ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2558
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
1 มิถุนายน 2558
 
All Blogs
 
แจ้ง (ุ7)

จู่ๆ สภาพอากาศก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน มันร้อนอบอ้าวขึ้นผิดจากค่ำคืนทั่วไปในช่วงเวลานี้ของปี พร้อมกับสายลมที่พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคู่ต่างพากันเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าซึ่งตอนนี้มีกลุ่มเมฆดำมืดลอยผ่านเข้ามาบดบังอย่างรวดเร็ว

“ฉันคิดว่า...” ใหญ่พยายามทำท่าไม่ให้อรุณพูดสิ่งที่ทั้งสองกำลังคิดอยู่ออกมา แล้วทันใดนั้นก็มีบางสิ่งตกใส่ใบหน้าของเขา หนึ่งครั้ง สองครั้ง

“...แย่จริง นายไม่น่าพูดถึงมันเลย” ใหญ่บ่น

หยดน้ำขนาดใหญ่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมามากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับลมที่พัดแรง บนท้องฟ้าประกายแสงแวบวาบแล้วนิ่งงัน ก่อนที่เสียงซึ่งเดินทางได้ช้ากว่าแสงจะติดตามมาทัน กลิ่นของความชื้นที่เกิดจากหยดน้ำ กลิ่นของละอองดินที่กระจายขึ้นมาเพราะเม็ดฝนตกใส่ รวมกันเข้ากลายเป็น กลิ่นฝน ที่มีลักษณะเฉพาะตัวลอยฟุ้งเต็มไปในอากาศ

“จะพูดหรือไม่พูด ถ้าฝนจะตกมันก็ต้องตกอยู่ดี...และอันที่จริงแล้วฉันก็ยังไม่ได้พูดตคำว่า ฝน ออกมาเลยด้วยซ้ำ” อรุณรีบมองหาสถานที่เหมาะๆ เพื่อหลบฝนก่อนที่ตัวจะเปียกไปมากกว่านี้ การหลบฝนฟ้าคะนองอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เพราะมีโอากาสที่ฟ้าจะผ่าใส่อะไรก็ตามที่อยู่สูงจากพื้นมากกว่าสิ่งอื่น “ตรงโน้น” เขาชี้ไปยังเนินดินแถบหนึ่งที่เหนือขึ้นไปมีพุ่มไม้ปกคลุมอยู่ และพอจะมีที่ว่างข้างใต้ให้พวกเขาหลบฝนได้บ้าง อย่างน้อยก็คงดีกว่านั่งตากฝนอยู่ในที่โล่งแบบนี้

อรุณออกวิ่งนำไปก่อนจะนึกขึ้นได้ และคิดจะย้อนกลับมาช่วยพยุงเพื่อนที่บาดเจ็บอยู่ แต่ใหญ่กลับโบกมือไล่พร้อมกับรีบติดตามไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ การขยับมากๆ อาจทำให้ปากแผลเปิดออกอีกครั้ง และความเปียกชื้นคงทำให้แผลแย่ลงกว่าเดิม ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่ใช่วันของเขา

ใหญ่มองดูท่าทางของอรุณด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นเพื่อนที่เข้าไปใกล้เนินดังกล่าวกลับเปลี่ยนเป็นขยับตัวอย่างระวัง พร้อมกับยกมือทำท่าให้เขาทำตามด้วย 'มีอะไรอีกนะ' เขาพยายามเพ่งมองไปในเงาใต้เนินนั้น สายฝนที่หนาเม็ดขึ้นอย่างรวดเร็วรวมกับการที่แสงจันทร์ถูกบดบังไปทำให้มองเห็นอะไรได้ไม่ชัดเจน แต่เขาคิดว่ามันไม่มีอะไรนอกจากต้นไม้ขนาดเล็กพุ่มหนึ่งเท่านั้น

อรุณขยับเข้าไปอย่างช้าๆ เหมือนจะพยายามอยู่ให้ห่างจากไม้พุ่มนั้นพร้อมกับกวักมือเรียกให้ใหญ่ติดตามเข้าไป ฝนหนาเม็ดขึ้น แต่ลมกลับค่อยๆ สงบลง ร่มไม้จากบนเนินแม้จะพอช่วยกันฝนได้บ้าง แต่ก็ยังคงมีหยดน้ำผ่านลงมาจนทั้งสองต่างเปียกปอนกันพอสมควร กลิ่นฝนจางหายไปเหลือไว้แต่ความชุ่มชื้นในอากาศ กับเสียงดังไม่เป็นจังหวะ

