การเมืองเรื่องผลประโยชน์ใคร
Group Blog
 
 
เมษายน 2549
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
18 เมษายน 2549
 
All Blogs
 
สุพรรณบุรีเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแบบแบ่งเขต

สุพรรณบุรี
เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแบบแบ่งเขต

ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล
สมาชิกวุฒิสภา สุพรรณบุรี


จังหวัดสุพรรณบุรีนั้น แม้จะอยู่ใกล้กรุงเทพเพียง ๑๐๐ กิโลเมตร ห่างความเจริญของเมืองหลวงเพียงชั่วโมงเดียวแต่ชาวสุพรรณบุรีก็ยังพูดสำเนียงเหน่อแบบฉบับต้นตำหรับสุพรรณบุรีอย่างที่ไม่มีถนนสายไหนจะเข้าไปขนความเหน่อออกไปทิ้งได้
แม้จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นเมืองที่ใกล้กรุงเทพจนเกือบจะเป็นชานเมืองแต่การพัฒนาเศรษฐกิจชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสุพรรณบุรีก็ยังไม่คืบหน้าไปถึงไหน เทียบกับจังหวัดรอบ ๆ ๑๐ จังหวัด สุพรรณบุรีมีสภาพเศรฐกิจระดับต่ำอยู่ครึ่งล่าง ชาวนาคือคนส่วนใหญ่ในสุพรรณฯ และความจนคือคุณสมบัติติดตัวชาวนาไทยทุกแห่ง ชาวนาสุพรรณจึงเป็นคนจนไม่น้อยไปกว่าชาวนาที่อื่น
ดังนั้น เมื่อชาวนาจน
คนสุพรรณส่วนใหญ่เป็นชาวนา
คนสุพรรณส่วนใหญ่จึงเป็นคนจน
ต่อให้กรุงเทพก้าวหน้าไปแค่ไหน สุพรรณบุรีก็ยังอยู่อย่างเดิม
ต่อให้มีถนนใหม่กี่สายชาวสุพรรณฯ ก็ยังพูดเหน่อเหมือนเดิม
ใครที่ชอบเสียดสีสุพรรณบุรีว่าเจริญเหลือเกิน ถนนหนทางดีเหลือเกิน เสาไฟฟ้าบนเกาะกลางถนนสูงจนสรวงสวรรค์ แถมต้นไม้ดอกไม้บนเกาะกลางถนนก็ยังสวยงามอร่ามตาบ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อยจริง ๆ ใครที่พูดอย่างนี้ย่อมไม่ใช่คนสุพรรณ เพราะเพียงแต่ขับรถผ่านเมืองสุพรรณไป ไม่เคยแวะไปดูขยะในตลาดไม่เคยลงเรือล่องแม่น้ำสุพรรณดูน้ำที่เน่าเสีย ชมตลิ่งที่น่าเกลียดจากถนนคอนกรีตที่สร้างเลาะเลียบชายน้ำ ไม่เคยไปเยี่ยมสลัมหลังอำเภออู่ทอง ปลายสุดทางคลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง
ที่ไม่เจริญเอาเสียเลย จนน่าเป็นห่วงมากกว่าเรื่องเศรษฐกิจ และสังคมก็คือเรื่องการเมือง!
สุพรรณบุรีซื้อสิทธิขายเสียงตั้งแต่ครั้งที่เริ่มมีการเลือกตั้งครั้งแรก จะย้อนไปกี่ปีก็ย้อนได้ เสียงคนสุพรรณขายดีไม่ขาดตลาด คนสุพรรณขายสิทธิเลือกตั้งให้กับนักการเมืองได้ทุกระดับ
สมัยที่ผมเริ่มทำข่าวโทรทัศน์ที่ช่อง ๙ อ.ส.ม.ท. ใหม่ ๆ เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว ได้ออกอากาศภาพการจ่ายเงินห่างจากคูหาเลือกตั้งในอำเภอเมืองแค่ ๕๐ เมตร จนชาวสุพรรณฯ ผู้รักประชาธิปไตยชอบใจ ส่วนพวกที่ตกเป็นเป้าการจ่ายเงินซื้อเสียงก็กล่าวหาผมว่าไม่รักบ้านเกิดตัวเอง
“เป็นคนสุพรรณฯ บ้านเดียวกันแท้ ๆ เอาแต่มาต่อว่าด่ากันเองอยู่ได้ แทนที่จะมาช่วยกันพัฒนาสุพรรณฯ ให้เจริญ”
สุพรรณบุรีไม่เจริญทางการเมืองเอาเสียเลย
“๕๐ บาท ก็ซื้อเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดได้”
ผู้สมัคร ส.จ. ในอำเภอเมืองบางปลาม้าคนหนึ่งบ่นกับผม หลังจากแพ้การเลือกตั้งในสมัย ที่สองของท่าน “สมัยเดียวก็พอแล้ว เข็ดแล้ว คนบางปลาม้า” ท่านบอกกับผมอย่างท้อแท้ใจ
และยังคงต้องท้อแท้ใจต่อไป เพราะในการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลหลายแห่งในสุพรรณบุรีในปี ๒๕๔๘ บรรดาผู้สมัครซื้อเสียงกันจ้าละหวั่น ค้าขายสิทธิ์ของชาวบ้านบางปลาม้า ขึ้นถึง ๒,๐๐๐ บาทต่อคน นับว่าสูงมาก หัวคะแนนใหญ่เป็นพระเจ้าอาวาสวัดก็มี แต่คำนวณดู งบประมาณก็สร้างที่พวกเทศมนตรีจะได้เข้าไปจัดการให้บริษัทของตนเอง หรือบริษัทที่ตนเองจะได้ประโยชน์จากค่าอำนวยความสะดวกตอบแทนก็คุ้ม เพราะเทศบาลบางแห่งมีขนาดเล็ก ประชากรน้อยหากได้คะแนนเพียงพันสองพันคะแนนก็อาจได้รับเลือกแล้วเสียเงินซื้อเสียงเพียงสองสามล้านบาท ก็ได้เป็นเทศมนตรีแล้ว เข้าไปหาทางประมูลงานก่อสร้างครั้งสองครั้งก็เหลือจะกำไร เพราะคนสุพรรณฯ ที่ขาดเสียงเขาไม่สนใจปกป้องเงินภาษีอากรอะไรของเขา
ผมบ่นกับชาวบ้านคนหนึ่งที่อำเภอหนองหญ้าไซ เรื่องพวกนักการเมืองท้องถิ่นร่วมมือกับพวก ส.ส. สร้างอิทธิพลทางการเมืองจนชาวบ้านไม่กล้ามีปากมีเสียง ช่วยกันแสวงหาผลประโยชน์จากการรับเหมาก่อสร้าง พวกนักการเมืองสุพรรณฯ ทุกระดับเก่งกันมากเรื่องสร้างถนนผมบ่นกับ ชาวบ้านว่า “ทำไมไม่คิดจะสร้างแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรให้ทั่วถึง เอะอะ อะไรก็สร้างถนน สร้างถนน คิดอะไรไม่ออกก็บอกให้สร้างถนน กินค่าหัวคิวกันร่ำรวย”
ชาวบ้านอำเภอหนองหญ้าไซคนนั้นย้อยกลับมาบอกผมว่า
“ด็อกเตอร์ไปว่าเขาทำไม? เขาโกงเขากิน เขาก็ยังแบ่งให้เราบ้างเราได้ถนนยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ถนนมันไปไหนมาไหนได้สะดวกดี บ่อน้ำเอาไว้ทีหลัง ด็อกเตอร์ละชอบแต่ไปว่าเขา เป็น ส.ว. สุพรรณไม่เห็นมาสร้างอะไรให้เลย!”
คนสุพรรณฯ เรียกผมจนติดปากว่า “ด็อกเตอร์” โดยไม่ต้องเรียกชื่อ “สมเกียรติ”
นี่คือคนสุพรรณบุรีที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แล้วอย่างนี้เมื่อปี ๒๕๔๓ ผมไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาสุพรรณบุรี จะมีอะไรเหลือให้ผม?
จะมีหนทางได้รับเลือกตั้งกับเขาหรือ?
การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๔๓ นั้นมีผู้สมัครที่จังหวัดสุพรรณบุรีรวม ๑๗ คน รวมทั้งตัวผมเองด้วย ซึ่งได้เบอร์ ๑๓ เลขโชคร้ายที่สุด หากมีปรัชญาชีวิตที่เชื่อถือโชคลางแบบตะวันตก ผมคงกลุ้มใจหนัก แต่ประชาชนต้องเรียนรู้ว่าใครได้หมายเลขอะไรนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ในสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอื่นที่พัฒนาประชาธิปไตยแล้วจะไม่มีหมายเลขกำกับชื่อผู้สมัครเลย มีชื่ออย่างเดียวก็พอ เพราะเห็นชื่อประชาชนก็ตัดสินใจเลือกได้แล้ว
ผมได้รับเลือกตั้งมาด้วยคะแนน ๘๐,๓๖๒ คะแนน ใช้เงินไปสด ๆ รวม ๒๒,000 บาท (สองหมื่นสองพันบาทถ้วน) แยกเป็นค่าสมัคร ๑๐,๐๐๐ บาท ค่าถ่ายรูป ๔,๐๐๐ รูป รูปละ ๓ บาท รวม ๑๒,๐๐๐ บาท นอกนั้นไม่นับค่าเดินทางไปแนะนำตัวใน ๑๐ อำเภอ ตามที่คณะกรรมการ เลือกตั้งของจังหวัดกำหนด
ผมไม่ได้พิมพ์เอกสาร แผ่นปลิว นามบัตร โปสเตอร์ หรือป้ายโฆษณาชื่อและหมายเลข ๑๓ ของผมแต่ประการใด เพื่อน ๆ ที่เคยเรียนหนังสือมาด้วยกันสมัยเด็ก ๆ ที่อำเภอสามชุกอุตส่าห์เอาใบประวัติของผมไปใช้ประกอบใบสมัครเลือกตั้งไปทำสำเนาแจกชาวบ้านประมาณสองสามพันใบ โดยโรงพิมพ์ในตลาดเขาพิมพ์ให้ฟรี ผมก็ไม่ว่าอะไรเมื่อพิมพ์ไปแล้ว แต้ของร้องให้หยุด อย่าพิมพ์เลย ส่วนที่เพื่อน ๆ ทำป้ายผ้าไปติดไว้ตามตลาดอำเภอสามชุก เดิมบางนางบวชและ หนองหญ้าไซ จำนวนประมาณกว่าสิบผืนผ้านั้น เมื่อผมทราบก็รีบขับรถตระเวนไปดึงออก ร้านขายของที่หนองหญ้าไซซึ่งอนุญาติให้ติดป้ายผ้าที่เพื่อนผมเอาไปฝากติดไว้ได้ ก็ยังสงสัยไม่หายว่า
“ดร. นี่มันเป็นคนยังไงของมัน แทนที่จะโฆษณาประชาสัมพันธ์บ้าง นี่ไม่เอาอะไรกับใครเลย!”
ผมขับรถไล่ตามเก็บป้ายผ้าลงหมดภายในวันเดียว
ทำไมผมจึงจัดกระบวนการประชาสัมพันธ์ตัวเองแบบประหลาดพิสดารเช่นนี้?
นึกว่าแน่มาจากไหนหรืออย่างไร อยู่ ๆ จะมาสมัคร ส.ว. สุพรรณฯ ถิ่นอิทธิพลคุณบรรหาร ศิลปอาชา แล้วหวังจะได้รับเลือกได้อย่างไร?
ก่อนอื่นผมต้องบอกเสียก่อนว่าป้ายผ้าที่ผมตามไปลดลงนั้นใหญ่ผิดขนาดเกินกว่าที่คณะกรรมการเลือกตั้งกำหนด แม้เพื่อน ๆ จะปรารถนาช่วยทำให้ โดยผมไม่ทราบมาก่อน แต่ก็อาจทำให้ผมหมดสิทธิเป็นผู้สมัครได้ รีบไปเก็มมาเสีย ปลอดภัยที่สุด
