Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2554
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
20 พฤศจิกายน 2554
 
All Blogs
 

เที่ยวนอร์เวย์ ปี 2007 ออสโลและทรอนด์เฮม






ตอนที่ 1 กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์


ปีที่แล้ว ( 2007) ได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศนอร์เวย์ 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ได้เดินทางไปกรุงออสโล เมืองหลวง ส่วน ปลายปี ก็ได้มีโอกาสไปเมืองทรอนด์เฮม เมืองหลวงเก่าซึ่งอยู่ทางตอนเหนือ เกรงว่าถ้าปล่อยไปนานเกว่านี้ เจ้าของบล็อกจะขี้เกียจไปมากกว่านี้เลยต้องรีบอัพเดท เพราะไม่ได้อัพเดทมานานแล้วหลังจากกลับมาจากทริปฝรั่งเศส อันที่จริงยังมีภาพสวีเดนสวยๆในหน้าร้อนและช่วงใบไม้ร่วงที่สวยๆอีกเยอะที่ยังไม่ได้อัพเดท เนื่องจากต้องทำงานและทำให้เกิดความขี้เกียจในการอัพบล็อก




เนื่องจากช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน มีวันหยุด ติดต่อกันตั้ง 4 วันเลยไปเยี่ยมเพื่อนที่ออสโลซะเลย ด้วยตั๋วเครื่องบินโลวคอสต์เจ้าถิ่นอย่างนอร์วีเจี้ยนแอร์ไลน์ ไปกลับ 700 กว่าโครนเองตกเป็นเงินไทยก็คงราวๆ 3500 บาท แต่ขากลับเขาให้นั่งฟลายนอดิก โลว์คอสต์ของสวีเดน ออกเดินทางเช้าวันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน ไปสนามบินอาร์ลันดาอันคุ้ยเคย ขั้นตอนก็ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนเช็คอินตามปกติแล้วก็เข้าไปด้านในเพื่อรอขึ้นเครื่อง ไม่ต้องมีการตรวจด่าน ตม.แต่อย่างใดเนื่องจากอยู่ในกลุ่มเช้งเก้นด้วยกัน ซึ่งตอนนี้เพิ่มสมาชิกมาอีก 9 ประเทศ อุตส่าห์ไปแต่เช้า ดันดีเลย์ซะนี่ราวครึ่งชั่วโมงได้ วันนี้อากาศแจ่มใส เพราะฉะนั้นเลยมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่างได้อย่างสบายตา




บินแค่ชั่วโมงเดียวเครื่องก็ลงจอดที่สนามบิน การ์เดอมูนของออสโล สนามบินนี้เป็นรูปแบบอาคารเดียวที่ใหญ่โต แต่ขนาดคงไม่ใหญ่เท่าสุวรรณภูมิแต่รูปแบบเป็นกระจกๆแบบเดียวกันเลย และแท่งเสาปูนที่ไม่ทาสีเหมือนกันเดี๊ยะ พอได้กระเป๋าแล้วก็หาทางเข้าเมือง ซึ่งมีหลายวิธีด้วยกัน วิธีที่สะดวกที่สุดคือรถไฟด่วนเข้าเมืองภายใน 20 นาที่ แต่แพงมากๆ ถ้าจำไม่ผิดก็ 170 โครนนอร์เวย์ ผมขอแบบถูกๆแล้วกันเลยเลือกขึ้นรถไฟโลคอล ซึ่งจะจอดบางสถานี ใช้เวลาราวๆ30กว่านาทีก็ถึงค่ารถก็ ราวๆ 80 โครน แหมนั่งโลว์คอส์ 300 กว่าสวีเดน แต่จะให้นั่งรถไฟเข้าเมือง 40 กิโลแล้วจ่าย 200 โครนสวีเดนนี้ก็ไม่ไหว