“...มีอะไร” ใหญ่กระซิบถาม

“ดูเอาเองสิ แต่อย่าขยับตัวเร็วๆ หรือทำเสียงดังไปล่ะ” อรุณชี้มือไปที่สิ่งซึ่งใหญ่คิดว่าเป็นพุ่มไม้นั้น

ใหญ่พยายามเพ่งมองดู แต่ก็ยังไม่เห็นอะไรนอกจากพุ่มไม้เล็กๆ เมื่อครู่ บางทีอาจจะมีอะไรข้างในนั้น แล้วทันใดนั้นเขาก็ได้กลิ่นของบางสิ่ง กลิ่นที่ก่อนหน้านี้ซ่อนอยู่ในกลิ่นฝน มันเป็นกลิ่นสาบ กลิ่นของหนังสัตว์เก่าๆ ที่อับชื้น เขามองดูพุ่มไม้นั้นอีกครั้ง และได้พบกับดวงตาสะท้อนสีแดงแวววาวกำลังมองจ้องตรงมา เขาก้าวถอยหลังอย่างลืมตัว พร้อมกับเลื่อนมือไปที่มีดสั้นอย่างรวดเร็ว

“ใจเย็น ใจเย็น มันเองก็คงมาหลบฝนเหมือนกับพวกเรา” อรุณบอกเบาๆ พร้อมกับเอื้อมมือช้าๆ มาจับบ่าของเพื่อนเอาไว้ เมื่อแน่ใจว่าใหญ่สงบลงแล้ว และจะไม่หันกลับมาแทงมีดใส่เขาเพราะความตกใจ “ถ้าไม่ไปรบกวนมัน มันก็จะไม่รบกวนพวกเรา”

“...นายแน่ใจ” อย่างน้อยดวงตาที่สะท้อนสีแดงก็ยังดีกว่าดวงตาที่มืดดำพวกนั้น สำหรับตอนนี้

“ฉันแน่ใจ” ที่จริงแล้วอรุณก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกัน แต่เขาเชื่อว่าตนเองน่าจะคิดถูก หมาป่าตัวนี้ไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามใส่พวกเขาอย่างที่ควรจะเป็นมาตั้งแต่แรก นอกจากการที่มันจับตามองมาอย่างระวังเท่านั้น การไล่ให้มันต้องออกไปตากฝนทั้งที่มันเป็นฝ่ายจับจองพื้นที่นี้อยู่ก่อนดูเหมือนจะเป็นการกระทำที่ไม่ค่อยเหมาะสมในความคิดของเขา

ทั้งสองฝ่ายต่างระวังอยู่ภายในพื้นที่ของตนอย่างนั้น ท่ามกลางสายฝนที่ตกราวกับต้องการจะท่วมทุกสิ่งกลืนกินทุกอย่างให้จมหายไปจนหมดสิ้น

จุดสีแดงที่เคยมองมายังทิศทางของทั้งสองหันออกไปสู่ความมืดเบื้องนอก ก่อนมันจะยันตัวลุกเปลี่ยนท่าอย่างช้าๆ เด็กหนุ่มทั้งสองต่างก็ขยับเช่นกัน ใหญ่กุมมีดสั้นของเขาเอาไว้พร้อมกับเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของหมาป่า ในขณะที่อรุณไว้ใจในดาบของตนมากกว่า และพยายามมองตามสายตาสีแดงคู่นั้นออกไปในม่านสายฝนข้างนอก

หมาป่ายกชูจมูกของมันขึ้นพร้อมกับสูดดมกลิ่นในอากาศ ก่อนที่มันจะแยกเขี้ยวพร้อมกับส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา ใหญ่รีบชักมีดออกมาเตรียมไว้ และดวงตาสีแดงคู่นั้นก็เปลี่ยนมาจ้องมองที่เขาแทน

“อย่า...ไม่ใช่พวกเรา แต่เหมือนจะมีอะไรบางอย่างข้างนอกนั่น” อรุณกระซิบบอกเบาๆ และในจังหวะนั้นเองที่หมาป่าได้พุ่งตัวออกไปอย่างผลุนผลันและหายไปในท่ามกลางสายฝน “...อะไรก็ตามที่ทำให้มันต้องรีบหนีไปแบบนี้ ต้องไม่ดีแน่”

