Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2554
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
20 พฤศจิกายน 2554
 
All Blogs
 

ล่องเรือไวกิ้งไปประเทศเอสโทเนียและเกาโอลันด์ ของฟินแลนด์



ล่องเรือไวกิ้งไปเอสโตเนีย




อันเนื่องมาจากวันหยุดยาวช่วงอีสเตอร์หรือที่สวีเดนเรียกว่าโพสค์ (Påsk) เลยหาโปรแกรมเดินทางไปไหนซักแห่งที่ยังไม่เคยไป เผอิญไม่กี่เดือนมานี่ มีการเพิ่มสมาชิกกลุ่มประเทศเช็งเก็นขึ้นมาอีกหลายประเทศ ประเทศเอสโตเนียก็เป็นอีกประเทศหนึ่งเพราะฉะนั้นถือวีซ่าเช็งเก็นอยู่แล้ว จึงตัดสินใจเดินทางไปกับเรือไวกิ้ง
อันที่จริงเส้นทางการเดินเรือนี้มีมาตั้งแต่ยุคไวกิ้งโบราณ ไวกิ้งสายสวีเดนมักเดินเรือมาทางตะวันออกเข้าไปในรัสเซียบ้าง เอสโทเนียบ้าง ยูเครนบ้าง บ้างพวกล่องแม่น้ำไปในรัสเซียไปถึงอิรักก็มี สวีเดนมักจะอ้างเสมอว่าพวกไวกิ้งไม่ได้เป็นแต่ผู้รุกรานเท่านั้นยังเป็นนักค้าขายอีกด้วย ซึ่งพบหลักฐานการค้าต่างๆมากมายตามเมืองโบราณ เป็นพวกเหรียญโบราณต่างๆรวมทั้งพระพุทธรูปก็พบ ส่วนไวกิ้งผู้ชอบการรุกรานมักมาจากเดนมาร์กและนอร์เวย์ซึ่งพวกนี้มักเดินทางไปตามเส้นทางตะวันตกของสแกนดิเนีเวีย
บริษัทเดินเรือเส้นทางสายตะวันออกมีแข่งกัน 2 บริษัทใหญ่ๆคือซีเลียไลน์กับไวกิ้งไลน์ บริษัทแรกดูหรูกว่า ซึ่งก็แพงกว่าเช่นกัน อันที่สองหรูน้อยลงมาหน่อย เรือลำที่ใช้โดยสารมานี้มีชื่อว่าซิลเดอเรลล่า จุผู้โดยสารที่ 2,500 คน กว้าง 29 เมตร ยาว 191 เมตร ส่วนที่จมน้ำ 6.8 เมตร ความสำราญบนเรือก็มีอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นผับ เธค บาร์ คาสิโน สปา ร้านค้าปลอดภาษี ซึ่งภายในมักเป็นแอลกอร์ฮอล์


เรือออกเดินทางเวลา 18.00 น. แต่มาเช็คอินตั้งแต่เวลา 16.30 น. ซึ่งตอนเช็คอินจะได้บคียืการ์ดเปิดประตูห้องพักและบัตรรับประทานอาหารทั้ง 2 วัน ผู้คนส่วนใหญ่ก็มาเช็คอินล่วงหน้าก่อนเวลาเยอะมาก ทำให้บริเวณหน้าประตูทางขึ้นเรือค่อนข้างติดขัดเนื่องจาก ประตูจะเปิดเวลา 17.15 น. ซึ่งเปิดจริงสายกว่านั้น 2 – 3 นาที แถมยังต้องมาเบียดบังเป็นคอคอด เพราะมีด่านที่เจ้าหน้าที่จะต้องถ่ายรูปผู้โดยสารให้ได้ครบทุกคน เพราะเอาไว้ขายแผ่นละ 6 ยูโร






หลังจากเข้าห้องเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นไปเดินดาดฟ้าเรือ โดยอากาศหนาวมาก เนื่องจากอุณหภูมิต่ำลง แถมยังลมพัดมาอีก นี่เรือยังไม่วิ่งนะ ถ้าเรือวิ่งยิ่งหนาวจับใจกว่านี้ เนื่องจากลองมาแล้วตอนทริปฟินแลนด์


