ง ขันโตก ไนท์ซาฟารี ฯ แต่ถ้าเป็นกลางวัน ก็คงไปไหว้ครูบาศรีวิชัยและพระธาตุดอยสุเทพ และนาทีนี้ก็ต้องไปเยี่ยมหลินปิงกันแน่นอน แต่ถ้ารู้สึกจำเจ เรามีทางเลือกให้คุณทดลองเสียง เผื่อจะไอ้ความสุขนะครับ และยิ่งถ้าไม่อยากเสียเงิน เพราะค่าตั๋วทัวร์ครึ่งวันก็คงจะคนละ 1,000 บาท ลองมาเดินเท้า ไปไหว้พระกันดีกว่า ไปเรื่อยๆ ยะ จ๊า จ๊า ยะ เนิบ เนิบ แต่เร้าใจ เหนื่อยก็พัก หิวก็หาของทาน ไม่ต้องเร่งรีบ สำหรับรายละเอียดของวัด เช่น ประวัติ หรือ วัตถุโบราณอันสำคัญๆในวัด เอาไว้เขียนในช่องคอมเมนท์อีกทีก็แล้วกันนะ มิเช่นนั้นจะยาวเกิน 40,000 ตัวอักษร
ขนาดข้อมูล ที่ได้มานิดๆหน่อยๆ ก็เยอะท้วมหัวแล้วหละ อย่างเช่น ในอำเภอเมือง จ.เชียงใหม่ จะมีถึง 16 ตำบล หรือ 78 หมู่บ้าน
มีองค์การปกครองท้องถิ่น ที่มีทั้ง เทศบาลและอบต. อยู่ 11 แห่ง
มีสถานที่สำคัญระดับที่การท่องเที่ยวต้องมาทำป้ายแนะนำให้ถึง 18 แห่ง มีตลาดหรือกาดอีก 12 กาด (เป็นกาดหลวงซะ 4 แห่ง)
และยังมีสถานกงสุลอีก 15 แห่ง มีสะพานให้ไปถ่ายรูปยามเย็นอีก 4 แห่ง
และแหล่งเอ็นเทอร์เทน หรือที่เที่ยว+ที่กินดังๆ อีก 100 แห่ง เช่น คุ่มขันโตก, ถนนคนเดิน, ไนท์บาซาร์, พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์, พิพิธภัณฑ์ชาวเขา, ร้านม่อนฝ้าย, โรงงานไทยศิลาดล, สวนสัตว์เชียงใหม่ ฯ ที่ไม่ดังอีกเพียบ รวมแล้วคงไม่น้อยกว่า 200 แห่ง
นี่แหละปัญหา เพราะมีที่เที่ยวเยอะมาก อยู่เป็นปียังเที่ยวไม่หมดเลย ผมเลยบีบความสนใจใ ห้ลดลงมา เพื่อให้เหมาะกับการเดินเที่ยวของเรา ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นภายในกำแพงเมือง หรือที่ผมอยากจะเรียกว่า พื้นที่ประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นที่ของคนระดับเจ้านายหรือเจ้าเมืองเขาเคยใช้ชีวิตอยู่
กำแพงเมืองเชียงใหม่ ห้อมล้อมด้วยกำแพงปูน+ดิน และคู่โดยรอบ มองแล้วเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัส ตรงมุมกำแพงมีชุมชน หรือน่าจะเรียกว่าป้อม แต่คนล้านนาเรียกว่า แจง ซึ่งได้แก่ แจงศรีภูมิ, แจงกะต้ำ, แจงกู่เฮือง และแจงหัวริน
ส่วนประตูเมืองเชียงใหม่จะมีถึง 5 ประตู เริ่มจากทางเหนือ คือ ประตูช้างเผือก วนไปทางตะวันออกจะไปเจอประตูท่าแพ แล้ววนต่อไปก็จะเจอประตูเชียงใหม่ มาจบทางเหนือที่ประตูสวนดอก ลองนับดูแล้วได้แค่ 4 ประตู ดังนั้นประตูที่ 5 ที่หายไป คือประตูที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีชื่อว่า ประตูสวนปรุง เป็นประตูส่งศพ ถ้าเป็นเมืองโคราชบ้านเอ็ง เขาจะเรียกว่าประตูผี
ในตัวเมืองเชียงใหม่ ผมนับวัดได้แค่ 101 วัดเอง (ไม่มากเลย 555) แต่มีวัดที่มีโบราณสถานสำคัญๆประมาณ 35 แห่ง ดังนั้นการจัดการเที่ยว 35 วัดใน 1 วัน จึงเป็นเรื่องของคนบ้ามากกว่าคนเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ผมเลยเอาแผนที่มาศึกษา โดยใช้ทั้งดาวเทียม และใช้น้องดาว กิ๊กคนใหม่ของผม (แต่ส่วนใหญ่ผมจะหมกมุ่นอยู่กับการใช้น้องดาว งานเลยไม่ค่อยจะคืบหน้าเท่าไหร่)
ตอนนี้ผมพยายามจัดเส้นการเดินให้กวาดพื้นที่มากที่สุด แต่เดินน้อยที่สุดอีกด้วย และคงจะต้องพาออกมาหาของแถมนอกเขตกำแพงเมืองอีก 2 แห่ง เพื่อที่จะได้ไปไหว้พระที่วัดสำคัญๆได้คุ้มกับทริปนี้ พร้อมหรือยัง ถ้าพร้อม เราลองมาออกกำลังด้วยการเดินเทากันเลย
วัดแรก วัดเจดีย์หลวง (หรือ โชติการาม หรือ ราชกูฏา หรือ กุฏาราม) ถ.พระปกเกล้า ตำบลพระสิงห์
