|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ดูกันดั้ม แล้วย้อนมองการเมืองรอบตัว...ร้อง , เล่น , เต้น , หัว ยิ้มยั่วยิ่งกว่าฝัน !
ดูกันดั้ม แล้วย้อนมองการเมืองรอบตัว...
ร้อง , เล่น , เต้น , หัว ยิ้มยั่วยิ่งกว่าฝัน !
|
|
|
ดูหนัง ดูละคร แล้วย้อนดูตัว ร้องเล่น เต้นหัว ยิ้มยั่วเหมือนฝัน เป็นคำกล่าวที่เฉียบคมจนแพร่หลายเป็นที่รู้จักจำติดใจในวงการบันเทิงไทย ตราบจนถึงปัจจุบัน ถ้อยคำนี้ยังคงมีอิทธิพลต่อเหล่าผู้ชมที่มุ่งแสวงคุณค่าของสื่อบันเทิงที่เผยแพร่ทั้งแบบสิ่งพิมพ์และดิจิตอล ซึ่งในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างออกไปในหลากหลายรูปแบบ แม้แต่การ์ตูน ก็นับเป็นสื่ออย่างหนึ่งที่มีวิวัฒนาการด้านเนื้อหาสาระอันมุ่งเน้นสะท้อนความเป็นไปของชีวิตมนุษย์มากขึ้น ประดุจกระจกสังคมอีกด้านหนึ่งที่ฉายแนวคิดของความเป็นมนุษย์ออกมาได้อย่างมีเหตุผลสมจริง ไม่แพ้นวนิยาย ภาพยนตร์และละครเลยทีเดียว
ดังนั้น สาระของการ์ตูนและหนังละคร จึงมีความคล้ายกันที่สามารถจำลองให้เห็นวิถีชีวิตของสรรพสิ่งบนโลก ( หรือจักรวาล ) นั่นจึงเป็นที่มาของการอนุมานคุณค่าแนวคิดของการ์ตูนในเครือซีรี่ย์กันดั้ม กับวิถีทางการเมืองไทยในวันนี้ ด้วยประเด็นที่ขึ้นหัวข้อล้อกันกับสาระการชมหนังละครไทยว่า ดูกันดั้ม แล้วย้อนมองการเมืองรอบตัว ร้อง , เล่น , เต้น , หัว ยิ้มยั่วยิ่งกว่าฝัน !
โดยปกติแล้ว บทความเรื่องต่างๆ ของหงส์ฯ จะไม่ค่อยเน้นเรื่องชวนเครียด แต่ตรงนี้ คงต้องขอแหวกแนวฉีกรูปแบบไปจากเดิมเสียหน่อย ด้วยอดไม่ได้จริงๆ ก็อย่างที่รู้กัน คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศเอง ก็คงรู้สึกเจ็บปวดใจไม่น้อยที่เห็นประเทศชาติเป็นเช่นนี้ บางคนชมภาพข่าวแต่ละสถานีที่บันทึกแพร่ภาพแล้ว ก็น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้ต่อความรู้สึกที่มีในสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ราวกับว่ามันได้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาจริงๆ ยิ่งกว่ามองแค่ว่ามันเป็นเพียงเหตุการณ์ในจอภาพสี่เหลี่ยม เพราะสิ่งที่คนบางกลุ่มกำลังกระทำอยู่ มันย่ำยีหัวใจไทยทั้งชาติ ก่อเกิดความร้าวรานใจเจ็บแสบทรวงยิ่งกว่าแผลสด แผลเปื่อย แผลไฟไหม้,น้ำร้อนลวก แผลพุพองเป็นหนอง ผิวหนังอักเสบเสียอีก เจ็บกายนั้นยังพอทนได้ รักษาแล้วก็พลันหายไป แต่เจ็บปวดที่หัวใจในเรื่องเลวร้ายของประเทศชาติอย่างนี้ ใครเล่าจะเยี่ยวยาได้ผลอยู่รอดปลอดภัย