ส่วนใบปลิว แผ่นพับ หรือโปสเตอร์แนะนำตัวอื่น ๆ ที่ผู้สมัครทั้งหลายทำกันตามกรอบของกฎหมายนั้นผมไม่ทำ เพราะไม่มีความจำเป็น จังหวัดสุพรรณบุรีนั้นมี ๑๐ อำเภอ หากจะพิมพ์เอกสารใบปลิวแจกไปทั่วเห็นทีจะหมดเงินเป็นล้าน ไม่ใช่ผมจะเสียดายเงิน แต่ผมไม่มีเงินจะเสีย ต่างหาก
แล้วการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ว. สุพรรณฯ นั้น โอกาสที่ผมจะได้รับเลือกมองไม่เห็นหนทางเลย ผมไม่มีทีมงานช่วยหาเสียง ไม่มีหัวคะแนน ไม่มีเครือข่ายอะไรที่จะช่วยได้ มีแต่เพื่อน ๆ ที่เคยเป็นเด็กเรียนหนังสือโรงเรียนสามชุกรัตนโภคารามด้วยกัน นี่ก็เพียงอำเภอเดียว
ผมมีที่พึ่งพาอย่างเดียวคือประวัติการทำงานและชื่อเสียงที่ชาวบ้านอาจพอจำกันได้จากงานข่าวโทรทัศน์และความอื้อฉาวหลายเรื่องที่เป็นผลพวงจากงานข่าวโทรทัศน์
อำเภอสามชุก เป็นบ้านเกิดของผม ผมช่วยแม่หาบขนมขายตั้งแต่เล็กจนโต คนในตลาด น่าจะเมตตาสงสารลงคะแนนให้บ้าง เพื่อน ๆที่เติบโตมาด้วยกันก็มีอยู่หลายคน คงจะช่วยกันหาคะแนนให้ได้เป็นกอบเป็นกำ เพื่อนคนหนึ่งกลายเป็นเจ้าอาวาสวัดหนึ่ง ถ้าจะมีคะแนนให้ผมสักร้อยสองร้อยคะแนน
อำเภอศรีประจันต์ ที่อยู่ข้าง ๆ มีญาติ ๆ อยู่บ้างก็ไม่กี่คะแนน แถมศรีประจันต์ก็เป็นอาณาจักรสั่งได้ของท่าน ส.ส.ประภัตร โพธสุธน แห่งพรรคชาติไทย คุณประภัตร โพธสุธน นั้นไม่มีวันที่เขาจะมาสั่งให้หัวคะแนนของเขามาช่วยผมแน่นอน เพราะเขามีคนของเขาที่จะสนับสนุนอยู่แล้ว
ข้ามไปชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ที่ อำเภอเดิมบางนางบวชเขตที่ ส.ส.จองชัย เที่ยงธรรมเขา ผมเองเป็นเพียงผู้มีทะเบียนบ้านอยู่ในพื้นที่หมู่ ๔ ตำบลปากน้ำ เพราะผมย้ายทะเบียบบ้านไปอยู่ที่นั่นใช้สิทธิเลือกตั้งที่ตำบลปากน้ำ เดิมบางนางบวชนี้มาหลายปีแล้ว ด้วยเหตุที่ได้ซื้อที่ดิน ริมแม่น้ำสุพรรณไว้ ๗ ไร่ สงบสวยงาม หวังจะมาอยู่อ่านหนังสือเขียนหนังสือตอนแก่ และเมื่อตายก็จะได้เผาศพตัวเองที่วัดปากน้ำที่ห่างออกไปเพียงคุ้งเดียว ผมจะเอาคะแนนที่ไหนมาให้ตัวเอง
ส่วนอำเภอที่เหลือ ผมไม่รู้จักใครเป็นส่วนตัวใกล้ชิดทั้งสิ้น
อำเภอสองพี่น้อง ผมรู้จักแต่ พุ่มพวง ดวงจันทร์ แต่เธอก็ตายแล้ว หากยังไม่ตายพุ่มพวงอาจจะช่วยร้องเพลงหาคะแนนให้ผมได้ไม่น้อย มีลูกศิษย์คณะนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยรังสิตอยู่คนหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นผมเป็นคณบดีอยู่พอดี เห็นว่าพ่อเขาจะช่วยถามชาวบ้านให้ว่าชอบที่จะลงคะแนนให้ผมบ้างหรือไม่ แต่ผมก็ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวจัดการอะไรเกี่ยวกับลูกศิษย์เป็นเรื่องเป็นราว
อำเภออู่ทอง ผมมีญาติเกี่ยวดองอยู่ครอบครัวหนึ่ง ลูกสาวเขามาเป็นน้องสะใภ้ของผม พี่ชายเขาเลยรู้สึกผูกพัน บอกว่าจะช่วยหาคะแนนให้
อำเภอด่านช้าง ไกลสุด ติดแดนอุทัยธานี แต่มีทุ่งนา ป่าเขา กับสนสองใบ และไร่อ้อย มีเกี่ยวดองเชิงน้อง ๆ ของพี่สะใภ้อยู่ครอบครัวเดียว ขายข้าวแกงอยู่ในตลาด ไม่เคยเจอกัน ๓๐ ปีแล้ว
อำเภอดอนเจดีย์ ผมรู้จักแต่พระนเรศวรมหาราช กับหลวงพ่อเอี้ยง เจ้าอาวาสวัดดอนเจดีย์ มีแม่ค้าไอติมกะทิอยู่เจ้าหนึ่งที่เขามักจะเพิ่มกะทิให้ ส.ส. กัญจนา ศิลปอาชา มากเป็นพิเศษ ส่วนผม เป็นขาจร แวะไปกินก็ได้เพียงไอติมรสชาติกะทิธรรมดา ๆ
อำเภอหนองหญ้าไซ ที่ติดกับอำเภอด่านช้าง เคยเป็นถิ่นที่พ่อของผมเคยรอนแรมมารับจ้างถ่ายรูปสมัยที่แกยังเป็นหนุ่ม เด็ก ๆ ที่เคยแก้ผ้าให้พ่อถ่ายรูป ก็แก่อายุ 80 กันหมดแล้ว ท่าทางผมจะได้ไม่กี่คะแนน
“ดร.สมเกียรติ ลูกตาอุย ยายแม้น จากสามชุก มันมาสมัคร ส.ว. ก็ช่วยมันสักคะแนน สองคะแนนก็แล้วกัน”
อำเภอบางปลาม้า ที่ผมรู้จักคนหนึ่งก็ คือ พี่ศิลปินแห่งชาติ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ แต่พี่แกก็อยู่กรุงเทพเป็นส่วนใหญ่ คะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดพี่แกก็ได้ไม่พอเลี้ยงตัวเองในตอนสมัครสมัยที่สอง เฮียเอี้ยงแห่งร้านกุ้งทอดเกลือ “กุ่ยหมง” ร้านอาหารที่อร่อยที่สุดของตลาด บางปลาม้า และคนสุพรรณมากินอาหารร้านนี้มากที่สุดก็ไม่สนิทมากจนถึงขนาดจะมาช่วยหาคะแนนให้ แม้ผมจะเชื่อถือว่าแกเทคะแนนให้ผมทั้งครอบครัว รวม ๓ คะแนน บวกกับของอาจารย์ ไพรัชและภรรยา ที่ร้านข้าวสารชื่อ “ทุ่งกุลาร้องไห้” ที่ใคร ๆ เชื่อมั่นในข้าวหอมมะลิ ๑๐๐ % ไม่มีผสม ผมก็ได้อีก ๒ คะแนน
อำเภอเมือง เป็นเขตของคุณบรรหารทั้งหมด ผมไม่รู้จักใครเลย มีเจ้าของโรงแรมคุ้มสุพรรณ ที่ใจดี เคยให้ผมใช้ห้องประชุมและบริการอาหารฟรี ครั้งที่ผมทำงานรับฟังความคิดเห็นชาวสุพรรณในฐานะสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ คราวนี้จะไปขออะไรฟรี ๆ แบบปี ๒๕๔๐ คงจะไม่สมควร ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าของโรงแรมคุ้มสุพรรณนั้นก็ไม่ใช่คนสุพรรณ แกเป็นคนจังหวัดพิจิตร!
รวมแล้วคิดว่าน่าจะได้คะแนนทั้งจังหวัดราว ๆ ๒๐,๐๐๐ คะแนน !
คิดแล้วว่าคงแพ้ ไหน ๆ จะแพ้แล้ว จะไปเสียเงินทำค่าเอกสารแนะนำตัวไปทำไม หนทางแพ้สำหรับผมนั้นแจ่มใส ดูจากวัฒนธรรมทางการเมืองของชาวสุพรรณฯ ดูจากความบีบคั้นและ ต่ำศักดิ์ศรีทางเศรษฐกิจของคนจนในสุพรรณ ดูจากโครงสร้างพื้นฐานทางการเมืองสุพรรณบุรีแล้ว เห็นทีผมจะเสียเวลาและเสียเงินเปล่าคราวนี้!
วันหนึ่ง คุณบรรหาร ศิลปอาชา ผู้วางโครงสร้างพื้นฐานทางการเมืองของจังหวัดสุพรรณบุรีจนมีรากฐานมั่นคง ฝากให้เพื่อนผมโทรศัพท์เรียกให้ไปหา เพื่อสอบถามเรื่องที่ได้ข่าวว่าผมจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสุพรรณบุรี ผมบ่ายเบี่ยงไม่ยอมไปพบอยู่หลายวัน จนเพื่อนขอร้องอย่างโอดครวญว่า ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของเรา ส่วนเพื่อนผมก็เป็นหัวคะแนน ของท่าน
“ไปคุยกับ ‘น้า’ แกซะหน่อย” จะได้สบายใจกันทุกฝ่าย
เนื่องจากผมทราบมาว่า ที่สุพรรณฯ นี้ใครจะลงสมัคร ส.ว. จะต้องไปหาคุณบรรหารเพื่อ ตกลงลู่ทางกันเสียก่อน เพราะคุณบรรหารเป็นเสมือนท้องถิ่น หรือเจ้าที่เจ้าทาง ไปขอความสนับสนุนจากแกให้ได้ก่อนแล้วทุกอย่างจะราบรื่น หาก “น้า” แกไม่เอาด้วยก็ไม่มีทางได้ จะไปสมัครให้เสียเวลาเสียเงินเสียทองหาควรไม่ คะแนนทุกคะแนนในสุพรรณบุรีเป็นของพรรชาติไทย สั่งได้ กำหนดให้ โดยไม่ต้องซื้อ อีกต่อไปเหมือนสมัยผมแอบถ่ายภาพข่าวออกอากาศที่ช่อง ๙ แล้ว คนสุพรรณฯ เดี๋ยวนี้ให้ข้าวกินมื้อหนึ่งแถมถนนลาดยางอีกสายเดียวผ่านหน้าบ้าน ข้าวในนาจะราคาตกต่ำแค่ไหนก็ยอมคุณบรรหารหมด คนอย่างผมจะเอาอะไรไปสู้
เมื่อทนการขอร้องจากเพื่อนบ่อย ๆ ไม่ไหว ผมก็ต้องคิดหนักว่าควรจะไปหา “น้า” บรรหารแกดีหรือไม่ เพราะผมเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาก่อน และเป็นในนามจังหวัดสุพรรณบุรีเสียด้วย รัฐธรรมนูญที่เราช่วยกันเขียนนั้นบอกไว้ว่าสมาชิกวุฒิสภาจะต้องเป็นอิสระทางการเมืองโดยไม่สังกัดพรรคการเมืองใด ต้องไม่เป็นสมาชิกพรรคการมือง หากใครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็ต้องลาออกให้ตัวไกลใจห่างพรรคการเมืองอย่างน้อยหนึ่งปีจึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ ผมร่างรัฐธรรมนูญมากับมือจะเข้าไปหาคุณบรรหารก่อนการเลือกตั้ง ส.ว. ได้อย่างไร เดี๋ยวใครรู้เห็นเข้าจะเป็นที่ครหานินทาได้ หรือหากคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดทราบเข้าจะเข้าใจผิดว่าผมมีอะไรเกี่ยวโยงในทางไม่ชอบด้วยกฎหมายเลือกตั้งก็เป็นได้
