หุบเขาคนโฉด ไม่ใช่ไอศครีม ไม่ต้องเข้ามาเลีย หรือเชียร์จนละเหี่ยใจ แต่ขอแค่ความจริงใจ ของคนกล้าคิด ไม่ติดอยู่ในกรอบ
91112 ไปไหว้พระที่ล้านนากัน





ถนนหมื่นไมล์

oถนนที่ทอดยาวไกล แต่หัวใจก็ยังเดินทางไปถึง
หุบเขาคนโฉด, ถนนหมื่นไมล์, ล้านนา, เชียงใหม่, อ.เมือง, วัด
Violent Valley, zOOmzERo, Lanna, Chiangmai, Temple, Buddha

ไปไหว้พระที่ล้านนากัน


ดอยสุเทพเป็นศรี
ประเพณีเป็นสง่า
บุปผาชาติล้วนงามตา
นามล้ำค่านครพิงค์


เมื่อไม่นานมานี้คุณใบไม้ต้องลมเคยถามผมเรื่องเที่ยวในอำเภอเมือง จ.เชียงใหม่ ผมคิดว่าเป็นงานเร่งด่วน แต่เนื่องจากคุณใบไม้ต้องลม เป็นผู้ชาย ผมจึงไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ 555 (ไม่ช่าย กำลังวุ่นเรื่องเรื่องสิงหปุระอยู่) ผมคิดว่าป่านนี้ท่านก็คงกลับมากรุงเทพฯแล้วกระมัง น่าเสียดายนะ แต่ก็ดีเพราะถ้ามาอ่านแล้ว เอาเรื่องของผมไปทำจริงๆ คงรู้แล้วหละว่าผมเขียนมั่วสุดๆ

ตอนแรกผมไปลอกเอาตารางทัวร์ 9 วัด ในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งก็มีคนจัดอยู่หลายเวอร์ชั่นเหมือนกัน แต่ผมหาที่ถูกใจไม่ได้ เพราะเส้นทางและหมายกำหนดการของเขา เหมือนว่าเขาเอาชื่อวัดมาเป็นตัวกำหนดเส้นทาง หรือไม่ก็เป็นธรรมเนียมพาแขกต่างถิ่นมาไปแบบนั้นมานานแล้ว ซึ่งคงต้องเน้นเรื่องสร้างความเป็นศิริมงคล และไปที่ไหน แขกจะประทับใจมากที่สุด ผมก็เป็นพวกนอกกรอบ นอกรั้ว นอกแนว เลยคิดว่า ถ้าไปเที่ยวแบบนั้น ก็ต้องพึ่งยานพาหนะ ถ้าเราไม่มีรถ หรือหาไม่ได้ ก็ต้องเช่าเขา หรือไม่ก็ต้องไปซื้อ package tour ผมว่าไม่ค่อยคุ้มสำหรับยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้ ผมเลยจัดเส้นทางทัวร์แบบมั่วนิ่มขึ้นมาเอง แบบให้เดินเล่นแก้หนาวกัน

สำหรับคนที่บังเอิญเกิดเหลือเวลาว่าง 1 วัน และพักอยู่ในตัวเมืองชั้นใน หรือในเมืองเชียงใหม่ และไม่อยากนอนเล่นอยู่ในโรงแรมกับน้ำพริกถ้วยเก่า(เป็นอาการของผู้ชายโฉดทุกคนกระมัง) ซึ่งถ้าเป็นช่วงกลางคืน ท่านอาจจะไปเที่ยวที่ ไนท์บาซาร์ ถนนคนเดิน ตลาดโต้รุ่ง ขันโตก ไนท์ซาฟารี ฯ แต่ถ้าเป็นกลางวัน ก็คงไปไหว้ครูบาศรีวิชัยและพระธาตุดอยสุเทพ และนาทีนี้ก็ต้องไปเยี่ยมหลินปิงกันแน่นอน แต่ถ้ารู้สึกจำเจ เรามีทางเลือกให้คุณทดลองเสียง เผื่อจะไอ้ความสุขนะครับ และยิ่งถ้าไม่อยากเสียเงิน เพราะค่าตั๋วทัวร์ครึ่งวันก็คงจะคนละ 1,000 บาท ลองมาเดินเท้า ไปไหว้พระกันดีกว่า ไปเรื่อยๆ ยะ จ๊า จ๊า ยะ เนิบ เนิบ แต่เร้าใจ เหนื่อยก็พัก หิวก็หาของทาน ไม่ต้องเร่งรีบ สำหรับรายละเอียดของวัด เช่น ประวัติ หรือ วัตถุโบราณอันสำคัญๆในวัด เอาไว้เขียนในช่องคอมเมนท์อีกทีก็แล้วกันนะ มิเช่นนั้นจะยาวเกิน 40,000 ตัวอักษร

ขนาดข้อมูล ที่ได้มานิดๆหน่อยๆ ก็เยอะท้วมหัวแล้วหละ อย่างเช่น ในอำเภอเมือง จ.เชียงใหม่ จะมีถึง 16 ตำบล หรือ 78 หมู่บ้าน
มีองค์การปกครองท้องถิ่น ที่มีทั้ง เทศบาลและอบต. อยู่ 11 แห่ง
มีสถานที่สำคัญระดับที่การท่องเที่ยวต้องมาทำป้ายแนะนำให้ถึง 18 แห่ง มีตลาดหรือกาดอีก 12 กาด (เป็นกาดหลวงซะ 4 แห่ง)
และยังมีสถานกงสุลอีก 15 แห่ง มีสะพานให้ไปถ่ายรูปยามเย็นอีก 4 แห่ง
และแหล่งเอ็นเทอร์เทน หรือที่เที่ยว+ที่กินดังๆ อีก 100 แห่ง เช่น คุ่มขันโตก, ถนนคนเดิน, ไนท์บาซาร์, พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์, พิพิธภัณฑ์ชาวเขา, ร้านม่อนฝ้าย, โรงงานไทยศิลาดล, สวนสัตว์เชียงใหม่ ฯ ที่ไม่ดังอีกเพียบ รวมแล้วคงไม่น้อยกว่า 200 แห่ง

นี่แหละปัญหา เพราะมีที่เที่ยวเยอะมาก อยู่เป็นปียังเที่ยวไม่หมดเลย ผมเลยบีบความสนใจใ ห้ลดลงมา เพื่อให้เหมาะกับการเดินเที่ยวของเรา ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นภายในกำแพงเมือง หรือที่ผมอยากจะเรียกว่า พื้นที่ประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นที่ของคนระดับเจ้านายหรือเจ้าเมืองเขาเคยใช้ชีวิตอยู่

กำแพงเมืองเชียงใหม่ ห้อมล้อมด้วยกำแพงปูน+ดิน และคู่โดยรอบ มองแล้วเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัส ตรงมุมกำแพงมีชุมชน หรือน่าจะเรียกว่าป้อม แต่คนล้านนาเรียกว่า แจง ซึ่งได้แก่ แจงศรีภูมิ, แจงกะต้ำ, แจงกู่เฮือง และแจงหัวริน
ส่วนประตูเมืองเชียงใหม่จะมีถึง 5 ประตู เริ่มจากทางเหนือ คือ ประตูช้างเผือก วนไปทางตะวันออกจะไปเจอประตูท่าแพ แล้ววนต่อไปก็จะเจอประตูเชียงใหม่ มาจบทางเหนือที่ประตูสวนดอก ลองนับดูแล้วได้แค่ 4 ประตู ดังนั้นประตูที่ 5 ที่หายไป คือประตูที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีชื่อว่า ประตูสวนปรุง เป็นประตูส่งศพ ถ้าเป็นเมืองโคราชบ้านเอ็ง เขาจะเรียกว่าประตูผี

ในตัวเมืองเชียงใหม่ ผมนับวัดได้แค่ 101 วัดเอง (ไม่มากเลย 555) แต่มีวัดที่มีโบราณสถานสำคัญๆประมาณ 35 แห่ง ดังนั้นการจัดการเที่ยว 35 วัดใน 1 วัน จึงเป็นเรื่องของคนบ้ามากกว่าคนเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ผมเลยเอาแผนที่มาศึกษา โดยใช้ทั้งดาวเทียม และใช้น้องดาว กิ๊กคนใหม่ของผม (แต่ส่วนใหญ่ผมจะหมกมุ่นอยู่กับการใช้น้องดาว งานเลยไม่ค่อยจะคืบหน้าเท่าไหร่)


ตอนนี้ผมพยายามจัดเส้นการเดินให้กวาดพื้นที่มากที่สุด แต่เดินน้อยที่สุดอีกด้วย และคงจะต้องพาออกมาหาของแถมนอกเขตกำแพงเมืองอีก 2 แห่ง เพื่อที่จะได้ไปไหว้พระที่วัดสำคัญๆได้คุ้มกับทริปนี้ พร้อมหรือยัง ถ้าพร้อม เราลองมาออกกำลังด้วยการเดินเทากันเลย


วัดแรก วัดเจดีย์หลวง (หรือ โชติการาม หรือ ราชกูฏา หรือ กุฏาราม) ถ.พระปกเกล้า ตำบลพระสิงห์
ที่เริ่มที่วัดนี้เพราะว่าอยู่ใจกลางเมือง เป็นที่ตั้งของเสาหลักเมือง วัดนี้เราถือว่าเราจ้างรถมาตรงนี้ในตอนเช้าได้เลย หรือใครจะเดินจากที่พักมาที่นี่ก็ได้ (ถ้านอนในโรงแรมในเมือง หรือเกสเฮ้าส์ใกล้ๆ)


วัดที่สอง วัดหมื่นกองเงิน ถนนราชมรรคา ต.พระสิงห์
ออกจากวัดเจดีย์หลวงทางทิศตะวันออก เดินออกมาจนพบถนนพระปกเกล้า เลี้ยวขวา หันหน้าลงมาทางทิศใต้ เดินลงมาประมาณ 200 เมตร จะพบสี่แยกตัดถนนราชมรรคา ให้เลี้ยวขวาที่หัวมุมถนน หันหน้าไปทางทิศตะวันตก แล้วเดินตรงไปอีก 500 เมตร จะผ่านโรงเรียนคุมอง เดินต่อไปอีก จะผ่านซอยทางขวามือ ชื่อ ซอยจาบาน จะสังเกตเห็นว่าปากซอยมีร้านชื่อ เฮือนเพ็ญ เดินต่อไปเรื่อยๆจนพบแยกสี่แยกไฟแดงตัดถนนสามล้าน เลี้ยวซ้ายที่หัวมุมถนน หันหน้ามุ่งลงทิศใต้ เดินไปอีกไม่เกิน 100 เมตร ขวามือจะมีซอยเข้าไปในวัดได้ ข้ามถนนแล้วเดินเข้าวัดได้เลย



วัดที่สาม วัดพระสิงห์ ถ.อินทรวโรรส ต.ศรีภูมิ
ออกจากวัดหมื่นกองเงิน ข้ามถนน(ราชมรรคา) ออกทางด้านทิศตะวันออกนะ เดินมาจนพบถนนสามล้านขวางหน้า เลี้ยวขวา หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เดินตรงไป 100 เมตร จะเจอสี่แยกตัดถนนสามล้าน เลี้ยวซ้าย หันหน้าไปทางทิศเหนือ เดินขึ้นไป ข้ามสี่แยกไฟแดง มุ่งหน้าทิศเหนือ ผ่านถนนสามล้านซอย2 และสามล้านซอย1 ซึ่งฝั่งตรงข้ามจะเป็นโรงเรียนนครพิงค์อภิบาลกิจ พอเดินมาถึงสามแยก จะเห็นว่าถนนราชดำเนินจะพุ่งเข้ามาบรรจบถนนสามล้านจนกลายเป็นสามแยก ด้านซ้ายมือนี่แหละคือทางเข้าวัดพระสิงห์



วัดที่สี่ วัดดับภัย ถ.สิงหราช ต.ศรีภูมิ
ออกจากวัดพระสิงห์ทางทิศตะวันออก
เลี้ยวซ้ายเดินหน้าขึ้นทิศเหนือ
เดินข้ามสี่แยกตัดถนนอินทรวโรรส
เข้าสู่ถนนสิงหราช
เดินมุ่งหน้าทิศเหนืออีกประมาณ 400 เมตร
จะเจอทางเขาวัดดับภัยอยู่ทางซ้ายมือ











วัดที่ห้า วัดหม้อคำตวง ถ.ศรีภูมิ4 ต.ศรีภูมิ
ออกจากวัดดับภัยทางทิศตะวันออก พอถึงถนนสิงหราช เลี้ยวซ้าย หันหน้ามุ่งทิศเหนือ เดินขึ้นไป ผ่านสี่แยกตัดถนน-สิงหราชซอย 3-เวียงแก้ว เดินขึ้นมาอีก 70 เมตร จะมองเห็นฝั่งตรงข้ามเป็นโรงเรียนกวดวิชาคาเดท์ควอลิตี้ ให้เดินเลยซอยไปนิดหน่อย แล้วค่อยข้ามถนนไปฝั่งทางด้านทิศตะวันออก จากนั้นก็เดินเข้าซอย4 เดินชิดซ้ายของถนน เดินตรงไปประมาณ 200 เมตร เลี้ยวซ้ายเข้าซอย4ก

ให้เดินตรงขึ้นไปทางเหนืออีก 100 เมตรจนสุดซอย จะเป็นสามแยก ซอยที่ขวางด้านหน้าตอนนี้คือ ซอยศรีภูมิ8 ให้เลี่ยวขวาโดยการข้ามถนนตรงสามแยก เดินชิดฝั่งซ้ายของถนน ไปจนถึงกำแพงบ้านในซอย 8 แล้วเลี้ยวขวา ขณะนี้เราจะอยู่ในซอย 8 ด้านฝั่งซ้าย ให้เดินไปทางตะวันออกอีก 100 เมตร จะผ่านสี่แยกอีก 2 แห่งให้ข้ามถนนตรงไปทางตะวันออกเรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวจะเดินเลย พอถึงซอย 5 ให้เลี้ยวซ้ายตรงมุมถนน (ถ้าลืมเลี้ยวจะไปเจอทางโค้งขวาหักศอก แปลว่าเดินเลยมาแล้ว ยากนิดหน่อย เดินแถวนี้) เมื่อเลี้ยวซ้าย แล้วเดินขึ้นเหนือไปอีก 60 เมตร ซ้ายมือจะเป็นทางเข้าวัดหม้อคำตวง






วัดที่หก วัดเชียงมั่น ถ.ราชภาคิไนย ต.ศรีภูมิ
ออกจากวัดหม้อคำตวงทางทิศตะวันออก เลี้ยวซ้ายหันหน้าไปทางเหนือ ข้ามไปเดินฝั่งขวาของถนน เดินขึ้นไป 50 เมตร ถึงถนนศรีภูมิ เลี้ยวขวาตรงหัวมุมถนน หันหน้าไปทางตะวันออก เดินตรงไป 80 เมตร จะผ่าซอยศรีภูมิซอย 4 ให้เดินเลยไปเรื่อยๆ พอเดินมาได้อีกประมาณ 20 เมตร เลี้ยวขวาเข้่าถนนพระปกเกล้า ข้ามมาเดินฝั่งซ้ายของถนน เดินลงมาประมาณ 100 เมตร เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ซอยราชภาคิไนย1 หันหน้าไปทางตะวันออก เดินตรงไปอีก 300 เมตร จะถึงสี่แยกซึ่งเป็นถนนราชภาคิไนย เลี้ยวขวาตรงมุมถนน หันหน้าไปทางทิศใต้ เดินตรงลงมาประมาณ 80 เมตร จะเจอทางเข้าวัดเชียงมั่นอยู่ทางขวามือ เดินเข้าซอยวัดไปอีก 30 เมตร




วัดที่เจ็ด วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์(วัดโพธิ์น้อย) ถ.ราชภาคินัย ต.ศรีภูมิ
(วัดนี้ไม่ใช่วัดอุโมงค์-สวนพุทธธรรม ที่คนนิยมไปเที่ยวกัน เพราะเราเดินไปไม่ไหวแน่ๆ วัดนี้มีชื่ออีกชื่อว่า วัดโพธิ์น้อย)

ไปกันเถอะ...ออกจากวัดเชียงมั่นทางทิศตะวันออก พอเดินมาถึงถนนราชภาคินัย ให้เลี้ยวขวา หันหน้าไปทางทิศใต้ เดินลงมาทางทิศใต้ประมาณ 500 เมตร ก็จะถึงที่หมาย ระหว่างทางจะผ่านสี่แยกไฟแดงตัดถนนพระปกเกล้า ซ.13-ถ.มูลเมืองซอย7 แล้วจะผ่านสี่แยกตัดถนนราชวิถี เดินลงมาทสงใต้เรื่อยๆ ฝั่งตรงข้ามจะเป็นซอยมูลเมือง4 อดทนอีกนิด เดินอีก 20 เมตร วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์(วัดโพธิ์น้อย) จะอยู่ทางขวามือ



วัดที่แปด วัดดวงดี ถ.พระปกเกล้าซอย 12 ต.ศรีภูมิ
ออกจากวัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์ทางทิศตะวันออก เลี้ยวขวาหันหน้าไปทางทิศใต้ เดินลงมา 50 เมตร เลี้ยวขวาเข้าซอยพระปกเกล้า ซอย12 เดินเข้าไปในซอย เลี้ยวขวา ตรงไป เลี้ยวซ้าย ตรงไป เลี้ยวขวา เดินต่อไปอีก 10 เมตร ขวามือของคุณจะเป็นทางเข้าวัดดวงดี เดินเข้าไปอีก 20 เมตรเท่านั้นเอง (ตามความคิดเห็นของคนบางคน เมื่อไปไหว้พระวัดดวงดีแล้ว ต้องไปไหว้พระวัดพันเตา หรือพันเท่า แต่ผมคิดว่าเอาไว้ เรามาจัดเส้นทางใหม่อีกทีในวันหลังดีกว่า)


วัดที่เก้า วัดอินทขิล(วัดสะดือเมือง) ถ.อินทรวโรรส ต.ศรีภูมิ
ออกจากวัดดวงดีทางทิศตะวันออก เดินประมาณ 50 เมตร พอถึงสามแยก เลี้ยวซ้าย หันหน้าไปทางทิศเหนือ เดินอ้อมโค้งไปเรื่อยๆ จนกลับมาเป็นหันหน้าไปทางทิศตะวันตก จากนั้นจะเป็นทางตรงประมาณ 100 เมตร เดินต่อไปจะพบสามแยก หรือเรียกว่า เจอถนนใหญ่ ถนนที่ขวางหน้าคือ ถนนพระปกเกล้า ให้ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม แล้วเลี้ยวขวา หันหน้าไปทางทิศเหนือ เดินขึ้นไปอีก10 เมตร จะเจอสามแยก เลี้ยวซ้ายหัวมุมถนน เข้าถนนอินทรวโรรส หันหน้าไปทางตะวันตก เดินไปอีกประมาณ 60 เมตร ถึงปากทางเข้าวัดอินทขิล ซึ่งจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ


จุดที่สิบ ลานสามกษัตริย์ ถ.อินทรวโรรส
คราวนี้ไม่ใช่วัดนะครับ แต่เป็นของสำคัญของชาติไทยและชาวล้านนาเลย มาสักการะท่านเสียหน่อย จุดที่เราจะไปนี้อยู่ห่างออกไปแค่ 50 เมตรเอง เราก็แค่เดินย้อนออกมาจากวัดอินทขิล ออกทางด้านทิศเหนือนั่นแหละ แล้วข้ามถนน เดินเข้าไปในซอยตรงข้ามนั้น ประมาณ 40 เมตร จะมองเห็นลานสามกษัตริย์ หาไม่ยาก ตอนนี้เราจะมาสิ้นสุดการเดินในเขตกำแพงเมืองที่ตรงนี้ เราจะไปต่อที่วัดนอกกำแพงเมืองกันบ้าง เพราะอีก 2 วัด เขามีชื่อเสียงมากจริงๆ


จุดที่สิบเอ็ด วัดลอยเคราะห์ ถ.กำแพงดิน ซอย 1 ต.ช้างม่อย
จากลานสามกษัตริย์ไปวัดลอยเคราะห์ ซึ่งนับว่าไกลมากถ้าคุณเป็นคนชราเเหมือนผม ทางเลือกใหม่คือใช้บริการรถเช่าสาธารณะ ซึ่ง งานนี้ขอเสนอ สามล้อหรือตุ๊กๆ ถ้าหาไม่ได้ก็ต้องสองแถวนะครับ

ถ้าเลือกที่จะเดินเท้า ก็ตามมา....
เราจะใช้เส้นทางลัด เดินไม่มากนัก คือ 1.5 กม. หรือไม่เกิน 30 นาที จะว่าอย่างไร?
วันที่อากาศหนาวๆก็พอไหว แต่ถ้าเป็นตอนเที่ยงถึงบ่ายสองโมง หน้าร้อน คงไม่สนุก
เริ่มต้นที่ เดินออกจากลานสามกษัตริย์ทางทิศใต้ ข้ามถนนมาอยู่ฝั่งทางด้านใต้ เลี้ยวซ้ายหันหน้าไปทางตะวันออก (ตอนนี้เราต้องเดินอยู่บนฝั่งขวาของถนนอินทรวโรรส) เดินออกไปทางทิศตะวันออก 65 เมตร เลี้ยวขวาหัวมุมถนน หันหน้าไปทางทิศใต้ จะอยู่ในถนนพระปกเกล้า เดินลงใต้ไปอีกประมาณ 0.5 กม. (ครึ่งกิโล) ระหว่างทางจะผ่านสี่แยกไฟแดงตัดถนนราชดำเนิน ข้ามสี่แยก แล้วก็เดินลงทางใต้เหมือนเดิม ผ่านวัดเจดีย์หลวงทางขวามือ พอมาถึงโรงเรียนเมตตาศึกษาซึ่งอยู่ทางขวามือ ให้ข้ามถนนไปฝั่งทิศตะวันออก ข้ามมาแล้ว เลี้ยวขวาหันหน้าไปทางทิศใต้ เดินลงไปจนถึงสี่แยกตัดถนนราชมรรคา เลี้ยวซ้ายที่มุมถนน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เริ่มเหนื่อยหรือยัง ตอนนี้เรามาอยู่ในถนนราชมรรคา(ฝั่งซ้าย) จงเดินต่อไป หรืออนุญาตให้ไปแวะพักขาแถวหน้าโรงเรียนพุทธิโศภณ ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือ
จากนั้นก็เดินหน้าต่อไปทางตะวันออก ออกจากพื้นที่ชั้นในคูเมือง ข้ามถนนถนนมูลเมืองและถนนคชสาร ออกมานอกกำแพงเมือง

ฝั่งตรงข้ามปากทางถนนราชมรรคา ฟากโน้นจะเป็นถนนลอยเคราะห์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกันพอดีเป๊ะ ตรวจสอบอีกคร้ังว่า ตอนนี้เราอยู่บนถนนลอยเคราะห์ฝั่งซ้ายมือหรือยัง ถ้าใช่ก็เดินมุ่งหน้าไปทางตะวันออกอีก 300 เมตร จะผ่านสี่แยกเล็กๆข้างหน้า ให้ข้ามเลยไป ซ้ายมือจะเป็นทางเข้าวัดพันตอง อยากจะแวะเข้าไปไหว้พระก็ได้ แต่วันนี้อย่าเลย เดี๋ยวจะหมดแรงไปอีกวัด พอเดินมาสุดถนน ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนกำแพงดินซอย1 ตรงปากซอยจะมีลักษณะคล้ายๆเป็นสีแยกที่เยื้องๆกันนิดหน่อย ซอยฝั่งตรงข้ามที่เยื้องๆนั้นชื่อ ถนนลอยเคราะห์ซอย2 เมื่อเข้ามาในซอยกำแพงดินซอย1 เราจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เดินขึ้นไปอีก 50 เมตร วัดลอยเคราะห์จะอยู่ขวามือ ข้ามถนนไปอีกฝั่ง เมื่อเจอทางเข้าวัดลอยเคราะห์ ก็ข้ามถนนไปอีกฝั่ง เดินเข้าไปในวัดนิดหน่อย ห้องน้ำในวัดจะอยู่ซ้ายมือเมื่อก้าวเข้าไปในวัดประมาณ 20 เมตร ผมเคยไปล้างหน้าล้างตามาแล้ว ห้องน้ำสะอาดดี


