การหนีปัญหา เพราะโทษว่าคนรอบข้างผิดหรือไม่ได้เรื่อง ได้ถูกถ่ายทอดให้เราได้เห็นในอีกมุมมองหนึ่ง การหนีคนอื่นเพราะคิดว่าพวกเขาเป็นปัญหา แต่ไม่ว่าไปที่ไหนปัญหายังคงเกิดขึ้นได้อีก ก็น่าจะแปลได้แล้วว่า สาเหตุอยู่ที่เรา อย่าไปโทษผู้อื่นเลย จะหนีตัวเองไปไหนก็ไม่พ้น ถ้าไม่แก้ไขที่ตัวเองให้เรียบร้อย
เนื้อเรื่องคร่าวๆ
เพื่อนซี้สองสาวไทยวัยยังรุ่นๆ คนหนึ่งเป็นสาวมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย อีกคนหนึ่งเรียนจบมาได้อุ่นๆ คนเรียนไม่จบนั้นโดนคดีใหญ่ถึงขั้นพักการเรียน และได้ F ตัวแรกในชีวิต และเพื่อนของคนได้ F ก็ตกที่นั่งบัณฑิตอกหัก ต่างคนต่างมีปัญหาตามประสาวัยรุ่น คนได้ F ไม่สามารถรับความจริงได้ เพราะเธอเป็นเด็กระดับเหรียญทองเกียรตินิยม ทำให้ไม่อยากเจอหน้าใคร ส่วนคนที่อกหักก็เพราะว่า ฝ่ายชายต้องการอิสระ ไม่อยากได้แฟนเป็นตุ๊กแก อยากมีเวลาส่วนตัว ผลลัพธ์ออกมาก็คือการเลิกคบกัน และฝ่ายชายก็ดันไม่ยอมง้อ ฝ่ายหญิงเลยต้องอกหัก แถมตัดใจก็ไม่ได้อีก เฮ้อ!
คนสอบตก หรือเชอร์รี่ อาศัยอยู่กับพ่อและน้องชาย เป็นคนเรียนหนังสือเก่ง ไอคิวดี แต่อีคิวต่ำ ไม่ค่อยยอมทำตามกฎต่างๆของสังคม ถึงเธอจะขยันเรียน แต่เธอกลับไม่ชอบทำงานบ้าน ไม่ชอบซักผ้า ไม่ล้างจาน ไม่ทำความสะอาดบ้าน เธอเรียนด้านสถาปัตย์ฯ แต่ปีนี้เธอเรียนไม่จบ เพราะมีเรื่องกับอาจารย์ โดยเธอปลอมลายเซ็นอาจารย์เพื่อขอใช้ห้อง เพราะอาจารย์ไม่มา แต่งานนี้เชอร์รี่ไม่รอด เธอต้องการหนีปัญหาในวันนี้ เพราะอายเพื่อน อายพ่อ อายทุกคนที่เธอรู้จัก แต่ก็ยังปากแข็งไม่ยอมรับว่าผิด
คนอกหัก หรือนุ่น มีนิสัยซื่อซ่อนดื้อ นอกนั้นก็เรียบร้อยประมาณผ้าพับไว้ เป็นคนมีระเบียบ น่ารัก เฮฮา แต่ขี้เหงา ขี้อ้อน เรื่องอกหักทำให้นุ่นตัดสินใจขอพ่อแม่ไปหางานทำที่เมืองนอก ซึ่งคำตอบของพวกท่านก็คือ ไม่ได้ แต่นุ่นก็บอกกับตัวเองว่า "จะไปให้ได้" ฐานะทางบ้านของนุ่น ดูๆแล้วก็น่าจะดีพอสมควร พ่อแม่คงไม่อยากให้ลูกไปลำบาก
คนหนึ่งพ่อไม่ว่าอะไร ได้แต่อือๆ อีกคนจะไปโดยไม่ฟังคำคัดค้านของพ่อแม่ แผนการเดินทางไปทำงานต่างประเทศจึงเกิดขึ้น เมื่อรวบรวมเงินเก็บได้ มีพาสปอร์ต มีวีซ่า ซื้อตั๋วเครื่องบิน อึม...สองสาวก็นั่งเครื่องบินจากเมืองไทย ตรงไปอังกฤษ โดยคาดว่าจะไปประหยัดค่าที่พักโดยอาศัยร่วมกับพี่ที่รู้จัก ซึ่งวันที่ไปถึงลอนดอนนั้น พี่คนนั้นได้ย้ายที่อยู่แบบปุ๊บปั๊บ งานนี้เจออุปสรรคมากมาย จนสุดท้ายต้องออกหางานทำ ก็ต้องแยกทำคนละร้าน ทั้งสองได้เป็นเด็กเสิร์ฟอาหารในร้านอาหารไทยในลอนดอน ทำงานไป เก็บเงินไป เที่ยวที่โน่นที่นี้ในวันหยุดไป ได้เห็น Big Ben, London Eye, แม่น้ำเทมส์, สโตนเฮจน์, ได้เห็นพระราชวังบัคกิ้งแฮม ฯ