ที่เริ่มที่วัดนี้เพราะว่าอยู่ใจกลางเมือง เป็นที่ตั้งของเสาหลักเมือง วัดนี้เราถือว่าเราจ้างรถมาตรงนี้ในตอนเช้าได้เลย หรือใครจะเดินจากที่พักมาที่นี่ก็ได้ (ถ้านอนในโรงแรมในเมือง หรือเกสเฮ้าส์ใกล้ๆ)
วัดที่สอง วัดหมื่นกองเงิน ถนนราชมรรคา ต.พระสิงห์
ออกจากวัดเจดีย์หลวงทางทิศตะวันออก เดินออกมาจนพบถนนพระปกเกล้า เลี้ยวขวา หันหน้าลงมาทางทิศใต้ เดินลงมาประมาณ 200 เมตร จะพบสี่แยกตัดถนนราชมรรคา ให้เลี้ยวขวาที่หัวมุมถนน หันหน้าไปทางทิศตะวันตก แล้วเดินตรงไปอีก 500 เมตร จะผ่านโรงเรียนคุมอง เดินต่อไปอีก จะผ่านซอยทางขวามือ ชื่อ ซอยจาบาน จะสังเกตเห็นว่าปากซอยมีร้านชื่อ เฮือนเพ็ญ เดินต่อไปเรื่อยๆจนพบแยกสี่แยกไฟแดงตัดถนนสามล้าน เลี้ยวซ้ายที่หัวมุมถนน หันหน้ามุ่งลงทิศใต้ เดินไปอีกไม่เกิน 100 เมตร ขวามือจะมีซอยเข้าไปในวัดได้
ข้ามถนนแล้วเดินเข้าวัดได้เลย
วัดที่สาม วัดพระสิงห์ ถ.อินทรวโรรส ต.ศรีภูมิ
ออกจากวัดหมื่นกองเงิน ข้ามถนน(ราชมรรคา) ออกทางด้านทิศตะวันออกนะ เดินมาจนพบถนนสามล้านขวางหน้า เลี้ยวขวา หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เดินตรงไป 100 เมตร จะเจอสี่แยกตัดถนนสามล้าน เลี้ยวซ้าย หันหน้าไปทางทิศเหนือ เดินขึ้นไป ข้ามสี่แยกไฟแดง มุ่งหน้าทิศเหนือ ผ่านถนนสามล้านซอย2 และสามล้านซอย1 ซึ่งฝั่งตรงข้ามจะเป็นโรงเรียนนครพิงค์อภิบาลกิจ พอเดินมาถึงสามแยก จะเห็นว่าถนนราชดำเนินจะพุ่งเข้ามาบรรจบถนนสามล้านจนกลายเป็นสามแยก ด้านซ้ายมือนี่แหละคือทางเข้าวัดพระสิงห์
วัดที่สี่ วัดดับภัย ถ.สิงหราช ต.ศรีภูมิ
ออกจากวัดพระสิงห์ทางทิศตะวันออก
เลี้ยวซ้ายเดินหน้าขึ้นทิศเหนือ
เดินข้ามสี่แยกตัดถนนอินทรวโรรส
เข้าสู่ถนนสิงหราช
เดินมุ่งหน้าทิศเหนืออีกประมาณ 400 เมตร
จะเจอทางเขาวัดดับภัยอยู่ทางซ้ายมือ
วัดที่ห้า วัดหม้อคำตวง ถ.ศรีภูมิ4 ต.ศรีภูมิ
ออกจากวัดดับภัยทางทิศตะวันออก พอถึงถนนสิงหราช เลี้ยวซ้าย หันหน้ามุ่งทิศเหนือ เดินขึ้นไป ผ่านสี่แยกตัดถนน-สิงหราชซอย 3-เวียงแก้ว เดินขึ้นมาอีก 70 เมตร จะมองเห็นฝั่งตรงข้ามเป็นโรงเรียนกวดวิชาคาเดท์ควอลิตี้ ให้เดินเลยซอยไปนิดหน่อย แล้วค่อยข้ามถนนไปฝั่งทางด้านทิศตะวันออก จากนั้นก็เดินเข้าซอย4 เดินชิดซ้ายของถนน เดินตรงไปประมาณ 200 เมตร เลี้ยวซ้ายเข้าซอย4ก
ให้เดินตรงขึ้นไปทางเหนืออีก 100 เมตรจนสุดซอย จะเป็นสามแยก ซอยที่ขวางด้านหน้าตอนนี้คือ ซอยศรีภูมิ8 ให้เลี่ยวขวาโดยการข้ามถนนตรงสามแยก เดินชิดฝั่งซ้ายของถนน ไปจนถึงกำแพงบ้านในซอย 8 แล้วเลี้ยวขวา ขณะนี้เราจะอยู่ในซอย 8 ด้านฝั่งซ้าย ให้เดินไปทางตะวันออกอีก 100 เมตร จะผ่านสี่แยกอีก 2 แห่งให้ข้ามถนนตรงไปทางตะวันออกเรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวจะเดินเลย พอถึงซอย 5 ให้เลี้ยวซ้ายตรงมุมถนน (ถ้าลืมเลี้ยวจะไปเจอทางโค้งขวาหักศอก แปลว่าเดินเลยมาแล้ว ยากนิดหน่อย เดินแถวนี้) เมื่อเลี้ยวซ้าย แล้วเดินขึ้นเหนือไปอีก 60 เมตร ซ้ายมือจะเป็นทางเข้าวัดหม้อคำตวง
วัดที่หก วัดเชียงมั่น ถ.ราชภาคิไนย ต.ศรีภูมิ
ออกจากวัดหม้อคำตวงทางทิศตะวันออก เลี้ยวซ้ายหันหน้าไปทางเหนือ ข้ามไปเดินฝั่งขวาของถนน เดินขึ้นไป 50 เมตร ถึงถนนศรีภูมิ เลี้ยวขวาตรงหัวมุมถนน หันหน้าไปทางตะวันออก เดินตรงไป 80 เมตร จะผ่าซอยศรีภูมิซอย 4 ให้เดินเลยไปเรื่อยๆ พอเดินมาได้อีกประมาณ 20 เมตร เลี้ยวขวาเข้่าถนนพระปกเกล้า ข้ามมาเดินฝั่งซ้ายของถนน เดินลงมาประมาณ 100 เมตร เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ซอยราชภาคิไนย1 หันหน้าไปทางตะวันออก เดินตรงไปอีก 300 เมตร จะถึงสี่แยกซึ่งเป็นถนนราชภาคิไนย เลี้ยวขวาตรงมุมถนน หันหน้าไปทางทิศใต้ เดินตรงลงมาประมาณ 80 เมตร จะเจอทางเข้าวัดเชียงมั่นอยู่ทางขวามือ
เดินเข้าซอยวัดไปอีก 30 เมตร
วัดที่เจ็ด วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์(วัดโพธิ์น้อย) ถ.ราชภาคินัย ต.ศรีภูมิ
(วัดนี้ไม่ใช่วัดอุโมงค์-สวนพุทธธรรม ที่คนนิยมไปเที่ยวกัน เพราะเราเดินไปไม่ไหวแน่ๆ วัดนี้มีชื่ออีกชื่อว่า วัดโพธิ์น้อย)
ไปกันเถอะ...ออกจากวัดเชียงมั่นทางทิศตะวันออก พอเดินมาถึงถนนราชภาคินัย ให้เลี้ยวขวา หันหน้าไปทางทิศใต้ เดินลงมาทางทิศใต้ประมาณ 500 เมตร ก็จะถึงที่หมาย ระหว่างทางจะผ่านสี่แยกไฟแดงตัดถนนพระปกเกล้า ซ.13-ถ.มูลเมืองซอย7 แล้วจะผ่านสี่แยกตัดถนนราชวิถี เดินลงมาทสงใต้เรื่อยๆ ฝั่งตรงข้ามจะเป็นซอยมูลเมือง4 อดทนอีกนิด เดินอีก 20 เมตร วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์(วัดโพธิ์น้อย) จะอยู่ทางขวามือ
วัดที่แปด วัดดวงดี ถ.พระปกเกล้าซอย 12 ต.ศรีภูมิ
ออกจากวัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์ทางทิศตะวันออก เลี้ยวขวาหันหน้าไปทางทิศใต้ เดินลงมา 50 เมตร เลี้ยวขวาเข้าซอยพระปกเกล้า ซอย12 เดินเข้าไปในซอย เลี้ยวขวา ตรงไป เลี้ยวซ้าย ตรงไป เลี้ยวขวา เดินต่อไปอีก 10 เมตร ขวามือของคุณจะเป็นทางเข้าวัดดวงดี เดินเข้าไปอีก 20 เมตรเท่านั้นเอง (ตามความคิดเห็นของคนบางคน เมื่อไปไหว้พระวัดดวงดีแล้ว ต้องไปไหว้พระวัดพันเตา หรือพันเท่า แต่ผมคิดว่าเอาไว้ เรามาจัดเส้นทางใหม่อีกทีในวันหลังดีกว่า)
วัดที่เก้า วัดอินทขิล(วัดสะดือเมือง) ถ.อินทรวโรรส ต.ศรีภูมิ
ออกจากวัดดวงดีทางทิศตะวันออก เดินประมาณ 50 เมตร พอถึงสามแยก เลี้ยวซ้าย หันหน้าไปทางทิศเหนือ เดินอ้อมโค้งไปเรื่อยๆ จนกลับมาเป็นหันหน้าไปทางทิศตะวันตก จากนั้นจะเป็นทางตรงประมาณ 100 เมตร เดินต่อไปจะพบสามแยก หรือเรียกว่า เจอถนนใหญ่ ถนนที่ขวางหน้าคือ ถนนพระปกเกล้า ให้ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม แล้วเลี้ยวขวา หันหน้าไปทางทิศเหนือ เดินขึ้นไปอีก10 เมตร จะเจอสามแยก เลี้ยวซ้ายหัวมุมถนน เข้าถนนอินทรวโรรส หันหน้าไปทางตะวันตก เดินไปอีกประมาณ 60 เมตร ถึงปากทางเข้าวัดอินทขิล ซึ่งจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ
จุดที่สิบ ลานสามกษัตริย์ ถ.อินทรวโรรส
คราวนี้ไม่ใช่วัดนะครับ แต่เป็นของสำคัญของชาติไทยและชาวล้านนาเลย มาสักการะท่านเสียหน่อย จุดที่เราจะไปนี้อยู่ห่างออกไปแค่ 50 เมตรเอง เราก็แค่เดินย้อนออกมาจากวัดอินทขิล ออกทางด้านทิศเหนือนั่นแหละ แล้วข้ามถนน เดินเข้าไปในซอยตรงข้ามนั้น ประมาณ 40 เมตร จะมองเห็นลานสามกษัตริย์ หาไม่ยาก ตอนนี้เราจะมาสิ้นสุดการเดินในเขตกำแพงเมืองที่ตรงนี้ เราจะไปต่อที่วัดนอกกำแพงเมืองกันบ้าง เพราะอีก 2 วัด เขามีชื่อเสียงมากจริงๆ
จุดที่สิบเอ็ด วัดลอยเคราะห์ ถ.กำแพงดิน ซอย 1 ต.ช้างม่อย
จากลานสามกษัตริย์ไปวัดลอยเคราะห์ ซึ่งนับว่าไกลมากถ้าคุณเป็นคนชราเเหมือนผม ทางเลือกใหม่คือใช้บริการรถเช่าสาธารณะ ซึ่ง งานนี้ขอเสนอ สามล้อหรือตุ๊กๆ ถ้าหาไม่ได้ก็ต้องสองแถวนะครับ
ถ้าเลือกที่จะเดินเท้า ก็ตามมา....