พอรถไฟจอดที่สถานีรถไฟในออสโลแล้วก็เดินไปที่พักของเพื่อน ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองเลยไม่ไกลจากสถานีรถไฟกลาง แต่ปรากฏว่าแผนที่ที่มีอยู่ในเมือข้าพเจ้าเนี้ย มันไม่ละเอียดดูยากเลยเสียเวลาเดินหาเป็นชั่วโมง จะโทรถามก็ไม่ได้เพราะเพื่อนทำงาน แต่สุดท้ายยังไงก็เจอจนได้ อยู่ถนนบรูกอตัน ซึ่งเป็นแหล่งจับจ่ายของคนต่างชาติ แถบนี้มีร้านขายของไทย-เวียดนามด้วย ซึ่งก็สะดวกเลยที่จะซื้ออะไรต่างๆไปทำอาหาร ห้องพักที่ออสโลแพงมากๆ โดยเฉพาะในเมืองแบบนี้ซึ่งเป็นหอพักที่บนตึกเดียวมีหอหลายหอ และในหอเดียวก็แบ่งเป็นหลายห้อง ใช้ห้องน้ำรวม ครัวรวม ห้องก็แคบ ห้องๆหนึ่งมี 2 เตียงค่าห้องราวๆ 4000 โครนนอร์เวย์อยากรู้ก็ลองคูณ 5.5-6 ก็จะได้เป็นเงินบาท ถือว่าแพงมากๆ แพงว่าสต็อกโฮล์มอีก ราคาขนาดนั้นในสต็อกโฮล์มยังหาห้องเดี๋ยวๆได้สบาย แต่ก็เอาล่ะ เขาเป็นประเทศร่ำรวยน้ำมัน ค่าครองชีพก็สูงเป็นธรรมดา แต่รายได้ของเขาก็สูงลิ่วเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนสวีเดนก็เลยย้ายไปทำงานที่โน้นเยอะ และอัตราการว่างงานก็ราวๆ 2000 คน ทั้งประเทศในขนาดที่สวีเดนว่างงานเป็นแสน








มาถึงวันแรกก็ยังไม่ได้ออกทัวร์เพราะยังมีเวลาอยู่ตั้ง 4 วันเลยไม่เร่งรีบอะไร แต่ช่วงเดินผ่านสถานที่ต่างๆก็ชักภาพไว้เรื่อยๆ



วันที่สองก็ออกฉายเดี่ยว ไปเยี่ยมสถานที่ต่างๆที่เคยมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยออกจากที่พักถนนบรูกอตันไปสถานีรถไฟกลาง แล้วเดินเข้าไปถนนสายช็อปปิ้งที่สามารถเดินไปจนถึงพระราชวังได้เลย เมืองทุกเมืองในแถบสแกนดิเนเวียนี้แต่ละเมืองจะมีถนนคนเดินไว้โดยเฉพาะ และเป็นถนนช็อปปิ้งที่มีสินค้ามากมาย ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นพวกเสื้อผ้า








วันนี้อากาศไม่เป็นใจมากนักฟัาไม่แจ่ม แต่ก็เดินได้อุณภูมิยังไม่ถึงติดลบยังเดินได้สะดวกอยู่ ก็เดินไปเรื่อยๆผ่านโรงละครแห่งชาติก็แวะเข้าไปเก็บภาพซักหน่อยเพราะเป็นสถานที่ ที่เจ้าของบล็อกกับเพื่อนสมัยเรียนปริญญาโทๆมานั่งชักภาพตอนมานอร์เวย์ครั้งแรก เดิน ถัดไปอีกนิดหนึ่งก็เป็นพระราชวังแล้ว ซึ่งพระราชวังก็ไม่ได้หรูหราอลังการแต่อย่างใด แบบกับทางฝรั่งเศสไม่ได้เลย วังเหมือนกับบ้านเศรษฐีหลังใหญ่ๆแค่นั้นเอง แต่ก็เอาล่ะเป็นเพราะคนทางแถบนี้เขามีทัศนคติต่อกษัตริย์เหมือนคนเดินดินทั่วไปเท่านั้น จะทำตัวหรูหราเกินไปก็ไม่งามเพราะ ภาษีของประชาชนที่เก็บมาก็ไม่ใช่น้อยๆ




