Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
2 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
เมื่อผมไปดูหนังที่ญี่ปุ่น

เกริ่นก่อนว่าที่ได้ไปญี่ปุ่นครั้งนี้ไม่ได้รวยมาจากไหนครับ แต่ได้รับการเอื้อเฟื้อจากที่ทำงานซึ่งเขาให้โอกาสไปลองเขียนสารคดีที่นั่น (เดาว่าคนอื่นน่าจะติดงาน และเห็นผมยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ฮา)

ทีแรกก็ลังเลครับ เนื่องจากไม่ได้มีประสบการณ์เขียนงานสารคดีเป็นสิบหน้า และตนเองวันๆ อยู่แต่หน้าจอ เรื่องท่องเที่ยวไม่เคยมีความคิดอยู่ในหัว นอกจากวันดีคืนดีจะมีคนมาชวน

แต่พอไปปรึกษาพี่ที่บ้าน พี่บอก "อ้าว เขาเสนอมาขนาดนี้ยังไม่ไปอีก ไม่ไป เดี๋ยวไปให้ไหม" เหอะๆ ก็เลยตัดสินใจไปตามระเบียบครับ ว่าแล้วก็ต้องทำการบ้านหาข้อมูลเมืองต่างๆ ที่จะไปนิดหน่อย

เหตุผลอีกประการที่ผมไม่อยากไปคือความสามารถสื่อสารทางด้านภาษาอังกฤษของผมถึงขั้นย่ำแย่ ไม่เคยได้ใช้ แถมเมื่อฝ่ายภาพทดลองให้ไปถ่ายรูป ภาพก็ไหวกว่าครึ่ง แล้วงานมันจะได้ไหมล่ะนั่น

เขียนสารคดี - ไม่เคย, ถ่ายภาพ - ห่วย, ภาษา - ย่ำแย่

เกริ่นไว้ก่อนว่าที่นำมาบอกเล่าครั้งนี้ ไม่ใช่สารคดีที่จะต้องเขียน แต่เป็นประสบการณ์ที่ชักพาผมจนหาเรื่องไปดูหนังที่ญี่ปุ่นจนได้

-----------------------------------------------------------------


เมื่อถึงสนามบิน ฝันร้ายของผมก็ครบสูตรจริงๆ ไกด์ชาวญี่ปุ่นที่รับผมไปเที่ยวตามโปรแกรม นำตารางการท่องเที่ยวต่างๆ มาให้ใหม่ สรุปว่าข้อมูลที่หามาใช้ไม่ได้เกือบทั้งหมด คนหนึ่งพูดภาษาญี่ปุ่น อีกคนเป็นล่ามพูดภาษาอังกฤษค่อนข้างเร็วมาก และที่หนักไม่แพ้กันก็คือวันแรกก็ฝนตกหนักทั้งวัน ชนิดฟ้ามืด เมฆมัว เรื่องถ่ายรูปจะออกมาสวย แทบไม่ต้องหวัง

สิ่งที่พอจะทำให้คลายความเครียดไปได้บ้าง เห็นจะไม่พ้นการมาเยือนแดนแห่งมังงะ ซึ่งแม้จะเป็นเขตจูบุ ภาคกลางของที่นี่ ไม่ใช่เมืองหลวงอย่างโตเกียว เมืองนาโงย่า ก็ยังมีศูนย์การค้าทันสมัยอยู่ใต้ดิน ระหว่างการเดินผ่านอย่างรวดเร็ว ผมต้องรีบไปถ่ายร้านรวมสินค้าของ Jump, ร้านโปเกม่อน และร้านขายตุ๊กตาที่มีตัวโตโตโร่ประดับข้างหน้า พ่อแม่ต้องพาเด็กมาเดินซื้อของกันเป็นพัลวัน แน่นอนว่ามีวัยรุ่น และผู้ใหญ่มาแจมด้วย






จบวันแรกพร้อมกับการทัวร์ที่แสนเร่งรีบ ทั้งปราสาท นาโงย่า, พิพิธภัณฑ์โตกุกาว่า, วัดนิตไตจิ, NTV Tower, และ Central Park โดยมีเวลาให้ซื้อของแค่ 15 นาทีเท่านั้น จากนั้นก็พาเราขึ้นทางด่วนไปเมืองโทบะ เพื่อเตรียมทั่วร์ในวันพรุ่งนี้