จุดที่สิบสอง วัดชัยมงคล ถ.เจริญประเทศ ต.ช้างคลาน
คราวนี้ก็เดินไกลอีกเหมือนกัน ประมาณ 1.2 กม. หรือ 20 นาที ถ้าไม่ไหวก็เรียกรถรับจ้างไปได้นะ แต่เนื่องจากระบบทางเดินรถแถวนั้นจะเป็นวันเวย์ จึงทำให้การนั่งรถจะเหมือนว่าอ้อมโลกไปเล็กน้อย แต่ได้เห็นเมืองเยอะขึ้น ก็น่าจะคุ้ม สำหรับคนเชียงใหม่ เขาอาจจะนั่งสองแถวหน้าปากซอยกำแพงดิน 1 ไปลงที่ สี่แยกถนนลอยเคราะห์ตัดกับถนนเจริญประเทศ (ก็คือเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไป) จากตรงนั้นนั่งรถประมาณ 2-3 นาที แล้วเดินแค่ 400 เมตรเอง ตรงนั้นรถจะวิ่งเข้าสู่ถนนเจริญประเทศไม่ได้ เพราะเป็นวันเวย์

ไปกันเถอะ...
พอออกจากวัดลอยเคราะห์ ให้เลี้ยวขวา เดินย้อนลงมาทางทิศใต้ พอถึงปากซอย ก็จะเป็นถนนลอยเคราะห์ ให้เลี้ยวซ้าย หันหน้าไปทางตะวันออก เดินตรงไปเรื่อยๆประมาณ 700 เมตร จะผ่านถนนกำแพงดินซอย 2 ทางซ้ายมือ เมื่อเดินต่อๆไปจะเจอสี่แยกไฟแดงถึง 5 แห่ง แต่ละแห่งอยู่ใกล้ๆกันมาก แยกต่างๆนั้นได้แก่ แยกถนนกำแพงดิน แยกถนนท่าแพซอย1 ระหว่างสองแยกนี้ ทางขวามือคือโรงแรม Centara Duangtawan ผมไปพักที่นี่บ่อยๆเพราะว่าอยู่ใกล้กับตลาดไนท์บาซาร์ และตลาดอนุสารสุนทรซึ่งเป็นตลาดที่มีของฝากไม่แพ้ตลาดชื่อดังที่รถติดมากๆ แยกที่สามคือถนนช้างคลาน
แยกที่สี่คือถนนลอยเคราะห์6 และแยกที่ห้าคือถนนเจริญประเทศ ให้ข้ามถนนก่อนถึงสี่แยกนี้ จากนั้นก็หันหน้าไปทางตะวันออกเหมือนเดิม เดินไปให้ถึงแยกที่ห้า โดยเลี้ยวขวาที่มุมถนน หันหน้าลงทิศใต้ เราก็จะมาอยู่ในถนนเจริญประเทศซึ่งจะมีรถวิ่งทางเดียวสวนทิศที่เราเดินลงไป เดินมาจนเลยถนนเจริญประเทศซอย7 ไปนิดหน่อย ก็ให้ข้ามถนนไปทางทิศตะวันตก ข้ามเสร็จก็เลี้ยวขวาหันหน้าไปทางทิศใต้ เดินลงไปเรื่อยๆ ฝั่งโน้นที่เราข้ามมาจะมีถนนอนุสารสุนทร ถนนเจริญประเทศซอย8 และถนนศรีดอนไชยที่เป็นการเดินรถทางเดียว พอเราเห็นเฮือนโบราณร้อยปีทางขวามือ ก็เดินไปอีกนิดเดียว ทางเข้าวัดชัยมงคลอยู่ทางซ้ายมือ

จากนั้นก็กลับที่พักไปอาบน้ำ เตรียมกลับกรุงเทพฯ หรือไปหาอาหารเย็นทานต่อก็ได้ เพราะตอนนี้เราก็มายื่นอยู่ิแถวริมปิงแล้วนะครับ

zOOmzERo2009
Many thanks for //www.imageshack.us for upload and download pictures
ขอบคุณเจ้าของรูปทุกท่าน (ขโมยสมัยนี้เขามีการขอบคุณกันด้วย)
หากใครจับได้ว่าเป็นรูปที่ท่านหวงแหนมั๊กมาก หรือมีลิขสิทธิ์
โปรดแจ้งในช่อง comment ได้เลย จะรีบกำจัด เอ้ย...ลบ ออกให้โดยเร็วไว




Create Date : 12 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 17 มิถุนายน 2554 19:32:27 น. 54 comments
Counter : 3355 Pageviews.

 

วัดเจดีย์หลวง มีชื่อเต็มๆว่า วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร และยังมีอีกหลายชื่อ เช่น วัดราชกูฏา, วัดกุฏาราม, วัดโชติการาม สาเหตุก็มาจากการเป็นวัดเก่าแก่ เชียงใหม่ได้ผ่านผู้ปกครองเมืองมาหลายรุ่น และก็ได้มีการสร้าง ซ่อมแซม บูรณะ อยู่หลายครั้ง สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างราวปี พ.ศ. 1930 - 1945 ซึ่งอายุของวัดก็ร่วม 600 ปีกว่าๆ ยุคนั้นก็เป็นสมัยของพญาแสนเมืองมา กษัตริย์พระองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย ปัจจุบันมีความสำคัญระดับเป็นแหล่งศูนย์กลางการบริหาร ของคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตในเขตภาคเหนือ

ความจริงแล้วผมไม่อยากเอาเนื้อหาด้านสนับสนุนการท่องเที่ยวของวัดเจดีย์หลวงมาเขียนมาก เพราะคงหาอ่านจาก google กันได้ แต่ผมจะขอเขียนเรื่องที่คนมักไม่พูดถึงกันเมื่อมาที่วัดนี้ ซึ่งมักจะเป็นประวัติที่ตรงกันและไม่ตรงกัน หรือขาดหายไปในบางอย่าง

การได้ชื่อว่า เจดีย์หลวง เพราะ คำว่าหลวงในภาษาเหนือนั้นหมายถึง ใหญ่ เจดีย์นี้มีรูปแบบการก่อสร้างเป็นแบบพระอารามหลวงตามแบบอย่างโบราณล้านนา กว่าจะมาถึงปัจจุบันนี้ มีการซ่อมแซมกันมาหลายครั้ง คนเชียงใหม่จะให้ความเคารพตัวองค์พระเจดีย์มาก วัดนี้เรียกว่าตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ก็ว่าได้ พญาแสนเมืองมานี้ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้ากือนา สันนิษฐานว่าตั้งใจสร้างให้พระราชบิดา โดยมีสาเหตุจากโหรหรือผู้รู้คนหนึ่งได้มาบอกว่า ถ้าสร้างแล้วพระบิดาจะได้เป็นเทพเทวดาขั้นสูง จึงต้องสร้างให้ใหญ่โต ขนาดคนอยู่ห่างไปถึง 800 เมตร หรือ 1 กม. ยังมองเห็นได้ แต่ตัวพญาผู้สร้างนั้นได้มาสิ้นพระชนม์ก่อนที่จะสร้างเสร็จ ส่วนที่แล้วเสร็จจริงๆนั้น เห็นว่าเป็นแค่ส่วนปลายยอดพระเจดีย์ที่มีการบรรจุพระธาตุ และอยู่ในการดูแลงานโดยพระอัครมเหสีของพญาแสนเมืองมา ต่อมาในสมัยพญาสามฝั่งแกน พระมเหสีของพระเจ้าเมืองมาก็พยายามสร้างต่อจนเสร็จ และได้เรียกว่า “กู่หลวง” ซึ่งต่อมาอีก 80 ปี พญาติโลกราชได้โปรดให้ซ่อมและสร้างให้เป็นพระเจดีย์หลวง ตั้งแต่นั้นมา

ราวปี พ.ศ. 2055 มีการนำโลหะเงินของล้านนามาทำเป็นกำแพงล้อมพระเจดีย์ (หรืออาจจะล้อมซุ้มตรงหัวมุม) ต่อมามีการนำเงินไปแลกเปลี่ยนเป็นทองคำ และได้นำมาตีเป็นแผ่นหุ้มรอบพระเจดีย์ คิดเป็นนำหนักถึง 2 พันกว่ากิโลกรัม ปัจจุบันมีทองเหลืออยู่หรือไม่ ต้องไปดูกันเอง

เชื่อว่าที่ยอดพระธาตุเจดีย์ซึ่งคนแรกที่สร้างไว้คือพระอัครมเหสีของพญาแสนเมืองมา ได้มีการบรรจุพระเกศาธาตุ และพระธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้มาจากพระธรรมทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราชส่งมาเผยแผ่พระพุทธศาสนา เจดีย์นี้จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า โชติการามวิหาร แปลว่า พระอารามที่มีแต่ความรุ่งเรื่องสว่างไสว

พระธาตุเจดีย์นี้มีความสูงที่เชื่อว่า สูงที่สุดในภาคเหนือ คือสูง 80 เมตรจากฐาน (ประมาณตึก 25 ชั้น) และมีด้านกว้างยาวเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวด้านละ 60 เมตร ในช่วงเทศกาลสำคัญ ในยามค่ำคืน เมื่อมีการจุดไฟประทีปโคมไฟ รอบๆองค์พระเจดีย์หลวง จะมองเห็นยอดเจดีย์ส่องแสงสะท้อน ดูแล้วคล้ายเชิงเทียนขนาดใหญ่ เป็นจุดเด่นของเมือง ยิ่งในสมัยโบราณไม่มีตึกสูงๆ ยอดพระเจดีย์หลวงจะดูงามตายิ่งนัก

ในปี พ.ศ. 2088 เกิดแผ่นดินไหวในรัชสมัยพระนางเจ้ามหาเทวีจิรประภา ทำให้ยอดพระเจดีย์พังทลายลงมา ตรงนี้อดทำให้คิดไม่ได้ว่า แล้วพระธาตุจะอยู่ดีหรือไม่ เพราะว่านานอีกกว่า 400 ปี คือ ในช่วงปี 2533-2535 กรมศิลปากรถึงได้เข้าไปทำการบูรณะพระเจดีย์ขึ้นใหม่ ซึ่งก็คือสภาพในปัจจุบัน มีบันทึกว่าในปี 2423 มีการสร้างวิหารใหม่แทนหลังเก่า และในช่วงปี 2471-2481 ได้มีการรื้อถอนซากปรักหักพัง และถอนต้นไม้ที่ขึ้นจนรกในบริเวณรอบๆพระธาตุ ซึ่งอยู่ในช่วงสมัยของพลตรีเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย

เรื่องประวัติของพระธาตุเจดีย์นั้นมีตำนานอยู่หลายเรื่อง เพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่ผ่านกาลเวลามาเป็นร้อยๆปี ยากที่จะแยกเอาความจริง ความเชื่อ ออกจากกันได้ง่ายๆ แต่ตอนนี้ผมมีเกร็ดจะเล่าเรื่องหนึ่งว่า ประมาณปี พ.ศ. 2046 สมัยพระเจ้าเมืองแก้ว ได้โปรดให้สร้างหอพระแก้ว เพื่อให้คนไปอัญเชิญพระแก้วมรกตมาไว้ที่นี่ แต่พระแก้วได้มาจริงหรือไม่ เหตุการณ์ตรงนี้มีเรื่องและรายละเอียดที่ต้องค้นหากันดีๆ โดยมองทางตำนานพระแก้วมรกตเรื่องเส้นทางการอัญเชิญ จับตรงตอนที่ถูกอัญเชิญจากกำแพงเพชรมาอยู่ที่เชียงราย ต่อมาอีก 45 ปี ก็ถูกอัญเชิญมาที่ลำปางอีก 32 ปี จากนั้นจึงได้มาประดิษฐานอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ อีก 85 ปี จากนั้นถูกอัญเชิญไปอยู่เวียงจันทร์นานถึง 225 ปี ได้พระเจ้าตากสินมหาราชส่งแม่ทัพเอกคือ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปรบชนะฝ่ายลาวได้สำเร็จ ก็ถึงเวลาที่บ้านเมืองของเรา จะได้พระแก้วกลับคืนมาเสียที โดยคราวนั้นได้มาประดิษฐานอยู่ที่วัดอรุณฯก่อน ครั้นอีก 5 ปีต่อมา เจ้าพระยามหากษัตริย์ฯได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ มีเหตุการณ์ที่ประชาชนเห็นแสงรัศมีออกจากพระวรกาย และมีการสร้างเมืองใหม่ชื่อว่า กรุงรัตนโกสินทร์ ก็พ้องกับการที่ได้อัญเชิญพระแก้วฯ ซึ่งเหมือนกับดวงรัตนะของพระอินทร์ มาประดิษฐานไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนถึงทุกวันนี้ก็นานร่วม 225 ปีกว่า

ส่วนในตำนานนั้น บ้างก็ว่า พระแก้วถูกอัญเชิญมาอยู่เชียงใหม่ ในสมัยพระเจ้าติโลกราช (2011 - 2096) จริงๆ
บ้างก็ว่า สมัยพระเจ้าเมืองแก้ว ในปี พ.ศ. 2046 มีบันทึกการสร้างหอพระแก้ว เพื่อรอการอัญเชิญแต่ไม่ได้บอกว่าอัญเชิญสำเร็จ และยังมีเรื่องว่าช้างที่ใช้ขนส่งไม่ยอมเดินทางไปทางเชียงใหม่
อีกเอกสารทางโบราณคดี กล่าวว่า ได้มีบันทึกการค้นพบพระแก้วมรกตครั้งแรกที่เชียงแสน (จ.เชียงราย) อยู่ในเจดีย์วัดป่าญะ ได้เกิดอุบัติเหตุจนบังเอิญทำให้ปูนที่พอกองพระกะเทาะออก จึงทราบภายหลังว่า ตัวองค์พระจริงๆ เป็นหินหยกสวยงามมาก ครั้นพระเจ้าสามฝั่งแกนทราบเรื่อง ก็เร่งรีบส่งคนไปอัญเชิญมาเชียงใหม่ แต่ทำไม่ได้เพราะช้างไม่ยอมเดิน ช้างฝืนที่จะไปทางลำปางให้ได้ เลยต้องให้เก็บรักษาชั่วคราวที่วัดแก้วดอนเต้า จ,ลำปาง พอถึงสมัยพระเจ้าติโลกราช ก็ลองไปอัญเชิญใหม่ คราวนี้ฟ้าผ่าปราสาทที่จะประดิษฐานเสียหลายสิบครั้ง ความตอนนี้ขาดๆหายๆแปลกๆ เพราะเท่ากับว่าทำอย่างไรเชียงใหม่ก็ไม่ได้พระแก้ว แต่ว่ากันว่า พระเจ้าไชยเชษฐาแห่งล้านช้างได้มาครองเชียงใหม่ แล้วเกิดนำพระสำคัญๆกลับไปบ้านเกิดของพระองค์เอง ซึ่งก็คือ เมืองหลวงพระบาง(ประเทศลาว) จากนั้นพอสร้างเมืองเวียงจันทร์เสร็จ พระองค์ก็ได้ทรงอัญเชิญพระแก้วไปประดิษฐ์ไว้ที่เวียงจันทร์ จนกาลเวลาล่วงมา เมื่อเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปปราบลาวได้ชัย จึงนำพระสำคัญๆกลับมาพระนครนี่แหละ แถมก่อนหน้านั้นไทยเคยบอกให้ลาวคืนพระแก้วมาหลายครั้ง แต่ทางล้านช้าง(ลาว)คืนมาให้ ก็แต่พระพุทธสิหิงค์เพียงองค์เดียว เพราะได้นำไปพร้อมพระแก้วในคราวก่อนนั้น เลยกลายเป็นทวงอย่างได้อีกอย่าง แต่ดีตรงที่ว่า สุดท้ายเราได้พระกลับมา 2 องค์ เพราะถ้าตอนนั้นคืนพระแก้วมาแล้ว พระพุทธสิหิงค์อาจจะไม่ได้กลับมาฝั่งไทย

แถมอีกนิดไหนๆว่ากันเรื่องขนย้ายหรืออัญเชิญพระกันในสมัยก่อนแล้ว ท่านทราบหรือไม่ว่าคราวที่เราได้พระแก้วมรกตกลับมากรุงธนบุรีนั้น เราได้ของติดมือกลับมาอีกอย่างคือ พระบาง ซึ่งทางเวียงจันทร์ขอพระราชทานคืน ด้วยพระเมตตาในสมัยที่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีแล้วนั้น ได้ทรงโปรดให้ส่งพระบางกลับเวียงจันทร์ มิเช่นนั้นเวียงจันทร์และหลวงพระบางคงจะมีประวัติศาสตร์ที่หม่นหมอง นี่แหละคือพระเมตตาและพระบารมีของบรรพกษัตริย์ไทย

ถ้านำตาราง 9 ช่อง มาเปรียบเทียบตำแหน่งที่ตั้งของพระธาตุเจดีย์หลวง โดยให้พระธาตุเจดีย์อยู่ช่องตรงกลาง เชื่อหรือไม่ว่า เป็นไปตามแนวการวางผังจักรวาลของชาวลัวะ (อ่านแล้ว เสียงจะออกมาเป็น ละว้า หรือ ละโว้) คือ ให้พระเจดีย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
ทิศเหนือจะเป็นช่องตำแหน่งของวัดเชียงยืน เท่ากับ เดช
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือจะเป็นวัดชัยศรีภูมิ เท่ากับ ศรี
ทิศตะวันออกจะเป็นวัดบุพพาราม เท่ากับ มูล
ทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นวัดชัยมงคล เท่ากับ อุตสาห์
ทิศใต้เป็นวัดนันทาราม เท่ากับ มนตรี
ทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นวัดตโปทาราม เท่ากับ กาลกิณี
ทิศตะวันตกเป็นวัดสวนดอก เท่ากับ บริวาร
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็จะเป็นวัดเจ็ดยอด เท่ากับ อายุ
เคยมีคนจัดทัวร์ 9 วัด สวดมนต์เสริมดวงรอบจักรวาล โดย ไปสวดอิติปิโสฯ ทั้ง 9 วัด ซึ่งแต่ละวัดอยู่ห่างกันประมาณ 10 กม. จึงต้องพึ่งพารถยนต์ เดินเท้าไม่ได้ เขาจะเริ่มจากวัดสวนดอกก่อน แล้วขับวนเป็นวงกลม (เวียนขวา) มาครบทิศที่ 8 ที่วัดตโปทาราม(หรือ วัดร่ำเปิง) แล้วจึงเดนทางไปนมัสการพระธาตุเจดีย์หลวง ตรงใจกลางจักรวาล เป็นแห่งสุดท้าย ซึ่งจะมีเสาอินทขีล (เป็นเสาหลักเมืองแบบอย่างของชาวลัวะ)

สาเหตุที่ต้องมาไหว้พระ+สวดมนต์ ที่วัดตโปทารามเป็นตำแหน่งที่ 8 เพราะวัดนี้ วางอยู่ตรงตำแหน่ง ของ กาลกิณีเมือง เราจึงไม่เริ่มต้นก่อน หรือระหว่างทาง แต่ไม่ใช้วัดเขาเป็นที่ไม่ดีอะไร อย่าไปคิดมั่วๆแบบนั้นเป็นอันขาด ตรงกันข้าม ถ้าจะทำพิธีขจัดอะไรต่อมิอะไร น่าจะมาทำที่นี่ เห็นทีจะดีที่สุด เท็จจริงประการใดไม่ทราบ รู้แต่ว่าบอกตัวเองเสมอๆ ว่า คิดดี+ทำดี พร้อมรับกรรมที่ได้กระทำ ก็พอแล้ว

การไปวัดนี้ ถ้าอยากศึกษาทางด้านศิลปะและโบราณคดี ต้องไปดู
1. พระธาตุเจดีย์หลวง
2. พระวิหาร (มีพระอุโบสถร่วมอยู่ในเขตเดียวกันด้วย)
3. พระอัฏฐารส (เป็นพระพุทธรูป)
4. พระพุทธไสยาสน์ (พระนอน)
5. เจดีย์เล็ก มี 2 องค์
6. พระอุโบสถเล็ก อยู่ทางตะวันตกของพระเจดีย์
7. เสาอินทขีล เป็นเสาหลักเมือง นำมาจากวัดสะดือเมือง หรือวัดอินทขีล
8. บ่อเปิง หรือ บ่อน้ำใหญ่ ใช้คนขุดมีขนาดลึก เป็นการหาและสำรองน้ำเพื่อใช้ในการก่อสร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่
9. พระมหาสังกัจจายน์ อยู่ในวิหารทางด้านทิศเหนือ
10. ต้นยางอายุ 200 ปี (มีอยู่ 3 ต้น อยากจะถามว่า เราต้องหาไม้ไปค้ำหรือเปล่า?)
11. ยักษ์กุมภัณฑ์ มีอยู่ 2 ตน คอยรักษาเสาอินทขีล
12. หอธรรม หรือ หอพระไตรปิฎก สร้างในปี 2017 สมัยพระเจ้าติโลกราช
13. กุฏิแก้วนวรัฐ เป็นกุฏิหลังแรกของวัด ทำด้วยไม้สัก สร้างในปี 2471 โดยเจ้าแก้วนวรัฐ
คำว่า “นวรัฐ” นั้นมีอยู่หลายแห่งในเชียงใหม่ ควรจะทราบบ้างว่าท่านเป็นใคร คนเชียงใหม่ถึงเคารพท่านมาก


โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:04:18 น.  

 
แวะมาแปะเม้น เดี๋ยวมาอ่านอีกทีเน้อ
(ยังอยู่เชียงใหม่ครับ)


โดย: ใบไม้ครับ IP: 192.168.1.152, 119.42.79.130 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:17:23:04 น.  

 
ซาหวัดดีคร้าพี่ชาย อ้าว แล้วทริปสิงคโปร์อ่ะ ทิ้งไว้ประเทศโน้นแล้วยังไม่ทันได้พากลับเลย มารับจ๊อบไปทัวร์เชียงใหม่ซะแระเหรอ *-*

ว่าแต่ว่าข้อมูลละเอียดดีนะคะ แต่วันนี้เล่นเครื่องคนอื่นดูผ่าน ๆ ก่อง งิ เดี๋ยวมาอ่านเก็บรายละเอียดอีกทีตอนว่าง ๆ น้า งิงิ ^_^

เค้าเคยไปเชียงใหม่มาแล้วตั้งทีนุงแน่ะ ยังเที่ยวได้ไม่ละเอียดเท่าไหร่เลย ไปไม่กี่ที่เอง งิ

แวะมาทักทายและส่งความคิดถึงนะคะ จุ๊บ ๆ ๆ


โดย: นู๋ Beee น้องสาวจอมจุ้น IP: 58.9.191.236 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:18:45:48 น.  

 
แวะมาทักทาย

อิอิ ซาหวาดดีจ้าวววววว

ไปดีก่า นัดพี่ดีนไว้ หุหุ

บะบาย มีความสุขวันหยุดสุดสัปดาห์นะคะ


โดย: หนูหลิน IP: 118.172.22.253 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:18:58:17 น.  