จริงอยู่ว่าการ์ตูนนั้น ถือเป็นสิ่งงดงาม คงมีหลายคนที่เห็นว่าไม่อยากให้สิ่งสวยงามเช่นนี้ ต้องมาแปดเปื้อนเกี่ยวพันกับเรื่องทางการเมืองที่ไม่น่าพิสมัย หากแต่ว่าในความรู้สึกของหงส์ฯ เองนั้นมีความเห็นว่า แนวคิดบางอย่างของการ์ตูน โดยเฉพาะซีรี่ยกันดั้มที่มีเนื้อหาเล่นปมทางการเมืองอย่างเด่นชัดนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่สะท้อนสถานการณ์บางอย่างในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
ด้วยว่าความเป็นกันดั้มนั้น แม้มีส่วนหนึ่งที่เป็นจินตนาการแห่งความฝันอันยากจะเป็นไป แต่หัวใจของกันดั้มอีกส่วนหนึ่งก็แสดงเหตุผลและธาตุแท้ของมนุษย์ในแง่มุมเรื่องของ อำนาจการปกครอง ที่มีความน่าจะเป็นจริงแฝงเร้นอยู่ด้วย และสัญลักษณ์ของความเป็นหุ่นยนตร์ กันดั้ม นั้นก็เหมือนจะแทนสัญญะความหมายของสิ่งที่เรียกว่า อำนาจ ด้วยเช่นกัน เพราะในแต่ละซี่รี่ย์กันดั้มนั้น หากไม่แย่งชิงสิ่งนี้กันไปมา ก็มักจะมีทั้งผู้ประสงค์ดีและร้ายที่พยายามสร้างสรรค์พัฒนาสิ่งนี้ขึ้นมาให้แข็งแกร่งเกินใครจะต้านทาน และเมื่อใครได้ครอบครองก็จะเป็นที่น่าเกรงขามหวาดกลัว รวมทั้งแนวเรื่องที่มักสื่อให้เห็นว่า มีกันดั้มแล้ว ใช่จะเป็นคนดีเสมอไป และมีกันดั้มแล้ว ใช่ว่าจะชนะเสมอไป ซึ่งก็แสดงให้เห็นในแง่มุมหนึ่งว่าหากใช้ไม่ถูกที่ ไม่ถูกทาง และไม่มีเหตุผลแล้วล่ะก็ แม้เป็นถึง กันดั้ม ก็อาจปราชัยได้ ( ยกเว้นพระเอกบางคนที่ต้องชนะตลอดศก หรือไม่ก็ชนะในนาทีสุดท้าย เพื่อความเทพอมตะ )
ถึงกระนั้น ท่านใดที่แม้ชื่นชอบซีรี่ย์กันดั้ม แต่ไม่ปรารถนาวุ่นวายเรื่องทางการเมืองให้ขุ่นเคืองเบื้องลึกในจิตใจ ก็ขออภัยด้วย ที่หงส์ฯ เองก็ไม่ค่อยอยากแนะนำให้อ่านบทความนี้สักเท่าใดนัก เดียวจะพาเครียดเกินไป จนกลายเป็นว่าหงส์ฯ ทำให้รู้สึกไม่ดี เพราะงั้นหากอยากพักผ่อนไม่ให้สองประเด็นนี้มาข้องเกี่ยวกัน ก็ไม่ควรติดตามอ่านนับจากนี้เป็นต้นไป ที่วิพากษ์ไว้เช่นนี้ ส่วนหนึ่งถือเป็นการระบายความรู้สึกและความคิดเห็นทางการเมือง ที่บูรณาการกับแนวคิดที่ได้รับจากซีรี่ย์กันดั้มใน บางซีรี่ย์ ( เพราะหงส์ฯ เองก็ไม่ได้ถึงขั้นตามติดทุกภาคซีรี่ย์ ดังนั้น สิ่งที่หยิบยกมาอ้างอิงเขียนถึงนั้น ก็คงเป็นเฉพาะในวงจำกัดที่เคยผ่านตาหงส์ฯ มาในระดับหนึ่งแล้ว )
อันที่จริงหงส์ฯ เองก็เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่โดยปกติแล้วไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการเมืองมากมาย ด้วยถือว่าเป็นเรื่องที่เราเองไม่สามารถยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องอะไรได้มากนัก เหมือนอยู่ไกลตัวเกินเอื้อมถึง และแม้จะคิดมากไป แต่ไม่นานนักเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรของชาติที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็คงจะต้องจัดการคลี่คลายสถานการ์ให้เสร็จสิ้นไปได้เอง
