Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2554
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
20 พฤศจิกายน 2554
 
All Blogs
 

เที่ยวฝรั่งเศสครั้งแรก ตอนที่่ 2



ปารีสตอนที่ 3 วันแห่งสายฝน
วันนี้ตื่นขึ้นมา 6 โมงกว่า เพราะความหิว อันที่จริงยังไม่ได้อยากลุกหรอก เพราะฝนตกอยากนอนต่อไม่อยากออกไปไหนเลย หาไรกินนิดหน่อยแล้วก็นอนต่ออีกจนห้าโมงเช้า เลยตื่นดีกว่า เพราะต้องไปเก็บแวร์ซายน์วันนี้ออกจากบ้านก็เกือบเที่ยงล่ะนั่งรถไฟเข้าเมืองอีกไปที่สถานี Bibliotheque Fr.Mitterrand เพราะคิดว่าเป็นเส้นทางที่ RER C เห็นมีเส้นทางไปได้ถึงแวร์ซายน์ แต่เอาเข้าจริงที่นี้สับสนมาก เหมาะสำหรับคนท้องถิ่นไม่ใช่สถานีนักท่องเที่ยว จอมอนิเตอร์ก็อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง เลยใช้วิชาเดา เพราะกะว่าถ้าผิดก็นั่งย้อนกลับ ซึ่งก็ปรากฏว่าผิดจริงๆเพราะมันวิ่งลงใต้ ที่สำคัญมันไม่ได้จอดทุกสถานี ตอนที่รู้ว่าขึ้นผิดแล้วคิดว่าจะลงละ แต่มันดันไปจอดประมาณสถานีที่ 5 นับจากที่ขึ้น


แต่มองโลกในแง่ดีได้เห็นอะไรใหม่ๆอีกแล้ว อีกมุมหนึ่งของเขตปารีสด้านใต้ เลยทำตัวผสมกลมกลืนเป็นคนท้องถิ่นไป รอรถอยู่พักหนึ่งก็นั่งกลับไปลงสถานี Gare d’Austerlitz ทีนี้เลยเปลี่ยนแผนใหม่นั่งเมโทรสาย 10 ไปลงที่สถานี Javel แล้วไปดักรอ RER C ที่จะไปแวร์ซายน์ได้เลย นั่งไปเรื่อย ดูอะไรตามรายทางเพลิน เพราะออกนอกเมืองไปไกลพอควร


ซึ่งสถานีรถไฟจะอยู่สุดสายพอดีเลยเพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องกลัวหลง พอไปถึงก็ต้องเดินต่ออีกนิดหน่อยไม่นานก็เจอทางเขาพระราชวัง ซึ่งคนเยอะมากกกก อีกตามเคย


ด้านหน้าก็มีคนดำมาดักรอขายของ(อีกเช่นเคย) คนรอเข้าชมในพระราชวังเยอะมากๆต่อแถวยาวเหยียด ผมตั้งใจไม่เข้าไปชมด้านในอยู่แล้ว ไปเพื่อไปเดินชมสวนและดูภายนอกพระราชวัง


สวนใหญ่มากๆซึ่งจริงๆเขาก็แบ่งเป็นหลายๆส่วนเผอิญตอนไปฝนตกด้วย แต่คนก็ไม่ละลดเลยสวนเขาสวยจริงๆ บรรยายไม่ถูกต้องดูรูปเอาแล้วกัน ตอนไปถึงยังไม่เปิดน้ำพุเลยเดินไปเรื่อยๆนั่งหลบเหนื่อย พอฝนตกก็ต้องใส่เสื้อกันฝน พอถอด ก็ตกอีกเซ็งเล็กน้อย บริเวณในสวนก็จะมีรูปปั้นมีซุ้มเก่าๆอยู่ เผลอไปยืนบนปูนไม่ได้ โดนเป่านกหวีด ปี้ด ไล่ทำเอาขายหน้า หน้าจะเขียนป้ายติดเลยยืนไม่ได้ นั่งไม่ได้ อีกที่หนึ่งอุตส่าห์จะนั่งพักขาปุ๊บโบกมือไวๆให้ออก พอผมออกปุ๊บคนอื่นก็นั่งแทนปั๊บ ก็ต้องคอยไล่อีกสงสารเจ้าหน้าที่เหนื่อยเปล่าๆน่าจะเขียนป้ายติดไว้ซักหน่อย เดินไปเรื่อยๆเจอรถขายไอติมเท่มากเป็นรถโบราณเลยเอามากินซักอันรสมะม่วง 2.4 ยูโร