เราจะใช้เส้นทางลัด เดินไม่มากนัก คือ 1.5 กม. หรือไม่เกิน 30 นาที จะว่าอย่างไร?
วันที่อากาศหนาวๆก็พอไหว แต่ถ้าเป็นตอนเที่ยงถึงบ่ายสองโมง หน้าร้อน คงไม่สนุก
เริ่มต้นที่ เดินออกจากลานสามกษัตริย์ทางทิศใต้ ข้ามถนนมาอยู่ฝั่งทางด้านใต้ เลี้ยวซ้ายหันหน้าไปทางตะวันออก (ตอนนี้เราต้องเดินอยู่บนฝั่งขวาของถนนอินทรวโรรส) เดินออกไปทางทิศตะวันออก 65 เมตร เลี้ยวขวาหัวมุมถนน หันหน้าไปทางทิศใต้ จะอยู่ในถนนพระปกเกล้า เดินลงใต้ไปอีกประมาณ 0.5 กม. (ครึ่งกิโล) ระหว่างทางจะผ่านสี่แยกไฟแดงตัดถนนราชดำเนิน ข้ามสี่แยก แล้วก็เดินลงทางใต้เหมือนเดิม ผ่านวัดเจดีย์หลวงทางขวามือ พอมาถึงโรงเรียนเมตตาศึกษาซึ่งอยู่ทางขวามือ ให้ข้ามถนนไปฝั่งทิศตะวันออก ข้ามมาแล้ว เลี้ยวขวาหันหน้าไปทางทิศใต้ เดินลงไปจนถึงสี่แยกตัดถนนราชมรรคา เลี้ยวซ้ายที่มุมถนน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เริ่มเหนื่อยหรือยัง ตอนนี้เรามาอยู่ในถนนราชมรรคา(ฝั่งซ้าย) จงเดินต่อไป หรืออนุญาตให้ไปแวะพักขาแถวหน้าโรงเรียนพุทธิโศภณ ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือ
จากนั้นก็เดินหน้าต่อไปทางตะวันออก ออกจากพื้นที่ชั้นในคูเมือง ข้ามถนนถนนมูลเมืองและถนนคชสาร ออกมานอกกำแพงเมือง
ฝั่งตรงข้ามปากทางถนนราชมรรคา ฟากโน้นจะเป็นถนนลอยเคราะห์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกันพอดีเป๊ะ ตรวจสอบอีกคร้ังว่า ตอนนี้เราอยู่บนถนนลอยเคราะห์ฝั่งซ้ายมือหรือยัง ถ้าใช่ก็เดินมุ่งหน้าไปทางตะวันออกอีก 300 เมตร จะผ่านสี่แยกเล็กๆข้างหน้า ให้ข้ามเลยไป ซ้ายมือจะเป็นทางเข้าวัดพันตอง อยากจะแวะเข้าไปไหว้พระก็ได้ แต่วันนี้อย่าเลย เดี๋ยวจะหมดแรงไปอีกวัด พอเดินมาสุดถนน ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนกำแพงดินซอย1 ตรงปากซอยจะมีลักษณะคล้ายๆเป็นสีแยกที่เยื้องๆกันนิดหน่อย ซอยฝั่งตรงข้ามที่เยื้องๆนั้นชื่อ ถนนลอยเคราะห์ซอย2 เมื่อเข้ามาในซอยกำแพงดินซอย1 เราจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เดินขึ้นไปอีก 50 เมตร วัดลอยเคราะห์จะอยู่ขวามือ ข้ามถนนไปอีกฝั่ง เมื่อเจอทางเข้าวัดลอยเคราะห์ ก็ข้ามถนนไปอีกฝั่ง เดินเข้าไปในวัดนิดหน่อย ห้องน้ำในวัดจะอยู่ซ้ายมือเมื่อก้าวเข้าไปในวัดประมาณ 20 เมตร ผมเคยไปล้างหน้าล้างตามาแล้ว ห้องน้ำสะอาดดี
จุดที่สิบสอง วัดชัยมงคล ถ.เจริญประเทศ ต.ช้างคลาน
คราวนี้ก็เดินไกลอีกเหมือนกัน ประมาณ 1.2 กม. หรือ 20 นาที ถ้าไม่ไหวก็เรียกรถรับจ้างไปได้นะ แต่เนื่องจากระบบทางเดินรถแถวนั้นจะเป็นวันเวย์ จึงทำให้การนั่งรถจะเหมือนว่าอ้อมโลกไปเล็กน้อย แต่ได้เห็นเมืองเยอะขึ้น ก็น่าจะคุ้ม สำหรับคนเชียงใหม่ เขาอาจจะนั่งสองแถวหน้าปากซอยกำแพงดิน 1 ไปลงที่ สี่แยกถนนลอยเคราะห์ตัดกับถนนเจริญประเทศ (ก็คือเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไป) จากตรงนั้นนั่งรถประมาณ 2-3 นาที แล้วเดินแค่ 400 เมตรเอง ตรงนั้นรถจะวิ่งเข้าสู่ถนนเจริญประเทศไม่ได้ เพราะเป็นวันเวย์
ไปกันเถอะ...