หากแต่สถานการณ์ทุกวันนี้ สังเกตดูแล้ว ก็ให้รู้สึกอึดอัดว่าเมื่อไหร่จะจัดการได้เสียที มันยืดเยื้อจนน่ารำคาญ จะไปที่ไหนใน กทม. ก็หวาดระแวงภัย นี่นานเท่าใดแล้วนะ ที่หงส์ฯ ไม่ได้เข้าไปในจังหวัดนั้น ทั้งที่เมื่อก่อน อย่างน้อยต้องไปเยือนสักครั้งหนึ่งในแต่ละเดือน อย่างวันก่อนจะเดินทางไปชมพระเมรุมาศ คณะที่จัดไปต้องบอกยกเลิกกลางคัน เพราะเป็นวันที่ 24 พ.ย. 2551 ที่วุ่นวายโกลาหลอย่างมโหฬาร ด้วยเหตุนี้ จะว่าการเมือง ณ ตอนนี้ เป็นเรื่องที่ไกลตัวหงส์ฯ คงจะไม่ใช่อย่างนั้นเสียแล้ว เพราะคล้ายๆ ว่ามันเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันอยู่ในดุลยพินิจ เพราะเป็นปัจจัยหนึ่งที่กีดกันขวางกั้นการเดินทางไปไหนมาไหนอย่างอิสระเสรีเป็นปกติสุขอย่างที่ควรจะเป็น ช่างคล้ายกับที่ล็อคอินหนึ่งในห้องราชดำเนินได้โพสต์เป็นภาพอักษรด้วยถ้อยคำอันล้อชื่อภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่งในอดีตว่า 2551 อันธพาลครองเมือง
เอาล่ะ มาถึงตรงนี้ก็ น้ำ ก็กินพื้นที่มาพอสมควร คิดเสียว่าที่กล่าวไปเบื้องต้นนั้น เป็นที่มาในการเขียนบทความนี้ก็แล้วกัน และนับจากย่อความข้างหน้านี้ จะเป็นส่วนของ เนื้อ ความกับประเด็นว่า ดูกันดั้ม แล้วย้อนมองการเมืองรอบตัว ร้อง , เล่น , เต้น , หัว ยิ้มยั่วยิ่งกว่าฝัน !
เราจะเห็นว่าโลกสวย ก็ต่อเมื่อได้มองดูในเวลาที่สงบสุข มนุษย์จึงโหยหาสันติสุข เพราะสันติสุขทำให้โลกเป็นบ้านที่น่าอยู่ แต่มนุษย์มักขัดแย้งกันเอง เพื่อแสวงหาสันติสุขตามแบบของตน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การแบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายสีสัน แต่อยู่ที่จิตใจของคนบางกลุ่ม ซึ่งไม่ยอมรับความสงบที่ไม่ได้มาด้วยชัยชนะ ทั้งที่สิ่งที่พวกเขาเข้าใจว่าเป็นชัยชนะ มันคือความพ่ายแพ้ย่อยยับของประเทศชาติ ยิ่งกว่าศึกเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒
เป็นความจริงประการหนึ่งว่า คนเราทุกคนนั้นอยากรักษาสันติสุขร่วมกัน แต่บางครั้งคนเรานั่นแหละที่โกหกและพยายามหาข้อแก้ตัวให้กับความโหดร้ายของตนในหนทางการต่อสู้แย่งชิง เพียงเพื่อต้องการเอาชนะกัน จนเข้าขั้นประจัญศึกสงครามอย่างอหังการ