เดินจากส่วนท้ายกลับมาเรื่อยๆ อ้าวได้เวลาเปิดน้ำพุพอดี เลยเดินชมให้ทั่วแทบบทุกอัน ส่วนวันไหนไม่มีเปิดน้ำพุรู้สึกว่าจะเข้าฟรีมั้ง แต่วันที่ไปต้องจ่ายค่าเข้า 7.00 ยูโร ซึ่งน้ำพุก็ไม่ได้แสดงอะไรพิสดารเท่าไหร่ ก็เปิดตามธรรมดาจริงๆ พอเดินทั่วแล้วได้เวลากลับดีกว่า






พอตอนนั่งรถไฟกลับก็ดูผู้คนไปเรื่อย เจอพวกคนสเปนหน้าตาคล้ายเพื่อนที่อยู่สวีเดน แต่มาจากโคลัมเบีย กะว่าต้องกลับไปเล่าให้ฟังซะหน่อย แต่อย่างคาดไม่ถึง พอลงจากรถไฟ RER แล้วต่อรถไป Galeris Lafayett อีกที่หนึ่ง ที่ไม่ใช่ที่เดียวกับเมื่อวาน เดินผ่านหน้าโอเปร่า ดันเจอเพื่อนคนที่นึกถึงจริงๆ แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าเฮ้ยเป็นไปได้ยังไงนี่ นึกมาก็ขำกันว่ามาเจอกันได้อย่างไรที่นี้ทั้งๆที่ปารีสไม่ใช่เล็กๆ แถมกลับสวีเดนวันเดียวกันอีก เลยถ่ายภาพเก็บไว้ด้วยกันซักหน่อยแล้วก็แยกย้ายไปใครไปมัน อ้อ เพื่อนชื่อเลาร่า มาพร้อมกับเพื่อนที่มาจากโคลัมเบียเพื่อมาเที่ยวด้วยกัน



ตอนนี้ปวดหัวเข่าอีกแล้วอ่ะเดินขากะเผกเลย แต่ยังไหวนัดเพื่อนไว้ 2 ทุ่มที่ย่านไชน่าทาวน์ เดินอะไรไปเพลินไปนั่งหลบอยู่แถวๆสวนเล็กๆใกล้ๆกับวิหารนอเตรอดัม




ดูอะไรเพลินๆแป๊บเดียวจริงๆใกล้ 2 ทุ่มแล้วรีบไปดีกว่า เดินทางด้วยรถไฟเมโทรแป๊บเดียว อ้าวเพื่อนมารอก่อนแล้ว ไปหาอะไรกินที่ย่านไชน่าทาวน์ จริงๆควรจะเรียกว่าเป็นเอเชียนทาวน์น่าจะถูกมากกว่า เพราะไม่ได่มีแต่ร้านคนจีน มีทั้งไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชา ญี่ปุ่นด้วย ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารเยอะมากๆ เพื่อนพาไปร้านอาหารไทยที่อร่อยแต่ดันปิด เลยเข้าร้านเวียดนามกินอะไรอร่อยๆ ยอมรับว่าอาหารอร่อย จากนั้นก็เสร็จแล้วก็กลับบ้าน ด้วยความเหนื่อยอีกตามเคย แต่ยังไงก็ตั้งใจว่า จะต้องตื่นแต่เช้าในวันสุดท้าย เพื่อเก็บการขึ้นหอไอเฟลและเข้าพิพิธภัณฑ์ลูร์ฟ