พอออกจากวัดลอยเคราะห์ ให้เลี้ยวขวา เดินย้อนลงมาทางทิศใต้ พอถึงปากซอย ก็จะเป็นถนนลอยเคราะห์ ให้เลี้ยวซ้าย หันหน้าไปทางตะวันออก เดินตรงไปเรื่อยๆประมาณ 700 เมตร จะผ่านถนนกำแพงดินซอย 2 ทางซ้ายมือ เมื่อเดินต่อๆไปจะเจอสี่แยกไฟแดงถึง 5 แห่ง แต่ละแห่งอยู่ใกล้ๆกันมาก แยกต่างๆนั้นได้แก่ แยกถนนกำแพงดิน แยกถนนท่าแพซอย1 ระหว่างสองแยกนี้ ทางขวามือคือโรงแรม Centara Duangtawan ผมไปพักที่นี่บ่อยๆเพราะว่าอยู่ใกล้กับตลาดไนท์บาซาร์ และตลาดอนุสารสุนทรซึ่งเป็นตลาดที่มีของฝากไม่แพ้ตลาดชื่อดังที่รถติดมากๆ แยกที่สามคือถนนช้างคลาน
แยกที่สี่คือถนนลอยเคราะห์6 และแยกที่ห้าคือถนนเจริญประเทศ ให้ข้ามถนนก่อนถึงสี่แยกนี้ จากนั้นก็หันหน้าไปทางตะวันออกเหมือนเดิม เดินไปให้ถึงแยกที่ห้า โดยเลี้ยวขวาที่มุมถนน หันหน้าลงทิศใต้ เราก็จะมาอยู่ในถนนเจริญประเทศซึ่งจะมีรถวิ่งทางเดียวสวนทิศที่เราเดินลงไป เดินมาจนเลยถนนเจริญประเทศซอย7 ไปนิดหน่อย ก็ให้ข้ามถนนไปทางทิศตะวันตก ข้ามเสร็จก็เลี้ยวขวาหันหน้าไปทางทิศใต้ เดินลงไปเรื่อยๆ ฝั่งโน้นที่เราข้ามมาจะมีถนนอนุสารสุนทร ถนนเจริญประเทศซอย8 และถนนศรีดอนไชยที่เป็นการเดินรถทางเดียว พอเราเห็นเฮือนโบราณร้อยปีทางขวามือ ก็เดินไปอีกนิดเดียว ทางเข้าวัดชัยมงคลอยู่ทางซ้ายมือ
จากนั้นก็กลับที่พักไปอาบน้ำ เตรียมกลับกรุงเทพฯ หรือไปหาอาหารเย็นทานต่อก็ได้ เพราะตอนนี้เราก็มายื่นอยู่ิแถวริมปิงแล้วนะครับ
Many thanks for //www.imageshack.us for upload and download pictures
ขอบคุณเจ้าของรูปทุกท่าน (ขโมยสมัยนี้เขามีการขอบคุณกันด้วย)
หากใครจับได้ว่าเป็นรูปที่ท่านหวงแหนมั๊กมาก หรือมีลิขสิทธิ์
โปรดแจ้งในช่อง comment ได้เลย จะรีบกำจัด เอ้ย...ลบ ออกให้โดยเร็วไว
วัดเจดีย์หลวง มีชื่อเต็มๆว่า วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร และยังมีอีกหลายชื่อ เช่น วัดราชกูฏา, วัดกุฏาราม, วัดโชติการาม สาเหตุก็มาจากการเป็นวัดเก่าแก่ เชียงใหม่ได้ผ่านผู้ปกครองเมืองมาหลายรุ่น และก็ได้มีการสร้าง ซ่อมแซม บูรณะ อยู่หลายครั้ง สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างราวปี พ.ศ. 1930 - 1945 ซึ่งอายุของวัดก็ร่วม 600 ปีกว่าๆ ยุคนั้นก็เป็นสมัยของพญาแสนเมืองมา กษัตริย์พระองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย ปัจจุบันมีความสำคัญระดับเป็นแหล่งศูนย์กลางการบริหาร ของคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตในเขตภาคเหนือ
ความจริงแล้วผมไม่อยากเอาเนื้อหาด้านสนับสนุนการท่องเที่ยวของวัดเจดีย์หลวงมาเขียนมาก เพราะคงหาอ่านจาก google กันได้ แต่ผมจะขอเขียนเรื่องที่คนมักไม่พูดถึงกันเมื่อมาที่วัดนี้ ซึ่งมักจะเป็นประวัติที่ตรงกันและไม่ตรงกัน หรือขาดหายไปในบางอย่าง
