ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2558
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
16 มิถุนายน 2558
 
All Blogs
 

แจ้ง (ุ9)

สามเดือนอาจเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน หรือว่าไม่นานเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายประการ ไม่เพียงแค่จากคุณสมบัติอันสลับซับซ้อนของสิ่งประหลาดที่ถูกเรียกขานกันอย่างสามัญธรรมดาว่า เวลา เท่านั้น แต่มันยังแปรผันกับสภาวะจิตใจของแต่ละคนอีกด้วย

อรุณก้าวเดินช้าๆ ไปตามเส้นทางภายในหมู่บ้านที่คุ้นเคย เขาเกิด และเติบโตขึ้นมาพร้อมกับพวกมัน บางเส้นที่กลายเป็นทางตัน บางเส้นที่ถูกขยายให้กว้างขึ้น บางเส้นที่เกิดขึ้นใหม่ตามความจำเป็น พวกมันล้วนเป็นเส้นทางสายเก่าที่ไม่เคยเหมือนเดิม ในแต่ละวัน ในแต่ละฤดูกาล จะมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แตกต่างออกไปอยู่เสมอ หากว่าผู้คนที่ผ่านไปมาจะใส่ใจในการก้าวเดินไปตามเส้นทางของตนอยู่บ้าง

เช่นเดียวกับตัวเขา ที่ยังคงเป็นคนเดิม แต่ไม่เคยเหมือนเดิม และต้องเคลื่อนไปตามกระแสแห่งกาลเวลาด้วยเช่นกัน

แต่ในครั้งนี้ บนเส้นทางมีความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นมากกว่าปกติ เขาพบว่าแนวรั้วเก่าที่เคยผุพังแถบหนึ่งได้รับการซ่อมแซม มีการต่อเติม และเพิ่มแนวรั้วขึ้นใหม่ในอีกหลายจุด คงเป็นเพราะภัยคุกคามที่เกิดจากสัตว์มืดนั่นเอง นอกจากนั้นต้นไม้ริมทางยังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากรอดชีวิตผ่านฤดูหนาวอันแสนเลวร้ายครั้งก่อนมาได้ ช่วงระยะเวลาสามเดือนที่โลกรอบตัวของเขาได้ถูกย้ายให้ไปหมุนอยู่ในสถานที่อื่น เวลาในสถานที่ที่เขาคุ้นเคยแห่งนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไปแม้ว่าจะไม่มีตัวเขาคอยเฝ้าดูมันอยู่ด้วยก็ตาม

“กลับมาได้แล้วหรือ”

เสียงที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันจากทางด้านหลังทำให้เขาสะดุ้ง แต่ความคุ้นเคยของเสียงนั้นก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นตึกตักขึ้นมาในทันใด พร้อมกับต้องเตือนตัวเองให้ซ่อนรอยยิ้มของตนเอาไว้ให้ดี

“มาแอบเล่นอะไรแผลงๆ อยู่แถวนี้” เขาย้อนถามพร้อมหันกลับไป และเมื่อได้เห็นใบหน้าเจ้าของคำทักทาย เขาก็แทบจะเก็บรอยยิ้มของตนไว้ไม่อยู่

รัตยืนทำหน้าทะเล้นอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เธอคงมองเห็นเขาก่อนจะมุดเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ข้างทาง สาวน้อยผู้นี้ชอบทำตัวเหมือนผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก เธอมักสวมกางเกงขาสั้นไว้ใต้กระโปรงอยู่เสมอ ชอบที่จะปีนป่าย และเล่นโลดโผนยิ่งกว่าเด็กผู้ชายบางคนเสียอีก

แม้ว่าตอนนี้เธอจะตัดผมจนสั้น ไม่เหมือนกับเด็กสาวคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน สวมกางเกงขายาวแทนกระโปรงอยู่เป็นประจำ แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงมีเค้าความงามไม่แพ้ รุ่ง พี่สาวฝาแฝดที่เป็นหมือนด้านตรงข้ามกับตัวเธอ ที่ทั้งเรียบร้อย ทั้งนุ่มนวลอ่อนหวาน จนเป็นที่หมายปองของเด็กหนุ่มทั้งหลาย