 
ซาหวัดดีวันอาทิตย์สดใสค่ะพี่ชาย ^_^

จุ๊บ ๆ ๆ


โดย: นู๋ Beee น้องสาวจอมแก่น (Beee_bu ) วันที่: 15 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:37:03 น.  

 
ข้อมูลเพียบอีกแล้ว แถมรูปปลากรอบก็ตรึมเลย แค่อ่านก็ได้รู้เรื่องเมืองเจียงใหม่แบบเก็บรายละเอียดเลยนะเนี่ย แสดงว่า ถ้าคุณซูมไม่เป็นคนเชียงใหม่ก็ต้องไปเที่ยวบ่อยจนปรุแหงม ๆ

สุขสันต์วันหยุดค่า


โดย: haiku วันที่: 15 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:35:42 น.  

 
3 คนข้างบน ทำไมไม่ยอมอ่าน งอนแล้วนะ
ขอบคณท่านที่ 4 มากๆ
เอาแค่นี้ก่อน กำลังอยู่ในอารมณ์คนขี้งอนอยู่
ไว้ค่อยมาเขียนรายละเอียดอีก 11 วัดต่อ

แต่ขอเรียนให้ทราบก่อนเลยว่า ไม่ได้เป็นข้อมูลที่จะนำไปอ้างอิงที่ไหนได้เลย
เพราะขาดการตรวจสอบจากหลักฐานจริงๆ
คิดเสียว่าเป็นการคุยกันในหมู่เพื่อนเท่านั้น
(แบบว่าอย่าให้ชาวบ้านได้ยิน นะ นะ นะ 555)


โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 16 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:38:38 น.  

 
ไม่ต้องมางอลเลยอ่ะ ก็แหมนะคะ ยาวซะขนาดนี้ ถ้าเห็นอะไรยาว ๆ เนี่ยะ มันต้องใช้อารมณ์และจิตวิญญาณ ใช้เวลาในการอ่านมากนี่นา ไม่ค่อยว่างอ่ะค่ะ กำลังเครียดอยู่ อิอิ

แล้วก็ทำเนียนชวนคุยนอกเรื่องต่อ อิอิ ว่าไปแล้ว มานั่งทบทวนที่เมื่อกลางวันได้คุยกับหนุ่ม(ไม่น้อย) คนนึงไว้ มาคิดไปคิดมา เอ... นี่เราโดนหลอกด่ารึเปล่าหว่า ยังไม่ค่อยแน่ใจอยู่ เหอะ ๆ *-* ที่พอเราคุยว่าเจอบางคนที่เหมือนเป็นกระจกสะท้อนตัวเอง แล้วเขาก็เสริมว่า สวรรค์อาจจะส่งบททดสอบมาให้ เพื่อให้เห็นว่าตัวเองเลวร้ายแค่ไหน อะไรประมาณนี้ เอ๊ะ แบบนี้นี่แปลว่า... นู๋โดนว่าใช่มั๊ยคะเนี่ยะ คิคิ ยังคิดไม่ค่อยออก เดี๋ยวไปนอนก่ายหน้าอก (เพราะยกก่ายหน้าผากไม่ไหว มันอ้วน *-*) คิดอีกซักอาทิตย์สองอาทิตย์ก่อง งุงิ ยังมึน ๆ งง ๆ

ตอนนี้ก็เหมือนจะคิดตกขึ้นมาหน่อยแล้วบางเรื่อง อย่างเช่นว่า รักคนที่เขารักเราดีกว่า รักคนที่ไม่เห็นคุณค่ามั๊ยน้า ถึงใครจะพูดไว้ว่า รักคนที่เขารักเราเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่รักคนที่เรารักเขาเป็นคนเสียสละ เหอะ ๆ ก็พูดกันไป ไม่รู้จิ เอาเป็นว่า นู๋ร๊ากทุ๊กคนรุย งิงิ

นี่ ๆ มีเรื่องมาเม้าท์ มาหนุ่มน้อยน้องใหม่มาร่วมงานด้วยแหล่ะ เดี๋ยวต้องเตรียมตัวไปหลีเด็กอ่อน ๆ เคี้ยวเล่นอีกแล้ว คริ คริ

ว่าแล้วก็ไปโดนร้องเพลงคนเห็นแก่ตัวอีกเพลงก่อน
"ฉันอยู่โดนขาดรักไม่ได้ ให้ทำผิดเท่าไรฉันคนต้องยอม" งุงิ มาป่วนแล้วก็วิ่งหนีไป แว๊บ ๆ ๆ


โดย: นู๋ Beee น้องสาวขี้เกียจอ่าน IP: 125.24.178.135 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:24:36 น.  

 
อ่า... คนแก่งอน

ทำไงดีเนี๊ยะ

หลินอ่านแล้วนะพี่ แต่อ่านแว๊บ ๆ คิคิ

พอดีมีนัดกะพี่ดีน เลยรีบ

โอ๋ ๆ เอ๋ ๆ อย่างอนนะคะ น้องสาวมาง้อแล้ว อิอิ

พร้อมกับมาขอคำอวยพรดี ๆ จากพี่ชายด้วย กับวันดี ๆ ของน้องวันนี้ (อย่า.. อย่าได้คิดว่าเป็นวันแต่งงาน 55)

ไปล่ะ ทำงานดีก่า.. มีความสุขทุกคนค่ะ


โดย: หนูหลิน IP: 118.172.36.56 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2552 เวลา:8:29:39 น.  

 
To "หนูหลิน"
17 พย. 2009
ขออวยใจให้พร ให้น้องหลินคนงาม
มีแต่ความสุขสดชื่นสมหวัง
ขอให้ได้เป็นที่รักของคนที่หลินรัก
ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง
ขอให้มีจิตใจที่ร่าเริงแจ่มใส
ได้พบได้เห็นแต่เรื่องดีๆ สิ่งดีๆ
และได้ทำดีดั่งที่้ตั้งใจไว้

Linpann MediumVioletRed C71585



โดย: พี่ชายใจโฉดโหดกว่าหมาบ้า (zoomzero ) วันที่: 17 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:19:28 น.  

 
To "นู๋ Beee"
บ๊ะแล้ว...
อย่าคิดว่าหลอกด่าซิ
ถ้าไม่ชอบก็บอกกันได้เลย
จะได้ไม่ออกความเหม็น เอ้ย...ควายเห็น เอ้ย...ความเห็น
ถ้าคิดว่ามันไม่จริง คิดว่าดูถูก หรือเข้าใจผิด
ก็คิดซะว่าถูกแมวบ้ามันขู่แง๊วๆเอา อย่าคิดมากเลย
แมวตัวนี้จะได้สงบปาก นั่งเอาขาหน้าปิดตา ครางหงิงๆ 555

ไม่ต้องเอามือก่ายพุงหรือหน้าผากหรอกน่า
เปลืองเวลาทำงานของเซลล์สมองเปล่าๆ ชิมิ๊
พี่ว่าจะรักคนที่เรารัก หรือ
รักคนที่เขารักเรา หรือ
รักคนที่ทั้งเราและเขารัก แบบในเรื่องสามเส้า ที่มี น้ำ ฟ้า และพายุ ต่างก็รักกันเท่าๆกัน
อะไรก็ได้ เพศเดียวกันยังยอมรับได้เลย
แค่ขอให้ เขา และ เรา เป็นคนดีก็พอ
ไม่ใช่หญิงก็ร้ายชายก็เลว
แล้วลูกออกมามันจะกลายเป็นพวก 18 มงกุฎมนุษย์ต้มตุ๋น ตัวอ้วนๆดำๆ ปากจัดๆ นะเฟ้ย
ดีนะที่น้องพี่ไม่ได้ตั้งแก๊งค์ล่าเหยื่อ-เสื้อผู้ชายคลัป
พี่เคยเห็นสาวๆบางกลุ่ม เขาส่งคนออกไปล่อลวงชายหนุ่มเข้ามาในหมู่เพื่อนฝูง
แล้วก็แบ่งกันเชยชม สุดท้ายใครชอบมากที่สุด เลี้ยงมันไหว ก็เอาไปเป็นแฟน
จริงๆบางคนก็อยากได้นะ แต่ติดที่ยังมีแฟนคาหนังคาเขาอยู่ เลยต้องยกให้เพื่อนก็มี
แต่ไปเที่ยวก็ยังยกแก๊งค์ 1 หนุ่มกับสาวทั้งก๊วน แดนซ์กันทั้งคืน แซ็บจริงๆ สาวสมัยใหม่

เจ้าน้องใหม่ไก่อ่อนที่จะมาให้เคี้ยวนี่
พี่ขอบิณฑบาตไม่ได้เหรอ?
อย่าไปทำอะไรเด็กมันเลย เดี๋ยวเด็กจะฝันร้ายไปตลอดชีวิต
ดีไม่ดี เดี๋ยวไปทับเส้นกับคนที่ไม่ควรจะเอ่ยนาม ที่เป็นเจ้าของตัวจริง
เขาอาจจะจ้างวินมอร์ไซด์ปากซอยตืบเอานะ ซิบอกให้

Beetuss Fuchsia FF00FF



โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 17 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:13:55 น.  

 
555 มีขอบิณฑบาตรด้วยง่ะ เอาบาตรมาใส่ได้ด้วยเหรอคะ คิคิ อุแหม นู๋ก็พูดเล่นไปเรื่อยง่ะ แต่ทำไม๊ ทำไม ทีแบบนี้เชื่อกันจังเน๊อะ เขาบอกว่าสมภารไม่กินไก่วัด ต้องไปแอบกินไก่วัดคนอื่นมันถึงจะเร้าใจหรอก อุอุ

เรื่องรักสามเส้า ยังไม่ได้ดูเลยง่ะ จริง ๆ เป็นหนังที่น่าดูนะคะ ดูตัวอย่าง ดูอะไร ๆ หลายรอบแล้ว แต่ถ้าจะดูจริง ๆ ขอทำใจก่อน เดี๋ยวทำใจได้ในระดับหนึ่งแล้วจะดู เพราะไม่ถูกใจตรงคำพูดในเรื่อง ที่บีวิจารณ์เอาไว้ตั้งแต่ดูตัวอย่างครั้งแรกแล้วว่า รับเรื่องนี้ไม่ได้ตรงที่ ทำไมต้องพูดกูมึงกันทั้งเรื่องด้วย ไม่ใช่ว่าจะมีไม่ได้เลย มีบ้างก็พอรับได้ แต่ถ้าพูดกันทุกคำขนาดนี้มันยัดเยียดให้คนดูเกินไปจบไม่อยากรับ บีว่าการสร้างหนังให้ที่จะสื่อให้คนเข้าใจเนื้อหา เรื่องราย หรืออะไรที่ผู้สร้างต้องการสื่อก็ตามก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมีอะไรแบบนี้เลย หนังเรื่องอื่น ๆ เยอะแยะมากมายก็ไม่เห็นจะต้องพูดแบบนี้ก็ดังกันได้ นู๋เรื่องมากอีกแล้วเน๊อะ *-*

ปล. มาแอบเป็นนางร้ายนิ๊ดสนุง เดี๋ยวนี้พี่ชายเรามีน้องสาวเพิ่มหลายคนแล้วหรือนี่ คนข้างบนอ่ะใครค่ะ อิจฉา ตาร้อน หึงพี่ชายนะเนี่ยะ ไม่ได้ว่าที่จะมีน้องสาวหลายคนหรอก แต่ทำไม๊ ทำไมตอบคนอื่นไพเราะ เรียบร้อย และดูสร้างภาพดี๊ ดี แต่ทำไมตอบเราเป็นอีกแบบล่ะเนี่ยะ ชิ หมั่นไส้ แบร่ :P

ไปดีฝ่า


โดย: นู๋ Beee น้องสาวตัวเล้ก เล็ก (Beee_bu ) วันที่: 17 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:38:09 น.  

 
อ้าว เม้นท์ไปตั้งยาว ทำไมบอกไม่เหมาะสม ให้เจ้าของบ๊อกพิจารณาอ่ะเนี่ยะ โหยโดนแบนอีกแระ ชิ


โดย: นู๋ Beee น้องสาวอยากผอม (Beee_bu ) วันที่: 17 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:39:22 น.  

 
To "นู๋ Beee"
พี่กู้ comment (ไม่ใช่กู้เงิน) ให้แล้วนะ
จะไม่ให้โดนแบนได้อย่างไร
ก็เล่นมีคำพ่อขุนรามฯ ฉัน เธอ แบบนั้น
Blog นี้เขาตั้งโปรแกรมผู้ดีนะจ๊ะ เราไม่พูดจาหยาบคาย
ไม่ทำร้ายภาษาไทยด้วยคำแปลกๆ อย่างเช่น โข้ยส์ส์ อย่างนี้ 555

เออ...เราหนะเหมาะดี กับบทนางร้ายแล้วหละ
แต่พี่ว่ามีอีกคนเหมาะกว่า แต่เขาไม่ค่อยยอมให้ใครรู้
เขาชอบหวานซ่อนเผ็ดๆแสบๆ ยากที่จะรู้ได้
พวกนางร้ายของไทย ต้องไม่สวยมาก แต่แต่งแล้วดูดีขึ้น อึ๋มขึ้น
พูดจาต๋องๆ เหมือนเด็กสี่ขวบ แต่มีประจำเดือนมาร้อยกว่าปี เพราะว่า 11 รด เหลือเกิน
เรื่องที่ควรรู้ดันไม่รู้
เรื่องที่มันทำร้ายจิตใจคน กลับถนัดทำ ถนัดคิดหาวิธีมารังแกนางเอก
แถมเธอกินผู้ชายเป็นอาหาร แล้วอันตรธานไปในยามราตรี
นี่แหละ บทนี้ถึงไม่ใช่ ก็ใกล้เคียง

เออ...(อีกที) เพิ่งสังเกตเห็นเหมือนกันว่า
พูดไม่ดีกับสมาชิกในหุบเขาแค่คนเดียว คือ เรา 555
คงเป็นเพราะน้องบีมีแฟนเป็นที่แนบแน่นถาวรแล้วกระมัง
พี่ชายเลยชอบฟาดงวงฟาดหางไล่ตีหัวกระบาล
อย่างตอนนั้น
พอกิ๊กพี่ชายคนนั้นเขาประกาศว่าเขามีแฟนที่รักจริงหวังแต่ง คือ คุณชายจุดจุดจุด
พี่ก็พูดไม่ดีกับเขาเลยเน๊อะ นิสัยพี่ชายไม่ดีเลยเน๊อะ 55
แต่อย่าโกรธพี่เลยนะ
พี่มันเป็นแมวศีรษะเน่านะ
ต้องการคนลูบหัวแล้วตบหลังทุกวันๆ ฮิอิฮิ

วันนี้เพิ่งดู รัก/สาม/เศร้า ทางยูบีซี
แต่จริงๆดูมา 5 รอบแล้ว ดูไม่เคยจบ เพราะมีเรื่องอย่างอื่นทำตลอด
ครั้นจะไปซื้อซีดีหรือเช่าก็ไม่เคยไปหาพี่ทึซึย่ามานานเป็นปีๆแล้ว บัตรสมาชิกหายไปหมดแล้ว
เอาแบบเล่าเท่าที่จำนะ เผื่อน้องสาวจะได้มีรอยหยักในสมองเพิ่มมากขึ้นอีกนิด

เรื่องนี้ที่เขาพูดหยาบกัน พี่มองว่า
เขาเน้นที่ไม่ได้ fake เด็กสมัยนี้ก็พูดกันแบบนี้แหละ
เราอาจจะเถียงว่าเด็กมหาวิทยาลัยอะไร เรียนจนปริญญาตรี คำสุภาพก็พูดไม่ได้
ก็ต้องดูว่าเขาเรียนกันคณะอะไรอีกด้วย
แต่เอาไปเป็นประเด็นว่ามหาวิทยาลัยเขา ไม่ได้ประโยชน์หรอก เลิกคิดที่มาของเขาก็แล้วกันนะ

ประเด็นที่ 2 คือ คำว่า เซอ เซ่อ อะไรนี่แหละ มันสื่ออะไรออกมาได้บ้าง
มีทั้งเซอจริง เซอเรื่อยเปื่อย และเซอเทียมๆ วัยรุ่นเขาอ่านภาพกันออกเองแหละ
กลับมาที่ประเด็นพูดหยาบ แต่จริงใจ
เมื่อดูๆไปจะมีฉากที่ พายุยอมเป็นแฟนกับฟ้า (ทั้งๆที่ก็เกิดรักสาวอีกคน)

เอาประเด็นนี้ก่อน เดี๋ยวจะได้นอกเรื่องได้ยาว
คนในเรื่องที่เป็นเพื่อนรักกันพูดภาษาพ่อขุน ฟังแล้วขุ่นๆหู
แต่ผู้ชายที่มาจีบน้ำ พูดจาสุภาพ แต่งตัวดี
และยอมกินเท้าไก่ต้มยำข้างถนนกับน้ำ
แล้วอย่างไร สุดท้ายคนที่ทำตัวดีนี่แหละ ข่มขืนน้ำจนท้อง
เรื่องนี่เสียดสีระหว่างความสุภาพกับคำว่าเลวโฉดชั่วได้เจ็บแสบมาก

ที่นี้มาที่เรื่องทำไมเขาไม่พูดเพราะๆกัน
ก็เพราะคนแต่งเรื่องอัดคำหยาบแบบไม่ fake ให้ผู้ชมได้รับทราบมาเกือบ 1 ชั่วโมง
อยู่ๆฟ้าที่ตอนนั้นป่วยมากและเสียใจเรื่องน้ำโดนข่มขืน
ได้โทรศัพท์ไปหาพายุ แล้วขอให้พูดดีๆ ได้หรือไม่
พายุถามว่าพูดอย่างไร
ฟ้าบอกว่า ก็พูดอย่างคนที่เป็นแฟนเขาพูดกัน
ตรงนี้ก็ art มากๆ ไม่ว่าเราจะพูดจาดีหรือไม่
การแสดงความรักไม่ได้จำกัดที่คำพูดสุภาพเสมอไป ใช่หรือเปล่า
คนแต่งเรื่องเขาไม่ได้เจตนาสร้างหนังรักวาจาทรามหรอก
แต่เขาเอาวาจาหยาบระดับชาวบ้านนี้แหละ
เอามาเทียบกับวาจาหวานของคนมีการศึกษาและมีหน้าที่การงานดี
ดูว่าใครจะน่าเกลียดกว่ากันถ้าเห็นธาตุแท้ของทั้งสองฝ่าย

อย่างฉากริมทะเลที่พายุถามน้ำว่า คุณเคยแอบชอบใครหรือเปล่าครับ (แปลเป็นภาษาสุภาพมากๆให้แล้ว)
น้ำก็ตอบว่า เคย
พายุ....แล้วทำไมไม่บอกให้เขารู้ไปเลย
น้ำก็ถามย้อนกลับมาว่า แล้วถ้าเป็นคุณ คุณจะกล้าบอกหรือเปล่าหละ
(เรื่องนี้ น้ำก็แอบรักคนๆหนึ่ง พายุก็แอบรักคนๆหนึ่ง ตลกหรือเศร้าดีหละ)

เรื่องสุดท้าย เท้าไก่ต้มยำ เขาเรียกว่า ซุปเปอร์ต้มยำ
คำนี้มีจริงๆ มีในเมนูจริงๆ ร้านเหล้า ร้านอาหาร หรือคาราโอเกะ ก็มีขาย
ใครบัญญัติคำนี้ไม่รู้เหมือนกัน
ก็คงเป็นเพราะไม่อยากใช่คำว่า Tom Yam Son Teen Kai แน่ๆ
นี่ก็ art อีกอย่าง ช่างไปหาคำที่หยาบคาย แต่แฝงความหมายตรงข้ามคือ อร่อยที่สู๊ด มาแต่งเป็นเรื่องได้

เรื่องนี้ไม่อยากเจาะมาก แต่ก็อดไม่ได้
คำจำกัดความของหนัง เขาเขียนเอาไว้ว่า
“เพื่อน สาม คน กับ ความสัมพันธ์ แสน เศร้า
เรื่องราวความรักและการเสียสละให้เพื่อนในห้วงสุดท้ายของชีวิต
คงจะดีกว่านี้ ถ้าความรักของพวกเขาจะมีสองคนที่มีความสุข
และใครสักคนเป็นคนที่ต้องเศร้าแค่เพียงคนเดียว”

ทีนี้มาดูข้อมูลเก็บตกกัน
ฟ้า น้ำ และพายุ เรียนจบจากคณะมัณฑนศิลป์ ศิลปากร
เขาสามคนรักกันอย่างไร อันนี้ต้องไปดูหนังเอาเอง
จะได้รู้ว่าตกลงใครชอบใคร ใครรักใคร ใครไม่รู้ว่าถูกรัก 555
ฟ้า ดาวเด่น สวย มีแฟน ตกลงจะแต่งงาน แต่พบเรื่องร้าย 2 เรื่องคือเธอเป็นมะเร็ง กับ แฟนนอกใจ ดีใจจังเลยมีคนเจ็บแบบนี้ หุหุ
น้ำ สาวเก๋ เพื่อนซี้ของฟ้า แอบรักพายุ แต่ขอหยุดเพราะอยากไปเรียนต่อเมืองนอก (พ่อก็อยากให้ไปด้วยแหละ)
พายุ แอบรักฟ้า แต่ไม่กล้าแย่ง ไม่อยากเป็นดีเจ อยากหนีหน้าไปดูแลงานโรงแรมที่เชียงรายกับแม่
แต่เมื่อรู้ว่าฟ้าป่วย ฟ้าเสียแฟน น้ำโดนแฟนที่คบกันใหม่ๆปล้ำ
คราวนี้
คนที่มีรัก ก็ต้องเสียสละความรัก
คนที่ไม่กล้ารัก ก็ต้องกล้าแสดงว่ารัก
ฟ้าเปิดใจยอมเป็นแฟนกับพายุ
แต่แล้วฟ้าหนีทุกคนไป โดยไม่อธิบาย ปล่อยให้พายุเศร้าใจเพราะไม่รู้ว่าทำอะไรผิด
น้ำก็พลอยทุกข์ใจที่เห็นพายุเศร้า
รวมแล้วมันจะเศร้าไปถึงไหนกันนี่
ฟ้าไม่ยอมทานยา ไม่อยากมีชีวิต และเชื่อว่าพายุก็รักน้ำด้วยอีกคน
สุดท้ายใครจะยอมเสียสละ น่านนะซิ

เรื่องนี้ถ้าได้อ่านหนังสือ คงวางไม่ลง
เพราะมีคำพูดคมๆกินใจเยอะมาก
แต่ในหนังมันดูแล้วอินก็จริงแต่อาจจะนำคำพูดไม่ได้มากนัก

เล่าจนหมดเรื่อง
ดูให้สนุกนะ 555

BeeTuss Fuchsia FF00FF


โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 17 พฤศจิกายน 2552 เวลา:14:04:50 น.  