ตอนนี้เหลือเพียงเด็กหนุ่มสองคน กับความน่ากลัวที่ซ่อนตัวอยู่ในม่านฝนเท่านั้น

“...ต้องเป็นเจ้ามังกรประหลาดนั่นอีกแน่” ใหญ่กระซิบพร้อมกับมองหาไปรอบๆ แต่ก็ไร้ประโยชน์ เขาไม่มีทางมองเห็น จนกว่าตัวอะไรที่ว่านั้นจะมายืนอยู่ตรงหน้า ซึ่งก็คงจะสายเกินไป “เราวิ่งหนีตามหมาป่านั่นไปดีไหม”

แม้จะยังนึกแผนอะไรไม่ออก แต่อรุณไม่คิดว่าการวิ่งออกไปท่ามกลางสายฝนในความมืดแบบนี้จะเป็นการตัดสินใจที่ดี โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาไม่ใช่หมาป่า ในขณะที่ทั้งสองกำลังยืนลังเลอยู่ในท่ามกลางความหวาดกลัวในใจของตนเองนั้น ก็มีเสียงประหลาดดังขึ้น พร้อมกับเคลื่อนใกล้เข้ามายังทิศทางของพวกเขา

“มันมาแล้ว เจ้ามังกรนั่น ท่าทางจะมากันทั้งฝูงเลยคราวนี้” ใหญ่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้นพร้อมกับใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ชักดาบออกมาถือไว้ด้วย อรุณเองก็ตื่นกลัวไม่แพ้กัน แต่เขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับเสียงที่ดังใกล้เข้ามานั้นด้วย มันอาจฟังดูคล้ายสัตว์หลายตัวที่กำลังวิ่งตรงมาอย่างบ้าคลั่ง และมันก็ฟังดูคล้ายกับเสียงของบางสิ่งที่ธรรมดามากกว่า อย่างเช่นเสียงของม้าที่กำลังควบอย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงบดของล้อหนักๆ ที่บางครั้งจะไถลไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยโคลน

สายฝนพลันขาดเม็ดและหยุดลงอย่างฉับพลันเหมือนกับในตอนที่มันเริ่มขึ้น อรุณตัดสินใจเก็บดาบของเขา โบกมือ พร้อมกับร้องตะโกนขึ้นด้วยเสียงดัง

“เฮ้ ทางนี้ ทางนี้”

มีแสงสว่างจุดหนึ่งส่องตรงมาจากทิศทางเดียวกันกับเสียงเมื่อครู่ เมฆฝนลอยพัดผ่านไป ท้องฟ้าเปิดอีกครั้ง แสงจันทร์สาดส่องลงมาอย่างลางเลือนแต่ก็พอให้มองเห็นเงาของสิ่งที่กำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา เสียงของสัตว์ประหลาดเมื่อครู่คล้ายกับจะเป็นเสียงของรถม้ามากกว่าเดิม แล้วแสงไฟดวงนั้นก็สาดพุ่งตรงมาทางพวกเขาจนต้องยกแขนขึ้นกันเอาไว้ ก่อนที่คนส่องไฟจะเบี่ยงมันออกไปทางด้านข้างเล็กน้อย

“พพวกเธอ ไม่ใช่โจรใช่ไหม” เสียงแปล่งๆ ดังถามมาจากบนที่นั่งคนขับรถม้า เสียงของเขาฟังดูเป็นผู้ชาย ใบหน้าทั้งหมดถูกซ่อนเอาไว้ในเงาของเสื้อคลุมกันน้ำสีดำ ร่างกายของเขาดูเล็กกว่าปกติแม้จะถูกปกปิดอยู่ใต้เสื้อตัวโตนั้นก็ตาม

“พวกเราไม่ใช่โจรครับ” อรุณตอบ พร้อมกับใหญ่ที่พึ่งรู้ตัว และรีบเก็บอาวุธของตนอย่างรวดเร็ว “พวกเรากำลังหลบฝน แต่เจอกับหมาป่าเข้า ก็เลยต้องชักอาวุธออกมาป้องกันตัว” เขารีบอธิบาย อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่เรื่องโกหกไปทั้งหมด