เดินออกจากพระราชวังก็ย้อนกลับไปดูโรงแรมที่พักมาพักซะหน่อย แล้วก็วนมาตรงมหาวิทยาลัยออสโล ซึ่งตรงนี้ไม่รู้ว่าเป็นวิทยาเขตที่เกี่ยวกับอะไร งานนี้ไม่ค่อยได้ศึกษาข้อมูลมากนักเน้นเดินเล่นดูสภาพทั่วไปมากกว่า แต่ช่วงที่เดินไปมาไปเจออาคารรูปร่างแปลกดีที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เลยเก็บภาพไว้ซักหน่อย


เสร็จแล้วก็เดินลงไปทางทะเลดีกว่า เมืองออสโลนี้ตั้งอยู่ริมทะเล แต่ถ้าดูจากแผนที่แล้วจะเห็นว่าเป็นส่วนที่อยู่แหลมลึกเข้ามาในแผ่นดินมากๆ ตรงนี้เขาเรียกว่าออสโลฟยอร์ด แต่ยังไม่ใช่ฟยอร์ดที่เว้าๆแหว่งๆสวยๆงามๆเหมือนทางภาคเหนือ
บริเวณท่าเรือมีศาลาว่าการกรุงออสโล สีน้ำตาลของอิฐสวยเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่น่าดูทีเดียว ร้านขายของที่ระลึกอยู่บริเวณนี้หลายร้านด้วยกัน ใกล้ๆกันมีศูนย์ข้อมูลของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพอยู่ด้วย และก็มีห้างที่ที่ทันสมัยอยู่แถบนี้ด้วย แต่ขอแค่เข้าไปรับความอุ่นจากฮิตเตอร์เฉยๆ เพราะไม่ค่อยชอบซื้อของรอไปซื้อตอนกลับเมืองไทยดีกว่า




เดินอ้อมริมทะเลตรงท่าเรือไปอีกข้างหนึ่งของศาลาว่าการออสโล ก็จะมีปราสาทโบราณตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเนินดินริมทะเล อันนี้น่าสนใจไปดูและไม่ควรพลาด ตอนที่มาครั้งแรกก็ไม่มีโอกาสได้เดินมาดูที่นี้ คิดว่าคงสร้างไว้เพื่อเป็นป้อมปราการป้องกันเมืองในสมัยก่อน เพราะมีปืนใหญ่ตั้งเรียงรายไว้หลายกระบอกพอสมควร แถมปัจจุบันยังเป็นค่ายทหารด้วย วันนี้เสร็จแล้วก็เดินกลับไปหอพักดีกว่า เพราะเดินเหนื่อยแล้ว












กลับมาหอพักก็มานอนฟังเสียงหวอทุกๆ 15 นาทีเพราะอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลและสถานีตำรวจ ฟังจนเป็นเรื่องปกติเลยทีเดียว

วันที่สามก็ตื่นตามปกติวันนี้เพื่อนมาเดินด้วยเพราะเป็นวันเสาร์วันนี้อากาศเป็นใจแจ่มใสฟ้าคราม แต่อากาศดันหนาวกว่าเมื่อวานโดยเฉพาะช่วงเช้าๆ ออกจากที่พักเปลี่ยนเส้นทางใหม่แต่ไปเริ่มตรงถนนช็อปปิ้งเหมือนเดิม บริเวณที่อยู่ใจกลางเมืองออสโลนี้อคารค่อนข้างออกแนวสมัยใหม่ ไม่ค่อยออกแนวตึกเก่าแก่เท่าไหร่ และในออสโลนี้ค่อนข้างใช้รถรางในการเดินทางไปมาสำหรับชาวเมือง เพราะฉะนั้นเลยเห็นรางรถบนท้องถนน ดูไม่สวยงามเลยถนนขรุขระไปหมด ความสะอาดเป็นระเบียบสู้สต็อกโฮล์มหรือเมืองอื่นๆของสวีเดนไม่ได้เลย