การได้ชื่อว่า เจดีย์หลวง เพราะ คำว่าหลวงในภาษาเหนือนั้นหมายถึง ใหญ่ เจดีย์นี้มีรูปแบบการก่อสร้างเป็นแบบพระอารามหลวงตามแบบอย่างโบราณล้านนา กว่าจะมาถึงปัจจุบันนี้ มีการซ่อมแซมกันมาหลายครั้ง คนเชียงใหม่จะให้ความเคารพตัวองค์พระเจดีย์มาก วัดนี้เรียกว่าตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ก็ว่าได้ พญาแสนเมืองมานี้ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้ากือนา สันนิษฐานว่าตั้งใจสร้างให้พระราชบิดา โดยมีสาเหตุจากโหรหรือผู้รู้คนหนึ่งได้มาบอกว่า ถ้าสร้างแล้วพระบิดาจะได้เป็นเทพเทวดาขั้นสูง จึงต้องสร้างให้ใหญ่โต ขนาดคนอยู่ห่างไปถึง 800 เมตร หรือ 1 กม. ยังมองเห็นได้ แต่ตัวพญาผู้สร้างนั้นได้มาสิ้นพระชนม์ก่อนที่จะสร้างเสร็จ ส่วนที่แล้วเสร็จจริงๆนั้น เห็นว่าเป็นแค่ส่วนปลายยอดพระเจดีย์ที่มีการบรรจุพระธาตุ และอยู่ในการดูแลงานโดยพระอัครมเหสีของพญาแสนเมืองมา ต่อมาในสมัยพญาสามฝั่งแกน พระมเหสีของพระเจ้าเมืองมาก็พยายามสร้างต่อจนเสร็จ และได้เรียกว่า กู่หลวง ซึ่งต่อมาอีก 80 ปี พญาติโลกราชได้โปรดให้ซ่อมและสร้างให้เป็นพระเจดีย์หลวง ตั้งแต่นั้นมา
ราวปี พ.ศ. 2055 มีการนำโลหะเงินของล้านนามาทำเป็นกำแพงล้อมพระเจดีย์ (หรืออาจจะล้อมซุ้มตรงหัวมุม) ต่อมามีการนำเงินไปแลกเปลี่ยนเป็นทองคำ และได้นำมาตีเป็นแผ่นหุ้มรอบพระเจดีย์ คิดเป็นนำหนักถึง 2 พันกว่ากิโลกรัม ปัจจุบันมีทองเหลืออยู่หรือไม่ ต้องไปดูกันเอง
เชื่อว่าที่ยอดพระธาตุเจดีย์ซึ่งคนแรกที่สร้างไว้คือพระอัครมเหสีของพญาแสนเมืองมา ได้มีการบรรจุพระเกศาธาตุ และพระธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้มาจากพระธรรมทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราชส่งมาเผยแผ่พระพุทธศาสนา เจดีย์นี้จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า โชติการามวิหาร แปลว่า พระอารามที่มีแต่ความรุ่งเรื่องสว่างไสว
พระธาตุเจดีย์นี้มีความสูงที่เชื่อว่า สูงที่สุดในภาคเหนือ คือสูง 80 เมตรจากฐาน (ประมาณตึก 25 ชั้น) และมีด้านกว้างยาวเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวด้านละ 60 เมตร ในช่วงเทศกาลสำคัญ ในยามค่ำคืน เมื่อมีการจุดไฟประทีปโคมไฟ รอบๆองค์พระเจดีย์หลวง จะมองเห็นยอดเจดีย์ส่องแสงสะท้อน ดูแล้วคล้ายเชิงเทียนขนาดใหญ่ เป็นจุดเด่นของเมือง ยิ่งในสมัยโบราณไม่มีตึกสูงๆ ยอดพระเจดีย์หลวงจะดูงามตายิ่งนัก
ในปี พ.ศ. 2088 เกิดแผ่นดินไหวในรัชสมัยพระนางเจ้ามหาเทวีจิรประภา ทำให้ยอดพระเจดีย์พังทลายลงมา ตรงนี้อดทำให้คิดไม่ได้ว่า แล้วพระธาตุจะอยู่ดีหรือไม่ เพราะว่านานอีกกว่า 400 ปี คือ ในช่วงปี 2533-2535 กรมศิลปากรถึงได้เข้าไปทำการบูรณะพระเจดีย์ขึ้นใหม่ ซึ่งก็คือสภาพในปัจจุบัน มีบันทึกว่าในปี 2423 มีการสร้างวิหารใหม่แทนหลังเก่า และในช่วงปี 2471-2481 ได้มีการรื้อถอนซากปรักหักพัง และถอนต้นไม้ที่ขึ้นจนรกในบริเวณรอบๆพระธาตุ ซึ่งอยู่ในช่วงสมัยของพลตรีเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย
เรื่องประวัติของพระธาตุเจดีย์นั้นมีตำนานอยู่หลายเรื่อง เพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่ผ่านกาลเวลามาเป็นร้อยๆปี ยากที่จะแยกเอาความจริง ความเชื่อ ออกจากกันได้ง่ายๆ แต่ตอนนี้ผมมีเกร็ดจะเล่าเรื่องหนึ่งว่า ประมาณปี พ.