หากถามว่า ทำไมคนเราจึงต้องห่ำหั่นกันเอง? คำตอบอาจเป็นว่า เพราะคนเราเกิดมาพร้อมสัญชาตญาณการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด , เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ หากแต่ก็ยังไม่อาจยืนยันได้แน่ชัดว่า คนที่กล้าสู้สุดชีวิต จะได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างอุดมสมบูรณ์กว่านี้จริงหรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันก็ต้องสูญเสียอะไรบางอย่างหรือหลายอย่างไปเช่นเดียวกัน
A : อาจารย์ของหม่อมฉันน่ะสอนว่า
มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ชอบการต่อสู้
ใครชนะก็จะได้อำนาจควบคุมทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นการจัดลำดับชั้น
จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์เรา
เราเพียงแต่สู้ เพื่อจัดลำดับชั้นอำนาจตามแนวคิดนี้
มันเป็นธรรมดาของโลกมนุษย์
สันติสุขสมบูรณ์แบบนั้น
มันจะไปช่วยอะไรได้เล่า
คนที่ตายในการต่อสู้เพื่ออุดมคตินั้น
จะกลายเป็นวีรบุรุษผู้สร้างประวัติศาสตร์
มีคนรุ่นหลังจดจำและนับถือ
สันติสุขสมบูรณ์แบบ มันช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ เลย
มีแต่จะทำให้ตกเป็นเป็นเหยื่อของคนที่บ้าอำนาจเท่านั้น
ตอนนี้จึงจำเป็นต้องสู้แล้วนะเพคะ...
B : อ้างว่ามนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ชอบการต่อสู้
แล้วทำสงคราม ( ครั้งสุดท้าย) กันเรื่อยไปน่ะ
มันไม่ถูกนะ ฉันเชื่อว่ามนุษย์นั้นสามารถหาทางอื่น
ที่จะทำให้เกิดความสงบสุขที่แท้จริงได้ |
|
|
|
กล่าวถึงเรื่องการต่อสู้ในหมู่มนุษย์แล้ว ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กับมนุษย์นับตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ จากการต่อสู้ระหว่างบุคคลกับบุคคล ขยายเป็นสงครามระหว่างประเทศ ทุกยุคทุกสมัยล้วนบันทึกไปด้วยสงครามอันโหดร้ายทารุณที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยแนวคิดที่ว่า ถ้าไม่สู้ก็จะทำให้เกิดสิ่งใหม่ที่ดีกว่าไม่ได้ ทั้งที่บางครั้งผลจากการลุกขึ้นสู้อย่างเอาเป็นเอาตายโดยไร้เหตุผลของคนบางกลุ่ม อาจนำไปสู่สิ่งใหม่ที่แย่กว่าเดิมก็เป็นได้
A : ท่านนั้นเป็นคนยิ่งใหญ่ที่สมควรเป็นผู้ปกครอง
แต่ตอนนี้สถานการณ์ปั่นป่วน
ไม่เหมาะที่จะทำสงครามยืดเยื้อ
B : สงครามนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีใครห้ามได้
เราจึงควรใช้มันเป็นประโยชน์ไปซะ
เพราะว่ามนุษย์ที่อ่อนแอ
ต้องใช้ผู้ที่เข้มแข็งกว่ามาปกครอง
สงครามจึงต้องเกิดขึ้นเรื่อยไปเป็นธรรมดา
A : งั้น ก็จะมีคนตายมากมาย เลือดก็จะนองแผ่นดินสิค่ะ
ท่านน่ะรักมนุษย์ เมตตาต่อมนุษย์ดุจดังพระเจ้า
ท่านคงจัดการปกครองให้มีสันติสุขได้
B : เธอมีอุดมคติเกี่ยวกับอนาคตอยู่ใช่ไหม ?