แต่ด้วยความเกรงใจและอยากรู้จักหัวใจประชาธิปไตยของคุณบรรหารที่แท้จริงว่าทำด้วยอะไร? อย่างไร? ปฏิรูปแล้วหรือยัง? หรือว่า “ปฏิรูปได้หรือไม่?”
ในที่สุด ผมก็ตกลงไปพบคุณบรรหารในห้องทำงานของท่าน ที่บริษัทของท่านที่ บางขุนพรหม สองต่อสอง ตัวต่อตัว มีเลขานุการส่วนตัวของท่านเท่านั้นที่รู้ว่าผมเข้าไปพบ แต่เธอก็คงไม่รู้ว่าผมคุยอะไรกับคุณบรรหาร อันที่จริงเลขานุการของคุณบรรหารคนนี้เคยนัดหมายให้ผมได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะทางการเมืองกันหลายครั้งที่บ้านซอย ๕๕ ถนนจรัญสนิทวงศ์ ของท่าน สมัยที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีช่วงที่ผมช่วยงานช่อง ๑๑ ยุครัฐมนตรีปิยะณัฐ วัชราภรณ์ คุมกรมประชา-สัมพันธ์
ครั้งนั้น ผมรู้จักคุณบรรหารมากพอที่กล้าคุยกับท่านตรง ๆ หลายเรื่อง
และหวังว่าคุณบรรหารจะรู้จักผมดีพอที่จะพูดคุยไรกับผมตรง ๆ มากนักไม่ได้
แต่คุณบรรหารก็พูดอะไรกับผมตรง ๆ เปิดใจทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสุพรรณบุรี ผมพูดคุยกับคุณบรรหารนานราวครึ่งชั่วโมง กลับออกมาด้วยความมั่นใจว่า
หัวใจคุณบรรหารทำด้วยเลือดเนื้อของนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ใครในเวทีการเมือง
คุณบรรหารยังไม่พร้อมที่จะปฏิรูปการเมือง
และคุณบรรหารคงปฏิรูปตัวเองให้เป็นนักการเมืองตามรัฐธรรมนูญที่คุณบรรหารกับอาจารย์ชุมพล ศิลปอาชา น้องชาย ช่วยกันจัดการให้เกิดขึ้นไม่ได้
น่าเสียดายความเป็นคนสุพรรณและความเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของคนของคุณบรรหารเป็นที่ยิ่ง
คุณบรรหารแนะผมว่า ไม่ควรมาสมัคร ส.ว. สุพรรณฯ เลย เพราะคุณบรรหารไม่สามารถจะช่วยจัดการหาคะแนนให้ผมได้ คุณบรรหารมีผู้สมัครในสังกัดแผนที่อิทธิพลทางการเมืองของท่านแล้ว หากผมลงสมัครท่านก็จะไม่ช่วย แต่หากไม่ลงสมัครท่านก็แนะว่ามีงานดี ๆ ที่ผมอาจอยากทำและท่านอาจจะช่วยผลักดันหรือสนับสนุนได้
คุณบรรหารก็เป็นคนดีอย่างนี้แหละ หากยอมร่วมมือเป็นพวกด้วยก็จะมีบำเหน็จรางวัลให้ แม้ผมจะทำหน้าที่เป็นเสียงที่ติดตามวิพากษ์วิเคราะห์และต่อว่าคุณบรรหารมาตลอดชีวิตการเป็น สื่อมวลชนของผมจนเป็นที่รำคาญเหมือน เหลือบ ไร ยุง เรือด ริ้น ที่คอยตามอาชาสีหมอกแห่งเมืองสุพรรณอยู่เป็นนิจ จะอย่างไร คุณบรรหารก็แสดงแต่เพียงอาการรำคาญ เบื่อหน่าย และหงุดหงิด ต่อการที่ผมไม่ยอมเข้าร่วมเป็นพวกกับท่านเลย
คุณบรรหารเคยชวนผมเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคชาติไทยเพื่อลงสมัคร ส.ส ระบบบัญชีรายชื่อ ผมก็ปฏิเสธ ขอเพียงโอกาสในการได้ให้คำแนะนำว่าคุณบรรหารควรเป็นนายกัฐมนตรีแบบใดจึงจะดีสำหรับประเทศชาติ และเป็นที่พึงพอใจของผม นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เลขานุการของคุณบรรหารต้องนัดผมให้ไปพูดคุยกับคุณบรรหารที่บ้านหลายครั้ง
ผมเคยแนะนำคุณบรรหาร แนะนำคุณหญิงแจ่มใส และคุณกัญจนา ลูกสาวคนโปรดของท่านว่า ควรลดขนาดป้ายแสดงความเป็นผู้บริจาคเงินหรือวิ่งเต้นจัดหางบประมาณสร้างอาคาร สถานที่ หรือรั้วอาคารสถานที่ต่าง ๆ ในจังหวัดสุพรรณบุรีให้เล็กลง เพราะมันดูใหญ่น่าเกลียด ไม่มีรสนิยม และมีป้ายเป็นจำนวนมากที่ขอบคุณคุณบรรหารมากมายจนหน้าขายหน้ามาก จนทั้ง ๆ ที่คุณบรรหารไม่ได้บริจาคอะไร นอกจากจะวิ่งเต้นแปรญัตติ หรือจัดหางบประมาณแผ่นดินมาให้ตามหน้าที่ ส.ส. ที่ทำกันเป็นการหาเสียงโดยปกติเท่านั้น
บางป้ายก็เพียงบริจาคเงินสร้างรั้ว แต่เขียนป้ายขอบคุณตัวเองเสียใหญ่จนคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าท่านบริจากเงินสร้างตัวอาคารสถานที่ทั้งหมด ตัวอย่างที่น่าอับอายนี้ดูได้ที่กำแพงรั้วสนามกีฬาจังหวัดสุพรรณบุรีซึ่งสร้างโดยงบประมาณของรัฐเป็นของการกีฬาแห่งประเทศไทย ส่วนกำแพง รั้วรอบสนามสร้างโดยเงินบริจาคจากคุณบรรหารและคุณหญิงแจ่มใส โรงเรียนบรรหารแจ่มใส ๑ ถึง ๗ ในสุพรรณบุรีก็เช่นกัน สร้างโดยงบประมาณกระทรวงศึกษาธิการส่วนใหญ่ มูลนิธิบรรหารแจ่มใสบริจาคสมทบจำนวนหนึ่ง แต่คุณบรรหารกับคุณหญิงได้ชื่อโรงเรียนไปเต็มบริบูรณ์ โรงเรียนสามชุกรัตนโภคารามของผมก็ทราบว่ามีข่าวลือถึงความพยายามจะขอเปลี่ยนชื่อเป็น “บรรหารแจ่มใสวิทยา ๘ ” อยู่โดยแลกกับการบริจาคที่ดินทำสนามฟุตบอลพวกผมกับพวกเพื่อน ๆ ก็ขวางกันอย่างเหนี่ยวแน่น ผมยังคอยอยู่ว่าจะมีร่างกฎหมายฉบับใดที่ผ่านเข้ามาให้ผมได้มีโอกาสแปรญัตติเรื่องการตั้งชื่ออาคารสถานที่ต่าง ๆ บ้าง เป็นสมาชิกวุฒิสภาครบ ๖ ปีแล้ว ไม่พบโอกาสแบบนี้เลย
คุณบรรหารบอกผมว่า จะไม่ช่วยผมเลยในการลงสมัคร ส.ว. สุพรรณฯ ของผม เพราะคุณบรรหารจัดคนของท่านไว้ครบสามคนแล้วผมก็บอกท่านว่าที่มาพบนี้มิได้ต้องการให้ช่วยอะไร ที่มาพบก็เพื่อมาตามที่ท่านต้องการให้มาพบ อยากรู้ว่าท่านจะมีเรื่องอะไรที่ต้องการพูดกับผม เมื่อทราบเจตนาของท่านแล้วว่าต้องการบอกให้ผมรู้ว่าผมไม่ควรสมัคร ผมก็บอกท่านไปว่า ท่านไม่ควรแทรกแซงการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในจังหวัด ท่านเองก็เคยเป็นกำลังใจสำคัญในการผลักดันกระบวนการปฏิรูปการเมืองก่อนที่จะแก้ไขมาตรา ๒๑๑ ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้า เพื่อให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จัดการร่างรัฐธรรมนูญใหม่หมดโดยรับฟังความเห็นของประชาชนทั้งประเทศ ท่านไม่น่าที่จะมาทำผิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในเรื่องเลือกตั้ง ส.ว. คราวนี้เลย
คุณบรรหารบอกว่า ท่านไม่อยากทำ แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะพรรคการเมืองอื่นเขาก็ทำกันทั้งนั้น ทำกันทุกจังหวัด ทำกันทั่วประเทศหากท่านไม่ทำบ้างคนอื่นก็จะทำอยู่ดี ได้ยินดังนี้แล้วผมจึงเข้าใจความเป็นผู้ไม่ยอมแพ้ใครของท่าน จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นของท่าน คนอื่นจะเอามาไปจากท่านไม่ได้ ไม่ว่าท่านจะต้องยกเลิกกระบวนการคิดแบบปฏิรูปการเมืองไปก็ตาม ตราบใดที่สุพรรณบุรียังจงรักภักดีต่อท่านอยู่ท่านก็คงจะมีความสุข
มีเพื่อนชาวสุพรรณบุรีที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งบอกผมว่า สุพรรณบุรีเป็นของคุณบรรหาร พวกเขาจะไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแบบผมก็คงแพ้ และผมก็คงไม่รอด เป็นคนสุพรรณฯ แม้จะก่อร่างสร้างตัวจนมีชื่อเสียงระดับชาติแค่ไหนเพียง กลับสุพรรณฯ เขาก็ไม่ต้อนรับหากคุณบรรหารสั่งไม่ให้ต้อนรับ ผมเคยชวน ดร.กระมล ทองธรรมชาติ ให้ลงสมัครด้วย ท่านก็บอกว่าไม่มีทางได้รับเลือก เพราะเชื่อว่าคุณบรรหารจะสั่งให้ขวาง นึกถึงความรู้สึกของคณบดีเก่าเลือดสุพรรณฯ ของผมแล้วผมก็สบายใจ เพราะคุณบรรหารยังมีเมตตาต่อผม การพูดคุยกันที่บริษัทของท่านที่บางขุนพรหมวันนั้น คุณบรรหารบอกผมว่าจะไม่ช่วย และจะไม่ขัดขวาง
“เชิญคุณสมเกียรติ ตามสบาย”
ผมบอกท่านว่า ผมรู้ดีว่าคะแนนมีอยู่ประมาณ ๒0,000 คะแนนเท่านั้นที่อำเภอสามชุกเป็นหลัก แถมนิดหน่อยที่อำเภอศรีประจันต์ และอำเภอเดิมบางนางบวช ผมคงแพ้ท่านแน่นอน ไม่มีทางติดหนึ่งในสาม ส.ว. สุพรรณฯ แน่ ๆ
ผมจากคุณบรรหารออกมาด้วยความรู้สึกสบายใจว่าได้เข้าพบ “น้าบรรหาร”
ตามที่เพื่อนขอร้องแล้ว ซึ่งได้ทำให้รู้จักคุณบรรหารดีขึ้นมากแล้วและเคารพตัวเองมากขึ้นอยางที่สุดด้วย
ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภาสุพรรณบุรีในวันที่ ๔ มีนาคม
๒๕๔๓ ที่จะมาถึงนั้น คงไม่เจ็บปวดอะไรเสียเงินเพียง ๒๒,000 บาท ได้ผลงานวิจัยภาคสนามชิ้นยอด เก็บเอามาเขียนบันทึกความทรงจำได้อย่างทรงคุณค่า ให้ลูกหลานสุพรรณได้อ่านให้เจ็บใจเล่น คนสุพรรณต่างหากที่จะเจ็บปวด หากรู้จักคิดถึงศักดิ์ศรีของตนเองและรู้จักคุณค่าของการปฏิรูปการเมืองที่จะมีต่อวิถีชีวิตตน ผมอุตส่าห์ร่ำเรียนเขียนอ่าน ทำงานสร้างตัว แสวงหาโอกาสช่วยสร้างประเทศชาติมาจนถึงเพียงนี้ จะทุจริตประพฤติมิชอบให้ตัวเองร่ำรวยก็ไม่เคยทำ
(ที่ผมทุจริตประพฤติมิชอบให้คนอื่นร่ำรวยนั้นก็พอมี แต่จะไม่ขอบอก ณ ที่นี้)
หากชาวสุพรรณฯ ไม่เลือกผมให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา ก็น่าเสียดาย
ไม่เลือกก็อย่าเลือก
ไม่ให้เป็นก็ไม่เป็น
ไม่มีคนคอยตำหนิวิจารณ์คุณบรรหารให้แล้วจะเสียใจทีหลัง
ดังนั้นแล้วผมก็เดินหน้าหาก๋วยเตี๋ยวและโอเลี้ยงกาแฟเย็นกินทั่ว
การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสุพรรณบุรีเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๓ นั้นเป็นการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตในจิตนาการของ พรรคชาติไทยอาจจะไม่ได้ทำในนามพรรคอย่างเป็นทางการ แต่คุณบรรหารและบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคชาติไทยในจังหวัดสุพรรณบุรี ได้แบ่งพื้นที่จังหวัดเป็นสามเขตเท่ากับจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มีได้
ผู้ที่คุณบรรหารเห็นว่าควรสบับสนุนจริง ๆ จะถูกคัดเลือกให้เหลือสามคนแบ่งให้แต่ละคนอยู่ในความรับผิดชอบของ ส.ส. ผู้มีบารมีคนหนึ่ง ดดยให้คุมหัวคะแนนให้ได้คะแนนสนับสนุนแน่นอนในเขตที่จัดแบ่งไว้ เขตหนึ่งก็สามอำเภอกว่า ๆ สุพรรณบุรีมี ๑0 อำเภอ ประชากรประมาณเกือบ ๙000,000 คน มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ๖๑0,๔๒๘ คน หากสั่งหัวคะแนนให้ไปสั่งคะแนนให้เลือกตามที่คุณบรรหารและเหล่า ส.ส. พรรคชาติไทยในสุพรรณฯ กำหนด ให้คะแนนราว ๆ คนละ ๖0,000 ถึง ๑00,000 คะแนน ก็น่าจะชนะได้ ส่วนผม หากบุญวาสนาส่งให้ได้ ๒0,000 คะแนน ก็ถือว่าไม่อับอายขายหน้าชาวสามชุกแล้ว
ถึงแพ้ก็แพ้แบบรู้หัวนอนปลายเท้า!
การที่ผมได้รับเลือกตั้งมาด้วยคะแนน ๘0,๓๖๒ คะแนน เป็นอันดับที่หนึ่งของจังหวัดนั้น เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของทุกคนในโลกนี้ โดยเฉพาะโลกของพรรคชาติไทย รวมทั้งเหนือความคาดหมายของผมเองที่อยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรีของคุณบรรหารด้วย คุณบรรหารเองจะรู้สึกอย่างไรไม่มีทางทราบ แต่ผมรู้ว่าคุณบรรหารไม่ได้รับชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จในครั้งนี้ก็เพราะความดีและความไม่ดีของคุณบรรหารเอง
ความดี ที่ไม่ซื้อเสียงด้วยเงินสด
ความไม่ดี ที่ไม่ซื้อเสียงด้วยเงินสด
คุณบรรหารมีความดีที่ไม่ได้ใช้เงินซื้อเสียงในการสนับสนุนผู้สมัครสังกัดบารมีคุณบรรหารเลย โดยเฉาะในช่วงต้น ๆ ของการแนะนำตัวของผู้สมัครที่กฎหมายไม่เรียกว่า “การหาเสียง” ส.ส. ผู้มีบารมีของพรรคชาติไทยที่รับหน้าที่คุมสามเขตเลือกตั้งใช้วิธีจัดงานเลี้ยงหัวคะแนนและบุคคลที่มีบารมีระดับอำเภอและตำบล บางแห่งเลี้ยงกันเป็นพันโต๊ะ โดยในระหว่างงานมีการแนะนำตัวผู้สมัคร ส.ว. ที่ไม่บอกว่าสังกัดพรรคอะไร ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ตัวผมเองและเพื่อนเคยแอบไปดูไปดูและถ่ายภาพไว้เพื่อประโยชน์ในการบันทึกประวัติศาสตร์เห็นภาพแล้วก็อ่อนใจว่า คนสุพรรณยุคใหม่แค่ข้าวมื้อเดียวก็ยอมขายเสรีภาพและเกียรติภูมิส่วนตัวให้พวกที่มีอิทธิพลทางการเมืองแล้ว
“คนพวกนี้ของอย่าได้กลับใจมาลงคะแนนให้พบเลย”
ผมรำพึงในใจด้วยความหดหู่ใจ หารู้ไม่ว่า ไม่ควรคิดชิงชังคนที่มากินเลี้ยงเหล่านี้ทั้งหมด เพราะตอนหลังผมได้ทราบจากปากคนที่ไปงานเลี้ยงกลุ่มหนึ่งว่าไปงานเลี้ยงที่โรงเรียนสมเด็จพระวันรัตน์กับเขาด้วยจัดโต๊ะเลี้ยงกันเพียบราวสองพันโต๊ะ กลางสนามหน้าโรงเรียน แต่ถึงเวลาลงคะแนนกลับมาลงให้ผม ไม่ใช่ด้วยความพิสมัยอะไรในตัวผมหรอก หากแต่เพราะความโมโหที่ไปงานเลี้ยงโต๊ะจีน แล้วกลับไม่ได้นั่งโต๊ะจีน เสียความรู้สึก เลย “เลือกด็อกเตอร์” ประชดมันเสียเลย!
ผมทราบจากเพื่อนๆล่วงหน้าว่าจะมีงานเลี้ยงใหญ่ที่สนามโรงเรียนสมเด็จพระวันรัตนอำเภอสามชุกเพื่อแนะนำตัวผู้สมัคร ส.ว.คนหนึ่งที่อยู่ในเขตความดูแลของ ส.ส.ประภัตร โพธสุธน โรงเรียนที่จะให้สถานที่จัดเลี้ยงก็เป็นโรงเรียนที่ผมเคยเรียนจบประถมปีที่ ๔ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕00 ย้ายจากริมแม่น้ำสุพรรณมาอยู่ติดกับบ้านผมที่สามชุกเพราะที่กว้างขวางกว่า ผมแอบไปดูป้ายหน้างานให้แน่ใจแล้วจึงขอนัดพบผู้อำนวยการโรงเรียนเพื่อบอกท่านว่าท่านกำลังทำในสิ่งที่ไม่ใช่การปฏิรูปการเมือง เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง ไม่เคารพเกียรติของนักศึกษา ครู อาจารย์ เป็นการสร้างแบบอย่างที่ไม่ดีสำหรับเด็กและเยาวชน ผู้อำนวยการโรงเรียน และครูจำนวนหนึ่งมาร่วมคุยกับผมด้วย แล้วก็บ่นว่าไม่ทราบจะหลีกเลี่ยงอย่างไร รู้ว่าไม่เหมาะไม่ควรทำ แต่พูดไม่ออก ผมก็ร่ายยาวเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญของผม การช่วยประชาพิจารณ์ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติอะไรต่อมิอะไรสารพัดจะยกข้อมูลวิชาการมาจูงใจคณะครูให้พยายามทำตัวให้กล้าหาญแสวงหาความอิสระให้กับตนเองเพื่อเกียรติภูมิของวิชาชีพครู คุยกันเสร็จแล้วผมก็จากไป รุ่งขึ้นทราบจากเพื่อนครูที่โรงเรียนนั้นว่าคุณบรรหารเดินทางไปที่อำเภอสามชุก ไม่ไปที่โรงเรียนสมเด็จพระวันรัตน์ แต่เรียกผู้อำนวยการโรงเรียนไปต่อว่า ณ อีกที่หนึ่ง ซึ่งผมทราบสถานที่ แต่ไม่ทราบรายละเอียดการต่อว่า ยังไรก็ดีก็ยังส่งผงให้ โรงเรียนเปลี่ยนป้ายหน้าบริเวณงานใหม่ จากเดิมเป็นงานเลี้ยงแนะนำตัวผู้สมัคร ส.ว. กลับกลายเป็นป้ายงานเลี้ยงแสดงความยินดี “ท่าน ส.จ. ศักดา จาละ” ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาในสภาจังหวัดอีกครั้ง
การจัดงานเลี้ยงโดยไม่จ่ายเงินซื้อเสียง ดูจะไม่ได้ผลนักไม่ใช่เพราะการตามไปรบกวนรูปแบบของงาน ผมไม่มีกำลัง ไม่มีปัญญาจะตามไปถ่ายภาพทุกหนแห่ง เพราะงานเลี้ยงจัดกันมากมายตลอดเวลา แต่งานเลี้ยงที่สามชุกที่ผมว่ามานี้ก็ได้สร้างคะแนนให้กับผมโดย
(ส.ส. ประภัตร) ไม่คาดคิด ชาวบ้านที่ไปงานเลี้ยงเกิดโมโหว่า จัดงานเลี้ยงใหญ่โต จัดโต๊ะจีนจากนครปฐม แต่จัดไม่ครบให้ทุกคนที่มางานเงินจัดงานมาจากผู้จ่ายเงินที่มีบารมีทางการเมือง นำไปจ้างโต๊ะจีนที่มีรายการอาหารอุดมสมบูรณ์จำนวนหนึ่ง โดยให้เชิญเฉพาะคนสำคัญ ๆ ในตลาดมานั่งโต๊ะจีน ส่วนชาวบ้านนั้นเขาจัดเงินให้กลุ่มแม่บ้านกลุ่มละประมาณ สอง หรือ สามพันบาท ให้ไปซื้อกับข้าวมาทำแล้วนำมาเลี้ยงแยกเป็นซุ้มอาหาร พวกชาวบ้านธรรมดาที่ถือว่าไม่มีเกียรติ (คือขายสิทธิขายเสียงตัวเองง่าย ๆ อยู่แล้ว สั่งอะไรก็ทำให้ได้ทุกอย่างอีก) ชาวบ้านพวกนี้ ไม่มีสิทธิได้นั่งโต๊ะจีน ชาวบ้านที่มาในงานส่วนใหญ่จึงต้องเดินไปตักอาหารกันเอง แล้วไปนั่งโต๊ะไทยว่าง ๆ ที่จัดไว้ โดยไม่มีหมูหัน! ไม่มีหูฉลาม! ไม่มีโหงวก๊วย!
นี่คือที่มาของความโกรธ ตกลงชาวบ้านจำนวนหนึ่งบอกผมว่า
“โมโหแม่มัน! อยากไม่ให้ฉันนั่งโต๊ะจีน ฉันเลยเลือกด็อกเตอร์ สมน้ำหน้ามัน”