 
อุอุ จริง ๆ จากทีเซอร์ของหนังมันก็รู้หมดเรื่องอยู่แล้วล่ะค่ะ แต่ยังไม่ได้ดูเต็ม ๆ เพื่อเก็บรายละเอียดเท่านั้นเอง ฉะนั้นเล่ามาก็ไม่เป็นไรหรอก งิงิ ^_^ ชื่อหนังมันก็รู้อยู่แล้วแหล่ะว่าต้องเศร้า แต่ก็เป็นโรคจิตนะ ชอบดูหนังรัก แต่เรื่องนี้เว้นวรรคมานานแล้ว และก็คงต้องเว้นอีกซักระยะ เพราะตอนนี้ไม่ต้องดูหนังแต่เป็นนางเอกเองอยู่ คริ คริ เสียใจนะคะที่ไม่ได้เป็นนางร้าย คิคิ แต่จริง ๆ แล้ว นางร้ายนี่แหล่ะเป็นบทในฝันของนู๋เลยทีเดียว แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นนางร้าย เพราะทั้งเรื่องมีผู้หญิงอยู่คนเดียวเลยจำใจต้องเป็นนางเอก อุอุ เอาเป็นบทนางเอกแบบร๊าย ร้าย ไปก่อนแล้วกันเน๊อะ :P

แต่ท่าทางหนังของนู๋มันจะใกล้จบซะแล้วล่ะค่ะ >_< ว่าไปเป็นหนังสั้นก็ดีเน๊อะไม่ต้องติดตามนานเป็นซีรี่หลาย ๆ ตอน หลาย ๆ ภาคให้เสียเวลา แต่ข้อเสียอย่างนึงของหนังประเภทนี้ก็คือ ไม่ว่าจะสั้นหรือยาวยังไง มันก็เศร้าอยู่ดีนั่นแหล่ะ T_T ก็หวังเพียงว่าผู้กำกับจะกำหนดบทตอนจบให้ไม่เลวร้ายมากนัก *-*


โดย: นู๋ Beee หลายเศร้า (Beee_bu ) วันที่: 17 พฤศจิกายน 2552 เวลา:18:42:18 น.  

 
ตอนแรกป้าว่าจะหอบลูกไปเจียงใหม่ตอนปลายปี
แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจกันละ.....(สุดท้ายคงไม่ได้ไปไหนอีก 5555)

เพลงเพราะมาก ชัดมาก ...ลุงนี่ชักจะเหมือนป้าเข้าไปทุกทีละ
กว่าจะเลือกเพลงได้ก็ครึ่งวันแล้ว ต้องเสียงชัดไม่สะดุด...อิอิ

ว่าแต่ไอ้แผนที่แบบเนี้ยทำให้ป้าบ้างดิ !


โดย: ป้า IP: 124.120.232.190 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:40:48 น.  

 
ขอบคุณพี่ลุงซูมค่ะ

เวลาได้พรจากคนที่เราเคารพรัก และนับถือเนี๊ยะ
มันรู้สึกดีมาก ๆ จิง ๆ เหมือนได้รับสิ่งดี ๆ จิง ๆ
รู้สึกเหมือนมีพลังเพิ่มยังไงก็ไม่รู้ คิคิ

ขอบคุณจากใจจิงค่ะ


โดย: หนูหลิน IP: 118.172.23.235 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:22:34 น.  

 
To "นู๋ Beee"
หนังเกี่ยวกับความรักนี้ พอดูหลายๆรอบ
กลับได้อารมณ์ต่างออกไปเยอะแยะ
เพราะครั้งแรกที่ดูอาจจะไม่เข้าใจนิสัยตัวละคร
และไม่สามารถจดจำคำพูดที่เขาพูดย้อนคำพูดในฉากก่อนหน้า
พอเรารู้ว่าใครเป็นใคร นิสัยอย่างไร เรื่องดำเนินอย่างไร
รอบสองกลับดูแล้วได้อารมณ์มากกว่าเก่า
อันนี้เป็นที่พี่คนเดียวหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ

ขนาดหนังฝรั่ง action อย่าง Transformer ภาค 1
ดูในโรงก็มันตรงที่เป็นเรื่องสงครามไฮเทค
แต่พอซื้อ DVD มาดู
กลับเห็นบางฉากที่ซ่อนอยู่
เช่น เจ้ารถสีเหลืองที่เป็นของพระเอกในเรื่อง
มันวิ่งตามพระเอกมาตั้งแต่ก่อนที่พ่อของเขาจะพาไปซื้อเสียอีก
พอตอนท้ายๆเรื่อง หุ่นยนต์จากนอกโลกพูดว่า หุ่นยนต์เป็นคนเลือกมนุษย์
ดูรอบที่สอง ถึงจะรู้ว่าเขาหมายความแบบนี้เอง 555 สมองสั่งการช้าจริงๆ

วันนี้ตอนเช้าได้ดูหนังรักของจีนเรื่องหนึ่ง แผ่นผีซีดีเถื่อนนะยะ
มีคำพูดปรัชญารักมากมาย คนแต่งเรื่องเล่นเอาความรักมาร้อยเรียงได้ซับซ้อนมาก
มีอยู่เคสของคนคู่หนึ่ง
ที่ว่า ทำไมคนเราต้องทนอยู่กับคนที่ใจร้ายและไม่ซื่อสัตย์ได้
เขาก็เสนอมุมว่า ก็เพราะคนที่ทนได้นั้น เข้าใจว่าแฟนที่ใจร้ายของตัวรักใครไม่เป็น
คำนี้ไม่ได้หมายความว่า ไม่คิดจะรักใครนะ ตรงกันข้ามกลายเป็นอยากให้คนรักตัวเองพร้อมๆกันหลายๆคนต่างหาก
คนที่ทนได้นั้นเขารู้ดีว่า ไม่ว่าจะทะเลาะหรือก่อสงครามอย่างไร คนใจร้ายก็ไม่สามารถหายไปไหนได้
สุดท้ายก็กลับมาง้อ และยิ่งถ้าให้อยู่คนเดียว คนใจร้ายนี่แหละที่จะต้องอยู่ทรมานกว่าพวกไหนๆในโลก
เรื่องนี้ถ้าย้อนมาว่า ไอ้พวกใจร้ายมันก็ไม่มีทางรักกับคนใจร้ายหรอก มันต้องรักกับคนขี้ใจอ่อน
และก็มีอีกคู่ที่แค่คิดว่าคนรักไม่ซื่อ ก็เลิกกันแล้ว ไม่ถามไถ่หาความจริงเลย
แต่ก็ขยันหาแฟนใหม่ ได้ใหม่ก็เจอปัญหาหึงหวง และก็เลิกราไป โดยบอกเพื่อนว่า ทำด้วยความกล้าหาญไม่รอให้แฟนนอกใจในวันหน้า
ชีวิตของเธอคนนี้ก็อยู่ด้วยความเกลียดชังบรรดาแฟนเก่า และมองหาแฟนใหม่ไปเรื่อยๆ
แต่พอเพื่อนของเขาบอกว่า ตัวเธอเองนั่นแหละคือคนที่เธอควรจะเกลียดมากที่สุดเพราะคบคนมากมาย
เรียกว่า คนที่หลายใจไม่ใช่พวกแฟนเก่า แต่คือตัวคนที่ด่าๆเขานี่แหละที่มีหลายใจ
ฟังแล้วก็อึ้งดี คนขี้หึงกลายเป็นคนเจ้าชู้

อีกคู่หนึ่งน่ากลัวดี
พอเลิกกัน ผู้ชายโทรหาเป็น 100 ครั้ง ทั้งมือถือ ที่ทำงาน และที่บ้าน
ส่ง SMS เช้า-สาย-บ่าย-ค่ำ-เที่ยงคืน-ตี2-ตี5....
เมื่อผู้หญิงเปลี่ยนเบอร์ทุกอย่าง ก็มาเจอปัญหาเบอร์ที่ทำงาน
สิ่งที่ต้องทำคือ เปลี่ยนงาน ซึ่งเป็นงานที่ดีและกำลังก้าวหน้า
ฝ่ายชายก็ยังง้อไม่เลิก บอกว่า รักๆๆๆๆๆ
คราวนี้เจ้าหมอนั้นโทรฯไปหาเพื่อนๆของเธอ
ขอร้องบ้าง ด่าว่าคนพวกนั้นปกปิด ไม่ยอมบอกว่าเธออยู่ไหนบ้าง
ผลสุดท้าย เพื่อนของเธอก็ตัดความรำคาญโดยเลิกคบกับเธอ
ตัวเธอทำธุรกิจต้องการพึ่งเพื่อนในบางเรื่องก็ไม่ได้
กลายเป็นคนโดดเดี่ยว หรือ หมาหัวเน่า
สาเหตุเพราะดันไปรักคนที่ บ้ารัก
แต่สุดท้าย ก่อนที่เธอจะใจอ่อนยอมคืนดี เธอก็คิดได้ว่า แฟนคนที่เลิกไปไม่ได้บ้ารัก
แต่เป็นคนที่แพ้ไม่เป็นต่างหาก เป็นการเล่นเกม ที่ต้องการคำว่า ชนะ
ดูแล้วก็ต้องร้องโห...คบคนพาล พาลพาไปหาผิด จริงๆ ชีวิตป่นปี้หมดเลย
(นี่ยังไม่นับว่าโดนแฟนฟันฟรีๆอีกนะ เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก จิงๆ 555)

BeeTuss Fuchsia FF00FF


โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 18 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:04:19 น.  

 
To "ป้า???"
ป้าอย่าฝันเกินไปเลย
ผมบอกให้ป้าไปทะเลมาปีกว่าแล้ว ป้าได้ไปหรือยังกั๊บ
คราวก่อนก็ว่าจะพากันไปถ่ายรูปกับ Rain
ผมเห็นแต่ Rain ที่หน้าหมู่บ้านคุณป้า
น้ำท่วมมิดล้อรถเมล์
ตำรวจจราจรพายเรือโบกรถที่สี่แยกไฟแดง 555
ใครๆเขาไปดูแพนด้านั่งเต๊ะท่าให้ถ่ายรูป
อย่าพลาดงานนี้เลยครับ
ปีหน้าเขาก็ส่งมันไปเมืองจีนแล้ว
เพราะเขากลัวว่ามันจะเป็นโรคคิดถึงเมืองไทย

เพลงใน entry นี้ ลองฟังเนื้อเพลงดีๆ
มันทำให้ผมสงสัยว่า
ล้านนา นั้นแต่เดิมมีความสำคัญอย่างไร
ผมว่าเขาร้องเพราะ เสียงหวาน แต่เนื้อเพลงนั้นแรงมาก
แรงในที่นี้หมายถึง เข้มข้น ชัดเจน มองเห็นศักดิ์ศรีซึ่งเป็นนามธรรมของความเป็นล้านนาได้ชัดเจน
ทำไมคนในเวียงถึงได้มีวัฒนธรรมล้ำค่าได้ขนาดนี้
ทำไมคนพูดคำเมืองเหมือนเป็นอีกสังคมหนึ่งเลย
เขาว่ากรุงเทพฯเหมือนเมืองฟ้า
ผมว่าล้านนานี่แหละครับเมืองสวรรค์ของจริง
คนล้านนา พูดแตกต่าง แต่อยู่อย่างไม่แตกแยก

พอผมยอมเสียเวลาเข้าไปหาข้อมูลของล้านนามาอ่าน
ก็ถึงกับต้องอึ้ง ว่า ....
ทำไมถึงมีเรื่องราวและข้อมูลมากมายขนาดนี้
ผมรู้ตังเลยว่าตัวเองเป็นคนตาบอดหูพิการมาหลายสิบปี
เพราะผมเพิ่งจะทราบว่า
ล้านนามีตัวหนังสือตัวอักษรที่ยังเป็นของล้านนา หาดูได้จากป้ายชื่อวัดต่างๆ
ล้านนามีภาษาของตัวเองเป็นเอกลักษณ์ การ อู้คำเมือง เป็นเรื่องที่น่าจะเอามาล้อกันเล่น
ล้านนามีสถาปัตยกรรมแบบอย่างของตัวเอง
ล้านนามีผู้คนที่มีการแต่งกาย ท่าทาง กิริยามารยาท เป็นข้อโดดเด่นเหลือเกิน
ล้านนาธรรมชาติหรือภูมิศาสตร์ที่งดงาม บริสุทธิ์
ล้านนามีระบบการปกครอง มีบุคคลสำคัญ ที่ควรยกย่องมากมายหลายท่าน
ล้านนามีมิตร มีศัตรู มีเมืองบริวาร มีการศึก การทูต มายาวนาน
ล้านนามีสิ่งก่อสร้างทางด้านพุทธศาสนามากมาย ไม่ว่าจะเป็น เจดีย์ วิหาร หอพระ โบสถ์ ฯ
ที่ว่าช้างเป็นตัวแทนของประเทศไทย
ผมว่า ช้าง นี่แหละตัวแทนของ ล้านนา ด้วยเหมือนกัน

มีเรื่องจะโม้...
ที่อิตาลี เขาอนุรักษ์เมืองปิซ่า เมืองที่มีหอเอน ที่กาลิเลโอเอาของไปลูกเหล็กไปทิ้งลงมาจากยอดหอเอน
รัฐบาลเขาสั่ง ห้ามสร้างตึกสูง ห้ามรถใหญ่วิ่งเข้าเขตโบราณสถาน ห้ามทำความสกปรก ฯ
ผมไม่แน่ใจว่า เขาพยายามกันบ้านเรือนออกไป หรือควบคุมไม่ให้ล่วงล้ำเข้าเขตโบราณสถานหรือเปล่า คิดว่าน่าจะทำด้วยนะครับ
ตอนที่ผมไป ก่อนเข้าเมือง ก็ต้องเอารถทัวร์ไปรายงานตัว ไปจ่ายตั๋วเข้าเมือง
รายได้จากตรงนี้ แต่ละปีคงมากมาย เอามาบูรณะเมืองได้เลย
แถมพอไปถึงหอเอน ก็ต้องเอารถไปจอดที่ลานจอดรถ
ไม่ใช่หน้าหอเอน
โน้นกระท่อมปลายนาของรจนากับเจ้าเงาะโน้น ไกลลิบตาเลยครับ
จากนั้นก็ต้องนั่งรถชัตเตอร์บัส ต้องเดินๆๆๆ ไปหาป้ายรถ วันนั้นฝนก็ตก
มีฝรั่งนิโกรตัวดำมั๊กมากหลายคน เอาร่มมาขายในราคาหฤโหด
ไม่ซื้อก็ไม่ได้ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
พอซื้อร่มเสร็จ รถชัตเตอร์บัสวิ่งมาเข้าป้าย ฝนก็หยุดตก
อยากจะเอาร่มไปขายคืน แต่กลัวพวกนิโกรจะหักคอเอา
ถ้าเชียงใหม่ถูกกำหนดให้เป็นเขตโบราณสถาน
ห้ามรถใหญ่วิ่งเข้าออก ห้ามสร้างตึกสูง กันคนบุกรุกเขตวัดและโบราณสถาน
เชียงใหม่จะเป็นเมืองที่น่าเที่ยวที่สุดไปอีกนานแสนนาน

เมื่อตอนปี 2550 ผมไปพักที่โรงแรมเซ็นธาราฯ
ฝั่งตรงกันข้ามมีการสร้างโรงแรมยักษ์อีกแห่ง
ไม่ทราบว่ายอมได้อย่างไร นั่นมันถนนลอยเคราะห์ ใจกลางเมืองเลยนะครับ
สงสัยต้องไปถามป้าอีกคน คือป้าเจคนเจียงใหม่ของแต้ๆ แล้วหละว่า ทำไมถึงไม่ออกไปประท้วง 555

เรื่องแผนที่
ผมไม่ทำให้หรอกครับ เพราะคุณป้า ไม่ผ่านข้อกำหนด 3 ข้อ
1. อายุต้องไม่เกิน 25 ถ้าใกล้ 25 หุ่นต้องไม่ผุพังบิดเบี้ยว
2. โสด แต่ไม่ต้องสนิทก็ได้
3. ไม่ประสีประสา ข้อนี้สำคัญ ผมชอบผู้หญิงพูดว่า โน้นอะไรคะ นี่อะไรคะ มันชื่นใจ หุหุ
DarkGoldenRod B8860B


โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 18 พฤศจิกายน 2552 เวลา:18:28:24 น.  

 
To "หนูหลิน"
เปลี่ยนโหมดเถอะนะ
ไม่อยากแอบแอ็บเป็นคนดีนานๆหรอก
งูบนหัวมันประท้วงแล้วนะ

ถามหน่อยซิ ว่า...
รู้สึกอย่างไรกับคำว่า "สาวเหนือ"
เมื่อก่อนพี่รู้สึกว่า เหมือนเขาชอบดูถูกคนเหนือเลยนะ
ไม่ว่าหนังหรือละคร
นี่... ถ้านางเอกเป็นสาวเหนือ หละก็
เขาเขียนบทให้น้ำตานองพื้นเลย
แล้วตัวร้ายๆอย่างแม่พระเอก นี้ต้องเป็นคนบางกอก
แบบว่าผู้ดี teenแดง อีกต่างหาก
แต่คนพวกนี้อยู่ดีมีสุข
ปัจจุบันเด็กรุ่นหลัง ไม่เข้าใจแล้วว่า เขาเคยคิดกันอย่างนั้นหรือ
แปลว่า ภาพแบบนั้นหมดไปแล้ว
หรือคนไม่สนใจแล้วว่าภาคไหนจะเป็นคนซื่อ เพราะโฉดกันยกประเทศ 555

LinPann MediumVioletRed C71585



โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 18 พฤศจิกายน 2552 เวลา:18:40:01 น.  

 
สวัสดีคร้าพี่ชาย ^_^ อิอิ ว่าไปบ๊อกนี้นี่นะ ถึงจะลงเรื่องเชียงใหม่ แต่คนมาเม้นท์เรื่องเชียงใหม่น้อยมาก อิอิ

เราก็ไม่ได้มาพูดเรื่องเชียงใหม่เหมือนกัน สนใจหนังเรื่องที่พี่ชายได้ดูมาจังค่ะ เรื่องอะไรคะ จะได้หามาดูมั่ง ชอบดูหนังแนวนี้น้า ที่เคยดูแล้วชอบสุด ๆ เป็นหนังที่เป็นความรักของคนหลาย ๆ คู่ หลาย ๆ รูปแบบอย่างเรื่อง Love Actually ซึ่งจริง ๆ มันก็คือ Actually Love นั่นแหล่ะ หนังน่ารักมากค่ะ บีดูซ้ำไปซ้ำมาซะหลายรอบเลยเชียว บีว่าเหมือนอย่างพี่ชายว่านะคะ หนังทุกเรื่องแหล่ะรอบแรกดูแล้วก็สนุก แต่รอบต่อ ๆ ไปเก็บรายละเอียดจุดเล็กจุดน้อยของหนัง แม้แต่ผู้สร้างผู้ผลิตเอง บีก็มั่นใจว่าเขาก็คงดูแล้วดูอีกไม่รู้กี่รอบ ไหนจะตั้งแต่ตอนถ่ายทำ ตอนตัดต่อ ดูกันเป็นร้อย ๆ รอบเลยล่ะมั๊ง เพื่อที่จะมาฉายให้คนดูรอบเดียวแล้วชื่นชมมั่ง ด่ามั่งตามใจคิดของแต่ละคน *-*

ความรักหลาย ๆ แบบที่พี่ชายยกตัวอย่างมานี่น่าสนใจจังนะคะ ทั้งแบบคนที่รักใครไม่เป็น และคนที่แพ้ไม่เป็น หึหึ หรือแม้แต่แบบที่เปลี่ยนแฟนไปเรื่อยแต่สุดท้ายเจ้าตัวเองนั่นแหล่ะที่ไม่ดี บีว่าเรื่องเหล่านี้พูดกันได้ไม่จบหรอกค่ะ เพราะต่างคนก็ต่างใจ ต่างความคิดเน๊อะ ^_^

อ่ะ มาเรื่องเชียงใหม่มั่ง ป้าข้างบนนี่ใครกันน้า ต้องรู้จักกันแน่ ๆ เลย อิอิ บีว่าเชียงใหม่นี่มีความน่าสนใจหลาย ๆ อย่างเลยนะคะ ถึงแม้จะไปเที่ยวมาแค่ไม่กี่วัน แต่เห็นได้เลยว่ายังมีการขุดค้น และมีการพบร่องรอยใหม่ ๆ ทางประวัติศาสตร์อยู่เรื่อย ๆ ไม่รู้จบเลย อย่างเช่นเมืองบาดาล ที่เขาเรียกว่าอะไรน้า... ว้า จำไม่ได้แล้วค่ะ เห็นว่าเป็นเมืองที่จมหายไปในแม่น้ำตอนที่มีการเปลี่ยนเส้นทางเดินของแม่น้ำในสมัยก่อน แล้วพอตอนหลังนี้มีการเปลี่ยนเส้นทางน้ำอีกครั้ง ถึงได้ค้นพบว่าเป็นเมืองใหญ่อีกเมืองนึงเลยทีเดียว แถมจนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีนักโบราณคดีขุดค้นอยู่เรื่อย ๆ ยังพบไม่หมดเลย ได้นั่งรถวนดูรอบสถานที่แล้วทึ่งมาก ๆ ค่ะ ประมาณอยุธยาเลยทีเดียว จะใหญ่เล็กกว่ากันแค่ไหนยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่เป็นชุมชนใหญ่ทีเดียว ^_^

ส่วนเรื่องหอเอนนี่ สงสัยอยู่อย่างนึงค่ะ ที่ว่าแม้แต่รถยังมีการควบคุมสถานที่จอด หรือการเข้าออก แล้ววัน ๆ นึงคนขึ้นไปชมหอเอนเป็นร้อย เป็นพันคนไม่กลัวหอมันเอนมากกว่าเดิมเหรอคะ ??? หรือว่า เขาจำกัดจำนวนไว้ ว่าขึ้นได้ทีละ 5-10 คน อะไรแบบนี้รึเปล่าน้า

แอบอ่านที่ตอบเม้นท์ชาวบ้านแล้วมาสะดุดตรงกฎ 3 ข้อตอนท้าย ตรงข้อสุดท้ายที่ว่าชอบผู้หญิงพูดว่า โน้นอะไรคะ นี่อะไรคะ มันชื่นใจ แต่แปลกนะ ผู้ชายบางคนกลับบอกว่าน่ารำคาญ ทำไมช่างถามอะไรขนาดนี้ ถามมากถามมาย ถามมันซะทุกเรื่อง แล้วก็กลายเป็นมาสรุปเอาว่า ชอบตั้งคำถามแต่ไม่ชอบหาคำตอบด้วยตัวเอง ไม่มีสมองคิดอะไรเองหรือหาข้อมูลอะไรด้วยตัวเองซะบ้าง อ้าว ซะอย่างงั้นเลย T_T

วันนี้ Format คอมฯ ใหม่แล้วค่ะ เป็น Window XP Dark Edition อุอุ นู๋ต้องทำใจอยู่นานนะเนี่ยะ กว่าจะยอมลงเวอร์ชั่นนี้ ก็แหม ชื่อมันสแลงทิ่มแทงหัวใจจังค่ะ อะไร Dark ๆ ดำ ๆ เนี่ยะ ชิ ตอนนี้กำลังหา Window 7 ว่าจะมาลองลงดูอยู่ค่ะ เห็นเขาโปรโมทว่าใช้เวลาบูทเครื่องแค่ 9 วินาที แต่ mainboard รุ่น478 เน่า ๆ ของนู๋คงจะรับไม่ไหว ว้า แย่จัง *-*

วันนี้เหนื่อยจังค่ะ ทั้งทำคอมฯ ทั้งไร้สมอง ไปนอนพักไร้สมองต่อดีกว่า คิดถึงนะคะ จุ๊บ ๆ ๆ


โดย: นู๋ Beee น้องสาวขี้แย IP: 118.173.96.81 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2552 เวลา:21:51:46 น.  

 
เห็นด้วยกับความเป็นล้านนาต่างๆใน c no.19
และผมก็คิดว่าชาวล้านนาน่าจะมีความเป็นชาตินิยมกว่านี้
ในเมืองได้เห็นแต่หัวทองแต่งชุดล้านนา
ปั่นจักรยาน ชาวเมืองมีเก๋ง มอไซแทบทุกคนแล้วมั้ง สงสัยผมจะขึ้นมาช้าไป สิ่งที่หวังว่าจะได้เห็นหายไปหมดแล้ว ความเป็นล้านนาแค่เอาไว้ขาย หารายได้กระมัง


โดย: ใบไม้ต้องลมเหนือที่ไม่หนาว IP: 192.168.1.102, 119.42.79.192 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:49:25 น.  