วันนี้กลับไปถ่ายรูปพระราชวังใหม่อีกครั้งหนึ่งสวยกว่าเดิมเพราะอากาศดี มีแสงอาทิตย์ส่องทำให้ถ่ายรูปได้สวย แต่จุดมุ่งหมายของวันที่อยู่ที่สวนวิเกลันด์ ซึ่งกลับมาเยือนอีกครั้งเพราะประทับใจ พวกเรามาที่นี้ด้วยการเดินมาเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ ดูบ้านผู้คนไปด้วย ซักพักหนึ่งก็มาถึงสวนวิเกลันด์ ถึงแม้ว่ามาครั้งนี้จะไม่เขียวเหมือนครั้งแรก เพราะช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่ครั้งที่แล้วมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิทำให้เห็นความเขียวสดของใบไม้ใบหญ้า แต่ยังไงก็ยังชอบที่นี้อยู่ เพราะมีรูปปั้นเรียงรายอยู่เต็มไปหมดเช่นเคย นักท่องเที่ยวก็ยังมาเยื่อนที่นี้อีกเช่นเคย






















เดินถ่ายรูปอยู่ที่นี้พักใหญ่แล้วก็เดินต่อไปยังที่อื่นๆ โดยลัดเลาะไปทางทะเล ผ่านไปแถบที่เป็นสถานทูตต่างๆ ซึ่งมีหลายสถานทูตด้วยกัน เจอเรือใหญ่รำที่จะไปเมืองเคียล ประเทศเยอรมันนีด้วย ซึ่งเมืองเคียลนี้ก็เคยไปมาแล้ว แล้วแล้วก็ลัดเลาะไปเรื่อยๆจนกลับมาถึง บริเวณอ่านหน้าศาลาว่าการกรุงออสโลอีกเช่นเคย เนื่องจากเป็นวันที่อากาศดีและเป็นวันหยุด เพราะฉะนั้นผู้คนจึงมาเดินที่นี้เยอะมาก เลยเก็บภาพใหม่ ซึ่งสวยงามกว่าเมื่อวาน








จากนั้นก็เดินซอกแซกไปตามหลักสูงๆอาคารสำคัญเช่นทำเนียบรัฐบาล แต่ก่อนกลับบ้านก็แวะไปทานอาหาร แล้วมีเหตุการณ์ชาวเคิร์ดกับชาวตุรกีทะเลาะกันด้วย เพราะช่วงนั้นเองตุรกีส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดเคิร์ดกีสสถานในประเทศอิรัก แต่การทะเลาะวิวาทก็มาถึงพวกอพยพที่อยู่ในแดนไกลด้วย รักชาติกันจริงๆ
เหนื่อยแล้วก็กลับไปบ้านพักรอวันใหม่ต่อไป


วันที่สี่วันสุดท้ายแล้ว อยากกลับบ้านเต็มทีเพราะที่อยู่คับแคบนอนไม่สบาย แต่เหลือเวลาขึ้นเครื่องตั้ง 6 โมงเย็นโน้นแหน่ะ มีเวลาเดินเที่ยวอีก เลยขอเที่ยวซอกแซกไปตามสถานที่ที่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวหลักบ้างดีกว่า เลยเดินไปเรื่อยๆ ดูอพาร์ตเม้นที่พักอาศัย ซึ่งสภาพทั่วๆไปก็คล้ายๆสวีเดนไม่ค่อยต่างกันเท่าใดนัก ซอกแวกไปเรื่อยๆจนเจอลำธารภายในเมืองออสโล เลยเดินตามลำธารแห่งนี้เพื่อกลับที่พัก เผอิญมาเจอสถานที่แห่งหนึ่งที่พวกวัยรุ่นชอบพุ่นสีสเปรย์ แต่เป็นการพ่นที่สวยงามมาก แล้วบริเวณนี้ก็เป็นแหล่งเหมือนกับเปิดท้ายขายของในเมืองไทยด้วย ชอบสถานที่แบบนี้แหล่ะ เพราะได้เห็นอะไรที่ไม่ซ้ำซากดี