“แลล้วพวกเธอออกมาทำอะไรกันในป่าตอนกลางคืนแบบนี้...หหยุดอยู่ตรงนั้นก่อน ออย่าพึ่งเดินเข้ามาใกล้...ฉฉันมีปืนด้วยนะ” เจ้าของเสียงลดไฟฉายในมือลงพร้อมกับชูวัตถุทรงกระบอกสีดำในมืออีกข้างให้ทั้งสองได้เห็นชัดๆ “ปปืนนี่สามารถยิงมีดสั้นออกไปได้ไกล ททั้งแม่น แลละเร็วกว่าที่พวกเธอจะขว้างมีดได้มากนัก” เขารีบอธิบายเพิ่มเพราะกลัวว่าทั้งสองอาจไม่รู้จักกับอาวุธชนิดนี้

ปืน อาวุธซึ่งตอนนี้กำลังกลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนภายในมหานคร เกี่ยวกับสิทธิในการครอบครองของบุคคลทั่วไป การแพร่กระจายของปืนที่ผลิตขึ้นโดยไม่ได้ผ่านการรับรอง และการพกพาพวกมันไปตามที่ต่างๆ จนก่อให้เกิดปัญหารุนแรงขึ้นมากมายติดตามมา

ช่องเล็กๆ ที่ผู้โดยสารซึ่งนั่งอยู่ภายในตัวรถสามารถใช้พูดคุยกับคนขับรถม้าถูกเลื่อนเปิดออก มีเสียงของใครอีกคนดังออกมาจากภายในคล้ายกับจะเป็นการไถ่ถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันเป็นเสียงของชายสูงอายุ แต่พูดด้วยภาษาประหลาดที่เป็นเสียงสูงๆ ต่ำๆ สลับไปมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งเด็กหนุ่มทั้งสองฟังไม่รู้เรื่องแม้แต่คำเดียว คนขับรถที่พูดติดขัดในทุกคำแรกของประโยค พยายามอธิบายด้วยภาษาประหลาดแบบเดียวกันนั้น ซึ่งแม้จะพูดได้แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยคล่องสักเท่าไร แถมยังจำเป็นต้องหยุดนึกหาคำพูดอยู่หลายครั้งด้วย

หลังจากการพูดคุยกันด้วยภาษาประหลาดนั้นจบลง คนขับรถม้าก็หันกลับมาสนใจเด็กหนุ่มทั้งสองอีกครั้ง “ขขอโทษที เขาเป็น เจจ้านาย ของฉันเอง เอ่อ เรราคุยกันถึงไหนแล้วนะ” ท่าทางของเขาดูผ่อนคลายลงกว่าเมื่อตอนก่อนหน้า แม้ปืนในมือยังคงชี้มาทางทั้งสอง แต่ก็ไม่ได้เล็งเป้าหมายอย่างเจาะจงแบบในตอนแรก

“พวกเรากำลังเดินทางกลับหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกไม่ไกล เราจึงตัดสินใจเดินทางกันในเวลากลางคืน แต่ก็ต้องมาติดฝน อยู่กับ...หมาป่าตัวหนึ่ง ซึ่งตอนนี้วิ่งหนีไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้” อรุณพยายามหาทางพูดให้มันฟังดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จ

“ตติดฝน กับ หหมาป่า กก็ฟังดูน่าเชื่อถือดี” ใหญ่ไม่เข้าใจคนขับรถม้าคนนี้เลย เพราะถ้าหากเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง เขาจะไม่มีวันเชื่อใครก็ตามที่นำมันมาเล่าให้ฟังเด็ดขาด อย่างน้อยก็คงไม่ยอมเชื่อง่ายๆ แบบนี้

“พพวกเธอบอกว่าเป็นคนแถวนี้ บบางที พพวกเธอคงรู้จักกับหมู่บ้านที่ชื่อ...” เขาหยุดคิดเล็กน้อย “คคคีรีคร”

“ครับ” อรุณไม่ค่อยคุ้นกับชื่อนั้น มันมีตัว ค มากเกินไป ซึ่งที่ถูกต้องคือ คีรีคร หรือ คีรีนคร “มันคือหมู่บ้านของพวกเราเอง” แต่ไม่ค่อยมีใครเรียกมันด้วยชื่อนั้น เพราะสำหรับพวกเขา มันเป็นเพียง บ้าน แห่งเดียวที่มี เมื่อพูดถึงจึงไม่จำเป็นต้องระบุชื่อให้ยืดยาวยุ่งยากไป