นี่หากคุณประภัตรลงทุนอีกนิดหนึ่ง ให้ทุกคนได้กินหูฉลามคนละสองสามคำ เห็นที
“ด็อกเตอร์” คงไม่มีทางชนะเลือกตั้งเลย!
เมื่อคุณบรรหารไม่ได้ใช้เงินซื้อเสียง ใช้แต่กระบวนการกินเลี้ยงที่ได้ผลต่ำเกินคาด แล้วใครเป็นผู้ซื้อเสียงทำให้เกิดความปั่นป่วนฐานคะแนนของชาวสุพรรณผู้ไร้ศักดิ์ศรีในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศไทย
ชาวสุพรรณฯ ก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนประเพณีทางการเมือง ยังยอมขายเสียงตนเองในราคา ๒00-๕00 บาท ผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งในอำเภอเดิมบางนางบวชบอกผมว่าลูกบ้านครอบครัวหนึ่งมีสมาชิกในครอบครัวที่มีสิทธิเลือกตั้ง ๕ คนได้เงินจากหัวคะแนนของผู้สมัครที่ไม่ใช่พวกคุณบรรหาร
๒,๕00 บาท เท่ากับว่ามีผู้สมัครคนหนึ่งจ่ายเงินซื้อเสียงในราคาเต็ม ๕00 บาท ต่อ ๑ เสียง โดยหัวคะแนนไม่หักเข้ากระเป๋าตัวเองเลย
เท่าที่ทราบจากเพื่อน ๆ ที่เป็นหัวคะแนนให้ผู้สมัครสังกัดฐานคะแนนพรรคชาติไทย ผู้สมัครรายหนึ่งที่คุณบรรหารไม่สนุบสนุน ทุ่มเทเงินซื้อเสียงอย่างต้องการสร้างประวัติศาสตร์การเมืองใหม่ให้กับสุพรรณบุรีด้วยความโมโหว่าขอสนับสนุนจากคุณบรรหารแล้ว “น้า” แกก็ไม่ยอมดังนั้นจึงต้องประกาศสงครามการเมืองกันโดยต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ต้องพึ่งคุณบรรหารก็สามารถได้รับเลือกตั้งได้ และเพื่อเป็นการหยามพรรคชาติไทยของน้าบรรหารให้ได้อาย ก็ขอชนะเลือกตั้งแบบให้ได้คะแนนสูงสุด
ในเมื่อชาวสุพรรณบุรีมักจะถูกตราหน้าว่าซื้อได้แต่หยามไม่ได้ สงครามครั้งนี้จึงมีแนวโน้มจะนองอารมณ์
ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ว. สุพรรณบุรีทั้งหมด ๑๗ คน คุณบรรหารดูแลและสนับสนุนและจัดการให้มี ๓ คน ซี่งไม่พบหลักฐานจากผู้ใหญ่บ้านว่ามีการจ่ายเงินซื้อเสียง ส่วนผมก็เป็นผู้สมัครอิสระที่ไม่ซื้อเสียงแน่นอนคนหนึ่งแล้ว ก็เหลืออีก ๑๓ คน ที่ดูรายชื่อแล้วก็ต้องตกเป็นข่าวลืออยู่คนเดียว ซึ่งผมก็เพียงแต่ได้รับรายงานจากสายข่าวและหัวคะแนนของคุณบรรหาร บวกกับข้อมูลเพิ่มเติมจากบรรดาร้านก๋วยเตี๋ยวร้านโอเลี้ยงและแม่ค้ากล้วยแขกต่าง ๆ รวมทั้งตัวเลขการเบิกจ่ายที่นินทากันในหมู่กรรมการหอการค้าจังหวัดสุพรรณบุรี
กรรมการหอการค้าฯ ท่านหนึ่งคำนวนให้ผมดูว่าเงินที่ใช้ซื้อเสียงสูงใกล้เคียง ๔0 ล้านบาท หากใช้เงินส่วนตัวก็เห็นท่าว่าครอบครัวผู้สมัครที่ซื้อเสียงจะไม่ยอมและคงมีไม่พอ แต่การเอาชนะคุณบรรหารที่จังหวัดสุพรรณบุรีของคุณบรรหารเอง ถือเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งของพรรคการเมืองอื่นที่ได้ความพ่ายแพ้เป็นรางวัลเสมอ พรรคประชาธิปัตย์พยายามมาหลายสมัยเลือกตั้งแล้วก็ยังล้มพรรคชาติไทยไม่ได้อย่าให้ถึงล้มกันเลย เอาแค่เพียงเบียดแทรกเข้ามาสักคนก็ถือว่าเป็นปรากฎการณ์อัศรรรย์ยิ่งแล้ว ก็ยังไม่มีพรรคไหนทำได้
คุณบรรหารและพรรคชาติไทยครองเสียงชาวสุพรรณด้วยคำสั่งผ่านหัวคะแนน การที่จะต้องจ่ายเงินเป็นรายหัวเพื่อซื้อเสียงนั้น ย้ายจากสมรภูมิระดับชาติไปสู่ระดับท้องถิ่นแล้ว ดังนั้น คนอื่นที่จะมาเบียดพรรคชาติไทย หรือจะแย่งเก้าอี้ ส.ว. จากลูกน้อง ส.ส. พรรคชาติไทยที่ได้รับการอุ้มชูอยู่แล้วก็มามีทางสู้อย่างอื่นใดนอกไปจากจะใช้เงินสด ๆ เพราะชาวสุพรรณที่คุณภาพทางความคิดอ่านทางการเมืองต่ำยังมีอยู่มากมายตามไร่นาต่าง ๆ ชาวบ้านเหล่านี้จ่ายสองร้อยก็ยอมขายเสียงตัวเองแล้ว ดังนั้น กระบวนการซื้อเสียงที่ใช้เงินส่วนตัวบวกกับเงินพรรคการเมืองร่ำรวยจากกรุงเทพ ซึ่งถือว่าเป็นพรรคไทยรักไทยจึงเริ่มขึ้น
ผมไม่ทราบจริง ๆ ว่าพรรคไทยรักไทยจะมาทุ่มเงินเพื่อทำบทเรียนใหม่ให้กับคุณบรรหาร จึงได้แต่เก็บข้อมูลที่มาจากข่าวลือนั้นไว้ในใจเพราะผมไม่สนใจจะไปตรวจสอบ ไม่อยากกล่าวหา หรือหาทางยับยั้ง การทุจริตการเลือกตั้งครั้งนี้แต่ประการใด
ตรงกันข้าม ผมต้องการให้การลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเสมือนงานวิจัยทางรัฐศาสตร์ภาคสนาม ใครจะทำอะไรก็เชิญ ผมไม่ต้องการไปขวาง เพราะไม่ต้องการชนะเลือกตั้งแบบ “Technical Knock-out” ไม่ต้องการไปจับผู้ได้คะแนนสูงกว่าผมให้แพ้แล้วเลื่อนผมที่คะแนนควรจะแพ้อยู่ในอันดับที่ต่ำกว่าลำดับสามมาก ๆ ขึ้นมาให้ถึงลำดับสาม ท่าทางคงเป็นไปไม่ได้
ในสัปดาห์สุดท้ายของการลงคะแนน เพื่อนผมซึ่งเป็นคนทำงานที่ศูนย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของกลุ่มหัวคะแนนคุณบรรหาร ประภัตร-จองชัย แจ้งผลการสำรวจแนวโน้มคะแนนของผมว่าผมอยู่อันดับที่ ๗ คะแนนนิยมในสามเขตของคุณบรรหารยังอยู่เพียงสองเขต ส่วน พ.ต.อ.ปรีดี เจริญศิลป์ อดีตนายตำรวจใหญ่ของสุพรรณบุรีผู้เคยใกล้ชิดสนิทสนมและช่วยแหลือร่วมมือในการแสดงความเคารพคุณบรรหารมานาน และคราวนี้มาลงสมัครด้วยความมุมานะของตนเองโดยมิได้รับพรอันใดของคุณบรรหาร
อำเภออู่ทองที่ใคร ๆ นึกว่าเป็น “ของแน่นอน” สำหรับคุณบรรหารเอาเข้าจริง ๆ ก็พบว่า พ.ต.อ.ปรีดี นี่แหละของจริง คะแนนนิยมในการสุ่มสำรวจก่อนวันลงคะแนนจริงพบว่า พ.ต.อ.ปรีดี เจริญศิลป์ ท่าทางจะสร้างบทเรียนที่เจ็บช้ำให้กับคุณบรรหารได้
พ.ต.อ.ปรีดี เป็นผู้สมัครอิสระจริง ๆ ?
หรือว่าเป็นตัวแทนทางอ้อมของพรรคไทยรักไทย ?
เรื่องนี้ก็นินทากันไปทั้งจังหวัด ส่วนผมเองนั้นก็ไม่ทราบ และไม่สนใจ เพราะหากไม่จริงก็จะดีมากที่จะได้ช่วยลดความยิ่งใหญ่ของคุณบรรหารลงบ้าง แต่หากว่าจริงก็จะเป็นความเศร้าส่วนตัวของผมที่อยากจะเห็นชาวสุพรรณปฏิรูปความคิดทางการเมืองของตนเองบ้าง ถ้าขืนชาวสุพรรณยังคงไร้เกียรติยอมเอาเสรีภาพและอำนาจประชาธิปไตยส่วนของตนไปแลกกับเงิน
๒00-๓00 บาท ผมก็คิดว่าเสียทีที่เกิดมาเป็นคนสุพรรณเปล่า ๆ ผมไม่เคยรู้จัก พ.ต.อ.ปรีดี เจริญศิลป์ รู้แต่ว่าท่านสมัครได้เบอร์ ๒ เห็นใบปลิว แผ่นป้ายของท่านทั่วทุกแห่ง ไม่เคยพบท่านต่อหน้าเพราะท่านไม่เคยมาร่วมการแนะนำตัวตามห้องประชุมอำเภอต่าง ๆ เลย ก.ก.ต. จังหวัดจัดการแนะนำตัวผู้สมัคร ๑0 ครั้ง พ.ต.อ.ปรีดี ไม่เคยมาแนะนำตัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว
สองวันสุดท้ายก่อนถึงวันที่ ๔ มีนาคม อันเป็นวันลงคะแนนเพื่อนจากศูนย์คอมพิวเตอร์ของกลุ่มหัวคะแนนพรรคชาติไทยบอกผมด้วยความงุนงงว่า
“เฮ้ยไอ้เกียรติ มึงได้ที่สี่แล้ววะ
ก็แปลกดี แต่ที่สี่ก็แพ้ตามความคาดหมายอยู่ดี เพียงแต่ผมอยากจะรู้ว่าผมได้คะแนนมากกว่า ๒0,000 คะแนนเชียวหรือ
ถึงวันลงคะแนนเสียง ๔ มีนาคม ๒๕๔๓ เฉพาะหน่วยเลือกตั้งตำบลปากน้ำ อ.เดิมบางนางบวชที่ผมลงคะแนน ทั้ง ๆ ที่ชาวบ้านบอกว่า พ.ต.อ.ปรีดี ไม่เคยมาให้เห็นหน้าค่าตาเลย แต่ก็สามารถทำคะแนนเป็นที่สอง ตามหลังผมไม่กี่สิบคะแนน สุดยอดแห่งความสามารถในการหาคะแนนจริง ๆ สำหรับพ.ต.อ.ปรีดี และสุดเศร้าจริง ๆ สำหรับชาวบ้านชาวปากน้ำ เดิมบางฯ
“อีสาวเดิมบางเองช่างดีใจ” เสียจริง ๆ
ไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยได้ยินเสียง รู้แต่ว่าผู้อำนวยการโรงเรียนเขาบอกให้เลือก ก็เลือกตามที่ “ท่าน ผอ.” แนะนำ
ผลการเลือกตั้งในที่สุด พ.ต.อ.ปรีดี เจริญศิลป์ คนที่คุณบรรหารไม่สนับสนุน คนที่เขาลือกันว่าได้รับคำอวยพรจากคุณทักษิณตามศัพท์ภาษาอังกฤษที่ว่า “Blessing” มาเป็นที่ ๑ ด้วยคะแนน ๑๒๗,๔๕๖ คะแนน
ผมได้เป็นลำดับที่ ๒ ด้วยคะแนน ๘0,๓๖๒ คะแนน
พลเอก มนัส อร่ามศรี ได้อันดับที่ ๓ มี ๗๔,๗๔๕ คะแนน