สำหรับรัต คงมีใหญ่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่คอยตามจีบเธอเรื่อยมาอย่างไม่ลดละ

“นึกว่าโดนพวกสัตว์มืดจับกินไปทั้งคู่แล้วเสียอีก” เธอยืนท้าวเอว เสื้อกางเกงที่สวมใส่อยู่เป็นผ้าผสมกับหนังสัตว์รูปแบบคล้ายกับของพวกเขา มันไม่ได้ช่วยขับเน้นรูปร่างให้ชวนมอง ไม่มีลวดลายอย่างที่ชุดของหญิงสาวควรจะเป็น แต่กลับแลดูทะมัดทะแมงตามลักษณะนิสัยของเธอ

“แหม แม่นยังกับตาเห็น พวกเราก็เกือบจะโดนมันกินจริงๆ นั่นแหละ” เขาตอบกลับไปหน้าตาย คิ้วทั้งสองของเธอยกสูงขึ้น แต่ใบหน้ายังคงราบเรียบไม่แสดงอาการตื่นตกใจออกมาให้เห็น เขาจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ให้เธอฟังอย่างรวดเร็ว “ใหญ่โดนเจ้าตัวนั้นข่วนเข้าที่ท้อง ได้แผลเหวอะหวะจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด...” เธอยังคงทำหน้าตายเช่นเดิม แต่แขนทั้งสองเลื่อนขึ้นมาอยู่ในท่ากอดอก ตาจ้องเขาเขม็ง

“...ก็ได้ ก็ได้ ฉันพูดเล่น เขาบาดเจ็บจริง แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร”

เธอขยับใกล้เข้ามา ดวงตาทั้งคู่นั้นสะท้อนแสงเดือนเป็นประกายสุกสกาวราวกับเป็นกระจุกดาวสองกลุ่มบนฟากฟ้าในคืนเดือนมืด ก่อนที่หมัดเล็กๆ จะถูกเหวี่ยงใส่ต้นแขนของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว เขาร้องออกมา ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด แต่แค่แกล้งทำเท่านั้น “พูดเล่นอยู่ได้...แล้วเธอล่ะ บาดเจ็บอะไรบ้างหรือเปล่า”

เขาส่ายหน้า “สบายมาก ฉันหลบเก่งอยู่แล้ว” หมัดเล็กๆ อีกหมัด จากคนละทิศทาง และหนักยิ่งกว่าเดิมลอยมา ครั้งนี้เขาพยายามที่จะหลบ แต่ก็ขยับตัวช้าเกินไป

“ไหนล่ะที่ว่าหลบเก่ง ทำเป็นพูดดีไป”

“อูย...ก็ระยะมันใกล้เกิน” เขาลูบคลำต้นแขนข้างที่โดนต่อยพร้อมกับพึมพำเบาๆ “ผู้หญิงอะไร หมัดหนักชะมัด”

“บ่นเป็นเด็กผู้หญิงไปได้ แล้วนี่เพื่อนรักของเธอกลับบ้านไปแล้วหรือ” ท่ายืนท้าวเอวกลับมาให้เห็นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าได้มีการบันทึกไว้หรือไม่ว่าเป็นผู้หญิงคนใดที่ได้ริเริ่มใช้ท่านี้ขึ้นเป็นคนแรก จนกลายมาเป็นท่าที่แพร่หลายแบบนี้

‘นึกว่าจะไม่ถามเสียแล้ว’ นั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดแต่ไม่ได้ตอบออกไปเพราะเกรงว่าอาจจะมีอีกหมัดติดตามมา “เขาอยู่กับพ่อที่หน้าหมู่บ้าน พวกเรามาเจอกันที่นั่นพอดี”

“อ้าว แล้วทำไมหัวหน้าถึงยังไม่ให้แยกย้ายกันกลับบ้านล่ะ ก็ในเมื่อเจอพวกเธอแล้ว” เขาจึงเล่าให้เธอฟังถึงเรื่องของรถม้าสีดำคันโต อีกอร่า กับเจ้านายผู้เป็นปริศนา