พอลงมาจากดาดฟ้าเรือยังไม่ออกเลยไปรอทานอาหารเย็นแบบบุฟเฟ่ต์ บนชั้น 8 ร้านเปิดเวลา 18.30 น. อาหารส่วนใหญ่ก็เป็นแบบสวีดิช รสชาติเข้าท่าเหมือนกัน อันไหนไม่ชอบก็ไม่ตัก กินกันอิ่มจุใจ พอสองทุ่มกว่าเจ้าหน้าที่ก็ประกาศไล่เป็นระยะๆ เพราะเดี๋ยวจะมีชุดใหม่มากินต่ออีกตอนสามทุ่ม
เสร็จจากทานปุฟเฟ่ต์ ก็ไปสำรวจ ร้านค้าปลอดภาษีบนชั้น 7 ซักหน่อย สินค้าส่วนใหญ่ก็เป็นแอลกอร์ฮอล์อย่างที่เกริ่นไว้ นอกนั้นก็มีขนมของกิน เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายก็มีบ้างแต่ไม่เยอะ เดินดูนิดหน่อยไม่ซื้ออะไร (ตามเคย) ออกมาหยิบโบชัวร์เกี่ยวกับเมืองทาลลิน เมืองหลวงของประเทศเอสโตเนียมากศึกษาหน่อยว่าจะไปเดินที่ไหนดีและมีอะไรสำคัญบ้าง เอามานอนอ่านที่ห้องพัก บนชั้น 6 ของเรือ พร้อมกับนั่งบันทึกการเดินทางนี้ไปด้วย


ก่อนจะออกลุยเมืองหลวงของประเทศเอสโตเนีย มาทำความรู้จักเมืองทาลลินกันคร่าวๆจากข้อมูลในโบชัวร์ภาษาสวีเดนที่หยิบมาซักหน่อย
เมืองนี้มีประชากรแค่ 400,000 คน ตั้งอยู่ตอนเหนือสุดของประเทศทีเดียวติดทะเล ข้ามทะเลไปอีกฝั่งหนึ่งก็จะเป็นเมืองเฮลซิงกิของประเทศฟินแลนด์ เมืองนี้กำเนิดขึ้นในยุคกลางที่มีความเก่าแก่พอๆกับเมืองอื่นๆในทวีปยุโรปเลยทีเดียว ซึ่งพื้นถนนมักจะปูด้วยอิฐเก่าๆแบบเมืองเก่าๆทั่วๆไปในทวีปยุโรป สิ่งก่อสร้างจะมีอายุอยู่ในช่วงคริสต์ศักราช 1,000 – 1,400 ในส่วนของเมืองเก่าสิ่งก่อสร้างมีอายุไม่ต่ำกว่า 500 ปีเกือบทั้งหมด เมืองเก่าจะมีกำแพงรายรอบอยู่ 2 กิโลเมตรและมีความหมายของเมืองคือ เมืองเดนมาร์ก (Den danska staden) เนื่องจากสภาพการรักษาเมืองไว้อย่างดีจึงได้รับการขึ้นบัญชีจากองการยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1997
ข้อมูลเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับประเทศเอสโตเนีย
ประเทศนี้มีประชากรทั้งประเทศราวๆ 1,351,000 คน จากการสำรวจเมื่อปี ค.ศ. 2005 ขนาดของพื้นที่ 42,227 ตร.กม. ประชากรที่เป็นชาวเอสโตเนียจริงๆมี 68% นอกนั้น เป็นชาวรัสเซีย 26 % ชาวยูเครน 2 % เบลารุส 1 % ชาวฟินแลนด์ 1 %
ภาษาราชการคือภาษาเอสโตเนีย (Estniska) ซึ่งเป็นภาษาในตระกูลเดียวกันกับภาษาฟินแลนด์ นอกจากนั้นก็มีภาษารัสเซีย ภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมันก็ใช้กันอย่างกว้างขวาง
ประวัติศาสตร์คร่าวๆคือเมื่อ 3,000 ปี ก่อนคริสตกาล บรรพบุรุษของชาวเอสโตเนียได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นพวกแรก ประมาณปี ค.ศ. 1100 เกิดเป็นเมืองท่าที่สำคัญซึ่งปัจจุบันคือเมืองหลวงนั้นเอง โดยชาวไวกิ้งเดนมาร์กเข้ามาสร้างเมืองและปกครอง หลังจากนั้นสองร้อยปีเดนมาร์กได้ถอนตัวออกไปและเยอรมันก็เข้ามาปกครองแทนที่ เมื่อเมืองกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญดังนั้นสวีเดนจึงเข้ามาครอบครองและปกครองอยู่ในช่วง ค.ศ. 1561 – 1710 หลังจากนั้นก็ถ่ายอำนาจเข้าไปอยู่ในอุ้งมือของรัสเซีย จนกระทั่งมีอำนาจปกครองตนเองอย่างแท้จริงในปี ค.ศ. 1918 – 1940 จนกระทั้งช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกรวมเข้าเป็นสหภาพโซเวียต และเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี ค.ศ. 1991 เอสโตเนียจึงกลับมามีเอกราชอย่างสมบูรณ์จนถึงปัจจุบัน และเข้าเป็นสมาชิก EU ลำดับที่ 10 ในปี ค.ศ. 2004 หลังจากพอรู้แบ็คกราวน์แล้วก็ไปตะลุยเมืองทาลลินกันดีกว่าครับ