ศ. 2046 สมัยพระเจ้าเมืองแก้ว ได้โปรดให้สร้างหอพระแก้ว เพื่อให้คนไปอัญเชิญพระแก้วมรกตมาไว้ที่นี่ แต่พระแก้วได้มาจริงหรือไม่ เหตุการณ์ตรงนี้มีเรื่องและรายละเอียดที่ต้องค้นหากันดีๆ โดยมองทางตำนานพระแก้วมรกตเรื่องเส้นทางการอัญเชิญ จับตรงตอนที่ถูกอัญเชิญจากกำแพงเพชรมาอยู่ที่เชียงราย ต่อมาอีก 45 ปี ก็ถูกอัญเชิญมาที่ลำปางอีก 32 ปี จากนั้นจึงได้มาประดิษฐานอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ อีก 85 ปี จากนั้นถูกอัญเชิญไปอยู่เวียงจันทร์นานถึง 225 ปี ได้พระเจ้าตากสินมหาราชส่งแม่ทัพเอกคือ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปรบชนะฝ่ายลาวได้สำเร็จ ก็ถึงเวลาที่บ้านเมืองของเรา จะได้พระแก้วกลับคืนมาเสียที โดยคราวนั้นได้มาประดิษฐานอยู่ที่วัดอรุณฯก่อน ครั้นอีก 5 ปีต่อมา เจ้าพระยามหากษัตริย์ฯได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ มีเหตุการณ์ที่ประชาชนเห็นแสงรัศมีออกจากพระวรกาย และมีการสร้างเมืองใหม่ชื่อว่า กรุงรัตนโกสินทร์ ก็พ้องกับการที่ได้อัญเชิญพระแก้วฯ ซึ่งเหมือนกับดวงรัตนะของพระอินทร์ มาประดิษฐานไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนถึงทุกวันนี้ก็นานร่วม 225 ปีกว่า
ส่วนในตำนานนั้น บ้างก็ว่า พระแก้วถูกอัญเชิญมาอยู่เชียงใหม่ ในสมัยพระเจ้าติโลกราช (2011 - 2096) จริงๆ
บ้างก็ว่า สมัยพระเจ้าเมืองแก้ว ในปี พ.ศ. 2046 มีบันทึกการสร้างหอพระแก้ว เพื่อรอการอัญเชิญแต่ไม่ได้บอกว่าอัญเชิญสำเร็จ และยังมีเรื่องว่าช้างที่ใช้ขนส่งไม่ยอมเดินทางไปทางเชียงใหม่
อีกเอกสารทางโบราณคดี กล่าวว่า ได้มีบันทึกการค้นพบพระแก้วมรกตครั้งแรกที่เชียงแสน (จ.เชียงราย) อยู่ในเจดีย์วัดป่าญะ ได้เกิดอุบัติเหตุจนบังเอิญทำให้ปูนที่พอกองพระกะเทาะออก จึงทราบภายหลังว่า ตัวองค์พระจริงๆ เป็นหินหยกสวยงามมาก ครั้นพระเจ้าสามฝั่งแกนทราบเรื่อง ก็เร่งรีบส่งคนไปอัญเชิญมาเชียงใหม่ แต่ทำไม่ได้เพราะช้างไม่ยอมเดิน ช้างฝืนที่จะไปทางลำปางให้ได้ เลยต้องให้เก็บรักษาชั่วคราวที่วัดแก้วดอนเต้า จ,ลำปาง พอถึงสมัยพระเจ้าติโลกราช ก็ลองไปอัญเชิญใหม่ คราวนี้ฟ้าผ่าปราสาทที่จะประดิษฐานเสียหลายสิบครั้ง ความตอนนี้ขาดๆหายๆแปลกๆ เพราะเท่ากับว่าทำอย่างไรเชียงใหม่ก็ไม่ได้พระแก้ว แต่ว่ากันว่า พระเจ้าไชยเชษฐาแห่งล้านช้างได้มาครองเชียงใหม่ แล้วเกิดนำพระสำคัญๆกลับไปบ้านเกิดของพระองค์เอง ซึ่งก็คือ เมืองหลวงพระบาง(ประเทศลาว) จากนั้นพอสร้างเมืองเวียงจันทร์เสร็จ พระองค์ก็ได้ทรงอัญเชิญพระแก้วไปประดิษฐ์ไว้ที่เวียงจันทร์ จนกาลเวลาล่วงมา เมื่อเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปปราบลาวได้ชัย จึงนำพระสำคัญๆกลับมาพระนครนี่แหละ แถมก่อนหน้านั้นไทยเคยบอกให้ลาวคืนพระแก้วมาหลายครั้ง แต่ทางล้านช้าง(ลาว)คืนมาให้ ก็แต่พระพุทธสิหิงค์เพียงองค์เดียว เพราะได้นำไปพร้อมพระแก้วในคราวก่อนนั้น เลยกลายเป็นทวงอย่างได้อีกอย่าง แต่ดีตรงที่ว่า สุดท้ายเราได้พระกลับมา 2 องค์ เพราะถ้าตอนนั้นคืนพระแก้วมาแล้ว พระพุทธสิหิงค์อาจจะไม่ได้กลับมาฝั่งไทย
แถมอีกนิดไหนๆว่ากันเรื่องขนย้ายหรืออัญเชิญพระกันในสมัยก่อนแล้ว ท่านทราบหรือไม่ว่าคราวที่เราได้พระแก้วมรกตกลับมากรุงธนบุรีนั้น เราได้ของติดมือกลับมาอีกอย่างคือ พระบาง ซึ่งทางเวียงจันทร์ขอพระราชทานคืน ด้วยพระเมตตาในสมัยที่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีแล้วนั้น ได้ทรงโปรดให้ส่งพระบางกลับเวียงจันทร์ มิเช่นนั้นเวียงจันทร์และหลวงพระบางคงจะมีประวัติศาสตร์ที่หม่นหมอง นี่แหละคือพระเมตตาและพระบารมีของบรรพกษัตริย์ไทย