บ่ายกว่าแล้วต้องรีบกลับไปเก็บของกลับบ้านดีกว่า พอกลับที่พักก็พักแป๊บหนึ่งเก็บข้าวของบ่ายสามโมงกว่าก็เดินไปที่สถานีรถไฟ ดูตารางรถไฟไปสนามบิน แล้วเดินเล่นรถเวลารถไฟมานิดหน่อย ทุกอย่างเป็นไปอย่างสะดวกสบาย จนถึงสนามบินก็เช็คอินอะไรทุกอย่างเรียบร้อยสะดวกหมด แต่เครื่องบินดีเลย์(อีกตามเคย) แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกแค่ดีเลย์ทนได้ แต่ซ้ำร้ายกว่านั้น เมื่อเครื่องบินทะยามขึ้นฟ้าไปแล้ว ปรากฏว่ามีเสียงระเบิดบริเณปีกเครื่องบิน เล่นเอาใจหายหมด กัปตันจึงตัดสินใจเอาเครื่องลงจอดที่ออสโลอีกครั้งหนึ่ง แต่ช่วงรอลงจอดนี้ใช้เวลารอ 50 กว่านาทีกว่าจะได้ลงจอด นี่ ถ้าบินมาสต็อกโฮล์มน่ะถึงแล้ว แต่ก็เข้าใจนะเพื่อความปลอดภัย ทุกอย่างขณะนั้นสับสนด้วยผู้คนต้องการทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้แต่รอผลการเช็คเครื่อง สุดท้ายได้คำตอบว่ายกเลิกเที่ยวบิน ทุกคนก็แก้ปัญหาของตัวเองไป ดีที่ได้คูปองน้ำและอาหารมา และรอขึ้นเครื่องใหม่วันพรุ่งนี้ หลังจากจัดการเรื่องตั๋วเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องกลับเข้ามานอนออสโลใหม่อีก เสียค่าตั๋วกลับอีก 1 รอบ
พอวันถัดมาเลือกเวลาเช้าสุดก็เลยกลับถึงบ้านอย่างรวดเร็วมีเวลาเตรียมตัวไปทำงานในตอนบ่ายโมง แต่เล่นเอาง่วงหน้าดู เพราะต้องออกจากบ้านพักมาขึ้นเครื่องตั้งแต่ตี 3 กว่า แต่ยังดีเพราะบางคนอ่ะนอนในสนามบินเพราะไม่มีที่นอนในออสโล






นอร์เวย์ตอนที่ 1 กรุงออสโล

นอร์เวย์ตอนที่ 2 เมืองทรอนด์เฮม







ตอนที่ 2 เมืองทรอนด์เฮม ประเทศนอร์เวย์


การเดินทางในทริปนี้ไม่ได้เกี่ยวกับทริปออสโล เพราะไปช่วงส่งท้ายปีเก่า 2007 ไปพร้อมกับกลุ่มคนสวีเดน รวม 12 ชีวิตด้วยกัน เพราะปีนี้ช่วงคริสมาสได้มาที่เมืองเออสเตอร์ซุนด์ ซึ่งเป็นเมืองทางตอนกลางค่อนข้างเหนือของสวีเดน อยู่ในแนวระนาบเดียวกันกับเมืองทรอนด์เฮมของ นอร์เวย์ห่างกันราว 300 กว่ากิโลเมตร เมืองทรอนด์เฮมเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของนอร์เวย์ ซึ่งมีการย้ายไปย้ายมาระหว่างเมืองทรอนด์เฮมกับออสโลหลายครั้ง เมืองนี้จัดได้ว่าเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในแถบสแกนดิเนเวีย ขอย้ำว่าในแถบสแกนดิเนเวียนะครับ เพราะเมืองทางแถบนี้ไม่ได้ใหญ่ยักษ์เหมือนทางเอเชีย อย่างกรุงเทพ ปักกิ่ง หรือโตเกียวอะไรแบบนั้น