เช้าวันถัดมาต้องรีบไปทานปุฟเฟ่ต์ เพื่อจะได้ทันตอนเรือเทียบท่าและออกไปเดินเล่นชมเมือง มองจากทะเลเข้าไปยังตัวเมืองท้องฟ้าแจ่มใส แต่ซักพักพายุหิมะเข้าถล่มเมืองแล้วก็หายไป เป้นอย่างนี้สลับกันทั้งวัน ยิ่งมองจากทะเลเข้าไปในเมืองทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น



เวลาเก้าโมงเช้าของสวีเดน แต่เป็นเวลาสิบโมงเช้าของประเทสเอสโตเนีย เรือได้เข้าเทียบท่า ผู้คนก็กรูกันออกไป โดยเฉพาะคนที่จองรถ Sightseeing ส่วนผมเดินตามสไตล์



จุดมุ่งหมายแรกก็คือย่านเมืองเก่า ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากท่าเรือ เพราะเมืองเก่าจะอยู่บนเนินเขาเล็ก ยอดโบถส์สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

ดังนั้นจึงเดินไปเรื่อยๆ ซักพักก็เข้าย่านเมืองเก่า ทางด้านหลัง



ซึ่งตรงทางเข้ามีป้อมปราการรักษาเมืองชื่อ Great Coastal Gate (Suur Rannavärav) มองดูจากภายนอกจะเห็นมีรูหลายๆรู คิดว่าน่าจะใช้สำหรับใส่ปืนใหญ่ ซึ่งตอนแรกยังไม่รู้ว่าจุดน่าสนใจอยู่ตรงไหนกันแน่ ก็ได้แต่เดินสำรวจเมืองไปเรื่อยๆ เมืองเก่าก็มีลักษณะคล้ายเมืองเก่าในสต็อกโฮล์มพอสมควร ตึกรามบ้านช่องยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์



พอเดินไปเรื่อยๆก็ทะลุกับจตุรัสกลางเมืองเก่า ซึ่งมีลักษณะเป็นลานกว้างๆ




รายลอบจตุรัสก็จะเป็น ร้านค้าที่เป็นตึกเก่าที่สวยงาม และจุดเด่นจะอยู่ที่ตึกศาลาว่าการเมือง ซึ่งเป็นตึกเก่าแก่มากๆ


เดินต่อไปอีกนิดหนึ่งก็จะเจอศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว ซึ่งสามารถเข้าไปสอบถามหรือ ขอเอกสารได้ฟรี ได้เข้าไปหยิบแผนที่มาหนึ่งใบ หน้าศูนย์ข้อมูลมีพิพิธภัณฑ์ ที่มีลักษณะเป็นปราสาทยอดแหลมอย่างสวยงาม



จากนั้นเดินขึ้นไป ตามเนินซอกแซกไปเรื่อยๆ จะเจอโบสถ์ที่คิดว่าสวยที่สุด เป็นโบสถ์แบบรัสเซียมีชื่อว่า Alexander Nevsky Cathedral