ปารีสตอนที่ 4 วันสุดท้ายในปารีส
วันนี้สามารถตื่นได้แต่เช้าราวๆ 8 โมงกว่าออกไปขึ้นรถไฟเข้าตามปกติ แต่ปรากฏว่าคนเยอะมากสรุปเข้าใจแล้วว่าเวลาชั่วโมงเร่งด่วนประเทศไหนๆก็คนเยอะ วันนี้ถึงเห็นบรรยากาศของบ้านเมืองคนฝรั่งเศสจริงๆ ไม่ใช่ผู้อพยพและนักท่องเที่ยว รถไฟเบียดแน่นคนเต็มต้องคอยระวังกระเป๋าสตางค์ เผื่อมิจฉาชีพจ้องอยู่ จุดหมายแรกวันนี้คือการไปขึ้นหอไอเฟล เนื่องจากไปถึงเกือบ 9 โมงเช้าพอดีเลยได้เข้าคิวในขณะที่คนยังไม่เยอะ ซื้อตั๋วชั้นที่ 3 ซึ่งอยู่สูงสุดราคา 11 กว่ายูโรจำเศษไม่ได้ละ เพื่อไปชมวิวกรุงปารีสลิฟท์ก็พาขึ้นไปเรื่อยๆพอถึงชั้น 2

ก็ต้องเปลี่ยนลิฟท์อีกตัวหนึ่งเพื่อขึ้นไปชั้นที่ 3 ดีจังได้ขึ้นมาเป็นชุดแรกเลยได้มีเวลาเก็บอะไรต่างๆได้เยอะดี



แต่โชคร้ายที่แบตกล้องที่ชาร์จมาตั้งแต่เมื่อคืนมันชาร์จไม่เข้า เลยทำให้แบตเหลืออยู่นิดเดียวเอง โชคร้ายจริงๆเลยไม่ได้เก็บภาพเยอะเท่าไหร่ อากาศขะมุกขะมัวด้วย เลยมองเห็นปารีสไม่สดใสเท่าที่ควรแถมขึ้นไปชั้นบนสุดอากาศหนาวมากกก ยิ่งด้านที่เจอลมนะ ไม่ต้องพูดถึงกันเลยหนาวสุดๆ ซักพักหนึ่งคนเริ่มขึ้นมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเบียดแล้ว อ่ามีกรุ๊ปทัวร์คนไทยมาด้วยแหล่ะ เยอะด้วย


















ชมปารีสในแต่ละมุมแต่ละด้านแล้วเปลี่ยนลงไปชั้นอื่นบ้างดีกว่า จึงลงไปชั้นที่ 2 ซึ่งก็ยังสูงมากๆอยู่และก็ตามลงไปยังชั้นที่ 1 ซึ่งอยู่ล่างสุดรู้สึกชั้นที่ 1 นี้จะเห็นวิวที่อยู่รายรอบหอไอเฟลได้อย่างชัดเจนดี รีบลงดีกว่าอยากไปลูร์ฟแล้ว ตัดสินใจที่จะเดินจากหอไอเฟลไปพิพิธภัณฑ์ลูร์ฟ ยิ่งดูจากบนหอไอเฟลแล้วยิ่งชวนให้เดินเพราะเหมือนมันใกล้มาก เลยเดินเรียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ ก็จะเจอพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ใกล้ๆใช้กระจกแต่งรั้วสวยดี เดินไกลพอสมควรจนเจอสุสานนโบเลียน อย่างอลังการพร้อมกับฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำเป็น วังหลวงเพราะอ่านจากชื่อ แต่ดูเหมือนจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งสะพานข้ามแม่น้ำแซนตรงนี้อลังการมาก ด้วยรูปปูนปั้นและสีทองที่ทาประดับประดากำลังเดินข้ามแม่น้ำอะมีผู้ชายชาวเอเชียขอร้องให้ถ่ายรูปให้ เลยคุยกันสอบถามว่ามาจากอเมริกา แต่เป็นคนเวียดนาม ผมก็บอกว่ามาจากเมืองไทย เลยได้คุยอะไรกันนิดหน่อย เขาเล่าให้ฟังว่าเขามาทำงานที่สต็อกโฮล์มเลยมาเที่ยวปารีสด้วย คนสวีเดนเป็นมิตรและพูดภาษาอังกฤษเก่งต่างกับคนฝรั่งเศสเขาว่าอย่างนั้น ผมเลยบอกว่าจริงๆผมอยู่สวีเดนนะ แหะๆจะกลับวันนี้แหล่ะ เขาก็อ๋อนึกว่ากลับเมืองไทยเสียอีก ค่อนข้างคุยเก่งจะเดินไปดูบริเวณที่เหมือนมีกลุ่มคนเยอะๆ ดูว่าเขาทำอะไรกัน ปรากฏว่ามีผู้ชายขอร้องไม่ให้เดินผ่านตรงนั้นเพราะเขาถ่ายหนังอยู่ อ้าวยิ่งอยากรู้สิ แหะๆ เลยไปนั่งอยู่หน้าวังซึ่งอยู่ฝังตรงข้าม คิดว่าเขาคงเดินแฟชั่นหรืออะไรซักอย่างด้านใน เห็นมีรถหรูหรา มีการปูพรมสีแดง มีทีวีมาถ่ายทำ ส่วนใกล้ๆก็เหมือนกำลังถ่ายทำอะไรกันอยู่ แสดงว่าคงทำหนังกันจริงๆนั้นแหล่ะ