โรงแรม Senpoukaku ที่เขาพาไปพักสวยงามมากครับ มองออกมาจากห้องพักจะเห็นทะเลใกล้ๆ แต่เห็นวิวสวยๆ อย่างนี้ผมก็ยังเหงาอยู่ดี เพราะเราคุยกับใครไม่รู้เรื่อง เปิดทีวี รายการโทรทัศน์ก็ยังงงๆ

รีบหลับให้นานหน่อย แต่ก็ตื่นมาเร็วตอนตี 4 เพราะที่นั่นเวลานี้ซึ่งบ้านเรายังมืดอยู่ก็สว่างโร่แล้ว

ถ่ายจากหน้าต่างห้องพัก



ด้านนอกของโรงแรม



ดอกไฮเดรนเยีย ซึ่งไกด์บอกว่ามีทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น และจะสวยมากหลังฝนตก ประดับอยู่หน้าโรงแรม แต่ตามทางด่วน และในเมืองก็จะเห็นเต็มไปหมด




หนึ่งในทัวร์วันที่สอง Mikimoto Pearl Island สถานที่เลี้ยงหอยมุก เพื่อผลิตไข่มุกของประเทศ ชอบภาพนี้ครับ เพราะน่าจะเป็นไม่กี่ภาพที่เมฆไม่มัว



หลังจากเดินทางไปเที่ยวทั้งวันในจังหวัดมิเอะ การเดินทางในวันที่ 2 ก็มาพักที่เมือง โอตสึ ในจังหวัดชิงะ เมืองนี้เองครับที่ผมได้มีโอกาสดูหนังเพียงวันเดียว โอตสึติดกับทะเลสาปที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นที่ชื่อว่า บิวะ จนได้ชื่อว่าเป็นมารดาแห่งทะเลสาป ซึ่งระหว่างที่ไกด์พาไปทานข้าวตรงห้างสรรพสินค้า ก็เป็นจุดชมวิวติดกับทะเลสาปพอดีครับ น่าเสียดายที่ความสามารถถ่ายภาพอันย่ำแย่ของผมมาบังเกิดผลได้ภาพวันนี้เข้าเกือบทั้งหมด หลังจากกินข้าวเสร็จด้วยอารามรีบหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ภาพจึงออกมาเละเทะอย่างที่เห็น





ห้างนี้ชื่อว่า A-Qus ถ้าจำไม่ผิดจะฉลองครบรอบ 20 ปีไปแล้ว ซึ่งก็น่าจะเป็นห้างใหญ่ประจำเมืองแห่งนี้ แต่วันธรรมดาที่ไกด์ให้เวลาเดินเล่นเต็มที่ เนื่องจากวันต่อไปต้องพาเดินเขาฮิเอะนั้น โหรงเหรงพอสมควร จะมีจุดที่คนเยอะหน่อยก็คือร้านหนังสือ กับ เกมส์ เซ็นเตอร์ เท่านั้น




ก่อนที่ไกด์จะกลับ ผมเหลือบไปเห็นโปสเตอร์แผ่นใหญ่ของ Ponyo on a Cliff หนังของ ฮายาโอะ มิยาซากิ แห่งสตูดิโอ จิบลิ ตอนนั้นในหัวไม่ได้คิดถึงงานอะไรแล้วอยากดูมาก เพราะในชีวิตไม่เคยดูหนังอนิเมชั่นของค่ายนี้ในโรง ผมคิดในใจว่ามันต้องเป็นประสบการณ์น่าตื่นเต้นเป็นแน่แท้ จึงรีบถามทันทีว่าหนังเรื่องนี้ฉายแล้วหรือยัง



ปรากฎว่าไกด์เขาอ่านอยู่พักหนึ่ง(คงคิดในใจว่า มันเกี่ยวอะไรกับทริปนี้หว่า) แล้วจึงบอกว่ายังไม่เข้า