เดินต่อไปอีกนิดหนึ่งก็จะเจอปราสาท ชื่อ Toompea Castle

บริเวณใกล้เคียงกันมีสถานที่สำคัญหลายอย่างเช่น สวนกษัตริย์เดนมาร์ก และแคนนอนทาวเวอร์


หมดจากตรงนี้ก็เดินไปหาห้องน้ำแต่ไม่เจอ เลยเดินไปเรื่อยๆ ไปในย่านเมืองใหม่ที่ซึ่งมีความทันสมัยและตึกสูง แต่ตึกสูงๆอยู่รวมกันอยู่ที่เดียวและมีตึกไม่กี่แห่งเท่าไหร่ ที่สำคัญอยากเข้าห้องน้ำเลยเดินขึ้นไปที่ห้างแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นห้างขนาดใหญ่ ข้างล่างเป็นสถานีรถเมล์ใต้ดินสามารถเดินทาง เชื่อมไปได้ทุกที่ ซึ่งคิดว่าเป็นสถานีกลางนั้นเอง




ห้องน้ำที่ห้างนี้ใช้ฟรีไม่คิดเงินเหมือนสวีเดน ห้างที่นี้ก็น่าเดินเหมือนกัน คล้ายๆห้างเมืองไทย


เดินออกจากห้างแล้ว ก็เดินดูเมือง รถรางของที่นี้เก่าเชียว เทียบกับฟินแลนด์ประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกันนั้นต่างกันมาก
เห็นมีตึกหนึ่งชื่อโคคาโคล่าทาวเวอร์ อยากจะรู้ว่าเป็นอะไร จึงเข้าไปข้างไหน อ่อ ที่แท้ก็คือโรงหนังนั้นเอง และส่วนหนึ่งเป็นคาสิโนดีๆนี้เอง
นึกได้ว่ายังไม่ได้ซื้อของที่ระลึกให้ตัวเอง เลยกลับไปเมืองเก่าอีกครั้งหนึ่ง ทีนี้เข้าทางด้านหน้าที่คนทั่วๆไปเขามากัน ข้างหน้ามีร้านขายของเยอะแยะมากมาย ประเภท เหล้า บุหรี่และดอกไม้ รวมทั้งเสื้อผ้าศิลปพื้นเมือง ซึ่งเหมือนๆกันกับที่สวีเดนและนอร์เวย์


ตรงประตูทางเข้าเมืองยังเหลือร่องรอยเมืองเก่า ตรงที่ประตูเมืองซึ่งมียอดแหลมลักษณะเดียวกับปราสาทดิสนีย์แลนด์ ซื้อของเสร็จแล้วเกิดความหิว จึงเดินไปหาอะไรกินที่ห้างตอนที่มาเข้าห้องน้ำ ก็มาเจอซูชิ ก็จัดการสั่งมาชุดหนึ่ง คำนวนแล้วแพงเอาการเลย แต่ก็อร่อยดี
มาถึงตอนนี้ก็เดินขาลากแล้ว แต่เวลายังเหลือเยอะอยู่เลยเดินไปเรื่อยๆเพื่อไปขึ้นเรือ โดยผ่านเข้าไปเมืองเก่าอีก




เดินย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อไปออกทางด้านหลังเหมือนตอนขามา พอใกล้ถึงท่าเรือแล้ว เจอสิ่งก่อสร้างอย่างหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ซึ่งมีบันไดอยู่เต็มไปหมด ข้างบนเป็นลานกว้างและเป็นที่พักผ่อน ตรงที่ติดทะเลเป็นท่าเรือเล็กๆและมีน้ำพุ อายุราวๆ 40 – 50 ปีได้ ปล่อยให้เก่าไปอย่างน่าเสียดาย น่าจะปรับปรุงให้ทันสมัย สามารถเป็นจุดดึงดูดได้อีกทางหนึ่งเลยทีเดียว



เหนือยแล้วไปขึ้นเรือดีกว่า แต่ก่อนขึ้นเรือก็แอบไปเก็บภาพปลายท่าเรือที่ยาวเข้าไปในทะเล จากนั้นก็ขึ้นเรือ นอนพักผ่อนเพราะเพลียมาก แล้วมาทานดินเนอร์ที่แสนอร่อยแบบฝรั่ง แล้วก็นอนเตรียมเพื่อวันข้างหน้าต่อไป