 
To "นู๋ Beee"
เมืองโบราณอะหยังที่จมน้ำจมท่า
ถ้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็น เวียงกุมกาม ใช่หรือเปล่า
ถ้าใช่ มาฟังคนแก่โม้

เวียงกุมกามคือเมืองหลวง ของล้านนา โดยพญามังรายตั้งใจจะย้ายจากเมืองหริภุญไชย ซึ่งต้นเหตุมาจากการขยายเมืองไม่สะดวก
ครั้นได้ทำการสร้างบ้านแปลงเมืองเสร็จ พอมาอยู่กันได้ 3 ปี ก็เกิดน้ำท่วมใหญ่ สงสัยว่าจะขึ้นไปตัดไม้สัก ไม้ยาง ฯ จนกลายเป็นภูเขาหัวโล้น
บวกกับเมืองกุมกามเป็นที่ลุ่มต่ำ เลยถูกน้ำท่วมจนเมืองหายไป แต่ตามความจริงแล้วเมืองไม่ได้หายไปแบบเมืองแอตแลนติสของฝรั่ง
คนไม่รู้ก็เอาไปเล่าว่าเมืองจมน้ำจนเป็นเมืองใต้บาดาล เมืองเขาน้ำท่วมก็แค่ปีเดียว แต่คนเขากลัวเลยทิ้งเมืองให้ร้าง และก็ไม่มีใครพูดถึง
ก็ใครจะไปกล้าพูดถึงหละ พูดว่าพญามังรายดูชัยภูมิสร้างเมืองไม่เป็นอย่างนั้นหรือ หัวก็หลุดออกจากบ่า 7 ชั่วรุ่นนะซิ

เวียง แปลว่า เมือง คงมาจากคำว่า เมียง อีกที แล้วก็ได้คำเมืองของเขาว่า เวียง
กุม แปลว่า รักษา คำนี้ก็คงมาจากคำว่า คุ้ม
กาม สันนิษฐานว่าคงจะแปลว่า บ้านเมือง เพราะคำว่า กาม ในภาษาพม่า แปลว่า บ้าน แต่พี่เดาว่ามาจากคำว่า คาม เช่น เขตวิสุงคาม

เวียงกุมกามอยู่ในตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่
เมื่อเอาไม้บรรทัดวัดแล้ว พบว่าอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 5 กม. เท่านั้นเอง
ตัวกำแพงเมืองชั้นในก็แค่ 850 เมตรคูณ 600 เมตร เอง ดังนั้นพื้นที่ไม่ได้เกิน 1 ตร.กม.ด้วยซ้ำ
ทำให้เห็นว่าประชากรแท้ๆของเชียงใหม่มีไม่มาก
สาเหตุที่มีไม่มากไม่ใช่เพราะมีการคุมกำเนิดหรอกนะ
แต่เป็นเหมือนในเนื้อเพลง Youtube ข้างบน
ตรงที่คนเชียงใหม่ต้องรบกับศัตรูหรือผู้หวังยึดสมบัติรอบด้าน
พอใครรบชนะ ตีเมืองได้ ก็ต้อนคนกลับไปประเทศ และก็จะต้องแบบคัดเอาพวกช่างฝีมือ ทั้งชายและหญิง
เมืองพม่าถึงมีวัดสวยงามอยู่หลายแห่ง
จริงๆแล้วก็ไม่รู้ว่า ช่างฝีมือทั้งด้านก่อสร้างและศิลปะของล้านนา มีการสืบทอดกันได้อย่างไรจนถึงทุกวันนี้
นี่คงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของคนเชียงใหม่ที่รักงาน ทำงานเดียวให้ดีที่สุด และยังใจดีสอนลูกหลานโดยไม่ปิดบังความรู้
สิ่งที่ทำให้วัฒนธรรมเชียงใหม่เข้มแข็ง ก็เพราะพวกเขายึดถืออาวุโสและนับถือศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด
นี่กระมังที่เขาว่ากันว่า คนล้านนาเป็นคนซื่อ ไม่คดโกง ไม่เจ้าเล่ห์ ไม่เหมือนคนในพื้นที่ทางทิศใต้อย่างผม

บางทีเรื่องสร้างเมืองเชียงใหม่นี้ก็อาจจะเป็นเรื่องฟ้าลิขิต
เพราะเมื่อเวียงกุมกามถูกน้ำท่วม ลำน้ำปิง อาจจะเปลี่ยนเส้นทาง หรือเปิดเผยให้เกิดเส้นทางให้สำรวจใหม่
จากการขึ้นเครื่องบินถ่ายรูปสำรวจเส้นทางน้ำแล้ว พบว่า
ลำน้ำปิง ที่เรียกว่า ปิงห่าง หรือ ปิงเก่า (ห่าง แปลว่า เก่า เหมือนภาษาอีสานเลยนะ อย่างเพลง มอเตอร์ไซด์ห่าง) และ
ลำน้ำสาขาย่อยๆหลายสายไหลแนบชิดกับตัวเวียงกุมกาม ซึ่งอยู่ทางด้านถนนเชียงใหม่-ลำพูน บ้านสัน บ้านอุโมงค์ ฯ
ถ้ามองว่า น้ำท่าดี ปลูกพืชผักได้ ก็มองได้ แต่ต้องระวังเพราะเป็นที่ลุ่ม พอน้ำท่วมก็ล้นนองไปหมด
อีกเรื่องคือ ลำน้ำปิง ไม่ใช่แม่น้ำที่มีความลึกมากเท่าไหร่ สมัยก่อนก็ยังเรียกว่า แคว เสียด้วย
ทุกวันนี้ก็ต้องมีการขุดลอกลำน้ำปิงอยู่บ่อยๆ

คราวนี้ที่ต้องโม้มากหน่อยก็เพราะว่า พญามังรายได้เลือกชัยภูมิได้ดีมาก
เหตุผลสนับสนุนก็คือ ลักษณะชัยภูมิของเชียงใหม่ตรงตามตำราสร้างเมืองของชาวไทยยวน (ไม่ใช่ ญวน)
โดยมีภูเขาอยู่ทางทิศตะวันตก มีแม่น้ำอยู่ทิศตะวันออก พอหน้าฝนสายน้ำก็ไหลผ่านข้างเมืองหรือทะลุเมืองไปลงแม่น้ำปิง
ภูเขาในกลุ่มดอยอินทนนท์ก็เก็บน้ำและระบายไหลลงมาเหมือนโรงงานทำน้ำประปาธรรมชาติ แบบนี้ถึงเรียกว่า น้ำท่าสมบูรณ์
เรื่องแบบนี้พอเอามาเทียบกับการดูฮวงจุ้ยของซินแสชาวจีน ที่ว่า ด้านหลังมีภูเขาโอบล้อม ด้านหน้ามีแม่น้ำไหลผ่าน
การมีภูเขาหรือดอยสุเทพอยู่ด้านหลัง ก็เท่ากับว่ามีบอร์ดี้การ์ด ยืนเป็นต้นไม้ ป่าเขา กันกองทัพใหญ่ของศัตรู
และศัตรูที่อยู่ทางตะวันตกของเชียงใหม่ก็คือ พม่า นั้นเอง
ดังนั้นสรุปว่า ใครมาตั้งเมืองตรงเชียงใหม่นี้ ถือว่า สุดยอด ให้ A++ เลย
แต่เชียงใหม่ไม่ใช่เยี่ยมยอดในเรื่องปลอดภัยจากน้ำ เพราะในปี 2549 -2550 น้ำก็ท่วมตลาดเมืองเชียงใหม่ ทำความเสียหายหลายสิบล้านบาท

BeeTuss Fuchsia FF00FF


โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา:19:58:57 น.  

 
To "ใบไม้ต้องลม"
เรียนคุณใบไม้ที่นับถือ
ผมเองก็อารมณ์ประมาณนั้นเหมือนกันครับ
งงว่าทำไมเชียงใหม่ถึงได้มีฝรั่งมาเดินเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด
แต่เราต้องมองโลกในแง่ดีว่า เชียงใหม่ยังคงมีความเป็นเชียงใหม่เหลืออยู่มาก
ในเมืองไม่ค่อยมีบาร์หรือหมู่บ้านภรรยาเช่าเหมือนจังหวัดท่องเที่ยวบางจังหวัด
ไม่มีย่านชุมชนแออัดเหมือนเมืองหลวงของไทย
ฝรั่งที่มาเที่ยวล้านนา นี่เราต้องเข้าใจหน่อยนะครับว่า
พวกนี้เป็นพวกนิสัยดีมากกว่าพวกเสียนิสัย
ผมหมายความว่า พวกนี้ไม่ค่อยจะเป็นพวกขี้เหล้าเมาสุรา แต่มาเที่ยว มาชม มาทานอาหาร เท่านั้น
แต่ผมก็คิดว่าคงไม่ถึงกับเป็นพวกอนุรักษ์อะไรหนักหนา แค่คนมาเที่ยวเอาเงินมาแบ่งเราใช้

ผมเคยซื้อตั๋วทัวร์แบบที่เรียกว่า one day package จากโรงแรมตอนที่หนี้เจ้าหนี้ไปอยู่ที่เชียงใหม่นี่แหละ
มีคราวหนึ่งเราไปกัน 10 คน มีผมกับครอบครัวที่เป็นคนไทยแค่ 3 คน ที่เหลือเป็นเหมือนยำผลไม้
คือ มีมากกว่าฝรั่งครับ มีฝรั่งเศส มีแคนนาดา มีอเมริกัน มีอิสราเอล ...
เหลือเชื่อว่าคนไม่ถึงโหล มันจะกลายเป็นทัวร์สหประชาชาติไปได้
พวกนี้บางคนเขาอ่านหนังสือ หาข้อมูลเกี่ยวกับเชียงใหม่มามาก อย่างเหลือเชื่อ ถามอะไรรู้ดีไปหมด
คนต่างชาติทั้งหมดที่เที่ยวด้วยกัน เขาไม่ได้นอนโรงแรม แต่นอนเกสเฮาส์ หรือที่เรียกว่าบ้านเช่าฝรั่งนั่นแหละครับ
พวกนี้บอกว่า คุยกับเพื่อนที่มาเที่ยวเมืองไทย พอเพื่อนจะกลับพวกเขาก็หาคนมาอยู่ต่อ คุยกันทาง internet
โดยเชื่อใจว่าเป็นบ้านที่ไว้ใจได้ และยิ่งสมัยนี้มี 7-11 อยู่ทั่วไปหมด ฝรั่งเลยไม่กลัวอะไร
มาแต่ตัวกับเป้ใหญ่ๆ 1 ใบ เงินสดอีกนิดหน่อย

ที่นี้มาดูที่ว่า เมื่อเชียงใหม่ต้องกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวจริงๆ
พวกเรา (หมายถึงเราสองคน กับคนไทยอีก 65 ล้านคนกว่าๆ จริงๆ) ควรต้องทำกันอย่างไร
ผมเองก็ไม่ได้ฉลาดมากมายอะไร และก็ไม่ได้มีพาวเวอร์อะไรเหมือนกัน น้าผมยังต้องหนีไปเป็นที่ปรึกษาให้ขอมเลย 555
ผมเลยช่วยได้แต่เรื่องคิด
ส่วนในทางปฏิบัติก็คงจะพยายามส่งเสริมสินค้าล้านนาแท้ๆ และไม่ไปทำลายของโบราณของเชียงใหม่

เรื่องคิด ผมก็มองแบบนี้ คือ อยากให้มีโซนอนุรักษ์ล้านนา จริงๆ
คือต้องผลักดันประชาชนออกไป หรือกันไม่ให้มีการอพยพเข้ามาเพิ่มในตัวเมืองชั้นในและโบราณสถานอีก
ผมไม่เห็นด้วยสำหรับการไปลงทุนสร้างเมืองใหม่และก่อสร้างเลียนแบบของเก่า อันนั้นมันเอาไว้หลอกฝรั่งซื่อบื้อมากกว่า

ผมอยากให้มีการส่งเสริมการศึกษาให้คนพื้นที่ เอาแบบเรียนฟรีไปจนจบปริญญาเลย
อยากให้มีการสอนทั้งวิชาการและศิลปวัฒนธรรมล้านนา เลือกแต่ของดีๆเอามาไว้ที่มหาวิทยาลัยนี้เลย
ผมลองตรวจสอบแล้ว ไม่พบว่ามีมหาวิทยาลัยไหนที่ให้สิทธิเรียนฟรีแก่เด็กชาวเหนือทุกคน คือมีบ้างแต่ไม่ฟรีแบบไม่อั้น
ความคิดนี้ผมไม่ได้เพ้อฝัน เพราะผมมีญาติเป็นฝรั่งอเมริกันชนอยู่คนหนึ่ง
เขาเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้ 3-4 ปี ก็แต่งงานกับญาติของผม แล้วบินกลับเรียนมหาวิทยาลัยที่สหรัฐฯ
พอเขากลับมาเมืองไทยอีกครั้ง
ตอนนั้นผมยังเป็นละอ่อนลั่นๆๆล้า ใส่กางเกงขาสั้นปั่นจักรยานไปเรียนอยู่เลย
อาฝรั่งบอกว่าไปเรียนมาอีก 2 ปริญญา
พอผมถามว่าหมดเงินไปมากหรือเปล่า เพราะตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าปริญญาโทนั้นคืออะไร
เขาบอกว่าทางมหาวิทยาลัยส่งเสริมให้เรียนฟรีทุกคน (แต่ต้องทำเรื่องขอไปด้วย ก็ประมาณให้ทุนนั้นแหละ แต่ให้หมดเกือบทุกคน)
อ้อ...เขาไปเรียนด้านการเกษตรนะครับ ที่โน้นก็เหมือน ม.เกษตร ของเรา
ถ้าเป็นคนเมืองเขา เขาก็อยากให้เรียนด้านการเกษตรฟรีเลยครับ แก่คราวปู่ก็ให้เรียนฟรีได้
เพราะเขาอยากให้คนมีความรู้และทำการเกษตรในเมืองของเขาเยอะๆ

ถ้าเชียงใหม่หรือกลุ่มจังหวัดทางภาคเหนือรวมตัวกันสร้างมหาวิทยาอนุรักษ์ความเป็นล้านนาได้ ก็ดี
เก็บเงินส่วนแบ่งจาการท่องเที่ยวนี้แหละครับ ใครทำมาหากินกับการท่องเที่ยว เก็บค่าต๋งให้หมด
อย่างบางวัดในเชียงใหม่ บางสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติไปชม ได้เงินปีละเป็นสิบๆล้าน (ถ้าเก็บตังค์ค่าเข้าชมแพงๆ คงได้เป็นร้อยล้าน)
เงินที่ได้ในแต่ละปี ก็ไม่ทราบว่าหล่นหายไปทางไหนบ้าง
ถ้าจะอ้างว่าเอาไปซ่อมโน้น ซ่อมนี้ มันจะซ่อมอะไรกันทุกปี แบ่งปันกันบ้างเถอะ
เรื่องที่ดินสร้างสถานศึกษาน่าจะหาไม่ยาก ไปหาตามป่าเขาตรงไหน ก็ได้
มีคนมาเรียนเยอะๆ เดี๋ยวพื้นที่ตรงนั้น ความเจริญก็ตามมาเอง
วิชาที่สอนก็เน้นของล้านนาเลยครับ พวกแกะสลัก ก่อสร้าง ทำร่ม ฟ้อนรำ ทำอะไรต่อมิอะไร ไปจนเรื่องอาหารการกินกันเลย
นโยบายเด็กเหนือเรียนฟรีนี่ ไม่มีการต้องกลับมาใช้หนี้ใช้ทุนกัน ทำไมจะทำไม่ได้ (พูดก็ง่ายซินะ)

อีกเรื่องที่จะต้องมีก็คือส่งเสริม ก็คือ การสอนภาษาต่างประเทศ
ในเชียงใหม่ก็มีโรงเรียนสอนภาษาค่อนข้างเยอะก็จริง แต่ไม่ฟรี
พวกพี่ๆตามสถาบันสูงๆ น่าจะสละเวลามาสอนภาษาน้องๆจะได้หรือเปล่าคะ
ทางที่ดีผมอยากให้มีโรงเรียนสอนด้านการโรงแรมอีกด้วยเลย
พอเอ่ยถึงโรงแรมก็อดที่จะอยากต่อต้านนิดๆไม่ได้
ก็คือเรื่องการอนุญาตให้สร้างโรงแรมสูงๆในเมืองเชียงใหม่
ผมว่าถ้าทำถนนดีๆกว้างๆ ก็ย้ายโรงแรมออกไปนอกเมืองได้
ผมเคยไปเที่ยวปักกิ่งกับที่ปารีส
บริษัททัวร์เอาเราไปนอนที่ไหนก็ไม่ทราบ
นั่งรถออกจากเมืองเกือบ 20 - 30 กม.
ตื่นเช้ามา มองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่เห็นบ้านคนเป็นหลังเลย
มีแต่กลุ่มตึกที่เป็นอพาร์ทเม้นท์กับโรงแรมสามดาวเต็มไปหมด (เราก็พักสามดาวด้วยหละ 555)
ส่วนที่โตเกียว ผมได้นอนโรงแรมข้างสนามบินเลย เยี่ยมมากๆ
แต่กว่าจะรู้ว่าสนามบินนารีตะ นี่!
เขาสร้างห่างจากตัวย่านชุมชนก็ประมาณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิกับอำเภอนครชัยศรีโน้นเลย
ประเทศไหนๆ เขาก็เอานักท่องเที่ยวไปนอนพักไกลๆตัวเมืองทั้งนั้น
มีแต่ประเทศเราที่สร้างตึกยัดๆกันในเมืองจนแน่นไปหมด
คนดูแลผังเมืองน่าจะแยกให้ออกว่า เมืองโบราณ กับ เมืองช๊อปปิ้ง มันต้องคิดไม่เหมือนกัน

อย่าเพิ่งถอดใจเรื่องเที่ยวหาความเป็นล้านนาแท้ๆ
ผมเตรียมข้อมูลวัดต่างๆต่อจากวัดเจดีย์หลวง
ก็ยังเห็นว่าของดีๆยังมีอยู่ แต่มีไม่ถึงครึ่งนะ เศร้านะ
ส่วนใหญ่เป็นของที่สร้างเมื่อไม่นานมานี้แทบทั้งนั้น
แต่ก็สร้างโดยยังคงอนุรักษ์ศิลปะล้านนาอยู่

BaiMai SaddleBrown 8B4513



โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:12:01 น.  

 
ถูกต้องแล้วคร้าพี่ชาย พอพี่ชายถาม ก็เลยไปเปิดอัลบั้มรูปเก่า ๆ ดู ช่ายเลย ชื่อนี้แหล่ะค่ะ เวียงกุมกาม แหม ตกลงน้ำท่วมแค่ปีเดียวจิงเหย๋อ เอ... ทำไมหัวหน้าทัวร์เขาภูมิใจนำเสนอ แล้วไปถึงที่ก็มีคนบรรยายเรื่องราวเปิดวีดีทัศน์ให้ดูอยู่ครึ่งชม. ดู ๆ แล้วเหมือนจมมาน้านนานเลยอ่ะ *-* แต่บีว่าเมืองใหญ่โตมากนะคะ วัดก็เยอะเชียว อาณาเขตใหญ่ใช้ได้เลยแหล่ะ ^_^

ทางผ่านอีกที่ ที่อันนี้รู้สึกไม่ได้อยู่เชียงใหม่ แต่ชอบจังเลยเพราะแปลกแหวกแนวและสวยงามอลังการมาก ก็คือวัด... อ่า... จำไม่ได้อีกแล้ว *-* วัดของ อ.เฉลิมชัย อ่ะค่ะ งิงิ ส่วนที่เชียงใหม่ถ้าชอบที่สุดที่ไปมาถ้าไม่นับงานพืชสวนที่ไกด์ไปปล่อยให้เดินขาลากทั้งวันแล้วก็ต้องเป็นดอยตุงค่ะ ดอกไม้สวยสดงดงามมาก อยากจะบอกว่าสวยกว่างานพืชสวนซะอีก เพราะเขาปลูกและดูแลรักษาเอาใจใส่อย่างดีจริง ๆ เห็นได้ถึงความแตกต่างของดอกไม้ที่ตั้งใจปลูก กับดอกไม้พืชสวนที่ไม่ได้ไม่ตั้งใจปลูกหรอก แต่เป็นงานเฉพาะกิจ และนำดอกไม้มาจากหลายมุมทั่วโลก มันก็เลยชอกช้ำไปซะเยอะเลย แถมคนเดินเป็นล้านโดนมือคนเยอะเกินจนเฉา น่าสงสารดอกไม้จัง

แล้วก็กลางคืนได้นัดเจอปุ๋ย กับน้องแก้ม ปุ๋ย FC ไปเดินงาน NAP ตลาดคนเดินที่เชียงใหม่ด้วย ประทับใจตรงที่ ข้าวของที่ขายในงานนี้ส่วนใหญ่เป็นงานฝีมือ ไม่ได้เป็นของหรูเริ่ดอะไรที่ไหน แต่ได้เห็นถึงความตั้งใจของคนทำสินค้าทุกชิ้นจริง ๆ ประณีต และมีความคิดสร้างสรรค์มาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นพวงกุญแจ ของที่ระลึก เสื้อผ้า handmade ป้ายแกะสลัก หรือกรอบรูปสวย ๆ นั่งทำโชว์ให้ดูกันจะ ๆแทบจะทุกร้าน แค่ไปเดินดูก็เพลินแล้วค่ะ ^_^


โดย: นู๋ Beee เองค่ะ IP: 125.24.162.138 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:13:04 น.  

 
ว้าย ๆ อายจังเลยค่ะ ดอยตุง ก็อยู่เชียงราย ไม่ใช่เชียงใหม่ แห่ะ ๆ มึนและเมา เพราะนั่งรถแวะหลายที่ ขออภัยคร้า


โดย: นู๋ Beee อีกรอบ IP: 125.24.162.138 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:15:05 น.  