ซักพักหนึ่งก็แยกย้ายกันไปกับคนเวียดนาม เขาไปหอไอเฟล ส่วนผมก็แยกย้ายไปที่ลูร์ฟ เดินไปเรื่อยๆเหนื่อยหน่อยแต่ก็ถึงละ ไม่รีรออะไรแล้วรีบเดินไปที่ปิระมิดเลยดีกว่าลงไปใต้ปิรามิดเป็นสถานที่ขายตั๋ว ขายอาหาร ศูนย์ข้อมูลต่างๆ เลยไปต่อแถว ซื้อตั๋ว 1 ใบ ราคา 9 ยูโร พร้อมกับหยิบแผนผังภาคภาษาอังกฤษ จริงๆเขามีหลายภาษามาก แต่อย่าหวังว่าจะเจอภาษาไทย คนไทยมาเที่ยวน้อยมาก ถ้าเทียบกับพวกญี่ปุ่น จีน เยอรมัน สเปน อิตาลี เพราะฉะนั้นไม่ต้องน้อยใจที่อะไรๆก็ไม่ค่อยมีภาษาไทย หลังจากได้ตั๋วแล้วก็จัดแจงเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย จริงๆด้านในก็มีห้องน้ำเยอะมากๆและสะอาดดีด้วย จากนั้นก็ตามแผนผัง และป้ายบอกทิศทางเพื่อไปดูนางเอกของที่นี้ คือภาพวาดโมนาลิซ่า ไปตามลูกศรเรื่อยๆ แต่กว่าจะไปถึงก็ต้องฝ่าผู้คนนับพันๆ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ใครๆก็อยากชม เพราะฉะนั้นเส้นทางนี้คนจึงแน่นมาก



แต่กว่าจะเข้าถึงโมนาลิซ่าก็จะเจอภาพวาดอื่นๆสวยๆงามๆ ทั้งเล็กทั้งใหญ่มากมาย พอถึงภาพโมนาลิซ่าคนเยอะมาก ถ่ายรูปแทบจะไม่ได้ แถมเจ้าหน้าที่ก็มาเร่งให้ขยับหนีอีก น่าจะติดไว้สูงๆกว่านี้หน่อย


ไม่ไหวแล้วไปดูที่อื่นดีกว่า ไม่ชอบดูภาพวาด อยากดูโบราณวัตถุอื่นๆ แผนผังที่ให้มาก็ค่อนข้างจะงงอยู่เอาการพอสมควร แต่ก็ดูไปเรื่อย หลงบ้าง บางทีก็วนมาที่เดิม หรือวนหนีไปบริเวณที่ไม่ชอบ เนื่องจากไม่ใช่คนนิยมเข้าพิพิธภัณฑ์เท่าไหร่เลย ไม่ได้ศึกษาสถานที่มาก่อนล่วงหน้ามาถึงก็ลุยเลย เลยเดินเหนื่อยไปหน่อยพิพิธภัณฑ์ใหญ่มากขนาดดูแบบไม่ละเอียดยังใช้เวลาตั้ง 3 ชั่วโมงและไม่ได้ดูแทบทุกส่วนด้วย โดยส่วนตัวชอบศิลปของอียิปต์ เห็นปริมาณแล้วแอบเคืองเล็กๆที่ฝรั่งเศสขนเอาของเขามาไว้ที่นี้เยอะมาก แทนที่จะอยู่ในที่ๆมันจากมา หลายๆสิ่งได้เห็นด้วยตาของตนเอง เช่น พวกกระดาษปาปิรัส เขียนตัวหนังสือ อักษรเฮียโรกริฟฟิก มัมมี่ โลงศพ หน้ากาก หรือแม้แต่สฟิงซ์ สรุปชอบ โมนาลิซ่า ส่วนอียิปต์ อพาร์ตเม้นของกษัตริย์ ศิลปกรรมของเมโสโปเตเมีย สุดท้ายก็ไปดูวีนัสก่อนออก คนเยอะอีกตามเคย โดยเฉพาะคนจีนที่ไม่รู้จักการเกรงใจเลย กำลังถ่ายรูปอยู่ก็มายืนบัง แบตกล้องยิ่งหมดแล้วด้วย สรุปลูร์ฟใหญ่มากๆ ต้องศึกษาข้อมูลดีๆก่อนมาว่าอยากดูอะไร และไม่อยากดูอะไรจะได้ไม่เสียเวลาเดินหาสิ่งที่อยากดู และไม่หลงในที่ๆไม่อยากดูนานๆ

