วันหนึ่งพวกเขาได้ไปเที่ยวชมป่า ซึ่งผมเดาว่าเป็นป่าแอชดาวน์ ในเมืองอีสต์ซัซเซก สะพานข้ามลำน้ำ น่าจะอยู่ในการ์ตูนของวอลต์ดิสนีย์เรื่อง หมีพูห์ หรือ วินนี่ เดอะ พูห์ สองสาวไปเล่นเกมโยนกิ่งไม้ หรือ Pooh Stick และก็ได้ทดลองตามวิธีของกาลิเลโอ คือการปล่อยของสองสิ่งลงมาพร้อมๆกัน จะถึงพืนเท่าๆกัน แต่ไม่ว่าจะสนุกเล่นสนานกันมากน้อยอย่างไรก็ตาม การอยู่ในอังกฤษไปเรื่อยๆ สองคนก็เริ่มเบื่อ และเชอร์รี่ก็ก่อเรื่อง แถมยังเกิดเรื่องวิกฤตกับร้านที่เชอร์รี่ทำงานอีกต่างหาก (แหม...อะไรจะซวยขนาดนั้น) คราวนี้ทั้งสองจึงต้องเผ่นไปประเทศอื่น นั่นก็คือ ฝรั่งเศส
ที่ฝรั่งเศส เงินถูกขโมย สองสาวต้องไปทำงานในร้านอาหาร(อีกแล้ว) แต่เพราะว่าพูดฝรั่งเศสไม่ได้ จึงต้องทำงานที่พวกเธอไม่ชอบ ส่วนที่พักอาศัยในปารีสนั้นก็เป็นตึกเก่าๆ ลิฟต์ก็ไม่มี บันไดก็แคบ ค่าเช่าก็ยังแพงอีก สองสาวก็ดันไปสร้างความรบกวนให้กับผู้ร่วมเช่า (มีแต่เรื่อง...) ด้วยนิสัยผู้หญิงๆของนุ่น มาเจอกับนิสัยเซอร์กะปรก(เซอร์เคิล+สกปรก) ขาดความสะอาด กินอยู่แบบรกรุงรัง ฯ จึงทำให้เกิดเรื่องทะเลาะกัน เพราะช่วงหลังๆ มีแต่การทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยวกันเลย ทั้งๆที่อยู่ในนครปารีสแท้ๆ การโต้เถียงกันก็นำไปสู้...การไม่โต้เถียง กันอีกเลย ต่างคนต่างอยู่ แม้คำว่า "สวัสดี" ทักทายกัน ก็ไม่มีที่จะเอ่ยอีกต่อไป คำว่า "เพื่อนที่จะไม่มีวันทิ้งกัน" ก็กลายเป็นคำว่า "คนน่ารำคาญ"
นุ่นเปลี่ยนแปลงตัวเอง เธอกลายเป็นคนที่ชอบออกไปข้างนอกคนเดียว ไปเดินเที่ยวเตร่ บางทีก็ไปนั่งเล่นริมแม่น้ำจนหมดวัน หรือไม่ก็นั่งรถไฟใต้ดินไปโผล่ที่โน่นที่นี่ จนวันหนึ่งนุ่นก็ได้โผล่จากใต้ดิน ขึ้นไปเจอกับผู้ชายคนไทยที่ชื่อ ตั้ม(ชื่อนี้ซ้ำกับชื่อแฟนเก่าของนุ่น) นุ่นเลยต้องขอเรียกเขาว่าพิสิทธิ์ (ซึ่งเป็นชื่อจริงของเขา) เพราะแสลงใจกับชื่อตั้ม