 
To นู๋ Beee

ถามเรื่องดอยมา เลยนึกขึ้นได้ว่า มีรายชื่อดอยและภูเขาในประเทศไทย
ลองอ่านดูนะ จะได้รู้ว่านอกจากดอยอินทนนท์แล้วยังมีดอยอะไรที่อยู่สูงๆอีกบ้าง





credit to //www.hamanan.com

เวียงกุมกามน้ำท่วมจริงกี่ร้อยครั้งพี่ก็ไม่รู้หรอกว่าจริงเท็จแค่ไหน
แต่เรื่องน้ำท่วมปีเดียวนี้ได้มาจากงานประชุมสัมมนาเชิงวิชาการของนักประวัติศาสตร์และโบราณคดี
เขาว่าภาคเหนือไม่เคยมีเขตน้ำท่วมแบบซ้ำแล้วซ้ำอีกง่ายๆ เพราะเป็นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก
และการดูจากความผุกร่อนของวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างของเวียงกุมกาม ก็ไม่มีใครคิดว่าเป็นเมืองใต้บาดาล
แต่เป็นหมู่บ้านร้างหรือถูกทอดทิ้งเสียมากกว่า
ตัวเมืองชั้นในคงไม่เกิน 1 ตร.กม. แต่ตัวเมืองเองอาจจะใหญ่จริงๆอย่างบีว่านั่นแหละ
เพราะเขารวมเอาบ้านคนเข้าไปด้วยนี่หน่า

ส่วนเรื่องวัดที่ อ. เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ สร้างคือวัดร่องขุ่น จ.เชียงราย ซึ่งบ้านเกิดของอาจารย์อยู่ที่นี่จริงๆ
อ.เฉลิมชัยเคยเป็นเด็กเกเรนะ แต่พระเจ้าให้พรสวรรค์ในการวาดรูปและจินตนาการที่ล้ำลึกให้ท่านมาเต็มเปี่ยม
วัดนี้พี่เคยไปชมมาแล้วเหมือนกัน เจอกับอาจารย์ด้วย พี่ก็ป่วนอาจารย์เพราะแกพยายามจะอธิบายแขกที่มาชมวัด
โดยที่แกจะออกมาเป็นช่วงๆ พูดจบแล้วก็เดินหายไปข้างหลังซึ่งเป็นโรงเรียนของท่าน ที่เอาไว้ฝึกเยาวชนล้านนา
พี่ยังแซวอาจารย์ว่าที่ว่าวัดนี้ไม่เหมือนใคร ไม่ใช่ไม่เหมือนตรงคนสร้างไม่ง้อใครให้มาช่วยออกตังค์อย่างที่อาจารย์ว่าหรอกครับ
วัดนี้ไม่เหมือนตรงที่มีสะพานตรงหน้าทางเข้าโบสถ์ยาวมากๆต่างหาก อ.หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ก่อนที่จะต้องเซ็นชื่อให้พี่บนหนังสือที่พี่ซื้อในวัด
ก็ท่านใช้วิธีขายความสามารถของท่านแล้วเอาเงินนั้นมาสร้างวัด ท่านก็ไม่ต้องง้อใครนะซิ สุดยอดความคิดจริงๆ
หาเงินคนเดียว อยากทำอะไรก็ทำ อยากหยุดก็หยุด อยากแก้แบบก็แก้ได้ ไม่ต้องไปขอความเห็นใคร หรือจัดงานหาเงินให้วุ่นวาย
สาเหตุก็เพราะว่าพี่ไปทอดผ้าป่าที่เชียงราย แต่ไม่ใช่วัดร่องขุ่นนะ เป็นวัดที่มีพระธาตุ
แต่ที่ต้องไปป่วนอาจารย์ก็เพราะขาไปดันไปเจอกับคุณปัญญา เวิร์คพอยท์ นี่แหละ
ก็เพราะพี่สาวเพื่อนทีไปด้วยเขารับจ้างทาสีให้บ้านของคุณปัญญา เขาก็เลยพาพวกพี่เข้าไปทักคุณปัญญา
เออ...ทีมงานเขามีคุณมยุรา กับดาราอีกคน จำชื่อไม่ได้ เขาจะไปภาคใต้หรือที่ไหนก็จำไม่ได้
พวกเราก็มั่วนิ่มขอถ่ายรูปกับเสี่ยตาเศรษฐีร้อยล้านกันซะหน่อย
พอเขาถามว่าเราจะไปไหน เราก็บอกว่าจะไปโน้นไปนั้น
คุณปัญญาก็เลยฝากข้อความมาแซวอาจารย์ โดยบอกให้เราไปบอกข้างหูเลย เพราะคำนี้อาจารย์ต้องเชื่อว่าเป็นคุณปัญญาฝากมาจริง
ตอนพวกเราเข้าไปหาอ.เฉลิมชัยก็ยังกลัวกันเลยว่า จะโดนอาจารย์ด่าหรือเปล่า เพราะท่าทางอาจารย์คงไม่อยากคุยกับคนแปลกหน้า
แต่จริงๆ อาจารย์เป็นคนอัธยาศัยดี ยิ้มไปคุยไป หัวเราะ ชวนเราคุยกลับมาเรื่องโน้นเรื่องนี้อีกต่างหาก
ดวงพี่กับอ.เฉลิมชัยนี้เจอกกันมาหลายครั้งแล้ว
พี่ไปนอนพักผ่อนที่พัทยาทีไรก็ต้องไปเจออาจารย์มาซื้อของที่ร้านขายเครื่องมือก่อสร้างร้านเดียวกันเสมอ
เจอกัน 2-3 ที คราวต่อมาพี่ก็เข้าไปไหว้ทักแก แกก็รับไหว้แต่ไม่ค่อยคุย เพราะแกจะรีบซื้อของ
คนขายของบอกว่า แกต้องมาซื้อเองเลือกของเอง ชอบคุยเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือทำเฟอร์นิเจอร์
พี่ก็ยังงงว่า อาจารย์ท่านเก่งเรื่องวาดรูปไม่ใช่หรือไง
ว่าจะถามอาจารย์ว่า บ้านอาจารย์จริงๆอยู่ชลบุรีหรือเชียงรายกันแน่
แต่ก็กลัวท่านถามว่า อยากรู้ไปทำไม 555


BeeTuss Fuchsia FF00FF


โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 20 พฤศจิกายน 2552 เวลา:17:17:20 น.  

 
อิอิ อย่าไปถามน้า เดี๋ยวเกิดความลับเขาแตก ว่ามีกิ๊กอยู่ชลบุรีล่ะแย่เลย งิงิ ขำดีค่ะ

ว่าแต่ พูดเรื่องดอยตุง เล่นเอาตารามมาซะเยอะเลย ชาตินี้จะเที่ยวหมดมั๊ยเนี่ยะ *-* ดอยผ้าห่มปก กับภูสอยดาว ก็เป็นที่ ๆ อยากไปค่ะ ^_^ แค่ดูภาพก็งดงามเหลือเกินแล้วล่ะ บีว่าเที่ยวเมืองไทยมีสถานที่สวย ๆ น่าไปอีกเยอะเลยเน๊อะ อยากไปเที่ยวให้ครบทุกที่ ทุกจังหวัดทั่วไทยจริง ๆ เล้ยยย จะได้มีกิ๊กจังหวัดละคนสองคน แหม พูดเรื่องนี้แล้วนึกถึงคุณพี่ทอม ดันดี เน๊อะ อิอิ เห็นเคยสัมภาษณ์ไว้นานแล้วว่ามีกิ๊กจังหวัดละคน หรือไปต่างประเทศก็ได้มาประเทศละคน หุหุ พี่ชายสู้ได้อ๊ะป่าวค่ะ


โดย: นู๋ Beee เองค่ะ IP: 125.24.122.189 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2552 เวลา:18:18:06 น.  

 



ฮ่า ๆ ๆ แล้ว แค่วันนึง จะไหว้ได้หมดเหรอคะ
บางวัดที่กล่าวมา มินก็เคยไปไหว้มาแล้ว
บางวัดก็ยังเลยค่ะ แต่ ถ้าไปเชียงใหม่ครั้งใด
มักจะหาเวลาไปไหว้พระวัดลอยเคราะห์ทุกที
อาจเป็นที่ชื่อวัดก็ได้ รู้สึกว่ามันได้ความรู้สึกดีอ่ะนะ อิอิ
สำหรับวัดร่องขุนนั้น มินก็เคยแวะเข้าไปเที่ยวทำบุญ
และเจออาจารย์เฉลิมชัยด้วย ยังซื้อภาพเขียนท่านมา
และได้คุยกับท่าน แต่คุยอาไรกัน จำไม่ได้แล้วอ่ะ
ที่แน่ ๆ คุยกันเรื่องวัดที่ท่านกำลังสร้างนั้นแหละค่ะ ฮ่า ๆ ๆ
จริง ๆ ด้วย มินก็ว่า โบสถ์ของท่านเนี่ย
แปลกประหลาดที่สุดในโลกเลย ที่มีสะพานทอดยาวไกล
เหลือเกินกว่าจะถึงตัวโบสถ์อ่ะ วันไหนเมา ๆ เกิดอยาก
ไปนั่งสารภาพบาปสำนึกผิดต่อหน้าพระประธานละก็
มีหวังไปไม่ถึง ได้หัวทิ่มตกสะพานเดี้ยงไปก่อนแหง ๆ
แต่ ถ้าเมาแล้วไปทำงั๊นจริง ๆ ก็อาจไม่ทันได้ไปถึงสะพาน
อาจจะโดนเตะกลิ้งไล่ตะเพิดกลับไปแทบไม่ทันก่อนก็ได้นะมินว่า ฮ่า ๆ ๆ
อ๊ะ ๆ พูดถึงคุณปัญญา ขอโม๊มั่งจิ เมื่อก่อนมินก็เจอ
ในหนามกอล์ฟบ่อยมาก ๆ โดยเฉพาะที่หนามกอล์ฟบางกอกอ่ะ
ขอยืนยันว่า น่ารัก เป็นกันเอง ยิ้มแย้มแจ่มใส
ส่วนดาราผู้หญิงอีกคนอ่ะ ทำให้มินและผองเพื่อนเสียความรู้สึกมาก ๆ
ที่ในจอสร้างภาพสนุกสนานเฮฮา แต่ นอกจอ
กลับหยิ่งเริด เชิด ทรนง จนสงสัยว่า เอ พี่แกใส่เฝือกคออ่อนอยู่หรือไงวะ
แล้ว ถ้าติดเฝือกที่คออ่ะ มาก้ม ๆ เงย ๆ ตีกอล์ฟได้เหรอวะ
ไอ้พวกแค๊ดดี้ที่หนามบางกอกมันแอบเม๊าวท์กันว่า
ดุ ยังกะเสือ แต่ ถ้าวันไหนมาออกรอบกับแฟน
ก็จะอารมณ์ดี ค่อยยังชั่วหน่อย ฮ่า ๆ ๆ
อีกที ไปเจอที่บำรุงราษฏร์ อ๊ะเฮ๊ย..หาหมอคนเดียวกะมินซะด้วย
ก็ยังรักษาฟอร์มเดียวเหนียวแน่นเหมือนกับในหนามกอล์ฟเปี๊ยบ
แม้จะต่างสถานที่และต่างเวลาอ่ะนะ ฮ่า ๆ ๆ เหนื่อยแทนอ่ะ

ชะอุ๊ย...ว่าจะมาทักทายด้วยความคิดถึง ดันผ่ามาเม๊าวท์
เรื่องชาวบ้านซะแล้วอ่ะจิ มินก็ชอบนะ ต้มแซ๊ปซุปเปอร์อ่ะ
แต่ ถ้าเป็นซุปเปอร์เฉย ๆ อ่ะ เผ่นก่อนดีกว่าค่ะ ฮ่า ๆ ๆ

ปล. วันนี้ พานางฟ้าตอนรุ่งอรุณมาให้นะคะ
ไม่ใช่นางฟ้าตอนอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าค่ะ
รักษาสุขภาพด้วยนะ อากาศมันคุ้มดี คุ้มร้าย ชอบกลอ่ะค่ะ


โดย: มินทิวา วันที่: 21 พฤศจิกายน 2552 เวลา:7:30:55 น.  

 
อ้าว เซิร์ฟเวอร์เน่า ก้อยังลำเอียง บ้านเราเจ๊ง บ้านนี้ไม่เจ๊ง ชิ

ก็เลยมาวิ่งเล่นบ้านนี้เล่นคร้า งิงิ ^_^


โดย: นู๋ Beee บ๊อกเจ๊ง IP: 125.24.141.80 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:17:41 น.  

 
To "มินทิวา"
To "มินทิวา"
555 คุณมินขอรับ
เรื่องดาราอีกท่าน ผมเว้นวรรคไว้ไม่ได้เอ่ยถึง
เพราะเคยเจอมาแบบคุณมินนี่แหละค่า ฮิฮิ
ผมเคยไปเจอเธอที่สนามกอล์ฟแถวเลยๆเขตบางกะปิออกไปโน้น
ในนั้นมีร้านอาหารผุดๆโผล่ๆอยู่แห่งหนึ่ง
ผจก รู้จักกันดีกับกิ๊กของผมประมาณหนึ่ง (ประมาณว่าเดินเข้าบ้านเขาได้โดยแมวไม่กัดหนะครับ)
เขาพาเราไปทักทายเจ้ดารานางเอก-พิธีกรดังท่านนี้
เจ้ยิ้มให้ 1 จึ๊ก แล้วก็หันไปสั่งเครื่องดื่ม และของทานเล่น รู้สึกจะเป็น ถุงทอง อะไรประมาณนั้น
เปล่าหรอกนะ ไม่ได้สั่งให้พวกเราทาน เขาสั่งมาทานของเขาเอง เราก็ยืนข้างๆโต๊ะอยู่แบบนั้นประมาณ 1 นาที
แล้วเราก็เลยเดาออกว่า เธอคงอยากจะบอกเราว่า ฉันมากินข้าวแบบส่วนตัว พวกมะลึงช่วยไสหัวไปไกลๆได้แล้ว
เราก็เลยลากๆ ดึงๆ กันออกมา แล้วไปนั่งซดปลาร้าต้มแซ็บกับข้าวผัดอเมริกันของเราต่อที่โต๊ะอาหารเรา
งานนั้นเรารู้สึกว่า เล่นจริง เจ็บจริง แต่ก็เข้าใจว่า
เราไม่ได้เป็นญาติฝ่ายไหนของเขา ทำไมเขาต้องมาอ่อนน้อมต้อนรับเราด้วยหละ

มาฝอยกันนอกเรื่องแบบนี้ ก็ขอเกทับอีกเรื่อง เพราะเครื่องชักร้อนแล้ว
ในชีวิตผมเคยเจอนางเอกอีกท่านที่น่ารักมาก เป็นดารา เป็นพิธีกร เป็นพรีเซ็นเตอร์อาหารเสริม ฯ
เธอเคยเป็นนางงามเหมือนกันครับ รู้สึกว่าจะได้รองอันดับ 1 น.ส.ไทยและขวัญใจช่างภาพในปี 2528
ผมอยากจะโม้อีกด้สยว่า ผมหนะ เป็นคนมีลางสังเห่า เอ้ย! สังหรณ์ จริงๆ
เพราะตอนสมัยที่ผมหัดทำงานสุจริตใหม่ๆ
ตอนกลางวัน ผมต้องเดินไปทานอาหาร (แปลว่าตอนนั้นจนมาก เงินค่ารถเมล์ยังไม่มีเลย 555)
ร้านอาหารที่ผมทานก็อยู่แถวสุขุมวิท-ทองหล่อ-เอกมัย-พระโขนง (เออ...สมัยนั้นชอบเดินไกลๆ อู้งานหนะครับ)
ใกล้ๆร้านอาหารมีร้านถ่ายรูป (ไม่รู้จะเล่าย้อนไปมาซะยาวทำไม)
หน้าร้านมีรูปนักศึกษามหาวิทยาลัย รูปใหญ่มาก ใส่กรอบเรียบร้อย และมี 2 รูปอีกด้วย
ก็เป็นรูปสาวสวยแต่งชุดเหมือนจะใช้ทำเอกสารของทรานซคริป หรือสมัครงาน
ผมแอบคิดว่า รูปนี้ทำไมยิ้มให้เราคนเดียวทุกวัน แหม...อยากเจอตัวเจ้าของรูปจัง ชักจะตกหลุมรักตามประสาคนหัวใจอ่อนแอ

แล้ววันหนึ่งก็ได้เจอตัวเป็นๆจริงๆของเธอครับ
ผมไปทานเลี้ยงงานมงคลสมรส เจ้าสาวระดับไฮโซของประเทศ...ก็ประเทศไทยนี่แหละ
ผมมีเพื่อนที่เป็นนายตำรวจใหญ่(ใหญ่ที่สุดในกลุ่มเพื่อนเท่านั้น) เขาบอกว่าจะแนะนำสาวให้ผมคุยเป็นเพื่อน
พอดีเธอมางานคนเดียวไม่มีเพื่อน(หรือเพื่อนติดงานอื่นมั๊ง) เขาขอฝากเธอที่โต๊ะที่ผมนั่งกับเพื่อนๆ
แล้วผมก็ต้องตกใจเพราะนางฟ้าคนนั้นคือ คุณ ลีลาวดี วัชโรบล
เธอไหว้พวกเราก่อนที่เราจะได้ทันตั้งตัวเสียอีก ยิ้มหวานมาก ผิวพรรณนางงามเป็นอย่างนี้เอง
ในใจอยากจะไล่สาวๆในโต๊ะเรากลับเข้าป่าให้หมดจริงๆ
แต่ไม่กล้า เพราะกลัวโดนตบด้วยจานเปลเซรามิคใบใหญ่กลางโต๊ะอาหาร 555
แล้วพวกเราก็แย่งกันคุยกับเธอ เธอยิ้มตลอดเวลา (ถ้าเธอแกล้งทำ ผมก็ว่าทำไมไหวหรอกเป็นชั่วโมงเชียวนะ)
ขากลับอย่างไรก็จำไม่ได้
เพราะผมคงเมาหรือโดนเพื่อนพาไปต่อที่ไหนก็ไม่รู้ สมัยนั้นผมชอบวูบแล้วไปโผล่มีสติสตางค์อีกที่แห่งหนึ่งเสมอ
จากนั้นก็ไม่ได้พบคุณลีลาวดีอีกเลย และเธอก็คงไม่อยากเจอผมด้วยแน่ๆ 555
เน๊อะ...ดารานิสัยดีก็มี ดาราที่มีโลกส่วนตัวสูงก็มี
พอดีผมไม่ได้เป็นโรคบ้าดารา ก็ไม่ต้องกังวลอะไรหนักหนา

ลป. ลืมไป (คำนี้น่าใช้กว่า ป.ล. = เปล่าลืม ???)
รูปที่โพสตมานี้สวยดี ขอบคุณมาก
แต่อย่ามาเอาชนะด้วยรูปแบบนี้เลย ผมไม่เปลี่ยนใจหรอก
ขอเป็นรูปนางฟ้าราตรีอย่างเก่าเถอะ ไม่อย่างนั้นมีงอนด้วย ชิชิ

เรื่องสุขภาพก็ระวังอยู่ครับ
ตอนเช้ามีน้ำมูกและจามบ่อยๆ
พอดีมีพี่สาวที่แสนดีบอกมาว่าให้เอาน้ำยาล้างเท้า เอ้ย...น้ำเกลือล้างแผล
ล้างโพรงจมูกได้ ลองทำดู ได้วุ้นลักษณะคาราเมลใสๆออกมาเป็นยวง ล้างข้างในจนหายใจคล่อง
พอสายๆอากาศอุ่นขึ้น ก็โล่งจมูก ปอดสดใส หัวใจสุขใส (เฮ้ย...เกี่ยวอะไรด้วยนะ)
ผมเป็นโรคแพ้อากาศ แพ้ฝุ่น ง่ายครับ
แปลกมากห้องนอนเป็นห้องแอร์
ใน 24 ชั่วโมงเราก็เปิดและปิดประตูแค่ 5-6 ครั้ง เปิดแล้วก็ปิดเลย
มีห้องน้ำในห้องนแนอีกด้วย ไม่ต้องเดินเข้าๆออกๆ
ทำไมฝุ่นถึงเต็มห้องก็ไม่ทราบ ไม่รู้ว่าฝุ่นมันแอบย่องเข้าห้องตอนไหน

พูดถึงโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
ขอโม้อีกแล้วครับ
ที่บริษัทเก่า (ก่อนที่ผมจะโดนไล่ออกหนะ) เขาทำคอนเท็คประกันสุขภาพที่รพ.นี้
ผมก็ไปหาหมอมาตั้งแต่เขายังซื้อที่ดินด้านในไม่ได้ จนเขาขยายซื้อที่ดิน ซื้อเอา ซื้อเอา
จนไปทะลุอีกซอย สร้างเป็นตึกจอดรถ (ที่ไม่ยอมมีลิฟท์) และก็เชื่อมโยงตึกโน้นตึกนี้
แต่ที่ชอบมั๊กมากก็คือ มีร้านแม็คโดนัล มีร้านอาหารญี่ปุ่น มีร้านกาแฟ ฯ
ธรรมดาร้านอาหารของรพ.นี้ก็มีอาหารอร่อยๆหลายอย่าง
แต่ีราคาสมกับความอร่อยนะครับ ไม่ใช่ข้าวราดแกง 15 บาทแน่นอน อย่างน้อยก็ 30 - 40 บาท
รพ.อื่้นจะมีร้านอาหารแบรนด์เนม-แฟรนไชส์ก่อนหน้านี้หรือเปล่า?
ผมก็ไม่ทราบ แต่ผมรู้ว่า ผมทานแม็คฯ ทานอาหารญี่ปุ่น ในรพ. ก็เป็นที่นี่้ แห่งแรกในชีวิต
เวลาไปเยี่ยมคนป่วย ก็คุยกันแค่ 5 นาที แล้วก็ชวนกันมาหาอาหารทานกัน เหมือนปาร์ตี้มีทติ้ง
บางทีก็ไปนั่งเล่นในห้องโถงซึ่งเหมือนล๊อบบี้ของโรงแรม รอเพื่อนหรือญาติที่ยังมาไม่ครบ
ทำให้การไปรพ.ไม่เป็นเรื่องน่าเบื่อ ไม่มีกลิ่นเหม็นๆของยาฆ่าเชื้อ
เวลรอหมอก็มีน้ำชาร้อน น้ำเย็น ใส่รถเข็นมาให้ดื่ม
เป็นการเปลี่ยนโฉมของโรงพยาบาลไปเลย
ญาติผู้ใหญ่ของแฟนผมเขาป่วยและนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเซ็นหลุยส์ครั้งละนานๆ
สมัยนั้นตึกใหม่ยังสร้างไม่เสร็จ มีแต่ตึกแฝดด้านหน้า ที่เป็นรูปทรงกระบอกคู่
โรงอาหารอยู่ด้านหน้่่าติดถนนสาธร อาหารไม่แพง แต่รสชาติไม่โดดเด่น
ยิ่งไปเห็นคนป่วยอาการแย่ๆ มาเจออาหารเรียบๆ พาลทานไม่ลง
แถมต้องแลกคูปองวุ่นวาย
555 วันนี้ออกนอกเรื่องไปเป็นเรื่องโรงพยาบาลได้ไง


ขอให้สุขภาพคุณมินแข็งแรงทั้งกายและใจด้วยนะครับ
ช่วงนี้อย่าทานหมากพลูมากนัก เดี่ยวจะเลอะปาก
เออ..ไม่ใช่ซิ เขาว่าบ้านเมืองเรามันเข้ายุค ข้าวยากหมากแพง ต่างหาก



MinDiva RoyalBlue 4169E1


โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 23 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:50:29 น.  

 
เชอะ ตอบแต่คนอื่น งอลลล

ว่าแต่ ทำไมบ๊อกนู๋เข้าม่ายได้อ่ะ แงงงงง ทำไมเซิร์ฟล่มมันก็ยังลำเอียง ล่มเป็นบางบ๊อกหว่า น้อยจายย มาบ่นสองวันแระ ไปดีฝ่า


โดย: นู๋ Beee น้องสาวจอมแก่น IP: 124.122.147.212 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2552 เวลา:14:47:59 น.  

