|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | |
|
|
|
|
|
|
|
ประตูที่ถูกเลือก
เด็กสาวหน้าตาซีดเซียวนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงสีขาว ลมหายใจรวยริน ร่างกายซูบผอมพอๆ กับหัวใจที่ไร้เรี่ยวแรงจะบังคับให้ตัวเองลุกขึ้นมาสัมผัสกับความสวยงามบนโลกนี้อีกครั้ง ทั้งที่อาการทางกายไม่สาหัสเท่าไหร่แต่ใจกลับสิ้นพลังที่จะหยัดยืน หากเพียงร่างกายไม่ถูกพันธนาการด้วยสายระโยงระยางจากเครื่องมือของแพทย์ที่ฉุดรั้งชีวิตไว้ เธอคงทิ้งลมหายใจไปอยู่ภายใต้อ้อมกอดของมัจจุราชนานแล้ว
เด็กสาวขดตัวอยู่ซอกโซฟาสีแดงสดในห้องรับแขกของบ้าน เธอบีบรูปร่างที่ผอมบางนั้นเข้าหากันจนกลายเป็นก้อนเหมือนเป็นเพียงหมอนใบหนึ่งบนโซฟาที่ไม่มีค่าใดๆ ทั้งสิ้น ใบหน้าใสที่ฉาบด้วยน้ำตาถูกซุกลงกับเข่าเพื่อหลีกหนีภาพที่บาดใจ แต่เสียงด่าทอกันของบุพการีก็ยังดังก้องในโสตประสาท สงครามน้ำลายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่และคงกินเวลาอีกยาวนานหลายกัป เด็กสาวยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้างโดยอัตโนมัติ แต่เสียงก็ยังเล็ดลอดเข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะ แม่เสียงดังกว่าพ่อเสมอและเสียงแว๊ดของแม่ก็ยั่วโทสะให้พ่อต้องเงื้อแขนเงื้อขาฟาดลงบนตัวแม่ทุกครั้ง แต่แม่ก็ไม่เคยเข็ด พอความเจ็บซาลงเสียงแม่ก็ดังขึ้นมาอีก พ่อและแม่ทำราวกับเธอเป็นสิ่งของหรืออะไรสักอย่างที่ตั้งวางไว้ตรงนั้น ไม่มีความรู้สึกกับการปะทะอารมณ์ที่ดุเด็ดเผ็ดมันของคนทั้งคู่ เรื่องราวในอดีตที่เธอลืมไปแล้วบางเรื่องถูกขุดขึ้นมาสาดใส่กันราวกับมันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ควรประกาศให้โลกรู้ และเมื่อหมดเรื่องที่บาดลึกความรู้สึกของกันและกันแล้ว แม่มักจะหันหลังเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน เก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง ส่วนพ่อก็หันหลังให้แม่เดินไปทางประตู แล้วสตาร์ทรถบึ่งออกไปด้วยความเร็ว บางครั้งพ่อหายไปหลายวันเด็ก สาวอดคิดไม่ได้ว่าพ่อยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า แต่ก็โล่งใจทุกครั้งที่เห็นพ่อกลับมา พายุอารมณ์สงบได้สักสองสามวันก็เริ่มก่อตัวขึ้นใหม่ โหมกระหน่ำครั้งแล้วครั้งเล่า เด็กสาวจำไม่ได้ว่าเรื่องที่เป็นต้นตอก่อไฟให้พ่อกับแม่อารมณ์ปะทุขึ้นมาเป็นเรื่องอะไรบ้างมันคละเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวไปหมด
หลายครั้งที่เธอมีเรื่องอยากจะปรึกษาทั้งเรื่องสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเป็นสาว เรื่องเพื่อนที่โรงเรียน เรื่องผลการเรียนที่ตกลง เรื่องครูฝึกสอนหนุ่มที่ชอบมาทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ยกับเธอ และยังอีกสารพัดเรื่องที่เธอก็ลืมไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่จะอ้าปากพูดแม่ต้องผลัดไปก่อนทุกที เอาไว้ก่อนได้ไหมแม่กำลังยุ่ง อะไรหนักหนาแกนี่เรื่องเยอะจริงๆ โตแล้วก็คิดเอาเองบ้างสิ ถ้าไม่มีแม่แล้วจะทำยังไง แม่มักพูดประโยคเหล่านี้ด้วยสีหน้าที่ส่อแววรำคาญ และปัดมือเพื่อให้เธอออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสมอเมื่อเธอต้องการคำปรึกษาอะไรสักอย่าง ดูเหมือนว่าทุกเรื่องของแม่จะสำคัญเสมอ ยกเว้นเรื่องของเธอ
เด็กหญิงตัวน้อยใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม กำลังนั่งล้อมวงกินข้าวกับครอบครัว แม้กับจะมีเพียงน้ำพริกกะปิซึ่งดูจากคราบที่ติดขอบถ้วยแล้วคงเป็นถ้วยเก่าที่เหลือจากเมื่อวาน ยอดผักบุ้งที่เก็บมาจากริมรั้วลวก และไข่เจียวบางๆ อีกหนึ่งจาน ไม่ใช่อาหารที่เลิศหรูแต่ช่างเป็นการกินข้าวที่ดูเอร็ดอร่อยที่สุดในโลกสำหรับเด็กน้อย พ่อกับแม่ปรึกษากันเรื่องค่าเทอม ค่าน้ำค่าไฟ และยังกับข้าวในวันพรุ่งนี้อีก แต่ไม่มีน้ำเสียงใดที่แสดงถึงการตำหนิติเตียนอีกฝ่าย ถ้อยคำส่งแรงใจต่อกันฟังแล้วเหมือนยาขนานเอกที่หมอคนใดในโลกก็ไม่สามารถปรุงขึ้นมาได้ ถึงร่องรอยแห่งความกังวลยังเกาะกุมอยู่บนใบหน้าของผู้นำครอบครัวทั้งสอง แต่ก็ไม่วายหันมาถามไถ่ความ เป็นไปในชีวิตของลูกอย่างเอื้ออาทร แม่คะวันนี้เรียงความเรื่องครอบครัวของฉันที่หนูให้แม่อ่านมื่อวานนี้ได้คะแนนเต็มด้วยค่ะ ครูชมว่าหนู เขียนเก่ง แม่ว่าโตขึ้นหนูเป็นนักเขียนดีไหมคะ ? เสียงเล็กๆ นั้นเจื้อยแจ้ว แม่ฟังอย่างใส่ใจในขณะที่ลูบหัวเธอไปด้วย ไหนเมื่อวันก่อนหนูบอกว่าอยากเป็นพยาบาลไงล่ะ แม่ถามกลับเพราะอยากหาเรื่องมาคุยกับลูกสาว แม่อยากให้หนูเป็นพยาบาลเหรอ ? เด็กหญิงถามกลับเมื่อซุกหัวลงที่ตักของแม่ เอาเถอะ อยากเป็นอะไรก็ได้แล้วแต่หนู แต่ที่สำคัญต้องตั้งใจเรียนนะลูก แม่ตอบมือยังลืมหัวลูกอยู่ เด็กหญิงยิ้มให้ผู้เป็นแม่ เธอนอนหนุนตักแม่ฮัมเพลงที่ชอบอย่างร่าเริง
มันนานมาแล้วที่ครอบครัวของเธอเคยอบอุ่นนานขนาดที่เธอคิดว่ามันอาจเป็นเพียงความฝัน หรืออาจไม่เคยเกิดขึ้นเลยในชีวิตของเธอ ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นเกิดขึ้นในบ้านหลังเล็กๆ มันเล็กว่าบ้านหลังนี้มาก อาจเพราะความคับแคบกระมังที่ทำให้ไออุ่นแผ่กระจายได้ทั่วถึง ไม่เหมือนบ้านหลังนี้ที่ใหญ่จนหากันแทบไม่เจอ พ่อกับแม่จึงไม่เห็นว่าเธอเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง เด็กสาวเริ่มมีน้ำมีนวลขึ้น เหม็นกลิ่นอาหาร คลื่นไส้อาเจียน จนกระทั่งเธอเป็นลมลื่นล้มไถลไปตามขั้นบันไดในบ่ายวันหนึ่งขณะกำลังเดินเข้าห้องเรียน เลือดที่ไหลลงมาตามขาทำให้เพื่อนและครูตกใจรีบนำเธอส่งโรงพยาบาล