ออกเดินทางด้วยรถไฟจากเมืองเออเตอร์ซุนด์ในตอนเช้าวันที่ 27 ธันวาคม 2550 รถไฟวิ่งไปตามหุบเขาและทะเลสาปและแม่น้ำไปเรื่อยๆ นับว่าธรรมชาติที่นี้สวยงามมาก ยิ่งถ้าเป็นฤดูร้อนยิ่งจะสวยกว่านี้ เนื่องจากเป็นรถไฟระหว่างประเทศ พอถึงชายแดนเจ้าหน้าที่ฝั่งสวีเดนก็ลงรถแล้วเปลี่ยนเป็นเจ้าหน้าของนอร์เวย์แทน ขากลับก็เช่นเดียวกัน
นอกจากผ่านทิวทัศน์อันสวยงามแล้วยังผ่านสถานที่เล่นสกีอันมีชื่อเสียงของสวีเดนด้วยคือ เมืองอัวเร่ ซึ่งมีสถานที่เล่นสกีบนภูเขาและเล่นได้นานหลายเดือนทีเดียว จะว่าไปก็แปลกสวีเดนแถบนี้หิมะเยอะว่านอร์เวย์วะอีก ตอนไปน้ไม่มีหิมะตกเลยทั้งๆที่ควรจะมีมากว่านี้

รถไฟใช้เวลา 4 ชั่วโมงถึงทรอนด์เฮม เนื่องจากจอดทุกสถานีเลยใช้เวลานาน แต่ธรรมชาติ 2 ข้างทางนับว่าไม่เบื่อเลยที่จะนั่งไปเรื่อยๆ เพราะอย่างที่บอกเรียบไปตามหุบเขา แม่น้ำและทะเลสาป ยิ่งบริเวณใกล้เข้าเมืองทรอนด์เฮมแล้วจะเรียบไปตามทะเล แต่เป็นทะเลที่เข้ามาในฟยอร์ดนะครับ ไม่ใช้ทะเลเปิด ฟยอร์ดที่สวยงามของนอร์เวย์ก็อยู่แถบทางนี้แหล่ะครับ แต่ทริปนี้ไม่ได้เห็นฟยอรืดเพราะเป็นการเที่ยวในเมือง มาวันแรกยังไม่ได้ออกไปเดินมากนักเพราะเหนื่อย นอนพักแป๊บเดียวก็มืดแล้ว แต่พวกเราต้องไปกินข้าวชมวิวบนหอคอยตอน 5 โมงเย็น ซึ่งร้านอาหารก็เป็นร้านที่อยู่บนหอชมวิวและพื้นจะหมุนไปเรื่อยสามารถชมวิวได้รอบทั่วเมืองๆ เมืองนี้หาที่ราบแทบไม่มีเพราะฉะนั้นบ้านผู้คนก็จะอยู่ตามเนินเขา และหอคอยแห่งนี้ก็อยู่บนเนินเขาอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงสามารถมองเห็นวิวได้ทั่วเมือง แต่เวลาที่พวกเราไปนั้นก็มืดแล้ว เพราะที่นี้ เริ่มมืดตั้งแต่ บ่าย 2 โมงซึ่งเป็นปกติของฤดูหนาว แต่ในความมืดก็สามารถมองเห็นแสงไฟทั่วเมืองได้อย่างสวยงามอีกแบบหนึ่ง
เสร็จแล้วก็เข้าโรงแรมนอน






วันที่ 2 วันนี้มีโปรแกรมไปเล่นน้ำที่สวนน้ำในร่มที่ใหญ่ที่สุดของประเทศนอร์เวย์ เล่นหลายชั่วโมงจนหนาวค่อยเลิก ซึ่งที่นี้ตั้งอยู่ริมทะเลเล่นไปมองทะเลไปด้วย เพราะน้ำทะเลลงเล่นไม่ได้เพราะมันหนาวขนาดนั้น เนื่องจากไม่ได้ถือกล้องถ่ายรูปเข้ามาด้วยเลยไม่ได้เห็บภาพถ่ายในสวนน้ำมา จนมืดแล้วก็กลับไปที่โรงแรมแล้วก็พักผ่อนจนใกล้ 1 ทุ่มก็ออกไปทานอาหารที่ร้านอาหารอิตาเลียนแห่งหนึ่ง ซึ่งรสชาติก็อร่อยดี