ถ้านำตาราง 9 ช่อง มาเปรียบเทียบตำแหน่งที่ตั้งของพระธาตุเจดีย์หลวง โดยให้พระธาตุเจดีย์อยู่ช่องตรงกลาง เชื่อหรือไม่ว่า เป็นไปตามแนวการวางผังจักรวาลของชาวลัวะ (อ่านแล้ว เสียงจะออกมาเป็น ละว้า หรือ ละโว้) คือ ให้พระเจดีย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
ทิศเหนือจะเป็นช่องตำแหน่งของวัดเชียงยืน เท่ากับ เดช
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือจะเป็นวัดชัยศรีภูมิ เท่ากับ ศรี
ทิศตะวันออกจะเป็นวัดบุพพาราม เท่ากับ มูล
ทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นวัดชัยมงคล เท่ากับ อุตสาห์
ทิศใต้เป็นวัดนันทาราม เท่ากับ มนตรี
ทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นวัดตโปทาราม เท่ากับ กาลกิณี
ทิศตะวันตกเป็นวัดสวนดอก เท่ากับ บริวาร
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็จะเป็นวัดเจ็ดยอด เท่ากับ อายุ
เคยมีคนจัดทัวร์ 9 วัด สวดมนต์เสริมดวงรอบจักรวาล โดย ไปสวดอิติปิโสฯ ทั้ง 9 วัด ซึ่งแต่ละวัดอยู่ห่างกันประมาณ 10 กม. จึงต้องพึ่งพารถยนต์ เดินเท้าไม่ได้ เขาจะเริ่มจากวัดสวนดอกก่อน แล้วขับวนเป็นวงกลม (เวียนขวา) มาครบทิศที่ 8 ที่วัดตโปทาราม(หรือ วัดร่ำเปิง) แล้วจึงเดนทางไปนมัสการพระธาตุเจดีย์หลวง ตรงใจกลางจักรวาล เป็นแห่งสุดท้าย ซึ่งจะมีเสาอินทขีล (เป็นเสาหลักเมืองแบบอย่างของชาวลัวะ)
สาเหตุที่ต้องมาไหว้พระ+สวดมนต์ ที่วัดตโปทารามเป็นตำแหน่งที่ 8 เพราะวัดนี้ วางอยู่ตรงตำแหน่ง ของ กาลกิณีเมือง เราจึงไม่เริ่มต้นก่อน หรือระหว่างทาง แต่ไม่ใช้วัดเขาเป็นที่ไม่ดีอะไร อย่าไปคิดมั่วๆแบบนั้นเป็นอันขาด ตรงกันข้าม ถ้าจะทำพิธีขจัดอะไรต่อมิอะไร น่าจะมาทำที่นี่ เห็นทีจะดีที่สุด เท็จจริงประการใดไม่ทราบ รู้แต่ว่าบอกตัวเองเสมอๆ ว่า คิดดี+ทำดี พร้อมรับกรรมที่ได้กระทำ ก็พอแล้ว
การไปวัดนี้ ถ้าอยากศึกษาทางด้านศิลปะและโบราณคดี ต้องไปดู
1. พระธาตุเจดีย์หลวง
2. พระวิหาร (มีพระอุโบสถร่วมอยู่ในเขตเดียวกันด้วย)
3. พระอัฏฐารส (เป็นพระพุทธรูป)
4. พระพุทธไสยาสน์ (พระนอน)
5. เจดีย์เล็ก มี 2 องค์
6. พระอุโบสถเล็ก อยู่ทางตะวันตกของพระเจดีย์
7. เสาอินทขีล เป็นเสาหลักเมือง นำมาจากวัดสะดือเมือง หรือวัดอินทขีล
8. บ่อเปิง หรือ บ่อน้ำใหญ่ ใช้คนขุดมีขนาดลึก เป็นการหาและสำรองน้ำเพื่อใช้ในการก่อสร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่
9. พระมหาสังกัจจายน์ อยู่ในวิหารทางด้านทิศเหนือ
10. ต้นยางอายุ 200 ปี (มีอยู่ 3 ต้น อยากจะถามว่า เราต้องหาไม้ไปค้ำหรือเปล่า?)
11. ยักษ์กุมภัณฑ์ มีอยู่ 2 ตน คอยรักษาเสาอินทขีล
12. หอธรรม หรือ หอพระไตรปิฎก สร้างในปี 2017 สมัยพระเจ้าติโลกราช
13. กุฏิแก้วนวรัฐ เป็นกุฏิหลังแรกของวัด ทำด้วยไม้สัก สร้างในปี 2471 โดยเจ้าแก้วนวรัฐ
คำว่า นวรัฐ นั้นมีอยู่หลายแห่งในเชียงใหม่ ควรจะทราบบ้างว่าท่านเป็นใคร คนเชียงใหม่ถึงเคารพท่านมาก