A : อุดมคติของท่าน ก็คืออุดมคติของดิฉันนะคะ
B : อุดมคติของฉันเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้ง ๆ
ของมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น
ฉันอยากจะสร้างอนาคตที่ดีให้ผู้อื่น
แต่มนุษย์คนเดียวสร้างประวัติศาสตร์ไม่ได้
|
|
|
|
ประวัติศาสคร์สงครามทางการเมืองสะท้อนให้เห็นผลกระทบต่อประเทศชาติ ทั้งทางด้านความมั่นคงในการปกครองและเสถียรภาพในระบบเศรษฐกิจ การใช้กำลังเพื่อเปลี่ยนแปลงทุกอย่างตามที่ตนต้องการ เป็นวิธีการรักษาสันติสุขตามแบบประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบที่ดีแล้วหรือ ?
ทุกคนน่าจะรู้ดีว่าการใช้กำลังต่อสู้หาญหักเอานั้น ไม่เคยให้ประโยชน์กับใครอย่างสมบูรณ์ และความสงบสุขตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่ สิ่งที่ได้มาจากการใช้กำลังบังคับแบบเอาเป็นเอาตาย แต่อยู่ที่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศชาติทุกคน จะร่วมกันกำหนดวิถีทางของตนให้ดำเนินไปตามสันติวิธีได้อย่างไร ? ไม่มีใครอยากเห็นการต่อสู้ของผู้ได้ชื่อว่าร่วมบ้านเมืองเดียวกัน เพราะเมื่อมีการ สู้ เกิดขึ้น นั่นคือ การฝังเลือดและน้ำตาไว้เป็นหลักฐานแห่งสถานการณ์เลวร้าย และเลือด , น้ำตาที่เสียไปนั้น ก็ไม่ได้มีความหมายใดต่อการเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้น ไม่ใช่ว่าประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมเหล่านี้มันยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจ แต่เพราะผู้คนต่างไม่ยอมเปิดใจที่จะเรียนรู้จากความเป็นจริงเองต่างหาก
A : จริงอยู่ที่ว่าการไม่ต้องต่อสู้กันนั้นน่ะ
ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งสำคัญ แต่ว่า เมื่อศัตรูบุกมา
มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่ครับ ตอนที่ควรสู้มันก็ต้องสู้
ไม่อย่างนั้น พวกเราก็จะปกป้องอะไรไว้ไม่ได้ แล้วที่สำคัญ
เราควรปกป้องคนที่มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขด้วย
B : แต่ว่าทำแบบนั้นเพราะถูกฆ่าก็เลยฆ่า
เพราะฆ่าก็เลยถูกฆ่า สุดท้ายแล้ว
มันจะได้มาซึ่งความสงบสุขจริงๆ น่ะหรือ ?
|
|
|
|
หากขึ้นคำถามว่า การที่ท่านต้องต่อสู้นั้น ย่อมต้องเพราะมีศัตรูอยู่ แล้วตกลงศัตรูของท่านอยู่ที่ใด แล้วท่านจะตอบว่าอย่างไรแน่ เหล่านักสู้ทั้งหลาย เพราะในสายตาหนึ่งแล้ว สิ่งที่ท่านต่อสู้อยู่ด้วยนั้น คือ ประเทศชาติ ทุกสิ่งที่ทำลงไปล้วนส่งผลกระทบต่อบ้านเมืองอย่างไม่อาจคณานับได้ หวังเพียงแค่ได้ฝังเลือดเนื้อและสายน้ำตาไว้เป็นรากฐานค้ำจุนความมั่นคงในอำนาจการต่อรอง สู่แนวทางที่เชื่อว่าสามารถปฏิวัติและจัดระเบียบอำนาจได้เพียงเท่านั้น ทั้งๆ ที่บางครั้งการเรียกร้องนั้นช่างไม่สมเหตุสมผล และคงไม่มีที่ใดในสากลโลกยอมรับได้กับข้อเรียกร้องแบบนั้น
ณ ห้องซ้อมยิงปืนแห่งหนึ่ง
ปัง ๆๆๆๆๆๆๆ
A : ว้าว ! ยิงด้วยปืนกระบอกเดียวกันแท้ๆ แต่ว่าทำไม....?