 
ถึงพี่ลุงซูม

แหะ ๆ หายไปนาน ยุ่งจิง ๆ
เรื่องที่ถามนะคะ "สาวเหนือ"
เฉย ๆ อะ คำนี้เฉย ๆ จิง ๆ สมัยนี้ "สาวเหนือ" มักจะหมายถึงผู้หญิงทางเหนือ ขาว ๆ นิสัยดี ๆ ประมาณนี้รึป่าว ส่วนเรื่องตัวละคร อาจเป็นได้ว่าทางเหนือมีเรื่องราวแบบว่า รักรันทดเยอะรึป่าวคะ เลยทำให้บทที่มีต้องมีแต่น้ำตา (เศร้า) 55

อีกอย่าง ๆๆ หนาวแล้วค่ะ หนาวมั๊กมาก

ถึง หนูบี
หลินก็เป็นอีกคนค่ะ ที่ชอบเรื่อง Love Actually มาก ๆ
ดูกี่ที ก็ไม่เบื่อค่ะ หนังน่ารัก มีมุมมองของความรักหลายแง่ดี อยากให้ดูอีกเรื่องกันค่ะ ไม่รู้เคยดูกันรึยัง A Beautiful Mind หลินว่านะ คนที่เป็นข่าวดัง ๆ ตอนนี้อะ ต้องเป็นโรคเหมือนในเรื่องนี้แน่เลย คล้าย ๆ กับแยกโลกของความจริง กับโลกของจินตนาการไม่ออก เอามาปนกัน ถ้าเค้าเป็นโรคนั้นจิง ๆ ก็น่าสงสารอยู่ ต้องรีบรักษาเป็นการด่วน

ไปล่ะ ทำงานก่อน
แวะมาทักทาย บับบุย


โดย: หนูหลิน IP: 118.172.30.238 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:39:55 น.  

 
To "นู๋ Beee"

เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอเซิร์ฟเวอร์แบบนี้

"ขออภัยค่ะ ด้วยข้อมูล Blog ของเว็บที่ขึ้นต้นด้วย 0 ถึง 9 และ a ถึง l (แอล) ขัดข้อง ทางเว็บกำลังเร่งแก้ไขอยู่นะคะ"

ทำให้เสียวๆว่า ข้อมูลจะหายหมดหรือเปล่า
ตอนนี้พี่เลยต้องรีบเก็บสำเนา Blog ที่ save เป็น draft เอาไว้อย่างอกสั่นขวัญแขวน
ดีนะว่าของพี่เป็น Z.....
แหมกินมาถึงตัว แอล เลย
เออเน๊อะ....คนที่ log in ตั้งต้นตัวเลขก็หมดสิทธิ์ไปเลยเน๊อะ

แล้วมาบ่นว่าตอบแต่คนอื่น
ก็ของเรา เข้ามาบ่นๆๆ แล้วก็ไป
จะคุยอะไรต่อได้อีกหละ เรื่องดอยก็คุยไปแล้ว
หรือจะให้คุยเรื่องทอม นักร้องดาราคนนี้ไม่รู้จักเท่าไหร่หรอก
เห็นว่าเล่นหนังที่ติ๊กบิ๊กบราเธอร์เล่นทางทีวีตอนเย็นๆอยู่เรื่องหนึ่ง
นอกนั้นไม่เห็นมีข่าวอะไรเลย
เขาว่าเขามีกิ๊กทุกจังหวัดหรือไปเที่ยวอย่างว่าทุกจังหวัดหรือเปล่า
ผู้หญิงที่ไหนจะวิ่งเข้าหาผู้ชายได้อย่างนั้น
พูดซะสาวไทยไม่มีราคาเลยพี่ทอมของเธอเนี๊ยะ

นี่ไง ยายหนูหลินเอาหนังมาคุยแล้วไง
แล้ว Love Actually ใครนำแสดง
ยังมีเรื่อง A Beautiful Mind อีกใครเล่นเป็นพระเป็นนางกันหละนี่

BeeTuss Fuchsia FF00FF


โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 23 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:55:53 น.  

 
To "หนูหลิน"

อือ...ที่ถามเรื่องสาวเหนือ ก็เพราะว่าคิดว่าจะต้องตอบแบบนี้
กาลเวลาผ่านไปแค่ 30 - 50 ปี ความคิดของคนก็เปลี่ยนไป
เมื่อก่อนความคิดของคนก็คงมาจากพวกภาพยนต์หรือนวนิยาย

เรื่องลานสาวกอด ก็เห็นมีคนออกมาอธิบายกันอยู่หลายที่
อันไหนจริง อันไหนแก้ตัว อันไหนมั่ว พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน
รู้แต่ว่าประเพณีเก่าๆเมื่อ 1,000 ปีมาแล้ว
ไม่ว่าทางเหนือ ทางใต้ ทางเขมร นั้นมีอะไรพิลึกมากมาย

ก็อย่างที่ฝรั่งครั้งเข้ามาล่าดินแดนได้ถ่ายรูปและเขียนรายงานไปให้กษัตริย์ในประเทศของเขา
ว่าเมืองเรานั้นเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน
เมื่อ 60-70 ปีก่อนสาวเหนือไปกาดยังนุ่งแต่ผ้าถุง เสื้อผ้าข้างบนไม่ใส่กันเลย
เคยเห็นเขาเอารูปมาลงในเน็ทนี่แหละ ฝรั่งช่างไปหารูปมาลงได้จริงๆ
วันนี้บ้านเราเขาพัฒนากันหมดแล้ว
ไม่นึกว่ามาวันนี้เมืองนอกมีอะไร เมืองไทยก็มีเหมือนๆกัน
บ้านเราไม่ทันเขาก็เรื่องเทคโนโลยี่เท่านั้น
อย่างกระสวยอวกาศเราตายไปแล้วประเทศเราก็ไม่ทันได้สร้างหรอก
แต่ยาบ้า ยาอี ยาไอซ์ ยาเสพติดรุ่นใหม่ๆ พี่ไทยเราเสพเราขายกันเป็นหมดแล้ว

มีสมัยหนึ่ง พี่เคยไปเรียนที่ม.รามฯ
เวลาเพื่อนชวนไปหาโต๊ะนั่งระหว่างรอเรียน
ถ้าให้เลือกระหว่างโต๊ะคนเหนือ กับโต๊ะคนอีกภาคหนึ่ง
ทุกคนคิดเหมือนกันว่า ไปคบคนเหนือปลอดภัยกว่า
แต่ไม่รู้ว่าเหตุผลของแต่ละคนจะว่าอย่างไรกันนะ
สำหรับพี่ พี่คิดว่าคนเหนือใจเย็น ใจดี ซึ่งเป็นการคิดคาดคะเนของตัวเองโดยไม่มีอะไรเป็นหลักการหรอก
คนเราก็ย่อมมีนิสัยแตกต่างกันไป ใครจะมาเป็นคนดีสุดขั้วหรือชั่วสุดขีดได้อย่างไร
ดูอย่างพี่นี่ไง เช้าเป็นคนดี พอตกดึกกลายเป็นจิ้งจอกราตรีได้ 555

ทุกวันนี้คนภาคไหนก็มีดี มีดีมาก มีดีน้อย ปะปนกันไป
ใครที่ยังเลือก ยังแบ่งเป็นคนภาคนั้นภาคนี้ ก็ทำให้เกิดการแบ่งพวกได้เหมือนกันนะ
แต่จะไปห้ามอะไรเขาหละ สิทธิเสรีภาพของเขานี่เน๊อะ
เคยไปถามคนตามหอพักในกรุงเทพนี่แหละ
ก็แปลกดีว่า แต่ละหอก็มีคนแยกเป็นภาคๆเหมือนกัน
แต่คิดว่าบังเอิญไปเจอแบบนั้นมากมากว่า
เรื่องนี้ต้องให้เอแบคทำโพลส์ให้เสียแล้ว 555

LinPann MediumVioletRed C71585


โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 23 พฤศจิกายน 2552 เวลา:17:16:35 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณซูม ไม่ได้แวะมาหลายวัน พอมาแล้วต้องนั่งแช่อยู่ในบล๊อตซะนาน ไม่แค่อ่านเนื้อหาในบล๊อคอีกรอบ แต่ไล่อ่านเม้นท์ด้วย กว่าจะจบก็ใช้เวลานานซ้าาา แต่ก็เพลินดีแถมฮาด้วย

เคยไปเชียงใหม่อยู่หนนึง ตอนยังเรียนอยู่มัธยมปู้น สภาพแวดล้อมยังสงบเงียบ ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส ชอบสำเนียงของคนเมือง ถึงจะฟังออกมั่งไม่ออกมั่งแต่รู้สึกเย็นหูดีค่ะ

ไม่รู้ว่ามีคนรู้สึกเหมือนเราหรือเปล่า ที่ช่วงหลัง ๆ มานี้ เมืองเชียงใหม่น่าเที่ยวน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นสภาพของเมืองที่คล้ายกทม.เข้าไปทุกที แถมคนเสื้อแดงที่ชอบใช้ความรุนแรง อันนี้อาจเข้าใจผิดก็ได้ เพราะไม่ได้ไปเห็นด้วยตาแต่อ่านจากข่าวอย่างเดียว

อากาศเย็นลงทุกที คุณซูมระวังจะไม่สบายนะคะ


โดย: haiku วันที่: 25 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:14:24 น.  

 
เครดิตที่ให้ ให้ไว้ตั้งแต่ ---> Create Date : 07 พฤษภาคม 2550 แล้วค่ะ

มิใช่เพิ่งให้นะคะ

ที่ Update ก็แค่รูป กับ Line เฉยๆ ค่ะ


โดย: aquaworld วันที่: 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:17:40 น.  

 
ปล. เขียนอะไรย๊าววววยาว อ่านไม่ไหวค่ะ ขอแบบรูปเยอะๆ ตัวหนังสือน้อยๆ ได้มั๊ยคะ


โดย: aquaworld วันที่: 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:20:07 น.  

 
To "haiku"
สวัสดีครับ คุณไฮกุ
อากาศหนาวบ้างร้อนบ้างในสัปดาห์เดียวกัน
เล่นเอาผม ต้องทานยาแก้แพ้อากาศทุกวัน
พอทานแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ มันอยากนอนทั้งวัน
ส่วนยาที่ทานแล้วไม่ง่วงก็เอาไม่อยู่ แถมมีน้ำมูกและไอมากกว่าเก่าเสียอีก
ต้องเล่นยาอย่างประเภท น๊อคเอาท์เซลล์ ทานแล้วหลับเป็นน้องปุ๋ย ถึงจะเวิร์ค
ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ
ขอให้คุณไฮกุแข็งแรง มีสุขภาพกายใจสมบูรณ์ดีนะครับ

555 Blog นี้เป็นบล็อกล็อคคอแขกครับ
โหดกว่าคาราโอเกะที่เขียนบิลล์ใบละหมื่นอีกครับ
ต้องเข้ามาอ่านตอนว่างๆหรือเลิกงานไปแล้ว
มีคนบอกว่าเหมือนหลงเข้ามาในร้านกาแฟที่เจ้าของร้านพูดไปชงโอเลี้ยงไป
พูดแต่มุมของตัวเองแบบนอกกรอบ จนลูกค้าในร้านต้องออกเสียงเถียงเถ้าแก่ซะบ้าง 555

ผมเห็นด้วยกับคุณไฮกุนะ
เชียงใหม่ชักจะเป็นเมืองกรุงมากไปหน่อยแล้ว กลิ่นอายล้านนาจางลงไปเรื่อยๆ
เหมือนอย่างที่ผมเอาเรื่องของหอเอนเมืองพิซา (Leaning Tower of Pisa) มาโม้เอาไว้ในคอมเมนท์
ว่าพวกอิตาเลี่ยนเขาไม่ยอมให้สร้างหรือทำอะไรรบกวนพื้นที่ท่องเที่ยวเลย

ผมขอถือโอกาสตอบคอมเมนท์นู๋บีอีกนิดตรงนี้ว่า
เมืองปิซา นั้นอยู่ติดกับเมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งก็เป็นเมืองโบราณที่สำคัญเหมือนกัน
ผมลองค้นหาข้อมูลดูว่าทำไมต้องปกป้องเมืองปิซากันด้วย
ก็ได้ข้อมูลมา(แต่อาจจะไม่ใช่เหตุผลของจริงก็ได้นะ)
คือว่า ตรงนี้ทาง UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกเอาไว้เมื่อปี ค.ศ.1987
มีตั้งแต่ จตุรัสดูโอโมแห่งปิซา, มหาวิหารปิซา, หอศีลจุ่มเมืองพิซา,
หอเอนเมืองปิซา, และ สุสานนักบุญ Campo Santo
เมืองนี้เลยได้รับการปกป้องด้วยมาตรการอย่างดี
ขนาดรถทัวร์ยังต้องให้ไปจอดนอกโลกโน้นเลย
แล้วถนนในเมืองก็แค่รถสวนกันสองช่องทางเท่านั้น

ทำไมไม่มีใครช่วยเมืองเชียงใหม่
แต่กลับทำถนนยกระดับ สร้างโรงแรมสูงเสียดสวรรค์ ในเมือง
ผมขอเสนอซ้ำซากอีกครั้งว่าให้ย้ายของที่ไม่ได้มีอายุ 100 ปี ออกไปจากใจกลางเมืองให้หมด
ออกไปสร้างเป็นคอมเพล็กซ์อีกฝั่งของเมืองก็ยิ่งดี
ใครจะเที่ยวค่อยนั่งรถตู้เข้ามาดูเมือง ดูวัด ไหว้พระ ฯ
เรืองนี้เห็นกันชัดๆที่จ.อยุธยา เช่น บริเวณติดกับวัดหลวงพ่อมงคลบพิตร
ทางราชการย้ายเต็นท์ขายของออกไปหมด ให้รถทัวร์มาจอดด้านหลัง
เดินนิดหน่อย ไม่เห็นมีใครตายเลย ภูิมิทัศน์ดูดีขึ้นเยอะ
โหดก็จริง แต่เป็นการรักษาโบราณสถานเอาไว้ได้อีกนาน

คุณไฮกุครับ คุยเรื่องการเมืองกับผมได้นะครับ
เรื่องเสื้อแดงที่เราเห็นจากสื่อ แล้วคุณไฮกุทิ้งช่องเอาไว้ว่าเราอาจจะเข้าใจผิดก็ได้
อันนี้ ผมต้องขอชมว่าคุณเป็นคนที่รอบคอบมาก เป็นผู้ใหญ่ที่มองกว้าง ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ
สื่ออยู่ในมือของรัฐ ก็ย่อมเกรงใจรัฐ และยุคนี้สื่อมักจะมีอารมณ์ร่วมกับข่าวเสียด้วย 555
สือก็ยังมีสีกันได้เลย สุดยอดประเทศไตแลนด์จิงๆ
เรื่องสีไหนถูก สีไหนรุนแรง สีไหนรักชาติ ผมว่าอย่าหาคำตอบเลย ไม่ได้อะไรมากมาย ไม่อิ่มท้องอีกต่างหาก
เราเป็นประชาชน เราควรรู้แต่ว่าการออกไปประท้วงนอกจากทำลายระบบธุรกิจแล้วยังจะพาให้ชาวบ้านเสียชีวิตฟรีๆอีกด้วย
เพราะนับวันจะไม่ใช่การตั้งเวทีปราศรัย แต่เป็นการยึดสถานที่สำคัญๆ มีการต่อสู้และแอบทำร้ายกันและกัน อย่างโหดเหี้ยมมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่ไหนมีม๊อบ เราชาวบ้านๆ ต้องหลบเป็นดีที่สุด โดนจรวดติดหัวระเบิด ก็ตายฟรี หาความสงบไม่ได้เลย

เรื่องเชียงใหม่นี่น่าสงสารมาก
เมื่อสัปดาห์ก่อน กลุ่มนักธุรกิจเชียงใหม่ออกมาประชุมกัน (ก่อนที่เสื้อแดงจะบอกว่าเลื่อนรวมตัวไม่มีกำหนด)
เขาให้ข้อมูลว่า เมื่อปีที่แล้ว เชียงใหม่มีมีคำว่า high season เลยทั้งปี
การค้าไม่คล่อง ไม่มีใครกล้าลงทุนทำอะไร เพราะกลัวขาดทุน
การท่องเที่ยวป่นปี้
โรงแรมไม่ต้องเปิดแอร์ เพราะพนักงานยืนหนาวสั่นกันเกือบตลอดปี ไม่รู้ว่าจะปิดกิจการวันไหน
ทางภาคใต้ โรงแรมของพวกเขาโดนสึนามิ ทั้งพังพินาศและสยดสยอง
แต่นั้นเกิดแค่วันเดียว แล้วทุกคนก็ต้องปรับตัวปรับใจให้ได้ จนวันนี้ก็ค่อนข้างลงตัว
แต่ที่เชียงใหม่ เหมือนมีสึนามิซัดเข้ามาวันแล้ววันเล่า
นักธุรกิจเชียงใหม่อยากให้คนในบ้านเมืองหยุดทะเลาะกันเสียที

การท่องเที่ยวในภาคเหนือหรือล้านนา ตอนนี้หยุดขยายการเติบโต
เหมือนคนปลูกข้าว ปักดำไปแล้ว แต่ฝนขาดช่วง ท้องฟ้ามีแต่แดดเปรี้ยงๆ
ภาคเหนือขาดปัจจัยเสริมหลายอย่าง ทั้งๆที่ไม่ยากที่จะสร้างหรือหามาเตรียมไว้เลย

เรื่องการสื่อสาร ก็ไม่น่ามีปัญหา เทคโนโลยี่มารอแล้ว ขาดคนมีเงินลงทุน แต่คนคอยแย่งผลประโยชน์มีมากมาย

เรื่องเส้นทางคมนาคม อันนี้ยังน่าเป็นห่วง ถนนใหญ่มีมากพอสมควร แต่ถนนเข้าแหล่งท่องเที่ยว ยังแย่มากๆ
อันนี้ก็เห็นใจเพราะเป็นที่สูง เป็นภูเขา เป็นทางขุึ้นเขา สูงชัน ต้องสร้างถนนด้วยวัสดุมีคุณภาพ
ช่วงเทศกาล พอรถติดช่วงปากทางเข้าออกแหล่งท่องเที่ยว ถนนใหญ่ก็เป็นอัมพาต
เช่น บนดอยอินทนนท์ ช่วงฤดูท่องเที่ยวรถติดกันยาวเหยียด
แถมพวกสองแถวก็ถือโอกาสขูดรีดเงินนักท่องเที่ยวโดยโก่งราคามากกว่าปกติ 2-3 เท่า
ที่ยุโรป เขากล้าลงทุนเจาะอุโมงค์ทะลุภูเขา ขับรถผ่านอุโมงค์นานขนาด 15 -20 นาทีกันเลย
แต่ร่นระยะทางได้ 100 - 200 กม. แถมไม่ต้องขึ้นเขาเก้าร้อยเก้าสิบเก้าโค้งอีกด้วย
ประหยัดน้ำมัน ประหยัดพลังงาน เอาจำนวนรถมาคุณกับความประหยัด 5 - 10 ปี ก็เท่ากับค่าใช้จ่ายแล้ว
คนไทย ใครจะกล้าทำอุโมงค์กันบ้าง อยากเห็นหน้าจัง

เรื่องน้ำ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ คนมักจะคิดว่าไปเที่ยวสงกรานต์หรือไปดูทะเลหมอกหน้าหนาวนั้นเป็นเรื่องดีที่สุดในชีวิต
แต่หารู้ไม่ว่า มันไม่มีน้ำให้อาบ ดื่ม กิน ในหน้าร้อนหรือหน้าหนาว
บนดอยยังขาดการบริหารจัดการเรื่องน้ำ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเป็นหมื่นเป็นแสน
โครงการฝายเล็กนั้นช่วยได้มาก ทำให้มีน้ำใช้ในหน้าแล้ง เป็นเพราะเรามีในหลวงที่ทรงห่วงใยพวกเราจริงๆ
ภูเขาทางเหนือมีเยอะ แหล่งน้ำมีมากมาย แต่ไม่มีใครมากักเก็บน้ำและทำให้เป็นน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค
นักท่องเที่ยวถึงต้องเข้ามาตั้งหลักกันในตัวเมืองเชียงใหม่ เพราะน้ำท่าสมบูรณ์กว่าที่อื่น
โรงแรมหรูๆก็ไม่กล้าออกไปตั้งไกลตัวเมือง นี่คือเหตุที่ทำไมเขาต้องมาสร้างตึกสูงๆเพิ่มในใจกลางเมืองเชียงใหม่กัน
พอมีคนมาอยู่เยอะ ปัญหาเรื่องขยะและมลพิษก็มากขึ้น การจราจรแออัด
เมืองเชียงใหม่ ไม่น่าจะมีคำว่า รถติด แต่ก็มีจนได้เพราะเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าขายด้วย
และเรื่องรถเมล์-รถประจำทางในเชียงใหม่ ก็คงต้องยอมแพ้ รถสองแถวและสามล้อเครื่อง เจ้าถิ่น
ออกมารอรถเมล์สามสุนัขหาวก็ไม่รถมาเลย ต้องจำใจใช้บริการสองแถวนี่แหละ

คนบริหารประเทศต้องเข้ามาดูและช่วยเหลือโดยด่วน
ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปอีก 10-20 ปี ก็คงหมดปัญญาเยียวยากันแล้วหละ
ผมลองเข้าเว็บของกลุ่มคนล้านนา พวกเขาก็บ่นและเป็นห่วงเชียงใหม่มาก
ปัญหาเรื่องการปลูกสิ่งก่อสร้างรุกล้ำและขวางทางลำน้ำปิง ก็ไม่มีใครกล้ายุ่งแบบจริงๆจังๆ
พวกโบราณสถานที่ผุพังตามกาลเวลาก็ไม่มีใครรีบเข้ามาป้องกันพื้นที่
ชาวบ้านก็รุกเข้าไปเรื่อยๆ จนวัดโบราณที่เคยมีชื่อเสียงในอดีตเหลือพื้นที่เท่าโรงเจเล็กๆ

มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ว่า แปลกแต่จริง ของล้านนา
คือ ไม่ค่อยมีข่าวโจรเข้ามาตัดเศียรพระหรือขโมยของในวัดมากเหมือนทางภาคกลางเลย
เหตุผลอย่างใด ผมไม่มีข้อมูล หรือเรื่องที่จะเดาได้
หรือจะเป็นเพราะบารมีของครูบาศรีวิชัย ที่ยังคงทำให้ศาสนาพุทธยังคงเข้มขลังบนแผ่นดินล้านนาได้นานแบบนี้

DarkGreen 006400




โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:58:28 น.  

 
ขอเสริมพี่ลุงซูมหน่อย เรื่องขยายถนน เรื่องการปรับปรุงผังเมืองเชียงใหม่ โดนคัดค้านไม่น้อยเลย จากชาวเชียงใหม่ค่ะ
ถ้าใครมาเชียงใหม่จะเห็นป้ายติดไว้เยอะมากเลยค่ะ ว่าขอคัดค้านการขยายถนน ประมาณนี้ ขอสนับสนุนเรื่องเชียงใหม่เหมือนเมืองกรุง เห็นด้วยจิง ๆ ค่ะ รถเริ่มติด คนเริ่มเยอะ ธุรกิจมากมาย ไปดีกว่า กะลังอบรม แว็บ ๆ คิคิ ไปล่ะ ๆ วิทยากรแอบมองแล้วว่ามันพิมพ์อะไร คิคิ

โฮะ ๆๆๆ บับบุย


โดย: หนูหลิน IP: 113.53.21.65 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:25:16 น.  