ด้วยความผิดหวังผมจึงเดินถ่ายรูปไปรอบๆ ก่อนไกด์จะลากลับโรงแรม ซึ่งภาพส่วนใหญ่ไม่ได้ขอเขาหรอกครับ แอบถ่ายทั้งนั้น (จริงๆ จะบอกว่าก่อนหน้านั้นไปถามหาหนังสือภาษาอังกฤษ ด้วยภาษาอังกฤษกับคนขายหนังสือที่นั่น พี่ท่านพูดและฟังไม่ได้เลย ทำมือไขว้เป็นกากบาทว่าไม่รู้เรื่อง จากนั้นก็แทบไม่ได้พูดกับคนอื่นแล้วครับนอกจากไกด์)

ตรงนี้เป็นบรรยากาศในร้าน Tsutaya ในห้างครับ ที่นั่นไม่ใช่แค่ร้านเช่าวิดีโอ แต่เป็นร้านขายซีดี, วิดีโอ และร้านหนังสือ โดยเฉพาะส่วนของร้านหนังสือเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุด



ภาพนี้เป็นใบปิดที่น่าจะทำขึ้นเฉพาะในโอกาสฉลองการเปิดร้านได้ 60 ปีของ Tsutaya ครับ ให้ เคนอิจิ มัตสึยาม่า มาเป็นพรีเซ็นเตอร์



นอกจากนี้ระหว่างเดินยังเห็นโปสเตอร์โฆษณา OST ของซีรี่ส์ Rookie และหนังเรื่อง Batista ด้วยครับ แต่เห็นคนขายเขามองมาบ่อยๆ เลยไม่กล้าถ่ายเพิ่ม

เดินไปที่เกมส์เซ็นเตอร์ซึ่งอยู่บริเวณใกล้ๆ กันก็ตกใจครับ จากที่เห็นว่าคนน้อยๆ ปรากฎว่าผู้หญิง ผู้ชาย หลายวันมาอยู่ในนี้กันค่อนข้างมาก แถมมีถึง 2 ชั้นอีกต่างหาก



ที่ฮามากสำหรับผมคือเครื่องเล่นปาจิงโกะ หลายคนคงทราบดีว่าซีรี่ส์เกาหลีเรื่อง Winter Love Song ดังมากที่ญี่ปุ่น ชนิดช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ของสองประเทศนี้เลยทีเดียว ซึ่งซีรี่ส์นี้แม้จะจบไปนานแล้วแต่ก็ยังไม่หมดความดังครับ ยังลามมาถึงเครื่องเล่นปาจิงโกะด้วย




หว่างขึ้นไปบนโรงภาพยนตร์ มีร้านอาหารไทยด้วยครับ เขียนภาษาไทยห้วนๆ เรียกแขกอยู่ข้างหน้า



ถึงชั้นโรงหนัง สิ่งที่รอเราอยู่คือ สแตนดี้ ของเรื่อง Magic Hour หนังโปรแกรมทองประจำเดือนนี้ของญี่ปุ่น ซึ่งเรื่องนี้เองที่ผมตัดสินใจดู เนื่องจากชื่อเพียงคนเดียว ผู้กำกับ โคกิ มิตานิ เจ้าของงานที่ประทับใจมากอย่าง Welcome Back, Mr.McDonald



ระหว่างที่เดินดูโรงหนังบ้านเขา ก็ถ่ายไปเรื่อยๆ ครับ แต่ไม่กล้าถ่ายกระโตกกระตากมาก เลือกถ่ายโปสเตอร์หนังอย่างเดียว อย่างเรื่องที่เห็นคือ The Last Princess หนังรีเมคเรื่อง Hidden Fotress ผลงานของ อากิระ คุโรซาว่า(ได้ฟังเพลง OST ของหนังที่ร้องโดยวง THREE แล้วตลกดี เพราะเป็นเพลงแนว ฮิพ-ฮอพ) ดูตัวอย่างหนัง บวกกับผู้กำกับหนังอย่าง Sinking of Japan ก็ขอบายแล้วครับ ท่าทางจะเป็นหนังขายเทคนิคพิเศษและเนื้อหาสะเทือนอารมณ์เหมือนเดิม ส่วนอีกเรื่องเป็นหนังที่กำลังจะเข้าคือ Hana yori dango: Fainaru หนังที่สร้างซีรี่ส์เรื่องดัง นำแสดงโดย มาโอะ อิโนอุเอะ กับ จุน มัตสึโมโต้ ตอนนี้ก็ขึ้นอันดับ 1 บนตารางบ้านเขาไปตามระเบียบ ตามยุคซีรี่ส์สร้างหนังของที่นั่นเขา