B : ไม่ใช่เพราะปืนหรอกนะ เพราะว่ามือเธอสั่น
ตอนที่เหนี่ยวไกปืนต่างหาก เพราะงั้น
กระสุนถึงได้พลาดเป้าไปยังไงล่ะ
....( ยื่นกระบอกปืนคืนให้อีกฝ่ายหนึ่ง )
ถึงจะเก่งเรื่องแบบนี้ไป ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกนะ
A : ไม่เป็นแบบนั้นหรอกค่ะ
มันจำเป็นสำหรับการป้องกันตนเอง
และเพื่อนๆ จาก ศัตรู นะคะ
B : ศัตรู เหรอ!? ...เป็นใครกันล่ะ !?... |
|
|
|
กล่าวกันว่า คนที่เคยชินกับสิ่งใด ก็มักอยากจะมีสิ่งนั้นเพิ่มขึ้นอีก ส่วนคนที่ไม่เคยมี ก็หาวิธีทำให้ฝันของตัวเองเป็นจริงขึ้นมา โดยเฉพาะสิ่งที่คนเราปรารถนามากที่สุด คือ อำนาจ ชีวิตมนุษย์นั้นสั้นนัก แต่มนุษย์กลับมีความปรารถนาไม่สิ้นสุดใน อำนาจ ที่จะควบคุมสิ่งต่างๆ ทั้งๆ ที่บางครั้งอำนาจนั้นไม่ใช่สิทธิที่ถูกต้องตามระบบกติกาของชาติ รวมถึงไม่ใช่สิ่งที่ควรต่อรองได้เลยในระดับสากลโลก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความไม่มีเหตุผล ความดื้อรั้นดึงดันของคนบางกลุ่มกลับนำไปสู่หายนะของส่วนรวม โดยไม่ยอมเลิกรายุติลง เหตุผลใดเล่าที่ทำให้เป็นเช่นนั้น อาจเพราะยังมีกลุ่มคน ที่เปรียบได้กับ โลโกสต์ ที่ขึ้นชื่อว่า พ่อค้าความตายและหายนะ พวกเขาไม่สนใจชีวิตและทรัพย์ที่ต้องสูญเสียไปของผู้เคราะห์ร้าย แต่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญ คือ กำไรที่ได้จากการทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม
นั่นเป็นแนวคิดที่ผนวกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน นับแต่คราวที่ได้เห็นสื่อแพร่ภาพข่าว ธุรกิจการค้าสี ที่กำลังไปได้ด้วยดี รวมถึงเหตุการณ์ที่ครอบครัวข้าพเจ้าได้ประสบพบกับตนเองที่กลางตลาด อันแวดล้อมไปด้วยกลุ่มผู้มาเชิญชวนไปร่วมกู้ชาติ แต่ไม่อาจเข้าถึงครอบครัวข้าพเจ้าได้ หากแต่นั่นก็ทำให้ได้ประสบการณ์ชิ้นโบว์แดงในการรับรู้สาเหตุแน่ชัดว่า ทำไมจึงมีผู้เข้าร่วมขบวนการนี้เป็นจำนวนมาก ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าสังคมปัจจุบัน กระดาษบอบบางเล็กๆ ไม่กี่แผ่น ได้กลายเป็นเจ้าผู้ปกครองของใครบางคนไปเสียแล้ว
การอยากได้ของของคนอื่น ส่วนคนที่ต่างจากตนเอง
ก็จะถูกรังเกียจ อิจฉา และหวาดกลัวจะเป็นฝ่ายผิด
เหตุผลแบบนั้นทำให้มีสงครามเรื่อยมา
เป็นเรื่องยากที่จะแก้ไขได้....
สิ่งที่เรียกว่ามนุษย์นั้น พอรู้ว่าจะได้กำไร
ก็จะคิดในด้านตรงกันข้าม
ถ้าการต่อสู้จบลง เศรษฐกิจโดยทั่วไปก็จะดีขึ้น
หากแต่กำไรของพวกตนก็จะน้อยลง
แต่ถ้ายังยืนหยัดสู้กันต่อไป
พวกตนก็จะได้กำไรมากมายมหาศาล
ถ้าอย่างนั้นสำหรับพวกเขาแล้ว
สงคราม คือ สิ่งที่อยากให้เกิดขึ้น...