เธอคงรู้เรื่องที่พ่อของใหญ่เรียกระดมคน และพวกเขาก็คงไม่อยากให้มีผู้หญิงร่วมไปด้วย เขาสงสัยว่าที่เธอออกมาอยู่นอกบ้านในเวลากลางคืนเช่นนี้อาจเป็นเพราะกำลังซุ่มรอคอยโอกาสเพื่อที่จะได้แอบติดตามออกไปค้นหาพวกเขาโดยไม่ให้ใครรู้ แสงจากคบไฟพวกนั้นสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล โดยเฉพาะในบริเวณนี้ที่เป็นเนิน จึงเหมาะแก่การใช้ลอบเฝ้ามองความเคลื่อนไหวได้เป็นอย่างดี

ก่อนหน้านี้เธอคงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมกลุ่มค้นหาถึงยังไม่ยอมออกเดินทางกันเสียที จนกระทั่งอาจพบเห็นเขาที่แยกตัวออกมาแล้วมุ่งหน้ามาทางนี้จึงได้ซ่อนตัวเอาไว้ ‘ใช่ เธอต้องตั้งใจทำแบบนี้แน่’ เขารู้สึกมั่นใจ ‘เธอคงเป็นห่วงเขามากทีเดียว’ หัวใจของเขาหล่นวูบลงอย่างช่วยไม่ได้ และไม่รู้ว่าทำไมตนจึงต้องรู้สึกเช่นนั้น

สภาพอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างฉับพลัน และจุดเริ่มต้นของมันคล้ายมาจากทิศทางหน้าหมู่บ้าน สายลมเริ่มพัดแรง เมฆมืดเคลื่อนเข้ามาบดบังดวงจันทร์เอาไว้จนหมด สองหนุ่มสาวต่างยืนมองหน้ากัน ก่อนที่เธอจะเอื้อมมือออกมาจับแขนของเขาเอาไว้ เขาได้แต่ยืนนิ่งคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไร ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร ร่างของเธอเคลื่อนใกล้เข้ามาพร้อมกับผลักเขาให้ล้มลงไปในดงไม้ข้างทางเดิน ใบหน้า กับริมฝีปากงามนั้นเคลื่อนเข้ามาราวกับในภาพฝัน

“เงียบ มีใครกำลังมาทางนี้”

เธอกระซิบบอกพร้อมกับขยับตัวห่างออกไปเพื่อหาช่องจากในดงไม้ลอบมองไปข้างนอก เขายังนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่ความเข้าใจจะเกิดตามมา และค่อยๆ ขยับตัวหาช่องเพื่อมองออกไปที่ทางเดินบ้าง สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วช่วยให้การซ่อนตัวของทั้งสองทำได้ง่ายขึ้น

มีเงาร่างโดดเดี่ยวเดินมาตามทางเดิน ร่างเล็กๆ นั้นทำให้เขานึกถึงอีกอร่า แต่มีอะไรบางอย่างในร่างนั้นอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้ไม่อาจเข้าใจว่าจะเป็นคนอื่นไปได้ ถึงแม้ว่าร่างนั้นอาจไม่ได้สวมชุดสีดำตลอดตัวแบบในตอนนี้ก็ตาม ชุดที่มีเพียงผู้เดียวที่สามารถสวมใส่ได้ในหมู่บ้านแห่งนี้

‘ท่านยาย’

ทั้งสองต่างไม่กล้าพูดชื่อนั้นออกมา ไม่กล้าขยับตัว และไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ เขาพึ่งนึกเหตุผลออกว่าทำไมเธอจึงต้องทำแบบเมื่อครู่ ถึงแม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้ทำอะไรที่ผิด แต่การที่หนุ่มสาวคู่หนึ่งแอบมาพบกันในยามวิกาลเพียงลำพังนั้นย่อมไม่เหมาะสม และยากที่จะอธิบายให้ใครเชื่อได้

เขาเพ่งมองดูอีกครั้ง ท่านยายในค่ำคืนนี้ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากที่เขาเคยจำได้ แต่มันก็มีบางอย่าง ในท่าทาง ในการเดินนั้น ที่คล้ายกับมีน้ำหนักมหาศาลที่มองไม่เห็นกดทับอยู่บนไหล่บ่าเล็กๆ ทั้งสอง นางหยุดยืนก่อนหันกลับไปมองทางหน้าหมู่บ้าน ก่อนมองไปทางทิศเหนือ แล้วสุดท้ายจึงมองไปยังสุดทางเดินซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านของเขา