ออกจากลูร์ฟกะว่าจะไปปิดท้ายที่มงมาตรอีกรอบเพราะรู้สึกชอบอยากลองเปลี่ยนไปหลงสถานีใหม่บ้าง เลยลองนั่งไปลงที่สถานี Abbesses ไม่ค่อยเวิร์กเท่าไหร่ เพราะไกลทางเดินขึ้นที่เป็นบันได จริงๆกะจะไปลองขึ้นรถรางไฟฟ้าขึ้นเนินเขาอีกรอบแต่เดินไต่ไปเรื่อยๆกลับพบว่าตัวเองอยู่บนเนินเขาแล้ว ตอนนั้นเจ็บเข่ามากๆ เลยลงดีกว่าไปนั่งรถรางไฟฟ้าลง พอเห็นคนต่อแถวรอขึ้นรถรู้เลยถ้าต่อแถวตกเครื่องกลับบ้านแน่ๆ เลยกลับดีกว่านั่งสายสีน้ำเงินไปลงที่ Nation เพื่อต่อ Rer A กลับบ้าน ช่วงที่เมโทรยังไม่มุดลงดินจะเห็นแหล่งช็อปปิ้งพวกเสื้อผ้าเยอะมาก เหมือนแถวประตูน้ำเลย เสียดายหมดเวลาแล้วเพิ่งมาเจอตอนจะกลับ ดูราคาก็ไม่แพงด้วย แต่รีบกลับบ้านดีกว่า ไปเอาของเดี๋ยวตกเครื่อง ไปถึงบ้านก็รีบเอาของซึ่งเก็บไว้แล้วและไม่มีอะไรมากมาย รีบไปหน่อยเลยไม่ได้เก็บที่นอนให้เพื่อนเลย เพราะมัวแต่เหลวไหลอยู่ รีบมาขึ้น รถไฟเข้าเมืองเพื่อเปลี่ยนสายไปยังสนามบินชาร์ล เดอ โกล เหตุการณ์ก็ปกติตอนที่นั่งรถไฟสายบีที่จะไปสนามบิน ซึ่งคนก็ขึ้นเยอะแยะเบียดเสียด พอได้ไม่กี่สถานี คนขับประกาศให้คนลงเป็นภาษาฝรั่งเศส อ้าวแล้วทีนี้จะทำยังไงดีมันเกิดอะไรขึ้นคนลงเกือบหมด แต่ยังมีเหลือบ้างเลยหันไปถามหญิงสาวฝรั่งเศสมันเกิดอะไรขึ้น เป็นภาษาอังกฤษเธอบอก ฉันไม่รู้เหมือนกัน แล้วรถไฟคันนี้กำลังไปสนามบินหรือเปล่า เธอบอกฉันไม่รู้อีก จริงๆคิดว่าเธออาจจะอธิบายเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้เลยบอกไม่รู้ อุตส่าห์ถามคนรุ่นใหม่แล้วนะ เลยหันหน้าไปหาชายชาวฝรั่งเศสวัยพ่อที่ทำหน้าเรียบๆยังไม่ได้เอ่ยถามแต่แกก็เห็นว่าพวกเรากำลังสนทนากันเรื่องอะไร แกก็บอกว่าผมก็ไม่รู้ แต่คุณต้องลุก อ้าวเอาไงดีจะตกเครื่องเปล่าหนอ ซักพักหนึ่งมีคนถามกันแล้วแกได้ยินแล้วก็บอกเราว่า โอเค เออ ค่อยยังชั่วไม่ต้องหลง แต่ซักพักเขาก็ประกาศอะไรอีกซักอย่าง แล้วแกก็หนีหายไปไม่บอกอะไรเราซักคำ ถ้าเป็นคนไทยเราต้องช่วยบอกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และจะทำยังไงได้บ้าง แต่ตอนนั้นก็เดาว่ารถมันคงวิ่งไปถึงสนามบินอยู่แล้ว แกเลยไม่บอกอะไรประมาณว่ายังไงๆเอ็งก็ไปถึง สนามบินทำนองนั้น ตอนนั่งก็พบว่ารถไฟมันยกเลิกสถานีรายทางทำให้เดินทางได้เร็วขึ้น