ตื่นเช้าวันต่อมาก็มาโผล่อีกประเทศหนึ่งในทะเลบอลติก ประเทศที่ว่านี้คือเขตปกครองตอนเองอัวลันด์ (Åland) ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของฟินแลนด์ แต่คนเป็นคนสวีเดนหมด ใช้ภาษาสวีเดน ดำเนินชีวิตทุกอย่างเป็นสวีเดน แต่อยู่ใต้กฎหมายฟินแลนด์ ใช้เวลาฟินแลนด์ ใช้เงินยูโร แต่ใช้ธงชาติกลับใช้ธงชาติอัวลันด์เอว ทะเบียนรถก็ติดธงชาติของตนเอง ซึ่งคล้ายธงสวีเดนแต่มีแถบแดงมาทับสีเหลืองตรงกลางเพิ่มขึ้น




มีเวลาประเทศ 2 ชั่วโมงที่เกาะแห่งนี้ลงเรือก็เดินไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจมากเท่าไหร่นัก เมืองหลวงคือมาเรียฮามน์เป็นเมืองที่ไม่ใหญ่ และสภาพเมืองก็เหมือนเมืองในสวีเดนหรือฟินแลนด์ทั่วๆไป




ซักพักหนึ่งก็กลับมาบนเรือ เพื่อเดินทางต่อไปยังสวีเดน พร้อมกับไปทานปุฟเฟ่ต์ ชมวิวไปด้วย เนื่องจากเป็นตอนกลางวันแล้วทำให้สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ พอเรือออกจากเกาะก็จะเข้าสู่ทะเลที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา



แต่บ้างครั้งก็เจอเกาะเดี๋ยวๆที่มีบ้านพักตากอากาศอยู่หลังเดียวก็มี ผ่านมาได้ซักพักใหญ่ๆก็จะมองเห็นแผ่นดินมาแต่ไกล ตอนแรกก็เข้าใจว่าน่าจะเป็นแผนดินใหญ่ แต่พอเข้าไปใกล้ๆ กลับเป็นหมู่เกาะเล็กๆ มากมายเรียงกันอยู่เรือก็วิ่งเข้าไปในหมู่เกาะเหล่านั้น ซึ่งมีเรือลำใหญ่ๆสวนผ่านมาเรื่อยๆ




ตอนนี้เข้าเขตสวีเดนแล้ว เกาะที่เป็นเกาะเล็กๆมักจะมีบ้านพักตากอากาศอยู่



บ้างเกาะมีบ้านหนึ่งหลังก็มี ถ้าเข้าไปในเขตที่เกาะมีขนาดใหญ่ก็จะเป็นชุมชนตั้งบ้านเรือนอยู่ตามปกติ มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนอยู่แผ่นดินใหญ่ทุกประการแต่ดูชีวิตคงจะเหงาน่าดู เพราะอยู่บนเกาะคงไม่มีอะไรให้ทำมากมายเท่าไหร่นัก แต่ภาพแบบนี้ทำให้เกิดความสวยงามสำหรับผู้พบเห็นโดยเฉพาะคนที่มาจากแดนไกลไทยแลนด์ อาจจะไม่ค่อยได้เห็นกับภาพเหล่านี้เท่าไหร่นัก



ตั้งแต่เข้าเขตหมู่เกาะมาเรื่อยๆ จะไม่เจอเวิ้งทะเลเลย จะมีหมู่เกาะๆไปเรื่อย ใช้เวลาหลายชั่วโมงพอสมควรจึงเข้าสู่ท่าเรือในสต็อกโฮล์ม




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2554
0 comments
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2554 22:44:49 น.
Counter : 2295 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Zabby
Location :

Thailand

Sweden

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




หากผ่านเข้ามาที่บล็อกนี้ก็ทักทายกันได้ครับ ยินดีตอบคำถามข้อสงสัยที่พอจะช่วยได้ ปกติอาศัยอยู่ประเทศสวีเดน ส่วนตัวเป็นคนรักในการเดินทาง สนใจธรรมะ พลังจิต คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีต่างๆ การพัฒนาเมือง ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การตกแต่งบ้านและสวน เขียนบล็อก
free counters
Free counters
Friends' blogs
[Add Zabby's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.