อันนี้เป็นโปสเตอร์ของ Magic Hour ซึ่งเป็นโปรแกรมปรกติที่ฉายทั้งวัน เช่นเดียวกับ Indiana Jones ภาคล่าสุด ซึ่งมีโปรแกรมฉายถึงตี 2 โน่น ส่วนโปรแกรมหน้าที่ท่าทางจะหวังไม่ใช่น้อยคือ GeGeGe No Kitaro ภาค 2 ครับ




สรุปจากการเดินโดยรอบในโรงชื่อว่า Alex โรงหนังบ้านเขาธรรมดากว่าบ้านเราเยอะครับ โทรทัศน์ที่ฉายตัวอย่างหนังก็อนาถามาก ไม่ได้หุ้มด้วยสแตนดี้ วางอยู่บนชั้นเล็กๆ เห็นเครื่องดีวีดีชัดแจ้ง เวลาคนจะดูต้องก้มตัวดูด้วยซ้ำ จะมีที่ดูดีหน่อยคือโทรทัศน์ที่ฉายชวนคนมาดูตามชั้นต่างๆ สภาพโรงหนังเงียบเหงา ไม่มีป้ายทันสมัยเรียกร้องคนมากมาย เดินไปด้านหลังมีคราบดำๆ ตามผนังด้วย ถ้าเทียบแล้วคงคล้ายกับโรงหนังมินิเธียเตอร์ตามต่างจังหวัดนั่นแหละครับ แต่ผมกลับบ้านก็ไม่มีโอกาสดูแล้วเลยเทียบกันไม่ได้นัก

ลงมาตรงชั้นล่างจะมีโปสเตอร์หนังเรียงตามกำแพง คล้ายกับห้างบ้านเราติดโปรแกรมเช่นกัน เรื่องแรกก็เหมือนเดิม Ponyo on a Cliff ตรงกลางคือ โคนัน ภาคใหม่ และ Yama no anata หนังใหม่ของผู้กำกับ Taste of Tea ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนตาบอด (รู้แค่นี้จริงๆ) นำแสดงโดย ทสึโยชิ คานาซากิ แห่งวง SMAP




ถึงตรงนี้ผมยังไม่ตัดสินใจดูหนังครับ เนื่องจากไม่รู้จะพูดกับคนขายตั๋วยังไง และรอบที่ฉายมันดึกเอาการ 21.30 น. ดูเวลาแล้วยังเหลืออีก 1 ชั่วโมง เลยกลับโรงแรมก่อน และตัดสินใจไปโทรศัพท์หาแฟนก่อน

อย่างไรก็ตามเพราะทริปครั้งนี้แทบไม่มีช่วงให้เราไปเดินในห้าง หรือร้านสะดวกซื้อนัก อีกทั้งไกด์เองยังแนะนำว่าในจังหวัดนี้หาตู้โทรศัพท์สาธารณะซึ่งโทร.ออกต่างประเทศได้ยากเอาการ(เป็นตู้สีเทา) เขาจึงแนะให้ผมโทร.ในโรงแรมแทน

หลังจากหลงทางอยู่พักใหญ่กว่าจะได้กลับโรงแรม บังเอิญเจอไกด์กำลังใช้อินเตอร์เนตพอดี จึงสอบถามวิธีโทร.ออกต่างประเทศ ปรากฎว่าเขาเสียเวลาอยู่นานครับทั้งช่วยติดต่อประชาสัมพันธ์หน้าโรงแรม และหาข้อมูลให้ทางอินเตอร์เนต แต่จนแล้วจนรอดก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ลองทำตามวิธีที่เขาบอก ลองวิธีที่เขียนในห้องพักก็ล้มเหลว กว่าจะเสร็จธุระก็โน่นเหลือไปที่ห้างอีกครั้งเพียงแค่ 5 นาที