สำหรับพิสิทธิ์ เขาเป็นหนุ่มไทย ที่บอกว่าเรียนไม่จบอะไรเลย (ซึ่งไม่น่าเชื่อเพราะพูดฝรั่งเศสคล่องปรือ) ทำอะไรเก่งไปหมด เขามาอยู่ที่ปารีสหลายปี โดยไม่มีงานประจำ แต่เขามีวิธีหารายได้ของเขา และมีความเป็นอยู่เรียบง่าย จนบางทีก็เหมือนว่าเป็นคนแปลกพิลึก ที่พักอาศัยของเขากับเพื่อนๆก็ไม่ธรรมดา พิสิทธิ์ยอมจ่ายค่าปรับได้ทุกครั้งที่โดนปรับ เขาทำตามกฎ และยอมรับว่าตัวเองและเพื่อนๆทำผิดกฎ แต่ก็ยังทำอยู่ (แปลกหรือไม่?) เพราะอะไร? ต้องไปถามเขาเอาเอง เขายอมเสียค่าปรับ เหมือนกับที่เราจอดรถในที่ห้ามจอด ก็ต้องจ่ายค่าปรับ ผิดกับเชอร์รี่ที่ชอบทำผิดกฎ โดยเฉพาะกฎของสังคม และกฎหมายของต่างประเทศ ซึ่งถ้าโดนจับก็จะต้องติดคุก หรือไม่ก็ถูกส่งกลับประเทศ และโดนขึ้นบัญชีดำ แต่เชอร์รี่ก็ยังชอบทำผิด (และมักจะรอดตัว เฮงเฮงเฮง จริงๆ) โดยที่คิดว่ามันไม่ผิด ซึ่งไม่ต่างกับพิสิทธิ์ที่ "ก็ทำผิด" แต่ต่างกันตรงที่พิสิทธิ์ "ยอมรับผิด" แต่เขาก็ยัง "ทำผิด" อยู่อย่างนั้น (งงกันหรือยัง? ปรัชญาเชิงซ้อนแถมยกกำลังสอง)
เชอร์รี่กับพิสิทธิ์มีความเหมือนและต่างกันแบบที่น่าสนใจ แต่มันทำให้พวกเขาไม่ค่อยเป็นมิตรกันเท่าไหร่ ในเรื่องวิธีการกระทำและความคิด เขาสองคนก็เหมือนคนบ้าง ตรงที่เป็นศิลปินด้วยกันทั้งคู่ แต่ทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างสุดขั้วในเรื่องวิธีการใช้ชีวิต คนหนึ่งใช้เวลาให้เกิดความสุขมากที่สุดกับธรรมชาติ มาเจอกับคนที่ประหยัดเวลาสุดๆ ต่างมองอีกฝ่ายว่าไม่ได้เรื่อง คนที่ยึดความเรียบง่ายใช้ชีวิตไปอย่างช้าๆ ถูกหาว่าล้าหลัง และอีกฝ่ายที่บอกว่าเอาสะดวกเข้าไว้ ก็กลายเป็นคน มักง่าย ทั้งๆที่ผลลัพธ์ของเหตุการณ์ทั้งคู่ มันก็เหมือนๆกัน ผิดถูกอย่างไรก็ต้องพิจารณากันเอาเอง
ในที่สุดก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องย้ายประเทศอีกเป็นครั้งที่สอง คราวนี้เพราะพิสิทธิ์ทำให้เชอร์รี่ได้งานที่อิตาลี เป็นงานแบบที่เชอร์รี่ชอบมาก เธอดีใจจนต้องโทรศัพท์ไปบอกพ่อ ทั้งๆที่เธอไม่เคยคิดจะโทรกลับบ้านสักเท่าไหร่ แล้วเรื่องก็เข้าทำนองเดิม มีเวลาว่างก่อนย้ายไปทำงานที่มิลาน สองคนเลยชวนกันเที่ยวเวนิชกันก่อน และทั้งคู่ก็ยังอยากได้เงินเป็นค่ากินค่าอยู่ตอนที่พักผ่อนอยู่ในเวนิช เลยตกลงทำงาน เมื่อเจ้าของร้านขายของขนาดเล็กๆชักชวน ก็เป็นร้านอาหาร(อีกแล้ว) แต่คราวนี้ทั้งคู่ได้เป็นถึงระดับผู้จัดการ คือจัดการขายและเก็บเงิน เพราะในร้านมีกันแค่สองคน ซึ่งก็เป็นเพราะอาหารอิตาลี ขายไม่ยาก ตักๆๆ ใส่กล่อง เก็บเงิน ลูกค้าก็แค่ชี้ๆ ควักเงิน แล้วต่างคนก็ต่างพูดว่า "เช้า" ทั้งๆที่เป็นตอนบ่าย (อ๋อ...