แล้วนางก็ถอนหายใจ

ไม่บ่อยครั้งนักที่นางจะแสดงท่าทีท้อแท้ให้ใครพบเห็น ซึ่งครั้งนี้อาจไม่นับเพราะนางคงไม่รู้ว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ ใหญ่เคยเล่าให้ฟังว่า พ่อของเขาเคยเห็นนางส่ายหน้าเป็นครั้งแรกเมื่อถูกถามว่าฤดูหนาวอันผิดปกติที่ผ่านมานั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อไร นางได้แต่เหม่อมองออกไปยังทิศทางหนึ่ง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นทิศที่ตั้งของมหานคร พร้อมกับคำตอบที่เป็นปริศนามากกว่าทุกครั้ง

“มันจะสิ้นสุดลงโดยเร็ว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง...” มีหลายคนสาบานว่าได้เห็นนางยิ้มกว้างเมื่อหิมะน้ำแข็งเริ่มละลาย ราวกับวันสิ้นโลกได้ผ่านพ้นพวกเขาไปอย่างฉิวเฉียด

หลังหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ตัดสินใจที่จะเดินต่อไปตามเส้นทางเดิม คือมุ่งไปยังบ้านของเขา ทั้งสองรอคอยอยู่อีกพักใหญ่จนแน่ใจว่านางเดินพ้นห่างไปไกลแล้ว จึงตัดสินใจมุดกลับออกมา ทั้งคู่ต่างมองไปยังทิศทางที่เงาร่างเล็กๆ นั้นหายไป ราวกับยังคงมีแรงดึงดูดตกค้างที่เกิดจากการเคลื่อนผ่านไปของร่างเล็กๆ แต่มีมวลมหาศาลจนสามารถทำให้เหตุการณ์ในบริเวณนี้ยุบตัวลงเป็นหลุมโค้ง

“...ฉันได้ยินมาว่าปู่ของเธอกำลังไม่สบาย” เธอพูดขึ้นลอยๆ และเขาก็พยักหน้ารับ “ฉันก็พึ่งได้ยินมาว่าอย่างนั้น” เรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านยายอีกเรื่องหนึ่งพลันผุดขึ้นภายในใจของทั้งสอง และมันเป็นเรื่องราวที่ดำมืดเหมือนกับชุดที่นางสวมใส่ อันที่จริงแล้วเรื่องเล่านี้ก็ออกจะฟังดูไม่ค่อยเป็นธรรมกับนางสักเท่าไร ซึ่งอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นางไม่ค่อยเข้ามาในหมู่บ้าน และทำให้ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้นาง

ผู้เดินไปกับความตาย

ชุดสีดำที่ท่านยายสวมใส่อยู่ตลอดเวลานั้นถูกเชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของความตาย ความตายที่ไม่ได้เป็นเพียงคำนามธรรม แต่เป็น ความตาย ผู้ทำหน้าที่เก็บเกี่ยวมนุษย์เมื่อถึงเวลาสุกงอม และมันได้ทำให้เกิดเรื่องเล่าต่างๆ ขึ้นอีกมาก อย่าง เหตุใดท่านยายจึงมีพลังอำนาจพิเศษ มีอายุยืนยาวจนเหลือเชื่อ และเหตุใดท่านยายจึงมักมาเยี่ยมเยือนเมื่อเวลานั้นของสมาชิกภายในบ้านมาถึง

“ไม่นะ ปู่ ไม่” เขาหมุนตัวเตรียมที่จะออกวิ่ง

“เดี๋ยว รอฉัน...” เธอคว้ามือของเขาเอาไว้แน่น แต่ทั้งสองก็พากันยืนค้างอยู่ในท่านั้นราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้

“จะรีบไปไหนกัน” ร่างเล็กๆ ในชุดสีดำตลอดตัวนั้นยืนขวางอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งที่ควรจะจากไปไกล แล้วเมื่อครู่นี้เขาเห็นอะไรกันแน่ หรือจะเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากพลังอำนาจลึกลับของท่านยาย