มันคือศัตรู! , เป็นอันตราย ! , ต้องสู้ ! ,
เมื่อโดนยิง ก็ให้อภัยไม่ได้ ! , ต้องสู้มัน !
จึงมีคนจำนวนหนึ่งซึ่งคิดจะทำให้เกิดธุรกิจที่เห็นว่า
สงคราม คือ การทำอุตสาหกรรมอย่างหนึ่งขึ้นมา
เพื่อกำไรของพวกตัวเอง
|
|
|
|
สงครามและการต่อสู้ เป็นธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างหนึ่ง ! ....? นั่นเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่ามีจริงหรือนี่ ? แต่บางครั้งก็ชวนคิดว่าเป็นวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นได้ใช่หรือไม่ ? หากสภาวะบางอย่างผลักดันให้เงินตราคือพระเจ้าผู้บงการของมนุษย์ไปเสียแล้ว เป้าหมายในการกระทำวินาศกรรมของกลุ่มคนเหล่านั้น อยากให้ยุติลงเป็นเพียงแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ มีผู้กล่าวว่าสถานการณ์ต่างๆ นั้นเปรียบได้กับกงล้อประวัติศาสตร์ ที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แม้จะถึงจุดวิกฤติ แต่ไม่นานนักก็จะดำเนินไปสู่ความสงบสุขดังเดิมได้ ซึ่งก็ได้แต่หวังอยากให้ถึงวันนั้นโดยเร็วพลัน อยากให้สิ่งที่คนเหล่านั้นต้องการจากก้นบึ้งหัวใจ กลายเป็นเพียงแค่ ภาพฝันของคนบาป ที่ไม่อาจเป็นจริงได้ตลอดกาล
หากว่าในอนาคตข้างหน้า ถึงวันที่เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่กับเหล่าคนบาป อยากให้ท่านเหล่านั้นจงคิดถึงความจริงในการกระทำของตน ทุกสิ่งมีเหตุและมีผลในตัวของมันเอง ยามร้องไห้เจ็บปวดที่แสดงถึง ความกลัว มันก็เหมือนการยอมรับความผิดของของตนที่ได้ก่อวินาศกรรมขึ้น แต่หากยังไม่สำนึกและยังมุ่งที่จะสร้างโศกนาฏกรรมต่อไป ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม สักวันหนึ่ง คงไม่เหลือแม้แต่ที่ซึ่งจะล้มตัวลงนอนได้อย่างเป็นปกติสุขอีกต่อไป และผู้ประกาศสงครามทุกๆ ม้วนไม่รู้จบ ที่ไม่สามารถค้นหาความหมายแห่งการมีชีวิตอยู่ของผู้อื่น ก็จะแพ้อยู่เรื่อยไปเหมือนกัน ถ้าไม่หยุด...แล้วหันมารักเพื่อนมนุษย์ร่วมชาติด้วยกันบ้าง ...
ปัจฉิมลิขิต : ขอพรในโลกหล้า จงนำพาสันติสุขประชาธิปไตย กลับคืนมาสู่แผ่นดินไทยแห่งนี้อีกครั้งโดยเร็ววัน
เซส ! กลับมาเร็วๆ นะ เวลานายไม่อยู่
คนโง่ๆ มักทำอะไรงี่เง่าแบบนี้ ฉันทนไม่ได้ ! |
|
|
|
|
|
|
Create Date : 26 พฤศจิกายน 2551 |
|
5 comments |
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2551 13:50:08 น. |
Counter : 3783 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Apayin IP: 210.11.129.131 11 เมษายน 2552 8:48:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: แม่นางเตียว IP: 58.10.12.221 22 กรกฎาคม 2552 14:15:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนขับช้า IP: 115.67.171.105 7 มกราคม 2553 14:16:03 น. |
|
|
|
|
|
|
|
แวะมาเยี่ยมครับ