เธอลองเล่นแคมฟร็อกสิ มีเพื่อนๆ ที่ให้คำปรึกษาเราเยอะแยะเลย เพื่อนคนหนึ่งบอกเมื่อเธอเปรยเรื่องที่บ้านให้ฟัง ยังไงหรือฉันเล่นไม่เป็น เธอเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ แหม ! เธอนี่เชยจริงๆ เพื่อนสาวคนเดิมบ่นด้วยรอยยิ้มเหยียดๆ ก่อนที่จะอธิบายวิธีเล่นโปรแกรมที่ว่าให้เธอฟัง เย็นวันนั้นเธอจึงขอให้เพื่อนช่วยพาไปซื้อกล้องสำหรับติดตั้งกับคอมพิวเตอร์ เมื่อกลับถึงบ้านเธอติดกล้องและเปิดโปรแกรมตามที่เพื่อนบอก เลือกเข้าห้องที่เพื่อนคนเดิมแนะนำ วันนี้เด็กสาวรู้สึกว่าตัวเองได้ค้นพบโลกใหม่ เธอมีเพื่อนที่ประสบปัญหาเดียวกันมากมาย เธอเลือกคุยกับพี่ชายคนหนึ่ง เขาช่างเป็นคนดีเข้าใจความรู้สึกเธอทุกอย่าง อ่อนโยนและปลอบประโลมยามเธอมีทุกข์ ในทุกๆ เย็นเธอจะรีบทานข้าวแล้วหมกตัวอยู่ในห้อง หายไปในโลกที่พ่อแม่ไม่เคยเข้าถึงเพราะไม่เคยใส่ใจ แม้เธอจะเงียบหายไปจากการเป็นส่วนหนึ่งในบ้านก็ไม่เคยมีใครสงสัยและกลายเป็นเรื่องปกติ
เด็กหญิงวิ่งเข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่ด้วยอาการลิงโลด เมื่อเธอถูกทางโรงเรียนเลือกให้เป็นตัวแทนไปแข่งอ่านทำนองเสนาะ พ่อเข้ามาสมทบหลังจากได้ยินข่าวดีจากลูกสาว ทั้งสามกอดกันจนกลายเป็นหนึ่งเดียว เธอเจื้อยแจ้วถึงคำพูดของคุณครูให้พ่อกับแม่ฟัง แม่บอกว่าวันนั้นจะใส่เสื้อลายดอกที่ซื้อมาตั้งนานแล้วไปดูการแข่งขันของเธอ แต่พ่อไปไม่ได้เพราะรับงานทาสีบ้านหลังใหญ่ที่ปลูกใหม่หน้าปากซอยไว้
เด็กสาวร่างกายเปลือยเปล่ากำลังโยกย้ายส่ายสะโพกอยู่หน้ากล้องตัวจิ๋วที่ติดตั้งไว้กับคอมพิวเตอร์ ราวกับตัวเองเป็นนางโชว์มืออาชีพในสถานบริการ ผิวขาวนวลอกอวบอิ่มสะโพกกลมกลึงซึ่งเราเรียกมันว่าของสงวนถูกเผยแพร่ไปให้สมาชิกร่วมห้องสนทนาฮิตในโปรแกรมแคมฟร็อกที่เรียกตัวเองว่าเพื่อนได้ดูกันอย่างทั่วถึง คนแล้วคนเล่าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันโชว์ลีลาที่คิดว่ายั่วยวน เซ็กซี่ที่สุด ดูๆไปคล้ายกับท่าทางทุรนทุราย ของอสูรกายที่กำลังแก่งแย่งกันหนีจากไฟนรก ปราศจากความสวยงามตามแบบที่หญิงสาวควรจะเป็น ยางอายในยามนี้ถูกชะล้างด้วยสิ่งเสพติดเม็ดเล็กแต่อานุภาพยิ่งใหญ่นอกจากทำให้มึนเมาแล้ว ยังสามารถ เร่งเร้าความกล้าให้ออกมาโลดแล่นในทางเสื่อมได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