ส่วนที่เฉียดไปเกือบได้ คือ คุณมนัส รุ่งเรือง ได้ที่ ๔ ชาวสุพรรณฯลงให้ ๗๒,00๖คะแนน
อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรณบุรี ชื่อสมพงศ์ ศรียะพันธุ์ ได้ที่ ๕ มี ๒๑,๖๒๖ คะแนน ส.ส.ประภัตร โพธสุธน ที่ได้รับหน้าที่ดูแลคะแนนให้ท่านอดีตผู้ว่าฯสมพงศ์ บ่นดัง ๆ กับทีมงานว่า
“ไอ้เกียรติ มันชนะกูได้ยังไงวะ? ”
ถึงตอนนี้ต้องบอกเสียก่อนว่า คุณประภัตร โพธสุธน อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น เป็นเพื่อนนักเรียนที่เรียนในประเทษอินเดียรุ่นเดียวกับผม คุณประภัตรเรียนที่ Aligah Muslim University ส่วนผมเรียนที่ Delhi University ในช่วงที่ผมเป็นนายกสามาคมนักเรียนไทยในกรุงเดลฮี คุณประภัตรก็ไปมาหาสู่ร่วมกิจกรรมกับผมที่เดลฮีเสมอ เราจึงเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันเฮฮา มึง-กู กันได้ จนทุกวันนี้ก็ยังทักทายพูดคุยกันได้ มิใช่คู่แข่งทางการเมืองอะไรกัน เพียงแต่ว่าคุณประภัตรเป็นคนศรีประจันต์ เขตเลือกตั้ง ส.ส. ของคุณประภัตรนั้นรวมอำเภอสามชุกบ้านเกิดของผมด้วย คะแนนเลือก ส.ส. ที่สามชุกเป็นของคุณประภัตรมาชั่วกาลนานดังนั้น คะแนนเลือก ส.ว. ที่สามชุกก็น่าจะสั่งได้ตามเดิม ส่วนคะแนนที่ศรีประจันต์บ้านของคุณประภัตร ก็ไม่น่าจะเทมาให้ผม นับเป็นเรื่องแปลกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ผู้ว่าฯ สมพงศ์ ศรียะพันธุ์ เจอกับผมที่วัดดอนเจดีย์ในเย็นวันกำหนดแนะนำตัว ท่านยังบอกผมว่าท่านเองคงไม่หวังอะไรนักหนาและท่านก็ยังให้กำลังใจผมด้วย
ผมได้คะแนนที่อำเภอสามชุกตามที่คาดไว้ แถมได้ศรีประจันต์และเดิมบางนางบวชมาเกินกว่าที่คาดไว้อีก ส่วนที่อำเภออื่นแถบจะไม่ได้คะแนนจากพื้นที่ชาวไร่ชาวนา
ชาวนาข้าว ชาวไร่อ้อย ส่วนใหญ่ไม่กล้าหาญที่จะเป็นนสุพรรณมาตรฐานประชาธิปไตย
ยุคปฏิรูปการเมืองได้ จึงเลือกตามที่หัวคะแนนสั่ง แลกกับอาหารมื้อสองมื้อและความรู้สึกภูมิใจว่าได้เป็น “เป็นบรรหาร”
ผลการเลือกตั้งรอบแลกสร้างความผิดหวังและคลางแคลงใจให้กับพลพรรคชาติไทยและฝ่ายคุณบรรหารเป็นอย่างมาก นายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่เห็นว่าผลการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตยุติธรรม จึงมีการร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งส่วนกลาง โดยนายอำเภอทั้ง ๑0 อำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัดที่ชื่อ วิพัฒ์ คงมาลัย รวมกันไปร้องเรียนถึงกรุงเทพ
น่าชื่นชมในความเอาจริงเอาจังของผู้นำฝ่ายปกครองของจังหวัดจริง ๆ ไม่ต้องคอยให้ผู้แพ้เลือกตั้งร้องเรียนก่อนเลย อาสาไปร้องเรียนเอาถึงกรุงเทพฯ ดังนั้นแล้ว พ.ต.อ.ปรีดี จึงถูกแขวน
ด้วยเหตุที่การเลือกตั้งรอบแรกที่ให้คะแนน พ.ต.อ.ปรีดี มากกว่าเป็นที่หนึ่ง ได้ถึง ๑๒๗,๔๕๖ คะแนน มากกว่าผมที่ได้ที่ ๒ เกือบ ๕0,000 คะแนน ผมเลยได้รับการประกาศรับรองจาก กกต. ให้ได้รับเลือกตั้งก่อน โดยเลื่อนลำดับขึ้นมาเป็นที่ ๑ บุญแห่งสถิติหล่นทับผมโดยรับแทบไม่ทัน
ผมถูก กกต. ส่วนกลางที่กรุงเทพเรียกตัวมาสัมภาษณ์ (หรือสอบสวน) ก่อนการรับรอง กกต. ถามมากมายหลายเรื่อง ผมก็ตอบหลายเรื่องที่เกี่ยวโยงกับการซื้อเสียง และการทุจริตอื่น ๆ ที่สุพรรณบุรีหลังจากนั้น พล อ. มนัส อร่ามศรี ก็ได้รับการรับรองตามหลังผมไม่กี่วัน
สุพรรณบุรีมีการเลือกตั้งใหม่ถึงสองครั้ง จึงได้คุณมนัส เจริญศิลป์ ซึ่งพ่ายแพ้ฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานทางการเมืองเรื่องหัวคะแนนและฐานกำลังฝ่ายข้าราชการไปอย่างเจ็บแค้นแน่นในหัวอก
พ.ต.อ.ปรีดี เจริญศิลป์ นั้น ต่อมาได้โผล่มาเป็นสามาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทยอย่างยืนยันข่าวลือดังนั้น ข่าวลือเรื่องที่ พ.ต.อ.ปรีดี เจริญศิลป์ สมัคร ส.ว. สุพรรณฯ โดยได้รับพรจากคุณทักษิณ จึงเป็นเรื่องที่ท่านผู้อ่านข้อเขียนนี้จะต้องปะติดปะต่อต่อความซับซ้อนเอาเอง ปะติดปะต่อได้ผลอย่างไรแล้วจึงแจ้งให้ “น้าบรรหาร” และ ผมทราบด้วยจึงเป็นพระคุณยิ่ง
ทำไมผมจึงได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสุพรรณบุรีด้วยคะแนนที่มากมาย
ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้แสวงหาไม่ได้ลงทุน ใช้เงินเพียง ๒๒,000 บาท เป็นค่าสมัครและค่ารูปถ่ายนอกนั้นก็เพียงค่าน้ำมันรถ ที่ขับไปไหนมาไหนเพียงคนเดียว
ประชาชนชาวสุพรรณไม่มีวันรู้เลยว่าผมสมัคร และได้หมายเลขอะไร หากไม่ไปหาข้อมูลเอาเอง แสดงว่าชาวสุพรรณในปี ๒๕๔๓ ไม่เหมือนเดิมอย่างที่เศร้าใจในอดีตอีดต่อไปแล้ว!
ที่ซื้อของ ซื้อเสรีภาพได้ในราคาถูกยังมี แต่นับวันจะค่อยหายไป หรือลดน้อยลง
ที่รู้จักเกียรติภูมิของตนเอง และเห็นค่าของประชาธิปไตยมีมากขึ้น
การอยู่ใกล้กรุงเทพเพียงขับรถช่วงโมงเดียวทำให้ขาวสุพรรณรับรู้ข้อมูลข่าวสารและแนวคิดวิเคราะห์สังคมการเมืองที่ลุ่มลึกมากขึ้น
การเติบโตทางเศรฐกิจช่วยให้คนเป็นอิสระทางการเมืองมากขึ้นจะเห็นได้จากการที่คะแนนส่วนมากที่ผมได้จะอยู่ในเขตตลาดในอำเภอเขตเทศบาล อำเภอเมือง
การศึกษาที่สูงขึ้นและกระจายกว้างขึ้น ทำให้ชาวสุพรรณตัดสินใจทางการเมืองได้น่าเคารพอย่างสูงศักดิ์ศรีมากขึ้น ดูได้จากคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าที่ผมได้มากกว่าผู้สมัครรายอื่น และคะแนนจากครู นักเรียน และข้าราชการ แม้กระทั่งที่ศาลากลางก็ลงให้ผมมากเป็นพิเศษ ความจู้จี้จุกจิกเอาแต่ใจตัวเองเวลาคุณบรรหารไปตรวจงานที่สุพรรณในวันเสาร์ที่ท่านทำอย่างสม่ำเสมอ แทนที่จะเป็นนิยมในฝ่ายคุณบรรหารในหมู่ข้าราชการ กลับเป็นคะแนนขบถในยามที่ระบบการรับคะแนนข้นหาตรวจสอบขบถไม่ได้
การวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งที่มำให้ผมชนะ ได้รับเลือกตั้งอย่างที่ไม่คาดหวังอะไรมาก่อน ทำให้ผมมีความหวังมากขึ้นในระบอบประชาธิปไตยที่หวังเห็นสมาชิกวุฒิสภามีอิสระจริง ๆ ในการถ่วงดุลกับสภาผู้แทนราษฎร และรัฐบาลในระบบพรรค
แต่การเล่าเรื่องนี้อย่างละเอียดก็เป็นการชี้ช่องให้พรรคชาติไทยได้ปรับแก้ อุดช่องโหว่ที่รั่วจนผมแทรกเข้ามาได้
หากพรรคชาติไทยและพรรคการเมืองอื่นในจังหวัดอื่น ๆ ยังไม่ปฎิรูปการเมืองและไม่พัฒนาความคิดและพฤติกรรมทางการเมืองของตน เรื่องที่ผมเล่านี้ก็ช่วยให้พรรคการเมืองเหล่านั้นได้วางแผนการทำลายวุฒิสภา และทำลายระบอบประชาธิปไตยได้อย่างมีประ-สิทธิภาพมากขึ้น
แต่หากพรรคการเมืองทั้งหลาย ต้องการเห็นประชาธิปไตยได้พัฒนาขึ้น อยากได้วุฒิสภาไว้เป็นสภาอิสระ เป็นเพื่อนคอยช่วยแนะนำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศชาติ บรรดาพรรคการเมืองทั้งหลายก็ต้องไม่แทรกแซงทำให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาครั้งต่อไปในวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๔๙ กลายเป็นการเลือกตั้ง ส.ว. ระบบบัญชีรายชื่อพรรค แบบแบ่งเขต เบอร์เดียวตามสั่ง อย่างที่แบ่งกันเรียบร้อยแล้วที่จังหวัดสุพรรณบุรี ณ วันที่เขียนบทความนี้จบลง
สุพรรณบุรีอยู่ใกล้กรุงเทพมากจนพอจะเปลี่ยนวัฒนธรรมทางการเมืองได้อย่างน่าภูมิใจเมื่อปี ๒๕๔๓ และขอความเปลี่ยนนี้ต่อเนื่องมาถึงปี ๒๕๔๙
เปลี่ยนวัฒนธรรมและพฤติกรรมทางการเมือง
เปลี่ยนค่านิยมทางสังคม
เปลี่ยนคุณภาพทางการศึกษา
เปลี่ยนอะไรหลายอย่างให้ดีขึ้น
เปลี่ยนไปหมด
อย่างเดียวที่ไม่ต้องการให้ความใกล้กรุงเทพมาเปลี่ยนแปลง
อย่าเปลี่ยนสำเนียงเหน่อให้หายไปก็แล้วกัน
ไม่งั้นมีเรื่องแน่