นาทีนั้นไม่ต้องคิดแล้ว ผมจ้ำพรวด โกยไม่คิดชีวิตเพื่อเสียเงินดูหนังครั้งแรกในญี่ปุ่น

ที่โรงหนังเวลา 21.30 น. ซึ่งแทบไม่มีคนแล้วตอนที่ผมไป แต่ด้วยเวลาที่เร่งรัดทำให้ผมใจกล้าเดินตรงไปที่ช่องขายตั๋วทันที ถามเขาง่ายๆ ว่า "How Much" คนขายท่าทางจะเคยเจอชาวต่างชาติครับ ใช้เวลาไม่นานก็ตอบว่า "1,200" คิดเป็นเงินไทยก็ 360 บาท แต่ตอนนั้นน่ามืดตามัวมากครับ ยังไงวินาทีนี้ต้องดูให้ได้ ก็เลยถามเขาต่อว่า "I want to see..." กลายเป็นว่าผมนึกชื่อไม่ออกตอนที่ไปถึง อารามที่วิ่งมาเหนื่อยๆ และไม่ได้จำชื่อหนัง ผมเลยพูดขึ้นมาว่า ''Do you know Koki Mitani ?" ฮาสิครับ ดันบอกชื่อผู้กำกับ ซึ่งคนส่วนใหญ่คงไม่ได้สนใจมาก ต่อมาดันพูดอะไรโง่ๆ ออกไปอีกว่า "Star is Eri Fukatsu" ทั้งที่หนังเรื่องนี้ดาราดังจริงๆ คือ ซาโตชิ ทสึมาบูกิ ต่างหาก

แต่โชคดีครับ คนขายเขาไปหยิบโบรชัวร์หนังในโปรแกรมทั้งหมดมาให้ดู แผ่นแรกที่เขาชี้ให้ดูคือเรื่องนี้พอดี ก็เลยจ่ายตัง และเขาก็ชี้ไปทางซ้ายมือบอกว่า "Five" ผมก็ทวนซ้ำ "Cinema 5, right ?" ก็เลยได้ไปดูกันเสียที

ก่อนจะเข้าโรง ผมมีเวลาเหลือบไปเห็นเด็กวัยรุ่นมุงดูตัวอย่างหนังเรื่อง 20th Century Boy ด้วยครับ ท่าทางเขาจะสนใจกันพอควร

ก่อนฉายก็มีตัวอย่างของ Clone Wars, Ponyo on a Cliff และ Hana yori dango: Fainaru ถ้าจำไม่ผิดมีอีกแค่เรื่องเดียวครับ จากนั้นก็มีโฆษณาเรื่องการจับพวกลักลอบอัดวิดีโอ แล้วหนังก็ฉายเลย ไม่ต้องเสียเวลารอแบบบ้านเรา

บรรยากาศคนดูโหรงเหรงไม่ต่างจากข้างนอกครับ นับหัวรวมผมได้ไม่เกิน 7 คน แม้จะถือว่าเป็นหนังทำเงินในญี่ปุ่นก็ตาม

ที่ฮามากก่อนฉาย มีคู่หนุ่มสาวเดินเข้ามาพร้อมตะกร้าใส่โค้ก และป๊อปคอร์น ซึ่งเป็นวิธีการกินที่ค่อนข้างแปลกสำหรับคนไทยอย่างผม

กล่าวถึง Magic Hour นี่เป็นผลงานของ โคกิ มิตานิ คนเขียนบทชื่อดังของญี่ปุ่น ชนิดที่ในข่าวด้านภาพยนตร์จะบอกว่าเป็นคนเขียนบทเพียง 2 คนที่เป็นที่รู้จักกันดีในญี่ปุ่น(อีกคนคือ คุโร่ คันคุโร่ ผู้เขียนบท Go) ซึ่งนับเป็นผลงานการกำกับเรื่องที่ 4 จุดเด่นของมิตานิ คือหนังของเขาตลกมาก เป็นตลกที่ผสมทั้งความเป็นปัญญาชน และตลกบ้านๆ เข้าด้วยกัน เรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับความขัดแย้งของคนกลุ่มหนึ่ง แต่มีความฝันหรือจุดหมายปลายทางต่างกัน โดยมักมีอะไรเกี่ยวกับชีวิตของคนเขียนบทแทรกเข้ามาในเรื่อง

