.....พระราชวังโพทาลาเล็ก..... พระราชวังโพทาลาเล็กหรือพระราชวังโพทาลาจำลอง Potala Palace (小布达拉宫) หรือ วัดผู่ถัวจงเฉิง (普陀宗乘之庙) ตั้งอยู่ที่เมืองเฉิงเต๋อ ( Cheng De )ในเขตมลฑลเหอเป่ย ( He Bei ) อยู่ห่างจากกรุงปักกิ่งราว 250 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราวสามชั่วโมง พระราชวังโพทาลาจำลองแห่งนี้ สร้างขึ้นโดย พระราชประสงค์ของจักรพรรดิ์เฉียนหลง หรือเฉียนหลงฮ่องเต้ มีดำรัสให้สร้างเลียนแบบพระราชวังโพทาลา เมืองลาซ่า ของธิเบต ซึ่งเป็นศิลปกรรมแบบธิเบต เพื่อเป็นตัวแทนของชนเผ่าชาวธิเบต จุดประสงค์เพื่อความสงบเป็นปึกแผ่นอันเดียวกันระหว่างชาวแมนจู ชาวมองโกล ชาวธิเบต และชาวฮั่น ในยุคสมัยราชวงศ์ชิงของพระองค์ พระราชวังโพทาลาจำลองแห่งนี้ ดูจากภายนอกแล้ว มีลักษณะใกล้เคียงกันกับพระราชวังโพทาลาที่ธิเบตมาก คือประกอบด้วยสองส่วนคือพระราชวังแดงและพระราชวังขาว แต่จะมีขนาดเล็กกว่าพระราชวังจริงอยู่มาก คือเล็กกว่าราวยี่สิบเท่า เมื่อผ่านประตูวัดเข้ามาก็จะพบกับตึกแรกสีแดงแสดสดใส ภายในมีศิลาจารึกอยู่ทั้งหมดสามแท่ง สลักเรื่องราวความเป็นมา ของการสร้างวัด โดยมีวัตถุประสงค์ของผู้สร้างสลักบอกไว้อย่างชัดเจน โดยอักษรที่ใช้สลักลงบนศิลาจารึกมีด้วยกันถึงสามภาษา คือ อักษรจีนของชาวฮั่น อักษรภาษามองโกล และอักขระภาษาธิเบต อาคารสีขาวหลังนี้เป็นหนึ่งในหมู่อาคารของพระราชวังขาว บนอาคารมียอดเจดีย์ห้ายอดห้าสีแตกต่างกันออกไป ซึ่งเดีย์ทั้งห้านี้เป็นลักษณะเฉพาะของพุทธศิลป์แบบธิเบต และภายในยอดเจดีย์จะบรรจุพระธาตุที่ได้มาจากที่ต่างๆครับ บริเวณด้านหน้าของอาคารยอดเจดีย์ทั้งห้านี้ทั้งด้ายซ้ายและขวา จะมีรูปสลักหินสีขาวรูปช้างอยู่ หากสังเกตุกันดีๆจะพบว่า เท้าหน้าของช้างจะยื่นเหยียดออกไปทางด้านหน้าซึ่งจะแตกต่าง กับช้างทั่วๆไปที่มักจะคุกเข่าโดยปลายเท้าจะเก็บเข้าหาตัว ช้างในลักษณะท่าทางนี้หมายถึงช้างกำลังก้มกราบสักการะ พระพุทธศาสดาอยู่นั่นเองครับ (เข้าใจคิดดีไหมครับ) บางอาคารก็จะมีเจดีย์ห้ายอดอยู่ แต่เป็นสีขาวทั้งหมด ซึ่งในยอดเจดีย์ไม่ได้มีการบรรจุพระธาตุ ที่เห็นในภาพคือซุ้มประตู ซึ่งเป็นศิลปะเฉพาะของราชวงศ์ชิง(แมนจู) เป็นซุ้มประตูที่ประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบสีสรรสดใสสวยงาม ซุ้มประตูโดยมากจะแบ่งออกเป็นสามประตู กล่าวคือประตูกลางจะเป็นประตูเฉพาะฮ่องเต้เดินผ่านเข้าออก ส่วนประตูซ้ายและขวา จะเป็นประตูสำหรับราชวงศ์ ข้าหลวง และผู้ติดตามขบวนเสด็จทั้งหลาย แตกต่างกันไปตามยุคสมัยนิยม ถึงแม้ว่าเวลาจะล่วงเลยไปเกือบสามร้อยปีแล้วก็ตาม ซุ้มประตูแห่งนี้ก็ยังคงสีสรรที่สดสวยสวยงามเหมือนในอดีต กระเบื้องเคลือบบนหน้าบรรณประตูรูปมังกรคู่ชิงแก้ว ก็ยังคงสีสรรและความงดงามอันแสนละเอียดอ่อน ในส่วนอาคารของพระราชวังสีขาวที่โอบล้อมพระราชวังแดงไว้ตรงกลาง จะเป็นกลุ่มอาคารที่ภายในจะมีการจัดเก็บรักษาพระคัมภีร์ และของสำคัญในการประกอบศาสนพิธีต่างๆเอาไว้ บ้างก็มีพระรูปของพระโพธิสัตว์หลายพระองค์แตกต่างกันไป ซึ่งบางอาคารก็ไม่ได้เปิดให้เข้าชม บ้างก็กลายเป็นร้านค้าขายของไป ตามหลังคาบริเวณปลายจะมีกระดิ่งลมแขวนประดับไว้ เมื่อมีลมพัดมากระทบก็จะเกิดเสียงดังกังวานใสใสชวนฟัง เมื่อเดินขึ้นมาถึงจุดสูงสุดบนเนินเขาลูกเล็กๆ ก็จะพบกับหมู่อาคารหลักของพระราชวังโพทาลาจำลองแห่งนี้ เมื่อเดินขึ้นบันใดสู่ตัวอาคารหลักของพระราชวัง จุดแรกที่พบคือลานระเบียงกว้างที่มีแท่นไหว้สักการะและเสาธง จะมีที่จุดนี้เพียงแห่งเดียวในเขตพระราชวัง ที่อนุญาตให้จุดธูปสำหรับไหว้บูชาพระได้ เมื่อขึ้นบันใดเข้ามาถึงจุดนี้ ก็จะได้รับแจกธงสีคนล่ะหนึ่งผืน ซึ่งแต่ล่ะท่านก็จะได้สีของธงและรูปพระโพธิสัตว์ในธงที่แตกต่างกันไป ซึ่งก็มีความหมายแตกต่างกันออกไปขึ้นกับพื้นดวงชะตาและวาสนาที่ท่านมี ธงนี้มีไว้สำหรับเขียนชื่อของท่านหรือรายชื่อสมาชิกในครอบครัว เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็จะถูกนำไปผูกกับเชือกและถูกชักขึ้นสู่เสาธง เป็นการลงชื่อสักการะบูชาคล้ายๆกับการผูกผ้าสีหรือห่มผ้าพระในบ้านเรา ธงนี้ไม่ฟรีน๊ะครับ รับมาแล้วต้องจ่ายเงินค่าธงและพิธีกรรม 30 หยวน หากไม่ต้องการก็ให้ปฎิเสธการรับ หรือถ้าเผลอรับมาแล้วก็คืนได้ครับ ในส่วนอาคารหลักของพระราชวังจะประกอบด้วย อาคารสีแดงจำนวนสามชั้นและอีกหนึ่งชั้นเป็นสี่ชั้นเมื่อนับรวบบริเวณดาดฟ้า ซึ่งอาคารสีแดงนี้จะเป็นรูปกรอบสี่เหลี่ยมจตุรัสมีลานว่างตรงกลาง ซึ่งตรงกลางลานจะมีอาคารกลางหลังคาทองคำสองชั้นตั้งอยู่ อาคารรูปกรอบสี่เหลี่ยมนี้แบ่งออกเป็นห้องย่อยๆอีกจำนวนมาก