เด็กสาวยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงสีขาว ผู้เป็นแม่เปิดประตูเข้ามาเกาะขอบเตียงพินิจพิจารณาดวงของลูกสาวอย่างกังวล นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอได้มองหน้าลูกสาวอย่างเต็มตา ชั่วอึดใจนายแพทย์หนุ่มก็เดินเข้ามายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของเตียง ลูกสาวคุณเสียเลือดมากก็เลยเกิดอาการช็อค เขารายงานอาการคนไข้ทันที แต่ที่โรงเรียนบอกว่าแกแค่เป็นลมไม่ใช่หรือคะ ? ผู้เป็นแม่ยืนยันอาการตามคำบอกเล่าของอาจารย์ที่นำบุตรสาวของเธอมาส่งโรงพยาบาล ใช่ครับ นายแพทย์หนุ่มกล่าว และเว้นช่วงไว้นิดหน่อยเหมือนไม่แน่ใจว่าจะพูดประโยคต่อไปดีหรือเปล่า แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกไป แต่นั่นเพราะลูกสาวคุณเสียเลือดมาก และทางเราคาดว่ามันมาจากการทำแท้ง ทำแท้ง ! ดังสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ เป็นไปได้ยังไง เป็นไปได้ยังไง เป็นไปได้ยังไง ประโยคนี้วนอยู่ในใจของหญิงสาวเหมือนรูปที่ถูกเปิดซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้เป็นพ่อเดินเข้ามาได้ยินประโยคที่ออกจากปากหมอเมื่อครู่พอดี แล้วลูกผมจะเป็นยังไงบ้างหมอ ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดคาดแกน่าจะฟื้นภายในวันนี้นะครับ ยังไงเราก็คงต้องส่งกำลังใจไปช่วยแกอีกแรงหนึ่งด้วย หมอกล่าวเสียงเรียบแต่นัยย์ตายังมีแววกังวล ดูลูกยังไง ถึงปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้ ชายวัยกลางคนกระแทกเสียงใส่ภรรยาหลังจากหมอเดินออกจากห้องไปแล้ว คุณจะมาโทษฉันฝ่ายเดียวได้ยังไง นั่นมันก็ลูกคุณเหมือนกันนะ ฝ่ายหญิงตอกกลับ ที่ผมหาเงินมาให้คุณกับลูกใช้นี่ยังไม่พอใจอีกหรือไง ต้องให้ผมมาจัดการเรื่องลูกด้วยหรือ ? เขาขบกรามดังกรอด นี่มันบ้าบออะไรกันนี่ เสียงถกเถียงระคนเสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ แม้กำแพงปูนที่แน่นหนาของห้องคนพักฟื้นพิเศษยังต้านไว้ไม่อยู่ จนพยาบาลต้องเข้ามาเตือน แต่เมื่อลับหลังไปสงครามน้ำลายก็เริ่มปะทุขึ้นอีก เรื่องเก่าถูกขุดคุ้ยขึ้นมาเป็นอาวุธทิ่มแทงกันอย่างดุเดือดเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ดูเหมือนทั้งคู่จะลืมร่างของลูกสาวที่ยังนอนไร้สติอยู่ตรงหน้าไปโดยสิ้นเชิง
เด็กสาวรู้สึกแปลกใจที่พบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงกลางของทางเดินเล็กๆ ที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศโดยรอบถูกปกคลุมด้วยสีดำสนิท ไม่มีวัสดุใดๆ บ่งบอกสักนิดว่าจุดที่เธอยืนอยู่เป็นสถานที่แห่งไหน มันคล้ายหลอดแก้วที่ทอดตัวอยู่ในอวกาศเหมือนที่เคยเห็นในหนังสือวิทยาศาสตร์ แต่ไม่ปรากฏดาวสักดวง มีเพียงประตูสีขาวที่อยู่ปลายทางของทั้งสองฝั่งเฝ้ารอให้เธอก้าวเข้าไปค้นหา เด็กสาวหันรีหันขวางชั่งใจระหว่างปลายทางทั้งสองก่อนจะตัดสินใจเลือกเดินไปยังประตูทางด้ายขวามือ แต่ละก้าวที่ทำลายระยะห่างระหว่างเธอ กับประตูนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้าและกล้าๆกลัวๆ แปลกที่เธอกลับใช้เวลาเดินมาหยุดยืนเผชิญหน้ากับบานประตูสีขาวนี้เพียงเสี้ยวนาที
เธอพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะใช้มือผลักมันเข้าไป ภาพที่เห็นคือห้องสีขาวในคลินิกแห่งหนึ่ง ผนังด้านซ้ายมือที่ทอดตัวต่อจากประตูมีหญิงสาวที่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมและหมวกคล้ายชุดปลอดเชื้อของแพทย์แต่มันเป็นสีขาว เธอกำลังสาละวนกับการเตรียมเครื่องมือเหมือนกำลังจะทำการผ่าตัดอะไรบางอย่าง ถัดไปเป็นผ้าม่านที่กั้นห้องนี้ให้พ้นจากโลกภายนอก ตรงกลางห้องมีคนนอนหงายอยู่บนเตียงเหล็กร่างกายตั้งแต่หน้าอกถึงน่องถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวมอๆ ขาทั้งสองถูกยกสูงในลักษณะแยกจากกันพาดไว้บนเหล็กที่เหมือนคานทั้งสองข้างของปลายเตียง ซึ่งด้านนั้นหันมาทางประตูพอดีทำให้ไม่เห็นหน้าคนบนเตียง เด็กสาวจึงเดินอ้อมเข้าไปดูใกล้ๆ เป็นไปได้ยังไง ! คนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นคือตัวเธอเอง ตาของเธอเบิกโตด้วยความตกใจระคนสงสัยในสิ่งที่เห็น ผู้หญิงในชุดคลุมและหมวกคนเดิมเดินถือถาดโลหะวาววับมารองรับลิ่มเลือดที่พุ่งออกมาจากหว่างขา ห้องสีขาวพลันเปรอะเปื้อนไปด้วยเป็นสีแดงฉานของหยดเลือด กรี๊ด ! ภาพตรงหน้าทำให้เด็กสาวร้องออกมาอย่างลืมตัว แต่เสียงที่คุ้นหูได้ดังแทรกขึ้นมาทำให้เธอหยุดฟังและหันไปสนใจกับต้นเสียงที่อยู่นอกผ้าม่าน เพราะคุณที่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้ เสียงผู้หญิงตะโกนลั่น เธอนั่นแหละเลี้ยงลูกยังไง ปล่อยให้มันทำตัวแบบนี้ ผู้ชายกระแทกเสียงสวนกลับทันที นี่มันก็ลูกคุณเหมือนกันนะ อย่ามาโยนให้ฉันรับผิดชอบคนเดียวสิ ถ้าคุณไม่แบ่งเวลาไปให้ผู้หญิงอื่นก็คงมีเวลามาดูแลลูกบ้าง มันก็คงไม่ทำตัวแบบนี้หรอก อย่ามาพูดมั่วๆ นะ เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นก็เพราะคุณมัวแต่เอาเวลามาจับผิดผมนั่นแหละ ก็คุณมันมีความผิดจริงมั๊ยล่ะ ? เสียงทะเลาะกันของคนนอกม่านดังขึ้นเรื่อยๆ เรื่องเก่าๆ เริ่มขุดคุ้ยมาด่าทอกันราวกับเป็นศัตรูมาแต่ชาติปางไหน จนในที่สุดก็ถึงขั้นลงไม้ลงมือ เด็กสาวรู้สึกคุ้นชินกับเหตุการณ์แบบนี้ และเริ่มคาดเดาว่าคนหลังม่านต้องเป็นพ่อกับแม่อย่างแน่นอน เธอลังเลก่อนจะใช้มือแหวกผ้าม่านออก ภาพที่เห็นเป็นจริงอย่างที่คาด พ่อกับแม่ของเธอกำลังทะเลาะตบตีกันท่ามกลางเปลวไฟสีส้มที่ลุกโชติช่วงขึ้นเรื่อยๆ เขม่าควันสีดำทำให้ห้องสีขาวสะอาดตานั้นขมุกขมัวภายในพริบตา กรี๊ด ! เด็กสาวกรีดร้องพร้อมยกมือขึ้นปิดหูและวิ่งเตลิดออกจากห้องนี้กลับไปทางเดิม เธอวิ่งเร็วราวกับม้าฝีเท้าเยี่ยม จนในที่สุดเธอก็มายืนอยู่หน้าประตูสีขาวอีกบาน และทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่นาน กว่าที่จะผลักประตูตรงหน้าเข้าไปด้วยความสงสัย ความหวาดกลัวจากภาพเมื่อครู่ทำให้เธอเพียงแค่ค่อยๆ ชะโงกหน้าสังเกตการณ์ภายในห้องเท่านั้น ในบ้านไม้เก่าๆ หลังเล็กๆ เด็กหญิงกำลังอวดใบประกาศนียบัตรรับรองผลชนะเลิศอันดับหนึ่งของการแข่งขันอ่านทำนองเสนาะ ผู้เป็นแม่หยิบใบประกาศมาดูในขณะกำลังตั้งวงข้าว เมื่ออ่านรายละเอียดแล้วเธอจึงดึงลูกสาวเข้าไปหอมแก้ม เก่งนะเรา ผู้เป็นแม่กล่าวแล้วส่งใบประกาศแผ่นนั้นให้พ่อต่อ ไม่เสียแรงที่พ่อกับแม่พยายามหาเงินมาส่งเอ็งเรียน ผู้เป็นพ่อส่งกระดาษแผ่นสำคัญนั้นคืนให้ลูกสาวแล้วขยี้ผมลูกอย่างเอ็นดู เด็กสาวทำจมูกย่นล้อเลียนพ่อ ทำให้แม่ที่นั่งมองอยู่หัวเราะกับอาการของลูกสาว กินข้าวเถอะวันนี้มีหมูทอดเป็นรางวัลให้หนูด้วย หญิงสาวสองพ่อลูกไปที่วงข้าวที่จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เด็กสาวมองภาพตรงหน้าด้วยอาการอิจฉา เธอค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ๆ วงข้าวของครอบครัวนั้น ทั้งสามกินข้าวด้วยกันอย่างเงียบๆ แต่เป็นความเงียบที่อบอุ่นแตกต่างจากความเงียบโต๊ะกินข้าวของบ้านเธอ เหลือเกิน อ้าว ! ผู้เป็นแม่เงยหน้าจากวงข้าวแล้วมองมาที่เธอ เด็กสาวผงะเล็กน้อยไม่คิดว่าหญิงสาวจะมองเห็นเธอ เพราะในที่แล้วไม่มีใครเห็นเธอเลยสักคน เธอหยุดฝีเท้าแล้วกำลังจะหันหลังกลับ หนูมาที่นี่ได้ยังไง หญิงสาวในวงข้าวเอ่ยกับเด็กสาว นั่นทำให้เธอหันกลับไปมอง และพบว่าเด็กหญิงกำลังเดินตรงมาที่เธอ พร้อมกับส่งรอยยิ้มไร้เดียงสาให้ ก่อนที่จะใช้มือเล็กนั้นจับมือของเธอ มากินข้าวด้วยกันสิคะพี่ เด็กสาวยิ้มตอบและเดินตามไปอย่างว่าง่ายเพื่อร่วมวงข้าวกับทั้งสามคน บ้านนี้น่าอยู่จังนะคะ เด็กสาวเอ่ยหลังจากตักข้าวใส่ปากได้สองคำ ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านในใจบอกให้เธอพูดออกมาแบบนั้น หญิงสาวส่งรอยยิ้มเย็นกลับมาแทนคำตอบ พี่ก็อยู่กับหนูที่นี่สิคะ เด็กหญิงชวน ไม่ได้หรอกลูก พี่เขาต้องกลับไปอยู่ในที่ของเขา ผู้เป็นแม่ปรามลูกสาว คุณน้ารังเกียจหนูหรือคะ ไม่ใช่อย่างนั้น เอ็งก็มีบ้าน มีพ่อแม่ มีหน้าที่ต้องทำ ชายหนุ่มชี้แจง หนูอยากอยู่ที่นี่จริงๆ นะคะ ที่นี่ทำให้หนูอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกได้จากที่ไหนมาก่อน หนูก็ฝันว่าอยากจะมีบ้านแบบนี้มานานแล้ว กลับไปเถอะหนูก่อนที่ประตูจะปิด แล้วหนูจะไม่ได้กลับไปอีก หญิงสาวชี้ไปที่ประตู เด็กสาวมองตามก็เห็นว่าประตูนั้นค่อยๆ เลื่อนปิดลงทีละน้อย พวกเราไม่ได้รังเกียจเอ็งหรอกแต่ถ้าเอ็งอยู่ที่นี่เอ็งจะไม่ได้กลับไปอีก ชายหนุ่มเสริม เด็กสาวพยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ประตูอย่างช้าๆ เธอหันกลับมามองที่วงข้านั้นอีกครั้งทั้งสามโบกมือและส่งรอยยิ้มให้ เด็กสาวยิ้มตอบก่อนจะใช้มือผลักประตูให้ปิดลงท่ามกลางความตกใจของทั้งสามคน