หลังจาก Uchoten Hotel ผลงานเมื่อปี 2006 เป็นหนึ่งในงานที่ประสบความสำเร็จสูงสุดประจำปี มิตานิ ก็ประกาศว่าเขาพบสูตรในการสร้างหนังทำเงินแล้ว และน่าจะทำให้เขาหันมาจับงานกำกับมากขึ้น ซึ่งหนังเรื่องล่าสุดที่รวมดาราเช่นเดียวกับเรื่องก่อนหน้า ก็ทำเงินขึ้นอันดับ 1 ไป 2 สัปดาห์ครับ

แม้จะไม่มีความรู้เรื่องภาษาญี่ปุ่นสักกระผีก แต่ภาษาภาพใน Magic Hour ก็ช่วยได้เยอะ เนื้อเรื่องคร่าวๆ จากภาพที่เห็นและเดาเอาคือ บิงโกะ พนักงานต๊อกต๋อยในโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่ง(ซาโตชิ) เป็นชู้กับเมียเจ้าพ่อประจำถิ่น(เอริ ฟูคัตสึ) อย่างไรก็ตามก่อนจะโดนฆ่า เขาหลอกด้วยการอ้างว่ารู้จักกับมือปืนคนหนึ่ง(ทั้งที่ไม่รู้จัก)ที่จะสามารถทำประโยชน์ได้ และเพื่อหาทางเอาตัวรอดจึงปลอมตัวไปหลอกนักแสดงในเมืองหลวงคนหนึ่งมา

พระเอกจริงๆ ของเรื่องไม่ใช่ ซาโตชิ ครับ แต่คือ โคอิจิ ซาโตะ(What the Snow Brings) ที่เป็นเพียงนักแสดง Extra แสนกระจอก ที่มีความฝันอยากเป็นดาราเพราะหนังรักเก่าๆ เรื่องหนึ่ง เขาดูหนังเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าชนิดเป็นแฟนพันธ์แท้ จำได้ทุกฉากทุกตอน ด้วยความที่ผิดหวังทางด้านการแสดงมา เจอคนท่าทางลับๆ ล่อๆ คุณพี่ก็ไม่สนใจความน่าเชื่อถือครับ ยอมไปเป็นดารานำให้ทันที

เหตุการณ์หลังจากนั้นมีเรื่องฮาๆ อีกมากมายจากการเข้าใจคนละเรื่องเดียวกัน และเหตุผิดฝาผิดตัวที่เป็นมุขตลกในหนัง ระหว่างคนที่กลัวอันตรายเพราะหลอกเจ้าพ่อ กับคนที่ทำทุกอย่างราวกับเชื่อว่าเหตุการณ์ตรงหน้าคือการแสดง เรียกว่า Magic Hour เป็นงานประเภทหนังซ้อนหนัง ที่แสดงความคารวะชั่วโมงแสนวิเศษของศิลปะด้านภาพยนตร์ก็ว่าได้ หนังเรื่องนี้เล่นกับความสุขจากการหลอกลวงที่นำพาให้มนุษย์ทุกคนกลับมามีอุดมคติในชี
วิตอีกครั้ง ซึ่งไม่เกินเลยครับถ้าจะพูดว่าการหลอกลวงที่ว่านั้นหมายถึงภาพลวงความเร็ว 24 เฟรมต่อวินาทีอย่างภาพยนตร์

อีกสิ่งหนึ่งที่กล้ามากในหนังเรื่องนี้คือ เขาเลือกหลอกคนดูด้วยเงื่อนไขของเวลาครับ ตอนแรกใครดูก็คงเชื่อว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังย้อนยุค แต่ไปๆ มาๆ เราก็เห็นโทรศัพท์มือถือ ซึ่งแน่นอนมันเป็นลูกเล่นที่เสี่ยงเอาการ แต่เพราะความสนุกของหนังทำให้ผมไม่ได้สนใจข้อบกพร่องตรงจุดนี้เลย