ภาษาอิตาเลียน นี่เอง) แต่ด้วยความคิดนอกกฎแบบ้าๆของเชอร์รี่ นุ่นก็ดันพลอยทำตามไปด้วย โดยเชอร์รี่สัญญาว่าจะทำเรื่องแบบนี้เป็นครั้งสุดท้าย ผลก็คือหนึ่งสาวในนั้นโดนจับได้ เจ้าของร้านโกรธมาก จับหนึ่งสาวส่งให้ตำรวจ เรื่องเหม็นๆเรื่องนี้ นุ่นเองพยายามคัดค้านอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ใจอ่อนเพราะรักเพื่อน เมื่อเรื่องถึงตำรวจอิตาลี่ ก็แปลว่า ซวยแน่ๆ ความสนุกและมิตรภาพของสองสาวก็ขาดสะบั้นลง แต่เหลือที่จะเชื่อ เชอร์รี่ก็ยังเป็นเหมือนเดิม เสียใจ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด (จริงหรือเปล่าหละ คุณเชอร์ร่าฆ่าไม่ตาย) สุดท้ายคำว่าเพื่อน...เราจะไม่ทิ้งกัน มันจะยังมีความหมายหรือเปล่านะ?
ถ้าใครพอที่จะรู้จักกาลิเลโอบ้าง ก็คงทราบว่า เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะชาวทัสกัน หรืออิตาลี เกิดที่เมืองปิซา ได้เรียนหนังสือและมีครอบครัวอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์ ชอบดูดาว ทำกล้องดูดาว ชอบฟิสิกส์ ชอบศึกษา ชอบมองนอกกรอบความคิดเดิมๆ โดยใช้หลักการทดลองและเหตุผล เขาเป็นคนที่พูดจาอะไรๆที่เป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์หลายๆอย่าง เขาพูดในวันที่คนบางกลุ่มใน "โลก" ไม่อยากได้รับฟังความจริงเกี่ยวกับ "โลก" ในแบบนั้น โดยเฉพาะศาลศาสนาคริสต์ที่กรุงโรม ไม่พอใจกับความคิดแหกคำสอนของเก่าแก่ เขาเลยต้องหนี(?) เพราะว่าคนอื่นคิดไม่เหมือนเขา หรือว่าเขาคิดไม่เหมือนคนอื่น (เอาอย่างไรกันแน่?) แล้วจริงๆแล้วเขาได้หนีไปไหนหรือเปล่า? ผมว่าคนดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว ก็ยังหาคำตอบไม่ได้
กล้องดูดาวของกาลิเลโอ เรียกแบบวิทยาศาสตร์ว่า กล้องโทรทรรศน์ ซึ่งเขาใช้เลนส์ 2 อย่างทำให้ได้ภาพเสมือนจริงหัวตั้ง ซึ่งยังมีกล้องอีกแบบที่คนอื่นสร้างโดยได้ภาพขยายที่หัวกลับ ส่วนกล้องส่องทางไกล ที่ผมเอาไว้ดูสาวๆในหอพักข้างบ้านนั้น เป็นกล้องที่ใช้เลนส์กับปริซึม(แบบนี้ได้ภาพขยายและหัวตั้ง) ผลงานของกาลิเลโอทางดาราศาสตร์มีมากมาย ขนาดที่ว่าดาวบริวารของดาวพฤหัสบยังได้ชื่อว่า กาลิเลเลียน