“เยยี่ยมเลย ฉฉันกำลังนึกสงสัยอยู่ว่ามาผิดทางหรือเปล่า” เขาลดเสียงให้เบาลง “ฉฉันไม่อยากโดนนายท่านตำหนิเอา” ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย เพราะถึงแม้จะได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน เจ้านายที่พูดภาษาประหลาดของเขาก็คงฟังไม่เข้าใจอยู่ดี

“...ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอติดรถไปด้วยได้ไหมครับ แล้วจะช่วยบอกทางให้” ที่จริงแล้วเพียงมุ่งหน้าต่อไปตามเส้นทางเกวียนสายเก่านี้อีกไม่ไกล ก็จะพบเจอกับทางแยกที่ลาดลงไปสู่แม่น้ำ หมู่บ้านของพวกเขาตั้งอยู่ที่สุดเส้นทางสายนั้นซึ่งหาได้ไม่ยากเลย

ถึงตอนนี้อรุณพึ่งมีโอกาสให้ความสนใจกับรถม้าคันนี้ ขุมกำลังของมันคือม้าสีดำพ่วงพีสองตัว ตัวรถประกอบขึ้นจากไม้ และโลหะไร้ลวดลาย ทาด้วยสีดำล้วน วงล้อขนาดใหญ่สี่ล้อ ห้องโดยสารขนาดใหญ่ที่ปิดมิดชิดหมดทั้งคัน ท่าทางมั่นคงแข็งแรง และต้องมีราคาแพงอย่างไม่ต้องสงสัย เขาไม่เคยพบเห็นรถม้าโดยสารที่มีลักษณะแบบนี้มาก่อน

ทั้งหมดนี้ทำให้ลูกน้องและเจ้านายคู่นี้น่าสงสัยมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ คนที่นั่งอยู่ภายในรถโดยสารเป็นใคร มีจำนวนเท่าไรกันแน่ และคิดจะไปทำอะไรที่หมู่บ้านของพวกเขา เขาชักไม่แน่ใจว่ามันเป็นความคิดที่ดีที่โบกเรียกรถม้าคันนี้เอาไว้ แต่อย่างน้อยก็คงดีกว่าที่จะปล่อยให้มันผ่านไปถึงหมู่บ้านโดยไม่มีใครเตือนให้พวกเขารู้ตัวก่อน

“กก็น่าจะได้นะ แตต่ฉันคงต้อง...” เขาหันกลับไปยังช่องสนทนาพร้อมกับเคาะมันเบาๆ และมันถูกเลื่อนเปิดออกแทบจะในทันที ทั้งคู่พูดคุยกันเบาๆ ด้วยเสียงสูงๆ ต่ำๆ แปลกหูนั้นอีกครั้ง และจบลงด้วยคำพูดที่ฟังเข้าใจได้ “...ไดด้ค่ะ นนายท่าน”

คำสั้นๆ หนึ่งในนั้นกระแทกใส่อรุณ 'ค่ะ' ดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิดมาตั้งแต่ต้น คนขับรถม้าผู้นี้เป็นผู้หญิง และคล้ายกับจะเป็นการตอกย้ำความเข้าใจใหม่นี้ เธอก็เปิดหมวกคลุมของชุดกันน้ำที่สวมอยู่ออกเผยให้เห็นใบหน้าที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เธอมีผมยาวที่คล้ายกับไม่ใช่ผมของเธอเอง มันเหมือนกับเป็นผมของหลายคนที่ถูกนำมาปะติดรวมเข้าด้วยกัน ดวงตาสองข้างที่มีขนาดต่างกันเล็กน้อย กับแผลถูกเย็บเป็นรอยรูปตะขาบขนาดใหญ่ตรงคาง และบางทีหลังของเธออาจจะค่อมเล็กน้อยด้วย

“เจจ้านายบอกว่าพวกเธอจะไปด้วยก็ได้ แตต่คงต้องไปนั่งข้างหลัง” ซึ่งเธอหมายถึงบริเวณด้านหลังนอกตัวรถที่คล้ายกับที่นั่งคนขับทางด้านนี้แต่แคบกว่า ส่วนใหญ่แล้วจะใช้เป็นที่ขนของ และต้องมัดไว้ให้แน่นเพื่อไม่ให้ตกหายไปในระหว่างเดินทาง