 
To "นู๋ Beee"
เรื่องหอเอนเมืองปิซาจะล้มหรือไม่

คำตอบคือต้องล้มแน่นอน (แต่อีกนาน 555)

หอนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1173
แล้วสร้างเสร็จกันจริงๆในปี 1350 (177 ปี เชียวนะ)
แต่ในปี 1272 พวกเขาก็รู้แล้วว่ามันจะเอน เพราะพื้นดินเป็นดินทรายที่อยู่บนโคลนเลนโบราณที่นิ้มนิ่ม
ความจริงมีหอเอนและหอล้มในโลกนี้อยู่หลายแห่ง แต่พอมันล้มมันก็หมดชื่อไปเอง
พวกช่างก็ได้รีบแก้ให้มันตั้งตรง 90 องศาให้ได้ แต่ยังหาวิธีทำไม่ได้เลย ต้องหยุดแค่ชั้น 3
เพราะดันไปแต่เจอสงครามโลกเสียก่อน เลยหยุดสร้างไป แล้วก็กลับมาสร้างต่อใหม่จนเสร็จ

ในปี 1934 มุสโสลินี พยายามจะแก้ปัญหาหอเอนนี้ โดยให้คนเอาปูนซีเมนท์มาเทรอบฐาน
ซึ่งเป็นการกระทำแบบเผด็จการขาดความรู้ คนที่รู้ก็คงไม่กล้าห้ามเพราะไม่อยากโดนยิ่งเป้า
การเทปูนที่ฐานเท่ากับเป็นการเพิ่มน้ำหนักของหอ ดินก็แสนจะอ่อน
หอจึงเอนหนักลงไปอีกหลายองศา
ทั้งนี้เพราะแต่เดิมช่างไม่ได้สร้างหอให้เอนเอียงนี่หน่า
วัสดุที่ใช้ก่อสร้างก็สมมาตรและสมดุล
เว้นจะมีระฆังที่อาจจะน้ำหนักไม่สมดุลกันไปบ้าง (มีหลายใบนะ)

ในวันที่กองทัพสหรัฐฯบุกอิตาลี
พวกนาซีขึ้นไปใช้หอนี้เป็นจุดสังเกตการณ์ของกองทัพเยอรมัน
พวกอเมริกันก็ได้ข่าวจากหน่วยสอดแนมมาเช่นนั้น
แต่แม่ทัพสหรัฐ(สงสัยจะเป็นนายพลไอเซนฮาวร์)สั่งทหารว่า ใครยิงโดนหอเอนปิซาจะโดนลงโทษหนัก
ทั้งนี้เพราะตอนนั้นอิตาลีเหมือนประเทศที่ถูกมุสโสลินียึดมาได้ด้วยการโค่นอำนาจพระเจ้าวิคเตอร์เอมมานูเอลที่ 3
หอแห่งนี้เลยไม่ต้องเป็นเป้าซ้อมกระสุนปืนใหญ่ของรถถังของฝ่ายสัมพันธมิตร

ปี 1964 รัฐบาลอิตาลี เอาก้อนตะกั่ว(หรืออาจจะเป็นโลหะอย่างอื่นนะ) หนักรวมๆกันได้ 800 ตัน เอามากดค้ำหอในฝั่งตรงข้าม แต่หอก็ยังเอนลงไปเรื่อยๆ

ปี 1990 ทีนี้ช่างได้ลงทุนขุดดินใต้ฐานออกมาแล้วเปลี่ยนดินแข็งๆเข้าไปแทนด้วยปริมาณถึง 38 ลบ.ม.
เท่ากับหลุมกว้าง ยาว ลึก 3.35 เมตร

ในปี 2001 ก็มีประกาศว่าหอเอนหยุดเอนแล้ว เชื่อว่าอีก 300 ปีก็ยังไม่ล้มลงมา

แต่ในปี 2008 หลังจากที่มีอีกทีมเข้าไปขุดดินออกมาเปลี่ยนใหม่อีก 70 ตัน
คราวนี้ออกมาการันตีว่าไม่เอน ไม่ล้ม แต่ก็การันตีเอาไว้แค่ 200 ปีเท่านั้น
สาเหตุที่กำหนดแค่ 200 ปี ก็เพราะปัญหาโลกร้อน
ฝนตกในพื้นที่มากผิดปกติ ดินชั้นล่างอาจจะมีการเลื่อนไหลออกหรือยุบตัวไปก็ได้
และคาดว่ากระแสลมที่พัดผ่านหอ จะแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเขากลัวลมที่จะมาทางด้านตรงข้ามฝั่งที่เอนลงไป
นี่แหละหนา เรื่องโลกร้อน ดันมาเกี่ยวกับหอเอนได้

fuchsia FF00FF


โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:50:31 น.  

 
To "aquarworld"
อ้าว...ให้เครดิตกันมานานตั้ง 2 ปีเลยเหรอ
แล้วปีนี้ต้องอายุ(บัตร)เครดิตหรือเปล่า?
คิดค่าธรรมเนียมปีละเท่าไหร่?
ถ้าแพง เราไม่ทำเครดิตต่อนะ
ไม่ต้องมาให้กันเลย ตอนนี้ไม่อยากมีเครดิต 555

คุณฮุ้งครับ
บล็อกนี้ เราบริการแบบภัตตาคารห้าดาวครับ
คุณต้องโทรมาจองคิว
เวลามาถึง ก็ต้องเข้ามานั่งใจเย็นๆ
ฟังเพลง อ่านเมนูไปเรื่อยๆ
เพราะว่านโบยายของเรา
สาเกต้องอุ่น เบียร์เป็นวุ้น
ไวน์ต้องเย็น แชมเปญต้องแช่ถังไม้โอ๊ค
แล้วคุณต้องรอให้ จขบ เดินเข้ามาคุยเอง
ถ้าจะเอาแบบดูรูปเยอะๆจากเมนู แล้วสั่งอาหารเลย
ไปโน่นเลยครับ ร้านฝั่งตรงข้ามโน้น
เขามีร้านไก่ ร้านแฮมเบอร์เกอร์ เปิดใหม่
อันนั้น ในร้านมีรูปเยอะ อาหารตาอาหารใจสั่งได้รวดเร็ว
อย่ามาทำให้อารมณ์เสียนะยะ

aquaworld navy 000080


โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:09:55 น.  

 
To "หนูหลิน"

น้องหลินขา
ถนนสายจากเชียงใหม่ไปลำปาง-ลำพูน
ที่มีต้นไม้ใหญ่ๆ อยู่สองข้างทาง
เขาไม่ยอมให้ขยายถนนใช่หรือเปล่า?

แล้วเขาทำถนนสายอื่นทดแทนหรือยัง?
เส้นนั้นค่อนข้างแคบนะ
ยิ่งตอนกลางคืน ก็น่ากลัวเอาเรื่องเหมือนกันนะ

พี่เคยไปเที่ยวเชียงใหม่
ดิ้น(dance)กันจนบาร์ จนเทค จนผับ ปิดหมด
ขากลับต้องมานอนกันที่ลำปาง
เลยเช่าเหมาสองแถวกัน ต้องจ่ายเหมาให้เขาเป็นค่าน้ำมันขากลับด้วย หุหุ
พอมองออกไปด้านหลังรถ ตอนตีสองกว่าๆ
ไม่มีรถวิ่งบนถนนเลยซักคัน
แล้วจู่ๆ ทำไมเห็นเป็นเงาคนอยู่หลังต้นไม้ก็ไม่รู้
พวกที่นั่งมาท้ายรถก็มองเห็นเหมือนๆกัน
ไม่มีใครคุยกันเลย นั่งก้มหน้าเงียบ
เงียบกริบพร้อมเพรียงกัน เพราะกลัวว่าถ้าทักว่าเห็นคน (ตอนตีสองนี่นะ)
เดี๋ยวจะมีแขกขึ้นมานั่งในรถทันที
พอถึงที่พัก ต่างคนต่างแยกย้ายไปนอน
ตอนเช้าค่อยตื่นมาเมาท์ว่าฉันก็เห็น เธอก็เห็นเหรอ?
ขนลุกกันซู่ซ่าเลย

LinPann MediumVioletRed C71585


โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:25:07 น.  

 
Tags Maker is a Text Image Generator to write Messages, Comments or Tags on Pictures

หวัดดีค่ะเฮีย ฮ่า ๆ ๆ
อ้าว..ตกลงว่าเชียร์ด้วยอีกคนเหรอไงคะ ฮ่า ๆ ๆ
แต่ สงสัยจะเชียร์กันไม่ขึ้นอ่ะนะ
ใจมันไม่ไป มันไม่วูบวาบ ๆ เลยอ่ะจิ
แล้วก้อ ค่อนข้างเชื่อเซ๊นท์ของตัวเองอ่ะ ฮ่า ๆ ๆ
ถ้ารู้สึกใจเต้นเมื่อไรละก็ ต่อให้ไม่มีใครเชียร์
ก้ออาจจะใส่เกียร์เดินหน้า ลุยอย่างเดียวก้อได้อ่ะนะ
ติดเชื้อโฉด โหด พร้อมลุย จากบ้านนี้แล้วจิคะ ฮ่า ๆ ๆ
ปล. วันนี้ วันสุข มีความสุขมาก ๆ นะคะ


โดย: มินทิวา วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:8:21:30 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่ชาย ^_^

หายไปหลายวันเพราะงานเยอะค่ะ หัวฟูมากมาย งุงิ แถมไดอารี่ส่วนตัวที่พิมพ์อยู่ทั้งคืน ดั๊นหายไปอีก แจ้งพันติ๊บแว๊วเขาก็บอกไม่เจอข้อมูล เลยกู้ให้ไม่ได้ เพราะวันที่เราอัพไปมันพอดี๊ พอดีกับที่บ๊อกเจ๊งช่วงนั้นพอดี ซวยเลย *-* แงงง เลยเซ็งไปหลายวัน เหอะ ๆ

วันนี้อัพบ๊อกใหม่แว๊ว เดี๋ยวอาทิตย์หน้าคงอัพอีกบล๊อกเป็นบล๊อคสุดท้ายก่อนไปต่างจังหวัด เตรียมไว้แล้ว รอเวลาลงอย่างเดียวค่ะ งิงิ

มีเรื่องเม้าท์เยอะเลยค่ะพี่ชาย แต่ขี้เกียจพิมพ์ อิอิ

แวะมาบอกว่าคิดถึงนะคะ จุ๊บ ๆ ๆ


โดย: นู๋ Beee เองค่ะ IP: 118.174.102.244 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:29:18 น.  

 
ขอโทษนะคะ....
เพิ่งเห็นโฆษณาที่ลงให้
ตอนวางบิลสงสัยไม่มีจ่าย


โดย: premier place IP: 124.121.207.12 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:23:24 น.  

 
To "นู๋ Beee"
นึกว่าหายไปเพราะสมรักสมรสสดชื่นรื่นเริงใจ
จนลืมกันเสียแล้ว
สมาชิกที่นี้ ถ้าหายไปเลย 7 วัน เราลบแฟ้มประวัติเลยนะ 555

ตอนแรกนึกว่า Bloggang จะถึงกาลเวลา format กันใหม่ ซะแล้ว
จริงๆล้างไพ่ใหม่ก็ดีนะ
คนที่ได้คะแนน view สูงสุดนี่ พี่ว่าพี่ไปเกิดใหม่อีกสามครั้งก็ยังไม่มีใครชนะเขาได้

มีงานทำหนะดีแล้ว
ดูอย่างพี่ซิ หางานสุจริตทำมาหลายปี ยังหาไม่ได้
ต้องมาอยู่สาขาอาชีพมืดมิจ

คิดถึงเหมือนกันจ้า
BeeTuss Fuchsia FF00FF


โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:14:50:43 น.  

 
To Premeir Place

มีคนบอกว่า การโฆษณาใน internet
1 view ได้ 1 บาท
ตอนนี้ผมสะสมได้เกือบหมื่นแล้ว
เอาไว้ครบแสนจะเอากลองยาวแห่ไปวางบิล
แต่ผมไม่เอา VAT นะ ขอใต้โต๊ะแบบเต็มๆก้อน
ผมไม่อยากเสียเงินร้อยชักเจ็ด หรือชักสาม
เห็นคนที่ย่านพันธุ์ทิพย์ ตะวันนา และซีค่อน
เขาซื้อคอมฯ ซ่อมคอมฯ ก็ไม่เห็นมีใครจ่าย VAT กันซักกี่คนเลย
คนทำงานแทบตาย ทำไมต้องแบ่งให้ส่วนกลางด้วย

ได้เงินมาหนึ่งแสนจะเอาไปซื้อทองซัก 5 บาท ใส่อวดสาวๆซะหน่อย
หวังว่าจะไม่ถูกนายหญิงริบทรัพย์นะ

DarkGoldenRod B8860B


โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:04:28 น.  

 
To มินทิวา

เปล่าเชียร์ซะหน่อย
ลองอ่านดูอีกรอบซิ
พยายามเขียนค้าน แต่ไม่อยากมาแนวโฉ่งฉ่าง
เพราะกองเชียร์นับรองเท้าแล้วเกิน 30 คู่
เลยต้องเขียนนิ่มๆ

บรรทัดหลังๆนะแหละ
คือ ให้ตรองดูอีกที (อย่าฟังเสียงปรบมือของกองเชียร์มากไป)

เรื่องนี้มันไม่ยากเลย
แค่ไม่เจอ ไม่เห็น แล้่วเฉยๆ
อยู่ใกล้แล้วอึดอัด หงุดหงิด เฉยๆ
ก็ได้คำตอบแล้ว

จริงๆแล้ว เคสของมิ้นท์ น่าจะมีอะไรซับซ้อนกว่านี้หลายเรื่อง
คนนอกก็ทำเป็นเชียร์ซะหนุกหนาน
ถ้าเกิดได้แต่งกับคนมีปัญหาทางจิต แต่คงไม่โชคร้ายขนาดนั้น
ประเภทออกลายเมื่อสายเกินแก้
เจ้าพวกกองเชียร์จะช่วยทำอะไร
เอายาแดงใส่สำลีทาแผลให้เหรอ 555

แต่ก็อย่าโหดเกินไป ตัดบัวต้องเหลือเยื่อใย
ตัดค่าน้ำค่าไฟ ก็ต้องยอมให้เขาต่อมิเตอร์ใหม่ได้
คนที่ผิดหวังในสิ่งที่ไม่ได้ มีอยู่ 2 พวก
พวกแรกทำใจได้ ไม่นานก็ลืม
พวกที่สอง แบบผมนี่แหละ
ทำใจไม่ได้ เจ็บแล้วแค้นฝังหุ่น
เมื่อเราไม่ได้ คนอื่นก็ต้องไม่ได้ 555

คนมักจะมองหารักแท้
ทั้งๆที่รักก็คือ 1 ในกิเลส
อยู่ในหมวดอารมณ์
และอยูภายใต้กฏไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ใครจะไปรักกันได้นิรันดร มีแต่ในนิยายปรัมปราเท่านั้น
จิตใจของคนเปลี่ยนไปตามของที่มากระทบจิต
เมื่อจิตปรุงแต่งแล้วก็แสดงออกมา
วันไหนจิตเกิดเบื่อหน่าย เลิกปรุงแต่ง ความรู้สึกก็เปลี่ยนไป
ที่ไม่แยก ไม่แตกกันตอนแก่เฒ่า ก็เพราะมีความอดทน ความอาย และรักความสงบ
ซับซ้อนนะ เหมือนว่าน่ากลัว แต่คนก็วิ่งหาความรักกันแทบทุกคน
เพราะตอนดื่มด่ำความสุข มันดีทั้งใจและกาย

ชักมี field
อาจจะเขียน blog เป็นอะไรที่อยากระบายเสียหน่อย 555

MinDeva RoyalBlue 4169E1


โดย: zoomzero วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:27:49 น.  

 
เฮ้อ เห็นคนอื่นพูดถึงเรื่องความรักแล้วมันอิจฉาตาร้อนผะผ่าว เพราะความรักของตัวเองมันไม่ลงตัวซ้ากกะทีสินะ *-*

อาทิตย์นี้ไปเมืองทองมาซะหลายวันเลยค่ะ บ้านที่ใหม่ไม่ได้ไปเลย ไม่รู้ว่าไป ๆ มา ๆ เราจะกลับมาตายรังรึเปล่าน้า แห่ะ ๆ แต่บีว่าชีวิตอย่างที่เป็นอาทิตย์นี้ก็มีความสุขดี เราจะไปดิ้นรนหาสิ่งใหม่ให้เหนื่อยกาย ปวดใจทำไมกันน้า แต่ก็อย่างว่าแหล่ะเน๊ะ พอไม่ได้ไปเห็นโลกกว้าง ไปเห็นสิ่งใหม่ ๆ ที่แตกต่าง ก็ไม่ได้หันกลับมามองย้อนสิ่งที่มีอยู่

ช่วงนี้ยังไม่อยากคิดเรื่องนี้ให้ปวดหัวไปมากกว่านี้ค่ะ เพราะกำลังปวดหัวกับบัญชีและตัวเลขก็มึนจะแย่แล้ว เลยปล่อยทิ้งเกมส์ปริศนาจับคู่ไว้ก่อน ว่าง ๆ ค่อยมาคิดต่อ งุงิ จะว่าไปที่เขาว่าการปล่อยวางมันดี ก็คงเพราะไม่คิดมันก็ไม่เครียดเน๊อะ แต่การไม่คิด หรือไม่แก้ไข มันก็ไม่ได้แปลว่าปัญหามันจะหมดไปซะที่ไหนล่ะ ก็สบายใจได้แค่ชั่วคราว เดี๋ยวขอพักเหนื่อยแล้วค่อยมาลุยต่อค่ะ

พี่ชายคะ อาทิตย์หน้าว่างวันไหนคะ มี 3 วันให้เลือก จันทร์-อังคาร-พุธ อิอิ มาเจอซะดี ๆ เลยน้า งิงิ


โดย: นู๋ Beee น้องสาวจอมแก่น IP: 125.24.134.204 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:18:44:34 น.  

 
555 เพิ่งได้อ่านย่อหน้าสุดท้ายที่พี่ชายตอบคนอื่นไว้ ว่ารักก็เป็น 1 ในกิเลส

นั่นสินะคะ แล้วเราจะหนีกิเลสตัวนี้พ้นมั๊ยเนี่ยะ *-*


โดย: นู๋ Beee น้องสาวจอมซน IP: 125.24.134.204 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:18:47:21 น.  

 
To นู๋ Beee
แหม..ใจกล้าจริงๆ นัดกันหน้าจอเลยเหรอ
เธอไม่กลัว
แต่พี่กลัวนะจ๊ะ
วุ้ย...เสียวว่า ญาติผู้ใหญ่จะมาอ่านเจอจริงๆ 555
โรงพยาบาลแถวนี้ก็ไม่มีหมอศัลยกรรมเก่งๆเสียด้วย
ขอตายแบบว่าหน้าตาเหมือนตอนที่เกิดมาจะดีกว่านะหนู
เอาเป็นว่า ขอปฏิเสธหน้าไมค์ก็แล้วกัน
แบบว่าเป็นดาราใหญ่ ก็ต้องสร้างภาพกันหน่อย

นี่คำนี้เลย กลัวมากๆ
"พอไม่ได้เห็นโลกกว้าง ไปเห็นสิ่งใหม่ๆ ที่แตกต่าง ก็ไม่ได้หันกลับมามองสิ่งที่ทีอยู่"
คำพูดสวย แต่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่หรือเปล่า?
ถ้าแค่ไปเห็น มันก็ยังเป็น จักขุสัมผัส ดอกนะน้องนาง
ถ้าวัยรุ่นไทยอยากมีประสบการณ์เรื่องยาเสพติด แล้วใช้ประโยคแบบข้างบนนี้
พี่ว่าน่ากลัวนะ
แต่พี่เข้าใจความหมายที่บีเขียนมานะ อย่าเข้าใจผิด
อันนี้แค่ขอยกเอาประโยคข้างบนมาวิจารณ์เฉยๆ

มีสามีหลายคนชอบออกนอกบ้านไปหาโลกกว้าง
เพราะภรรยาไม่ฮ๊อทบนสังเวียนลูกฟูก
บางรายถึงขนาดซื้อบ้าน ซื้อรถ ส่งค่าเทอม ฯ
ทดลองว่า ถ้าหญิงบ้านเล็กได้มีสภาพแวดล้อมอย่างบ้านใหญ่ บ้านไหนมันจะสุขใจกว่ากัน
และก็เหมือนกันหมด ช่วงทดลองงาน ทุกคนให้คะแนนบ้านเล็ก 100 เต็ม 100
แต่ตลกตรงที่ต้องขอปิดบัง ไม่กล้าบอกใคร
ไม่กล้าบอกแม้แต่ คนที่ตัวเองจดทะเบียนและบอกกิ๊กทั้งหลายว่ายายบ้านใหญ่นั้นไม่มีค่าอะไร
ตลกตรงที่กลัวแม้แต่คนที่ตัวเองคิดว่าไม่มีค่า
คนอะไรกลัวอากาศธาตุ
แต่พอโดนกอบโกย แล้วรู้ว่าเด็กมันนอกใจ 555 คราวนี้ขอกลับมาเลียแผลที่บ้านใหญ่
อ้าว.....นี่มันเรื่องจริงของเรานี่ว่า เผลอพิมพ์ออกมาได้ไง 555

BeeTuss fuchsia FF00FF


โดย: จอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด (zoomzero ) วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:00:34 น.  

 
ว้า เสียใจจัง โดนตัดสัมพันธ์หน้าไมค์ ชิ ก้อมัวแต่ไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยน่ะจิ เลยมะมีเวลาให้น้องม่ายเลยนะ ชิ จริง ๆ นัดเจอม่ายมีไรหรอก แค่อยากจะขอยืมตังค์ซักแสนสองแสนแค่นั้นเอง ว้ารู้ทันจนได้ อุอุ

เรื่องที่เปิดประเด็นมา จริง ๆ พิมพ์ผิดค่ะ จะพิมพ์ว่า
พอไม่ได้เห็นโลกกว้าง ไปเห็นสิ่งใหม่ๆ ที่แตกต่าง ก็ไม่ได้หันกลับมามองสิ่งที่มีอยู่ พิมพ์เร็วผิดทุ๊กทีเลย ^_^

ว้าย ๆ รีบไปทำงานแล้วคร้า ต้องรีบไปเคี้ยวเด็กใหม่ คริ คริ บับบายค่ะ จุ๊บ ๆ ๆ


โดย: นู๋ Beee เองค่ะ IP: 118.174.101.243 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:44:39 น.  

 
สองวันนี้ search หาที่ไปเที่ยวปีใหม่
ลองหาที่พัก ที่ปายดู
โอ้....ไม่นะ !



เคยวาดภาพไว้ว่ามันสวยแบบดิบๆ
ต้องเตรียมตัวไปลุยอะไรแบบนั้น
เชื่อหรือไม่ว่า ณ ตอนนี้ มี resort แบบหรู 20 กว่าแห่ง
แถมมี2 แห่งต่อท่อน้ำแร่สายตรงเข้าไปอาบในห้อง
และจาก resort เดินทาง 5 นาทีถึงสนามบินปาย


หลับตาวาดภาพอีกครั้ง..แทบมองไม่เห็นแผ่นดินปาย
เห็นแต่หลังคา resort



โดย: Auntie IP: 124.121.206.134 วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:16:18:07 น.  

zoomzero
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ของทุกอย่างในโลกมี 2 ด้าน ถ้าเริ่มต้นก็คิดแต่ว่า สิ่งนั้นมีแต่ด้านดีด้านเดียว หรือเลวสุดขีด ต่อให้ศึกษาสิ่งนั้นไปอีกพันๆปี ก็ไม่มีวันเข้าใจ แต่ถ้าเปิดใจมองให้เห็นทั้งสองด้าน และหาความพอดีกับการอยู่กับสิ่งนั้นได้
...
ความสุขย่อมมาคู่กับความทุกข์ เพราะสุขเป็นของไม่เที่ยง เมื่อติดสุข แล้วไม่มีสุขมาให้ชื่นใจ จิตก็จะเป็นทุกข์ ความสงบจึงเป็นของที่เราท่านควรปฏิบัติ
...
การตั้งตัวเป็นจอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด จึงไม่หวังให้ผู้ใดมีสุข ไม่อยากให้คนยึดติดกับสุข หากแต่อยากให้พ้นทุกข์ และได้พบกับธรรมมะของจริง ดั่งคำว่า "ไม่มีมาร อรหันต์ไม่เกิด" 555
...
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
12 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add zoomzero's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.