ดวงตาวาวในเงามืดคู่นั้นจ้องตรงมา “...เจ้าไม่รู้จริงหรือ” นางกระซิบเบาๆ ก่อนจะถามต่อไป “แล้วพวกเจ้าสองคนมาทำอะไรลับลับล่อล่อกันแถวนี้”

“มันไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านยายคิดนะคะ” รัตรีบบอก

นางกรอกตารอบหนึ่ง “...ถ้าอย่างนั้น เจ้าหนุ่มนี่ก็ไม่ได้พึ่งเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้าน แล้วมาพบเจอกับเจ้าที่มาทำอะไรแถวนี้ก็ไม่รู้เข้าโดยบังเอิญ พอดีข้าเดินผ่านมาทางนี้ พวกเจ้ากลัวจะถูกเข้าใจผิด ก็เลยพากันเข้าไปหลบอยู่ในดงไม้ข้างทางสินะ ถ้าอย่างนั้นก็รีบบอกมา ว่าพวกเจ้าสองคนมาแอบทำอะไรกันแน่”

เธออ้าปากค้าง “เอ่อ...ที่จริง...มันก็เป็นอย่างที่ท่านยายคิดค่ะ ท่านยายเข้าใจถูกแล้ว”

ในขณะที่เธอกำลังกังวลกับเรื่องการถูกเข้าใจผิด แต่เขากลับกำลังคิดถึงเรื่องอื่น คิดถึงเรื่องเล่าอีกเรื่อง เรื่องไม่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นความจริง แต่สำหรับในตอนนี้ เขากลับคิดว่ามันน่าที่จะลองเสี่ยงดู

“ท่านยายครับ...ตอนที่ผมกับใหญ่เดินทางกลับมา พวกเราได้พบกับรถม้าสีดำน่าสงสัยกำลังมุ่งหน้ามาที่หมู่บ้าน และตอนนี้พ่อของใหญ่ก็กำลังจัดการเรื่องนี้อยู่ แต่ผมคิดว่า...บางที หัวหน้าอาจต้องการความช่วยเหลือจากท่านยายก็เป็นได้ครับ”

เขาอาจทำให้ท่านยายไม่ไปที่บ้านของเขาในค่ำคืนนี้ และหากเป็นอย่างนั้น ถ้าเรื่องที่เล่าลือกันเป็นความจริง ถ้าเขาสามารถขัดขวางท่านยายเอาไว้ได้ บางทีปู่ของเขาก็อาจจะ

“เจ้าคิดอย่างนั้นจริงหรือ...”

นางถาม และเขาไม่แน่ใจว่านางกำลังพูดเรื่องเดียวกันกับเขาอยู่หรือไม่ หรือว่านางถามถึงสิ่งที่เขาคิดอยู่ภายในใจกันแน่ “เรื่องรถม้านั้นเป็นปัญหาที่หัวหน้าของเจ้าต้องตัดสินใจเอง ว่าจะให้เข้ามาหรือไม่ มันเป็นหมู่บ้านของเขา อย่างน้อยก็ตามหน้าที่ที่เขาได้รับมา เขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ไม่ใช่ตัวข้า” น้ำเสียงของนางแข็งกระด้าง

“...เจ้าเคยมีสายตาที่ดีกว่านี้ เจ้าเคยมองเห็นในสิ่งที่เป็น ไม่ใช่สิ่งที่อยากเห็น” นางพึมพำด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เจ้ากลับไปได้แล้ว” นางหมายถึงรัต “ส่วนเจ้าก็ตามข้ามา เราต่างมีจุดหมายเดียวกัน อันที่จริงแล้วเราทุกคนล้วนมีจุดหมายเดียวกันทั้งสิ้น”

“ไปกับท่านยายเถอะ แล้วฉันจะแวะไปที่ดูที่หน้าหมู่บ้านว่าเกิดอะไรขึ้น” รัตบอก และเขานึกเสียใจที่ทำให้เธออยากไปดูรถม้าสีดำคันนั้นขึ้นมา เขาไม่อยากให้เธอเข้าไปใกล้มันเลย โดยเฉพาะในยามค่ำคืนที่มีอากาศแปรปรวนอย่างน่ากลัวแบบในเวลานี้