Create Date : 18 เมษายน 2549
Last Update : 18 เมษายน 2549 12:21:37 น. 15 comments
Counter : 5156 Pageviews.

 

++ ดูสายสัมพันธ์พรรคการเมืองใหญ่ในผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา 2549



ที่
//www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9490000049348




++ ดูแล้วอย่าไปเลือกคนพวกนี้

 





โดย: zzz IP: 61.19.54.238 วันที่: 18 เมษายน 2549 เวลา:16:50:56 น.  

 


Laughing
....พวกท๊ากกกก
สิน ออกก ไป...แน่ะ...
ยังดื้อนั่งเฉยอีก....แกนี่..นายแกหอบเงินหนีไปต่างประเทศแล้วนะ






ดูสายสัมพันธ์พรรคการเมืองใหญ่ในผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา 2549 ที่

//www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9490000049348


ดูแล้วอย่าไปเลือกคนพวกนี้

เราต้องทำให้มันเปิดสภาไม่ได้
 เพื่อที่จะหานายก ฯ
คนกลาง ไม่ใช่คนของพรรคใด
โดยเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ครั้งใหม่นี้
ต้องอาศัยน้ำใจคนใต้อีกครั้ง

    
- ฉีกบัตรทุกเขต ( ทำทุกคนเป็นแสน ๆ
เป็นล้านคน )

    
- กาไม่เลือกใคร

    
- หากหัวคะแนนมายืนคุมหน้าคูหาและจ้องมอง
ให้กาแล้วทำให้บัตรเสีย ( เขียนว่าเกลียดคนโกงลงไปในบัตร )

ถ้ารู้ว่า ผู้สมัคร ส.ว.คนไหนเป็นสายพรรคนรกนี่ ให้ประชาชนสั่งสอนในวันที่ 19
เม.ย.49 อย่าไปเลือกพวกมัน เอาให้เข็ดเลย กำจัดพวกนรกนี่ต้องกำจัดให้ถึงรากถึงโคน
...

หลังเลือกตั้งช่วยกันร้องเรียนและฟ้องร้องผู้สมัคร ส.ส.และ ส.ว.
สายพรรคไทย"รก"ไทย เช่น โกงการเลือกตั้ง
,
ซื้อเสียง  ปิดป้ายในที่ห้าม ,
หาเสียงในงานศพ ฯลฯ ให้เกิดคดีความเลือกตั้งจำนวนมาก เพื่อให้เกิดใบเหลืองใบแดงอีก


  ดูซิว่าไอ้พรรคนรกนี่มันจะเปิดสภาเลือกนายก " นอมินี " ได้ยังไง  
และถ้ามันดันทุรังตีความกฎหมายเข้าข้างเพื่อจะเปิดสภาทั้งที่เสียงไม่ครบ
ส.ส.500+ส.ว. 200 คน ขอเรียกร้องให้ชุมนุมใหญ่ทันที

-----------------------------------------------------------------------


ผมมีนิทานและคำถามเล่น ๆ
.....อาจยาวหน่อยแต่ช่วยอ่านจนจบนะครับ




1.
มีกำนันคนหนึ่งที่เบื้องหน้าชอบทำบุญ
แต่เบื้องหลังใจโฉดชอบอมเงินทำบุญจากชาวบ้านที่บริจาคให้วัด โดยรวมหัวกับมักทายก
4 คน ทำให้ร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็วใน 5
ปี และได้ทำการสั่งสมอิทธิพลจากเงินที่เยอะขึ้นตลอดเวลา
สั่งกำจัดทุกคนที่ขัดขวางผลประโยชน์ตัวเอง

 แล้วให้พวกของตัวเองเข้ามาเป็นกรรมการบริหารของตำบล


2.
วันหนึ่งกำนันคนนี้ย่ามใจหนักขโมยเอาพระประธานของวัดไปขายได้เงิน
73,300 บาท มีพยานแอบเห็นเหตุการณ์จำนวนมาก
พอญาติโยมไปแจ้งความตำรวจแต่ด้วยความเส้นใหญ่ทำให้ตำรวจไม่กล้าทำอะไร ดองคดีไว้
มีแกนนำชาวบ้านใจกล้า
5 คน
ได้รวมตัวชาวบ้านไปประท้วงป่าวประกาศให้ชาวบ้านในตำบลรู้



3.
กำนันทนแรงกดดันไม่ไหว จึงประกาศว่าจะขอเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน (
ทอดได้ปีละครั้ง )  เพื่อหาเงินมาสร้างพระประธานองค์ใหม่แทนองค์เดิม ภายใน 30 วัน  
ขอแรงชาวบ้านทุกคนในตำบลมาทำบุญใหญ่ด้วยกัน
หากชาวบ้านคนไหนไม่มาร่วมด้วยแสดงว่าไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา



4.
มีผู้ใหญ่บ้าน 3
หมู่ไม่เห็นด้วยเนื่องจากเห็นว่าที่ถูกต้องกำนันต้องนำพระที่ขโมยไปมาคืนจึงจะถูก
มิใช่การทอดกฐินหาพระองค์ใหม่ จึงไม่ยอมลงขันร่วมทำบุญใหญ่ทอดกฐินในครั้งนี้
และไปแจ้งให้ชาวบ้านในหมู่ของตนทราบถึงพฤติกรรมของกำนัน



5.
แกนนำชาวบ้านใจกล้า 5
คนได้ทำการป่าวประกาศปลุกใจชาวบ้านทั้งตำบลให้เห็นความผิดของกำนัน
และท้าทายกำนันให้ชี้แจงความจริงกับประชาคมตำบล แต่กำนันไม่กล้า
ได้แต่ส่งลูกน้องให้ไปพูดจาโจมตีแกนนำชาวบ้านว่ากู้เงินแล้วไม่ใช้บ้าง
,
เลี้ยงหมาไม่รอดบ้าง ชาวบ้านหลายคนเริ่มลังเล
และมีหลายคนลืมเรื่องการขโมยเอาพระประธานและอมเงินของวัดไปเสียสนิท
และมองว่าเป็นการทะเลาะกันของกำนันกับลูกบ้าน



6.
แกนนำชาวบ้านใจกล้า 5 คนกดดันอย่างไร
กำนันก็ไม่ยอมลาออกจากตำแหน่ง ดื้อด้านเพราะรู้ว่าวันใดลาออกจากตำแหน่ง
วันนั้นเขาโดนข้อหาหนักแน่ อำนาจก็หมด ลูกเมียคงเดือดร้อน และต้องติดคุกแน่นอน
จึงวิ่งไปหาชาวบ้านหลังโน้นหลังนี้โดยสัญญาว่าจะให้วัวบ้าง  เงินกู้บ้าง
จนชาวบ้านหลายคนเริ่มใจอ่อนและสงสาร
  กระแสกำนันขโมยพระวัดไปขายและอมเงินของวัดค่อย ๆ จางไปในที่สุด
คนส่วนใหญ่ในตำบลกลับไปเตรียมตัวทอดกฐินกันเป็นที่ครื้นเครง



7.
ในวันทอดผ้าป่าปรากฎว่าชาวบ้านทั้งตำบลมี 45
ร้อยคน มีชาวบ้านมาทอดกฐินแต่ไม่บริจาคเงินจำนวน 10 
ร้อยคน บริจาคแบ๊งค์กงเต็ก 20 ร้อยคน (
ทำให้ใช้ไม่ได้ )  และไม่ยอมร่วมงานทอดกฐินกับกำนันอีก
17
ร้อยคน  รวมเป็นผู้ไม่บริจาคเงินให้องค์กฐินของกำนันจำนวน
29
ร้อยคน ( หรือ 65 % )
แต่กำนันกลับป่าวประกาศไปทั่วว่ามีคนให้เงินทอดกฐินกำนัน
16
ร้อยคน ซึ่งเกินครึ่งของผู้ร่วมงานที่แกและมักทายก 4 คนร่วมกันจัด.......จะบ้าตาย


8.
และกลับปรากฏว่าชาวบ้านใน 3
หมู่บ้านทางท้ายล่างของตำบลร่วมทอดกฐินด้วยน้อยมาก จนทำให้กองกฐินมีปัญหา
ได้เงินไม่พอจะหาพระประทานองค์ใหม่ ภายใน 30 วัน 
ชาวบ้านเริ่มเครียดและกดดันกำนันอีกครั้ง


9.
หลังจากกลับจากการหารือกับเจ้าอาวาสวัดแล้ว
กำนันถูกร้องขอบางอย่างได้เรียกประชุมคนทั้งตำบลทันที
กำนันประกาศว่า.....จะขอถอยโดยบวชพระสักระยะ
และจะให้ลูกน้องสนิทขึ้นมาเป็นกำนันแทน........สิ้นคำประกาศทันใดชาวบ้านค่อนตำบลส่งเสียงอนุโมทนาสาธุ
ยกย่อง กำนันเป็นวีระบุรุษ ผู้เฒ่าผู้แก่น้ำตานองไหลทั่วทั้งตำบล



10.