ฉากช่วงท้ายเป็นความฝันที่เป็นจริงของตัวเอกซึ่งซาบซึ้งครับ อาจไม่ได้มากมายอะไรเพราะเป็นหนังตลก แต่สำหรับผมที่กำลังเหงาจากความไกลบ้าน และไม่เคยมีฝันที่เป็นจริงเท่าไหร่ในชีวิตคนขี้แพ้ธรรมดาคนหนึ่ง น้ำตาก็ซึมออกมาไปพร้อมๆ กับตัวเอกของเรื่องโดยไม่ได้ตั้งใจ

ก่อนหนังจะจบอย่างฮามากๆ และไม่ต้องคิดอะไรกันอีกแล้ว เป็นการใช้แผนซ้อนแผน หักมุมหลายซับหลายซ้อน ชนิดเป็นความบันเทิงเต็มเปี่ยมจริงๆ

-----------------------------------------------------------------------


สิ่งที่สังเกตตอนที่ฉายก็คือ แม้จะเป็นหนังตลก(ซึ่งผมคิดว่าเป็นหนังตลกที่ขำมากเอาการ) แต่คนดูที่น้อยอยู่แล้วไม่หัวเราะสักเอะ มีผู้หญิงคนข้างหน้าผมเท่านั้นที่หัวเราะอย่างไม่อายใคร

และเมื่อหนังจบ ผมไม่ทราบว่าเขารู้หรือเปล่าว่าหนังเรื่องนี้จะมีฉากปิดในช่วงท้ายหลัง End Credit แต่ไม่มีสักคนเลยครับที่ลุกออกจากหนังก่อนจบ ทุกคนรอดูไปจนแน่ใจว่าหนังจบจริงๆ จึงลุก นับเป็นประสบการณ์ที่แปลกมากสำหรับผม

ตอนหนังเลิกก็เกือบเที่ยงคืนแล้วครับ แต่ในห้างแห่งนี้ยังเปิดอยู่ในส่วนร้าน Tsutaya กับ ร้านเกมส์ เซ็นเตอร์ครับ คนยังมีอยู่ไม่น้อย ขณะที่ตรงสะพานลอยเชื่อมกับห้างสรรพสินค้าโหรงเหรงน่ากลัวมาก มาทราบจากไกด์ภายหลังว่าในต่างจังหวัดตอนกลางคืนแค่ 3 ทุ่มที่ญี่ปุ่นก็นอนอยู่บ้านกันหมดแล้ว




พอลงจากสะพานลอยไปที่ถนนตรงสู่โรงแรมที่พัก ผมเห็นพนักงานบริษัทคนหนึ่งเหมือนทำท่าโบกมือเรียกผม แต่คิดว่าไม่ใช่แน่ๆ จึงเดินเลี่ยงไป แต่สักพักเท่านั้นเอง ผมก็เหลียวกลับไปมองเสียงฝีเท้าที่ข้ามถนน ปรากฎว่าชายคนที่ว่าเดินตามมาครับ ผมเองก็ไม่ได้คิดว่ามีอันตรายอะไร แต่เอาเถอะ รีบเดินเร็วขึ้นแล้วกันจะได้ถึงโรงแรมไวๆ อีกแค่ 50 เมตรเท่านั้น

ความกลัวแทรกขึ้นมาทันตาเห็น ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของพี่ท่านที่ตามหลังดังขึ้นๆๆๆ เร็วขึ้นๆๆ ทีแรกซึ่งไม่คิดอะไรก็กลายเป็นคิดเสียแล้ว งานนี้ผมจึงใส่เกียร์หมา วิ่งเต็มสปีดไม่คิดชีวิต ตรงรี่สู่โรงแรมทันที เป็นอันจบการดูหนังในญี่ปุ่นของผม

----------------------------------------------


หลังจากผ่านวันนั้นไป ชีวิตการทำงานท่องเที่ยวในญี่ปุ่นของผมก็ยังทุลักทุเลเหมือนเดิมครับ เข้าใจเขาบ้างไม่เข้าใจบ้าง ได้เจอการ์ตูนมีส่วนกับทุกๆ ที่ในหลายสถานที่ทั้งย่าน คุโรคาเบะ ในเมืองนางาฮาม่า และส่วนแสดงงานฝีมือของเมือง คานาซาว่า ยังได้เห็นโตะโตโร่ อยู่ไม่ขาด