“ฉฉันชื่อ ออีกอร่า” เธอแนะนำตัวเอง และมันคงหมายถึง อีกอร่า เด็กหนุ่มทั้งสองต่างก็แนะนำตัวเองตามมารยาท แต่เธอไม่ได้แนะนำเจ้านายของเธอ ซึ่งทั้งสองคิดว่าไม่เหมาะที่จะถามในตอนนี้ คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวหน้าหมู่บ้าน พ่อของใหญ่เป็นคนจัดการจึงจะเหมาะสมกว่า

“พพวกเธอไม่ใช่เด็กกันแล้วสินะ” เธอถามขึ้นในระหว่างที่ทั้งสองกำลังปีนขึ้นบนหลังรถม้า “ฉฉันเห็นก้อนหินของพวกเธอแล้ว ฉฉันเองก็ศึกษาเรื่องราวต่างๆ ในแถบนี้มาไม่น้อย” ทั้งสองมองหน้ากันก่อนที่อรุณจะตอบรับเพียงสั้นๆ เพราะไม่คิดว่าเธอจะต้องการคำอธิบายอะไรที่มากไปกว่านั้น

รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง

“มันแปลกนะ” ใหญ่กระซิบ “...อะไรล่ะที่แปลก” อรุณตอบในขณะที่พยายามยึดเกาะ และทำตัวให้คุ้นเคยกับการโยกไปมาของรถม้า หากได้นั่งอยู่ภายในรถโดยสารคงสะเทือนน้อยกว่านี้มาก

“ทุกอย่างเลย...” ใหญ่ว่า “รถม้าสีดำ ม้าสีดำ วิ่งผ่านมาในยามราตรี พร้อมกับคนรับใช้...เอ่อ หญิงรับใช้หน้าตาปร...แปลกๆ ภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง กับ นายท่าน ผู้ลึกลับที่ไม่ยอมให้ใครพบเห็นตัว”

ขนทั่วร่างของทั้งคู่ต่างพากันลุกขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่ยากอธิบายวิ่งไปทั่วร่าง “...ถ้าในรถม้าจะมีโลงศพใบใหญ่วางอยู่บนกองดินที่ขุดขึ้นมาจากบ้านเกิดของนายท่านที่ว่า ฉันจะไม่แปลกใจเลยสักนิด” อรุณคิดตามคำพูดของใหญ่ไม่ทันว่าเพื่อนกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นหนึ่งในความเชื่อเก่าเกี่ยวกับผีดูดเลือดที่ว่าในตอนกลางวันจะต้องหลบซ่อนอยู่ในโลงศพบนดินจากบ้านเกิดของตนเท่านั้น

ผีดูดเลือดที่ทรงอำนาจมักเดินทางไปตามที่ต่างๆ ด้วยรถม้าสีดำขนาดใหญ่ซึ่งสามารถขนโลงศพและดินจากบ้านเกิดของตนไปด้วยได้ 'อย่างเช่นรถม้าคันนี้' พร้อมกับมีคนรับใช้ที่ไว้ใจ และยอมทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อเจ้านายแห่งตน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนพวกนี้มักจะมีท่าทางแปลกๆ 'อย่างเช่นคนขับรถม้าหญิงที่มีชื่อว่า อีกอร่า'

ทั้งสองต่างมองหน้ากัน ก่อนพยายามจะเลิกสนใจว่ามีสิ่งใดอยู่ในรถโดยสารกันแน่ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ตอนที่พวกเขากำลังนั่งอยู่เหนือมัน

แม้เส้นทางเกวียนสายเก่าจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นโคลนจนทำให้รถม้าใช้ความเร็วได้ไม่มาก แต่ม้าดำทั้งคู่ และฝีมือในการควบคุมรถของอีกอร่าก็ทำให้การเดินทางราบรื่นไร้ปัญหา ทางแยกถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เส้นทางที่ค่อยๆ ลาดลงบังคับให้เธอต้องลดความเร็ว และใช้ความระมัดระวังมากขึ้น

หมู่บ้านของพวกเขาอยู่ห่างไปไม่ไกลแล้ว ใหญ่พยายามยื่นหน้าออกไปทางด้านข้างของตัวรถเพื่อมองดูเส้นทาง ซึ่งในตอนนั้นเองที่อีกอร่าลดความเร็วพร้อมกับตะโกนมาจากที่นั่งคนขับ

“ดดูเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น มมีคนเต็มไปหมดเลย”


Create Date : 01 มิถุนายน 2558
Last Update : 1 มิถุนายน 2558 21:34:23 น. 0 comments
Counter : 637 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.