เสียงสัญญาณจากเครื่องตรวจวัดชีพจรดังลากเสียงยาว เส้นกราฟที่หน้าปัดวิ่งเป็นเส้นตรงยาว หมอและเหล่าพยาบาลวิ่งกันจ้าละหวั่น เครื่องปั๊มหัวใจถูกกดลงที่ร่างกายที่แน่นิ่งสองสามครั้ง แต่ไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับ หมอใช้ไปฉายกระบอกเล็กส่องรูม่านตาแล้วส่ายศีรษะ กระบวนการรั้งชีวิตกำลังจะดำเนินไปอีกครั้ง แต่คงไม่เป็นผลเพราะเด็กสาวเจ้าของร่างได้เลือกแล้วว่าเธอจะปิดประตูแห่งความจริงลงอย่างถาวร
.....................................................
Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2551 |
|
36 comments |
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2551 4:46:54 น. |
Counter : 1194 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: piggew (ARPUPU ) 27 กุมภาพันธ์ 2551 21:26:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: Malee30 27 กุมภาพันธ์ 2551 22:04:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลิตช์ (Litchi ) 27 กุมภาพันธ์ 2551 22:21:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: Malee30 29 กุมภาพันธ์ 2551 1:37:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลิตช์ (Litchi ) 29 กุมภาพันธ์ 2551 4:19:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: เราสองคน (ฝากเธอ ) 7 มีนาคม 2551 11:54:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: เราสองคน (ฝากเธอ ) 9 มีนาคม 2551 12:43:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลิตช์ (Litchi ) 22 มีนาคม 2551 0:13:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: veerar 22 มีนาคม 2551 0:25:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: pigarea 22 มีนาคม 2551 6:17:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: Opey 22 มีนาคม 2551 9:42:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: Takaw (Takaw ) 22 มีนาคม 2551 10:22:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าหู้เองจ่ะ... (fifty-four ) 22 มีนาคม 2551 10:40:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าตุ้ย (amornsri ) 22 มีนาคม 2551 14:50:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: นู๋แป๋ว (nupaew ) 22 มีนาคม 2551 18:00:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: ohioh 22 มีนาคม 2551 19:54:27 น. |
|
|
|
|
|
|
|