บางห้องถูกดัดแปลงเป็นสถานที่จัดแสดงแบบพิพิธภัณฑ์ ส่วนอาคารกลางที่มีหลังคาทองคำแท้สองชั้นนั้น เป็นคล้ายๆอุโบสถหลวง เป็นที่ประดิษฐสถานของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระประธานนี้เป็นพระพุทธรูปขนาดเล็กท่ายืนคล้ายๆปางลีลา บริเวณภายในบนเพดานมีรูปมังกรทองคำคาบแก้วสวยงามมาก ซึ่งมังกรทำด้วยทองคำแท้และลูกแก้วเคลือบด้วยทองคำขาว จุดนี้ห้ามถ่ายภาพครับ เลยไม่มีภาพมาฝากให้ได้ชมกัน บนดาดฟ้าจะมีระเบียงกว้างและมีซุ้มเก๋งจีนหลังคาสีทอง อยู่หลายหลังตามมุมระเบียงดาดฟ้าของทั้งสองชั้น และเมื่อแสงแดดสาดส่องกระทบหลังคาทองคำแท้ของอุโบสถกลาง ประกายแสงสีทองแวววาวก็จะส่องแสงสุกอร่ามเป็นที่น่าชื่นชมมาก เก๋งจีนหลังคาทองคำบนชั้นดาดฟ้าเป็นที่ประดิษฐาน ของพระโพธิสัตว์องค์ต่างๆ ภายในอาคารจะมีบันใดไม้ที่สามารถขึ้นตรงสู่ชั้นระเบียงดาดฟ้าได้ และสำหรับผู้ที่นับถือพระโพธิสัตว์กวนอิมก็ไม่ควรพลาด การเข้าสักการะพระโพธิสัตว์กวนอิมภายในเก๋งจีนแห่งนี้ ภายในมีพระโพธิสัตว์กวนอิมในปางที่มีกายเป็นบุรุษเพศครับ (ดังในภาพเล็กทางด้านบนขวาครับ) และตามระเบียงของแต่ละชั้นในอาคารกลางก็จะตกแต่งไปด้วยภาพ ที่บ้างก็เป็นภาพแขวนที่ทำจากผ้า หรือบ้างก็เป็นจิตรกรรมฝาผนัง เป็นรูปเรื่องราวพุทธประวัติและเทพของทางธิเบตที่มีสีสรรสวยสดงดงาม ชมความงามของหลังคาทองคำและอำลาเก๋งจีนที่สวยงามกันอีกครั้ง สำหรับการไหว้พระที่วัดหรือพระราชวังโพทาลาแห่งนี้ ตี๋น้อยแนะนำให้ซื้อหาหรือนำธูปมาจากภายนอกจะได้ราคาที่ถูกกว่า หรืออาจจะเลือกซื้อที่ทางวัดจัดไว้จำหน่ายซึ่งก็มีหลายราคา ราคาสูง ต่ำแล้วแต่ศรัทธา ซึ่งทางวัดจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้เพื่อสาธารณะประโยชน์ และถ้ามีเจ้าหน้าที่หรือพระยื่นส่งสิ่งของต่างๆให้ ไม่ว่าจะเป็นธูปเทียน ผ้าแพร หรือ กระเช้าดอกไม้และผลไม้ ให้ ก็ควรปฏิเสธหรือสอบถามให้แน่ชัดเสียก่อนน๊ะครับ ว่ามีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ จะได้ไม่ต้องเสียความรู้สึกว่า ศรัทธากลายเป็นการค้าไปเสียหมด การนำเที่ยวพระราชวังโพทาลาจำลองหรือวัดผู่ถัวจงเฉิง ( ซึ่งแปลได้ว่า วัดของพระโพธิสัตว์ ) ในครั้งนี้ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ ต้องขออภัยที่ทำให้โหลดภาพจำนวนมากกันนานมากๆ หมายเหตุ ค่าบัตรเข้าชมท่านล่ะ 30 หยวน หรือราว 150 บาท ก่อนจากกันตี๋น้อยขอเล่าเรื่องประทับใจในพระราชวังแห่งนี้ให้ฟังครับ ตี๋น้อยได้มีโอกาสมาเยือนวัดแห่งนี้แล้วถึงสามครั้ง ทุกครั้งที่มาก็จะไปไหว้พระมือเปล่า ไม่ได้จุดธูปไหว้แต่อย่างใด ที่น่าแปลกใจก็คือ ทุกครั้งที่ตี๋น้อยเดินกลับออกมาจากวัด เมื่อผ่านประตูวัดก็จะพบกับยายแก่ๆน่าสงสารคนนึงวิ่งมาขอเงิน ตี๋น้อยก็จะให้เงินแกไป ทุกครั้งที่แกรับเงิน แกจะดีใจมากๆและวิ่งจากไป และแกก็จะวิ่งกลับมาพร้อมกับยื่นธูปหอมธิเบตในมือให้ตี๋น้อย และบอกกลับตี๋น้อยว่า ให้เอาธูปนี้กลับไปจุดไหว้พระที่บ้าน แล้วแกก็อวยพรตี๋น้อยด้วยพรอันประเสริฐมากมาย เหตุการณ์ของยายคนนี้เกิดขึ้นแบบเดียวกันถึงสามครั้ง สองครั้งแรกตี๋น้อยลืม และไม่ได้ใส่ใจจดจำ รวมทั้งให้ธูปคนอื่นไป และในครั้งที่สามนี่เองหลังจากที่ตี๋น้อยกลับมาและจุดธูป เพื่อไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่ห้องตี๋น้อย ตี๋น้อยก็จำได้ว่า เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้วถึงสองครั้งสองครา และในวันนี้ตอนนี้ที่ตี๋น้อยกำลังพิมพ์บล็อกนี้อยู่ ตี๋น้อยก็จำได้อีกว่า ยายแก่ๆท่าทางใจดีคนนั้นเป็นคนๆเดียวกับยายที่ตี๋น้อยพบเจอเมื่อสิบปีก่อน หน้าตาและท่าทางของยายคนนั้นยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ดูจากลักษณะท่าทางแล้วเมื่อสิบปีก่อนยายก็น่าจะราวสักแปดสิบกว่าเก้าสิบปี แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานร่วมสิบปีก็ตาม ยายอายุเท่าไหร่กันแน่ ยายเป็นใคร และต้องการบอกอะไรกับตี๋น้อยรึเปล่า สำหรับตี๋น้อยแล้ว ยายคงจะเป็นพระโพธิสัตว์หรือเทพที่คุ้มครองตี๋น้อยอยู่ (แปลกที่แกเจาะจงเดินเข้ามาตี๋น้อยคนเพียงคนเดียว และแกจะหายตัวไปทุกครั้งหลังจากนั้น และเกิดขึ้นถึงสามครั้ง ในช่วงเวลาที่ห่างกันหลายปีในระยะสิบปีนี้โดยที่แกไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย) (เชื่องมงายเกินไปรึเปล่าครับนี่ ฮิๆๆๆ) หมายเหตุ การเก็บภาพคราวนี้มีอุปสรรคอยู่หลายประการ ทำให้ต้องใช้กล้องถ่ายภาพดิจอลถึงสามตัวและกล้องจากมือถืออีกหนึ่งเครื่อง

Create Date : 14 มีนาคม 2549
Last Update : 14 มีนาคม 2549 17:42:17 น.		111 comments
Counter : 4375 Pageviews.
Share Tweet