วันสุดท้ายรถไฟจะออก ราว 4 โมงเย็นมีเวลาให้เดินเล่นในเมือง ดังนั้นหลังจากเช็อเอ้าท์ออกเรียบร้อยแล้วก็ฝากกระเป๋า แยกย้ายกันไปสำหรับคนที่อยากไปดูอะไรก็ฟรีสไตล์พร้อมกับนัดเจอกันตอน 4 โมงที่สถานีรถไฟ
สถานที่แห่งที่จะต้องไปให้ได้ คือโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองซึ่งอยู่ใกล้ๆกับโรงแรม บริเวณนี้มีสถานที่สำคัญต่างๆของเมืองอยู่ด้วย เช่นศาลาว่าการเมือง พิพิธภัณฑ์ต่างๆ แต่บริเวณที่น่าสนใจนั้นต้องเดินต่อไปอีกนิดหนึ่ง ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำสายเล็กๆที่ผ่ากลางเมือง ซึ่งบริเวณริมแม่น้ำนั้นจะเป็นตึกที่เป็นเอกลักษณ์สไตล์สแกนดิเนเวีย มีสีสันที่สวยสดและงดงามทีเดียว แม้แต่สะพานก็ทำสวยน่ารักทีเดียว บรรยาไปก็ไม่สวยเท่ากับดูภาพ เพราะฉะนั้นไปดูภาพกันดีกว่าครับ














จากตึกริมน้ำเดินตามถนนขึ้นเนินไปเรื่อยๆเหนื่อยหน่อยแต่คุ้ม ข้างบนภูเขาเป็นป้อมปราการป้องกันเมืองในสมัยก่อนจากศัตรู ซึ่งศัตรูก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยนอกจากสวีเดน ที่สำคัญสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้กว้างด้วย สามารถมองไปที่ทะเลและมองเห็นภูเขาที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลซึ่งจะมีหิมะปกคลุมอยู่บนยอดอย่างสวยงาม







ลงจากเขาแล้วไปเดินเที่ยวในย่านช็อปปิ้งกันบ้างศูนย์กลางจะอยู่บริเวณจตุรัสทรอนด์เฮม ซึ่งแทบนั้นจะมีร้านค้าสำหรับช็อปปิ้งอยู่เยอะ ตรงถนนคนเดนจะมีการประดับรูปหัวใจ ห้อยไว้ประดับถนนสวยงามมาก ก่อนกลับก็ไปกินซูชิซะหน่อย แพงเอาการน่าดูเลย แต่ก็อร่อยดี ถึงเวลาแล้วก็เดินต่อไปยังสถานีรถไฟอีกนิดหน่อยแล้วก็กลับถึงเออสเตอร์ซุนด์อย่างสวัสดิภาพ เป็นอีกทริปหนึ่งที่สะดวกสบายดีเพราะไม่ได้จ่ายเงินเอง อิอิ






 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2554
1 comments
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2554 22:41:37 น.
Counter : 2824 Pageviews.

 

hello? .mysister me and my drothermom and good lookkng . myomntucher handmade cookin the morning . and you what theweather today made tinthailand normal i hope mysister good luck.

 

โดย: poon IP: 223.204.32.184 3 มิถุนายน 2555 6:36:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Zabby
Location :

Thailand

Sweden

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




หากผ่านเข้ามาที่บล็อกนี้ก็ทักทายกันได้ครับ ยินดีตอบคำถามข้อสงสัยที่พอจะช่วยได้ ปกติอาศัยอยู่ประเทศสวีเดน ส่วนตัวเป็นคนรักในการเดินทาง สนใจธรรมะ พลังจิต คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีต่างๆ การพัฒนาเมือง ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การตกแต่งบ้านและสวน เขียนบล็อก
free counters
Free counters
Friends' blogs
[Add Zabby's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.