กาลิเลโอ ยังเป็นอาจารย์หมายเลข 001 ของวิชาพลศาสตร์ ว่าด้วยวัตถุที่วิ่งๆๆๆ เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง เหมือนเก้าอี้ ผบ.ตร. ของเรานี่แหละ
กาลิเลโอศึกษาทฤษฎีของโคเปอร์นิคัส เขาพูดถึงเรื่องศูนย์กลางของจักรวาล เรื่องของดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง ไม่ใช่โลก ผลก็คือโดนกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้านพักในเมืองฟลอเรนซ์ สรุปว่าเขาไม่ได้หนีไปไหนครับ เพราะศาสนาจักรไม่ยอมให้หนี แต่ก็ดีที่ไม่เอาไปฆ่าทิ้ง หรือเผาไฟเป็นไก่ย่างหกดาวเจ็ดดาว กาลิเลโอเป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นนักการเมืองที่ให้ญาติไปซื้อที่ดินที่ไหน เขาคงไม่ต้องหนีไปหรอกครับ (ล้อการเมือง จะโดนแบนหรือเปล่านะ)
เรื่องเล่าอีกเรื่องเกี่ยวกับกาลิเลโอก็คือ การทดลองตามกฎแรงโน้มถ่วงของ เซอร์ ไอแซค นิวตัน โดยเขาได้ลองปล่อยวัตถุที่ทำจากมวลสารชนิดเดียวกัน 2 อัน นำหนักมีทั้งเท่ากันและต่างกัน ลงมาจากยอดของหอเอนปิซา ประเทศอิตาลี ผลการทดลองได้ยืนยันว่า ของทั้งสองนั้น จะตกถึงพื้นดินพร้อมกันเสมอ ไม่ว่าจะมีน้ำหนักต่างกันเท่าไรก็ตาม ผมนึกไม่ออกเลยว่าไม้จิ้มฟันที่ผมใช้แล้วกับซุงขนาด 1 ตันที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้จับมาได้ มันจะตกถึงพื้นพร้อมกันได้จริงๆหรือ?
สิ่งที่ประทับใจมากที่สุด
ไอเดีย ถือ ป้ายกระดาษขนาดใหญ่ แล้วทำให้คนไทยที่เดินเที่ยวหรือช๊อปปิ้งบนถนนชองอลิเซ่ กลางกรุงปารีส พลอยชูมือ ตบมือ ร่วมกันไปในภาพยนตร์ โดยไม่ได้มีการนัดหมายหรือจ่ายสตางค์ เบื้องหลังการถ่ายทีมงานยังโดนตำรวจปารีสเข้ามางอแง ทำท่าว่าจะจับ แต่จะจับข้อหาอะไร ก็ที่สนามบิน ปารีส ชาร์ล เดอ โกล ก็มีคนถือป้ายทั้งแบบกระดาษและกระดาน เขียนเป็นภาษาต่างด้าว ชูกันเต็มไปหมด พวกยูก็อ่านไม่ออก ทำไมถึงไม่ไปจับพวกเขากันหละ (ใครไม่เคยไปปารีส ขอบอกว่า ตำรวจฝรั่งเศสผู้หญิงนั้น สวยมากๆ แต่ผมก็ไม่ยอมให้เธอจับหรอก)
คนที่ไปเที่ยวต่างประเทศ ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวๆ เช่น สงกรานต์ ตรุษจีน ออกพรรษา วันเฉลิมฯ คงจะมีอารมณ์แบบเดียวกันกับผม คือ เจอคนต่างชาติเดินกันอยู่มากมาย แต่ไม่มีใครยิ้มให้กันเลย เป็นเจ้าบ้านที่เฉยเมยกับเรามาก เดินๆๆ ไม่รู้จะรีบไปไหนกัน สู้บ้านเราไม่ได้ ผู้หญิงไทยร้องเรียกฝรั่งเลย "นี๊ด...อะเฟรนด์?" (ฝรั่งบอกว่า "ไอไลค์พัดพง แอนด์พัดทายา")
มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง ขณะที่ผมได้ไปเที่ยวแย่งกันซื้อของที่ไม่ฟรี แต่ทำกันเหมือนฟรี ที่ห้างชื่อว่า แกลเลอรีลาฟาแยตต์ ที่ปารีสโน้น พวกเราเดินไปมุมไหน ก็ได้ยินแต่เสียงพี่ไทย เสียงคุยกันโหวกเหวกๆ ข้างๆตัวตลอดเวลา เสียงพูดว่า ชาแนว ชาแนว หลุย หลุย ปาด้า ปาด้า ฯ เออ...สำเนียงคนไทยนี้หว่า เหมือนกับว่าเรายังเดินอยู่ในเซนทรัลลาดพร้าวเลย ทั้งๆที่เราลงทุนทุบกระปุ๊กออมสิน นั่งเครื่องบินหนีความวุ่นวายมาตั้ง 7-8 ชั่วโมง พี่ไทยเรา แห่ไปเที่ยวกันได้ทั่วโลกจริงๆ เอาเงินไปให้บ้านเขาแท้ๆ
ตัวละคร คนแรก ก็ขอเอาชื่อคนที่คุ้นหน้ามาว่ากันก่อนเลย ในเรื่องนี้ เธอชื่อ Cherry-เชอร์รี่ เธอเหมือนนางร้าย แต่ไม่ใช่นางร้ายตบตีแย่งสามีใคร แต่ร้ายเพราะเธอพาตัวเองและเพื่อนรัก ไปเจออะไรต่อมิอะไรมากมายที่มีทั้งงามและไม่งาม เพราะความรั้นและความไม่ยอมรับผิด ตามนิสัยวัยรุ่นไทย ฉันไม่ผิด มีอะไรหรือเปล่า? แต่ด้วยความรักเพื่อนและยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยเพื่อน เรียกว่า มีน้ำใจเสมอ ข้อนี้ก็เป็นอีกข้อดีข้อหนึ่งของวัยรุ่นในยุคนี้เช่นกัน เธอเป็นสาวมั่น เรียนเก่ง ความสามารถดี ชอบทำอะไรแบบรวบรัดและตัดตรง คิดนอกกรอบ และทำนอกระบบจนบางทีก็ต้องบอกว่ามันไม่น่าทำแบบนั้นเลย รวมๆแล้วดูแมนดี(อ้าว..ผู้หญิงหรอกหรือ?) ข้อเสียที่พางานเข้าประจำของเชอร์รี่ก็อยู่ตรงที่คิดสั้นไปหน่อย เพราะอะไรหรือ? ก็เพราะไม่ได้คิดยาวไง 555 สำหรับตัวจริง ต่าย หรือ ชุติมา เธอมีอายุ 22 ปี เกิดเมื่อ 14 มีนาคม 2530 เคยเรียนที่เตรียมอุดม-พญาไท ปัจจุบันน่าจะเรียนอยู่ที่ ม.รังสิต สาขาแฟชั่นดีไซน์ คณะศิลปะและการออกแบบ ผลงานที่ผ่านมา ถ้าไม่นับจากภาพยนตร์ที่โด่งดังมาก คือ Seasons Change แล้วก็ได้แก่ ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น, ละครรักต้องซ่อม, MV-น้ำตาคือคำตอบ, MV-เธอก็รู้, MV-ฉันพร้อม, MV-เสียงบ่นของคนเหงา, โฆษณา Tros, ซิตร้า, ลอริเอะ, Coke, มายมินท์, ถ่ายแฟชั่นนิตยสาร Seventeen, Cheeze, Knock Knock ฯ ใครไปดูเรื่องนี้ต้องมีการแอบเกลียดยายคนนี้แน่ๆ เพราะมันดื้อและบื้อจริงๆ แต่ก็ต้องมีคนออกมาบอกว่าเพื่อนเราเลย และเราก็รักมันนะ แต่ไม่อยากไปไหนกับมันอีกแล้ว อ้าว...555