ซึ่งก็ดีสิไม่เสียเวลาจอดนานๆทุกสถานี แต่ต้องไปลุ้นตรงสถานีที่เป็นทางแยก ถ้าเลี้ยวของทางหนึ่งนี้เสร็จแน่ๆ พอถึงสถานีที่เป็นทางแยกรถไฟก็จอด พร้อมกับประกาศอะไรซักอย่างได้ได้ยินคำว่า ชาร์ล เดอ โกล ชัดเจน เลยหายห่วง พอไปถึงดันมีเหตุการณ์เล็กๆ เกิดขึ้นอีก ตั๋วที่ใช้มันไม่สามารถสอดเข้าเครื่องทางออกได้ ตกใจเล็กน้อย แต่คนอื่นก็เป็นเลยหายห่วง ออกจากสถานีก็นั่ง CDGVAL ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าในสนามบินไปยังเทอมินัล 1 เช็คอินด้วยตัวเอง เพราะเช็คทางอินเตอร์เน็ตมาแล้ว แต่มาโหลดบอร์ดิงพาสที่นี้ แล้วก็ส่งกระเป๋าให้เจ้าหน้าที่ เป็นอันว่าเสร็จสรรพรอไปขึ้นเครื่อง เห็นเขียนว่าประตูที่ 7 จริงๆแล้วมันไม่ใช่ต้องไปอาคารแซตเทิลไลท์ที่ 7 ซึ่งไกลมาก ก่อนเข้าไปยังเกตยื่นพาสปอร์ตไทยให้เจ้าหน้าที่ผิวหมึก พี่แกก็สวัสดีครับ เป็นภาษาไทยมาอย่างชัดเจน อาคารแซตเทิลไลท์ที่ 7 ไกลมากๆ ใครที่บินกับ SAS ต้องเพื่อเวลาพอสมควรอย่ามัวไปเดินช็อปดิวตี้ฟรีอยู่รับรองตกเครื่องแน่ๆพอไปถึงอาคารแซตเทิลไลท์ 7 ก็เช็ค เกทอีกทีหนึ่งว่าสายการบินนี้อยู่เกทไหน ซึ่งของผมอยู่ เกท 72 อีกทีหนึ่ง และแล้วสายการบิน SAS ก็พากลับถึงสวีเดนตอน 4 ทุ่มตรงพอดีๆ ตอนเดินออกจากเครื่องเจ็บหัวเข่ามาก รีบกลับไปพักผ่อนดีกว่าไม่ออกไปไหน เดี๋ยวก็ได้ลุยทำงานกันต่อไป




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2554
0 comments
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2554 22:37:20 น.
Counter : 2311 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Zabby
Location :

Thailand

Sweden

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




หากผ่านเข้ามาที่บล็อกนี้ก็ทักทายกันได้ครับ ยินดีตอบคำถามข้อสงสัยที่พอจะช่วยได้ ปกติอาศัยอยู่ประเทศสวีเดน ส่วนตัวเป็นคนรักในการเดินทาง สนใจธรรมะ พลังจิต คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีต่างๆ การพัฒนาเมือง ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การตกแต่งบ้านและสวน เขียนบล็อก
free counters
Free counters
Friends' blogs
[Add Zabby's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.