วันนี้ชาวบ้านไม่มีใครพูดเรื่องกำนันขโมยพระและอมเงินของวัดอีกแล้ว.....มักทายก
4 คน
กำลังจะบอกชาวบ้านให้ทอดผ่าป่าซ่อมปัจจัยที่ขาดจากการทอดกฐินอีกครั้งก็ได้เงินครบแล้ว
  เอามาแทนพระประธานองค์ใหม่แทนองค์เก่าก็ได้ไม่เห็นจะเสียหาย
.....กำนันกำลังจะเสียสละเป็นพระให้ชาวบ้านกราบไหว้......ลูกน้องกำนันกำลังจะขึ้นมาเป็นกำนันแทน 
 และอันธพาลลูกน้องกำนันกำลังคุกคามแกนนำชาวบ้าน

 5  คนหาว่าทำให้ประชาคมตำบลแตกแยก

11.
แกนนำชาวบ้านใจกล้า 5 คน
และผู้ใหญ่บ้านใจกล้า
3 หมู่
ออกมาบอกว่าต้องลงโทษกำนันและนำพระประธานและเงินของวัดที่กำนันอมไปคืนมาก่อน
เพราะความผิดยังไม่ได้ชำระ
แต่ชาวบ้านหลายคนบอกว่ากำนันถอยแล้วทำไมฝ่ายอื่นไม่ถอยบ้าง......แกนนำชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้านกำลังถูกโดดเดี่ยว.......อนิจจา


12. 
วันนี้กำนันกำลังนำเงินที่ได้จากขโมยพระประธานไปขายและเงินของวัดที่อมไป 
ไปทัวร์ต่างตำบลอย่างสนุกสนานพร้อมติดต่อนำเงินนี้ไปฝากเพื่อนกำนันต่างตำบลไว้ 
เมื่อยามต้องระเห็จจากตำบาลของตนจะได้มีเงินไว้จับจ่าย.....แสบจริง ๆ




13.
นิทานเรื่องนี้ถามว่า......การจะขอบวชของกำนันทำให้พ้นความผิดข้อหาขโมยพระประธานและอมเงินของวัดได้อย่างนั้นหรือ
  หรือว่าต้องการแค่เพียงให้คนเขาลืมอดีตของกำนันเท่านั้น
????
หลังจากสึกหนนี้ ไอ้ทิดกำนันจะกลับมาเป็นกำนันอีกแสนนานใช่ไหม...???....ต้องถามชาวบ้านตำบลนี้แล้ว
???



14.
จะมีการทอดผ่าป่าซ่อมอีกครั้ง.......ชาวบ้านท้ายตำบลจะยอมบริจาคเงินหรือไม่ วันที่
19  , 23 หรืออาจจะ 30  เม.ย.49
รู้กัน ???

15
ขอเป็นกำนันคนกลางโดยการแต่งตั้งจากของท่านเจ้าอาวาสไม่ดีหรือ
??? 
จะได้มาสะสางความผิดของกำนันก่อน   คนผิดไม่ควรลอยนวลไม่ใช่หรือ
???
ชาวบ้านจะยอมให้ลูกน้องกำนันมาเป็นตัวแทนข่มเหงชาวบ้านอีกหรือ
?? ลืมเรื่องกำนันขโมยพระประธานและอมเงินของวัดไปแล้วหรือไร
??? ……อย่าต้องปล่อยให้แกนนำชาวบ้าน  5  คนและผู้ใหญ่บ้าน 3
หมู่โดดเดี่ยวเลยครับ.....ร่วมเป็นกำลังให้เขาต่อสู้เรียกหาความยุติธรรมเถอะ
.......




 




โดย: zzz IP: 61.19.54.238 วันที่: 18 เมษายน 2549 เวลา:17:01:12 น.  

 
^
^
^
ช่างเปรียบเทียบ แต่ผมว่าอย่าให้ประเทศไทยวุ่นวายไปกว่านี้อีกเลยนะ ใครๆเขาก็รู้ว่าประท้วงเพราะเสียผลประโยชน์


โดย: xx IP: 203.113.32.7 วันที่: 18 เมษายน 2549 เวลา:22:20:30 น.  

 
ขอบคุณอ.สมเกียรติที่แฉความจริงให้เห็นสันดานน้กการเมือง ดีใจกับคนสุพรรณฯที่กล้าหาญตัดสินใจเลือกส.ว.อย่างอ.สมเกียรติ


โดย: jj IP: 203.114.99.24 วันที่: 19 เมษายน 2549 เวลา:18:31:23 น.  

 
ใบเสร็จยุบพรรคไทยรักไทย

เปิดผลสอบคดีจ้างนอมินีลงสมัครเลือกตั้ง 2 เมษาฯ-เปลี่ยนฐานข้อมูลสมาชิกพรรค ระบุหลักฐานโยงบิ๊กไทยรักไทย เจ้าหน้าที่"กกต."เผยสารภาพรับเงินพรรคชาติพัฒนาชาติไทย 3 หมื่นบาท แก้ทะเบียน

การสอบสวนในคดีที่พรรคประชาธิปัตย์ร้องเรียนว่าเจ้าหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปลอมแปลงแก้ไขทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองขนาดเล็กและมีผู้บริหารระดับสูงของพรรคไทยรักไทยให้เงินสนับสนุนพรรคเล็กหรือที่เรียกกันว่าพรรคนอมินีเพื่อลงเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 2 เมษายน แข่งกับพรรคไทยรักไทย

มีการสรุปโดยคณะอนุกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงที่มีนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตรองประธานศาลฎีกา เป็นประธาน ระบุข้อมูลตรงกับที่มีการร้องเรียนโดยเจ้าหน้าที่ กกต.ยอมรับว่าได้รับเงินจากผู้บริหารพรรคชาติพัฒนาชาติไทย และพิเคราะห์เชื่อว่า พรรคเล็กๆ ได้รับเงินสนับสนุนจากพรรคไทยรักไทย

1.กรณีกล่าวหาว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของ กกต.ปลอมแปลงแก้ไขทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองในฐานข้อมูลนายทะเบียนพรรคการเมืองของ กกต. เพื่อส่งคนซึ่งไม่มีคุณสมบัติตามกฎหมายลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งต่างๆ มีผลสรุปว่า นาย อ.

เจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์ผู้รับผิดชอบการบันทึกข้อมูลทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองของฐานข้อมูลนายทะเบียนพรรคการเมืองให้การยอมรับว่า ได้รับเงินจากผู้บริหารระดับสูงจากพรรคพัฒนาชาติไทย 30,000 บาท เพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลในฐานข้อมูลนายทะเบียนพรรคการเมือง

2.กรณีกล่าวหาว่า การกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่ของ กกต.ดังกล่าว เกิดจากการสมคบกันกับผู้บริหารระดับสูงของพรรคไทยรักไทยกับพรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคไทยรักไทยกับพรรคแผ่นดินไทย พิเคราะห์แล้วน่าเชื่อว่า พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทยได้รับเงินสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงของพรรคไทยรักไทย เพื่อให้นำมาจัดส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549

ที่มา : //www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0107210449&day=2006/04/21

เย้หลักฐานสอบครบแล้ว...ยุบพรรคไทยรักไทยได้เลย.... ขอบคุณท่านประธานสอบข้อเท็จจริงครับ.....ที่ทำความจริงให้กระจ่างไปทั่วโลก.....ต้องรีบส่งข่าวนี้ให้เพื่อที่ต่างประเทศ...เพื่อที่จะได้ประจานพรรครัฐบาลไปทั่วโลกว่าเรามีรัฐบาลที่โกงชาติ แล้วยังลวงโลกอีกด้วย


โดย: zzz IP: 61.19.54.238 วันที่: 22 เมษายน 2549 เวลา:0:19:19 น.  

 
พี่สุพัฒน์ป่ะเนี่ย


โดย: แห้งฮ่ะ IP: 58.9.109.152 วันที่: 22 พฤษภาคม 2549 เวลา:20:45:49 น.  

 
เห็นบรรยากาศแล้วนึกว่า เดินหลงเข้ามาห้องราชดำเนินซะอีกค่ะ


โดย: Fernny วันที่: 16 พฤศจิกายน 2549 เวลา:4:24:40 น.  

 
เจ้าของโรงแรมคุ้มสุพรรณใจดีมากเลย


โดย: 55 IP: 124.120.205.177 วันที่: 13 กรกฎาคม 2550 เวลา:13:43:07 น.  

 


โดย: อ้อม IP: 125.26.107.103 วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:13:04:52 น.  

 


โดย: ณัฐ IP: 117.47.108.137 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2550 เวลา:17:33:08 น.  

 


โดย: บี IP: 117.47.108.137 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2550 เวลา:17:34:44 น.  

 

5555555555555+


โดย: บี IP: 117.47.108.137 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2550 เวลา:17:41:21 น.  

 


ดีค่ะเพืนๆที่ลูกทุกคนและเพื่อนใหม่ทุกคนค่ะ


โดย: แอนรีน่า IP: 61.19.66.3 วันที่: 12 มิถุนายน 2551 เวลา:13:12:52 น.  

 
ผมเป็นคนหนึ่งที่เลิอก ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล เมื่อ 12 ปีที่แล้ว


โดย: บางลี่บอย IP: 223.205.55.81 วันที่: 18 ตุลาคม 2554 เวลา:23:06:00 น.  

 
Bitcoin (BTC) might just be the golden opportunity of our era, poised to skyrocket to $200,000 in the upcoming year or the one following. In the past year alone, BTC has witnessed a staggering 20-fold increase, while other cryptocurrencies have surged by an astounding 800 times! Consider this: a mere few years ago, Bitcoin was valued at just $2. Now is the time to seize this unparalleled chance in life.
Join Binance, the world's largest and most secure digital currency exchange, and unlock free rewards. Don't let this pivotal moment slip through your fingers!
Click the link below to enjoy a lifetime 10% discount on all your trades.
https://swiy.co/LgSv


โดย: Mariofef IP: 203.10.98.33 วันที่: 28 มีนาคม 2567 เวลา:5:30:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ZAPPER
Location :
สุพรรณบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ZAPPER's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.