“แต่ท่านยายบอกให้เธอกลับบ้าน...” เขาท้วง

“ท่านยายแค่บอกให้ฉันกลับไปเท่านั้น” เธอหันหลังวิ่งออกไปก่อนที่จะพูด โดยไม่ต้องการได้ยินว่าท่านยายจะว่าอย่างไรอีก

“เดี๋ยวก่อน รัต เดี๋ยว...” เขาร้องเรียก แต่เธอก็แค่หันมาโบกมือให้ก่อนวิ่งลับหายไป

“ผมต้อง...” เขาพูดไม่ทันจบ “ไม่ ปล่อยเธอไป ตอนนี้เจ้าต้องไปกับข้า” นางพูดราบเรียบ แต่เขากลับรู้สึกว่ามันเป็นคำสั่งที่ไม่อาจขัดขืน “ปัญหานั้นมีมาไม่จบสิ้น เราได้แต่จัดการไปทีละอย่างตามที่เห็นสมควรเท่านั้น” ไม่รู้ว่างนางพูดกับเขา หรือกำลังบอกกับตัวเองกันแน่

“เอาล่ะ เรา ไปกันได้แล้ว”

คำว่า เรา ของท่านยายทำให้เขารู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างอย่างประหลาด เราที่ว่านั้นอาจไม่ได้หมายถึงเพียงแค่สอง แต่อาจมีมากกว่านั้น ผู้เดินไปกับความตาย ราวกับเขาจะมองเห็นเงาของบางสิ่ง

“...ไม่ว่าเจ้ามองเห็น หรือไม่เห็น มันจะแตกต่างกันด้วยหรือ” นางพึมพำอีกครั้ง

เขาแปลกใจที่ค่ำคืนนี้ท่านยายดูจะพูดมากเป็นพิเศษ การที่นางทำเหมือนว่าสามารถอ่านใจของคนอื่นได้นั้นยังไม่น่าแปลกเท่า เพราะเป็นเรื่องที่เล่าลือกันมานานแล้ว แต่ที่เหนืออื่นใดคือเขากำลังเริ่มหวาดกลัว กลัวในสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อนางไปถึงที่บ้าน

ทั้งสองเดินไปด้วยกันเงียบๆ นางเดินนำหน้า เขาก้าวตามไปอยู่ไม่ห่าง ในสภาพอากาศที่ยังคงแปรปรวน หยดน้ำที่ไม่รู้ว่าเป็นเม็ดฝนที่ค้างอยู่บนใบไม้ หรือเป็นฝนที่ตกรอบใหม่ปลิวเข้าใส่ทั้งคู่ เขามองเห็นที่ว่างข้างกายนางคล้ายกับมีเงาของบางสิ่งอยู่ตรงนั้น เขาพยายามสงบใจลง ‘ไม่ มันคงเป็นเพราะกระแสลมที่พัดวน’ เขาคิดก่อนหันเหสายตามองไปทางอื่น

ท่านยายคล้ายจะพยักหน้าเบาๆ และที่ว่างข้างกายของนางก็คล้ายกับจะทำอย่างนั้นด้วยเช่นกัน

มันเป็นค่ำคืนแปลกประหลาดที่เขาคิดว่าจะต้องจดจำไปอีกนานแสนนาน ซึ่งเขาอาจทำอย่างนั้นได้จริง แต่ก็คงไม่อาจเก็บเอารายละเอียดทุกอย่างไปได้มากเท่ากับในตอนนี้ ตอนที่มันกำลังเกิดขึ้น และที่สำคัญ สิ่งที่ถูกจดจำไว้ได้นั้นจะแตกต่างออกไปเสมอ

ในที่สุด ทั้งสองก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านซึ่งเขาคุ้นเคย โดยไม่ต้องส่งเสียงร้องเรียก มันก็ถูกเปิดออกโดยผู้ที่กำลังรอคอยอยู่ภายใน พ่อของเขา กับใบหน้าเศร้าที่เขาไม่อยากพบเห็น เขายังจำมันได้จากเมื่อครั้งที่พ่อบอกข่าวร้ายเรื่องแม่กับเขาในวันที่พึ่งหายป่วย

พ่อเชิญท่านยายเข้าไปข้างใน พร้อมกับพยายามจะยิ้มให้เขา




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2558
0 comments
Last Update : 16 มิถุนายน 2558 12:48:46 น.
Counter : 903 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.