ภาพนี้ถ่ายในย่าน คุโรคาเบะ ซึ่งขายสินค้าต่างๆ หนึ่งในนั้นคือตุ๊กตาฟิกเกอร์จากการ์ตูน และภาพยนตร์








ส่วนทริปนี้ของผมก็อีกหลายวันหลังจากนั้นครับ ปิดที่การขึ้นไปบนภูเขาทาเทยาม่า หนึ่งในสามภูเขาที่สำคัญที่สุดประจำญี่ปุ่น



ขอขอบคุณ : Yokoso Japan และ นิตยสารสารคดี ที่ให้โอกาสผมไปในครั้งนี้




Create Date : 02 กรกฎาคม 2551
Last Update : 28 กรกฎาคม 2551 19:16:03 น. 15 comments
Counter : 2195 Pageviews.

 
นึกภาพไม่ออกเลยว่าตะกร้าใส่ดค๊กและป็อปคอร์นเป็นไง 55

ดีจัง ได้ไปดูหนังต่างแดน


โดย: renton :: IP: 58.8.10.71 วันที่: 2 กรกฎาคม 2551 เวลา:15:53:09 น.  

 
^
^

จะบอกว่า ใส่โค๊ก อ่ะ...^_^"


โดย: renton ----> IP: 58.8.10.71 วันที่: 2 กรกฎาคม 2551 เวลา:15:54:27 น.  

 
ทีแรกผมนึกว่า ไปดูหนังหยอดเหรียญ ที่เป็นตู้ๆ ซะอีก อิอิ


โดย: ครูเอก วันที่: 2 กรกฎาคม 2551 เวลา:16:24:23 น.  

 
ผมกลัวไปแล้วจะ lost in translation เหมือนกัน


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 2 กรกฎาคม 2551 เวลา:16:59:15 น.  

 
สุดยอด เขียนเล่าได้มันส์มาก

หวังว่าจะได้อ่านสารคดี ดีดี

หลายคนไม่มีโอกาสอย่างนี้เลย

แม้ว่าจะทำงานมาเป็นสิบๆ ปี

เอาใจช่วยครับ

อยากดู เด็กชายในศตวรรษที่ ๒๐ เมืองไทยจะได้ดูไหมเนี่ย


โดย: เสือจุ่นเอง IP: 58.9.200.150 วันที่: 2 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:09:27 น.  

 
renton
^
^
^
ตะกร้าที่ว่าเห็นอยู่ไกลๆ ครับไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เป็นแค่ตะกร้าเรียบๆ สำหรับใส่โค้ก และถุงป๊อปคอร์นแบบเก่าๆ ครับ ไม่ได้อลังการแต่อย่างใด

โดยรวมผมชอบโรงแบบนี้มากกว่าโรงสุดเว่อร์แบบบ้านเราเสียอีก

ครูเอก
^
^
^
หนังอะไรครับนั่น แต่ถ้าหนังผู้ใหญ่นี่ตามโรงแรมเขามีให้รูดเงินเสียตังครับ

I will see U in the next life
^
^
^
ผม Lost ไปเรียบร้อยแล้วครับ 1 สัปดาห์ที่นั่น Lost ทุกวัน

พี่จุ่น
^
^
^
ตายแล้วมากดดันผมอย่างนี้ จะเขียนไหวไหม เฮ้อ ก็ตกใจเหมือนกันที่เขาให้โอกาส ยังงงจนถึงวันนี้ว่าทำไมให้ผมไป
20th Century Boy ได้ดูแน่ครับ เพราะมีค่ายหนังซื้อมาแล้ว>


โดย: yuttipung วันที่: 2 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:49:44 น.  

 
ถ่ายภาพมาสวยมากค่ะ


โดย: RainBowSpiral IP: 203.156.84.45 วันที่: 2 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:51:45 น.  

 
แอบดีใจ.. ที่หลงเข้ามาอ่านคับ..


โดย: Baritoreca IP: 58.9.209.180 วันที่: 2 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:37:33 น.  

 
ดีใจที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ


โดย: Why England วันที่: 4 กรกฎาคม 2551 เวลา:13:49:40 น.  

 
ตามไปเที่ยว ครับ น่าอิจฉาจริงๆ


โดย: Untrue วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:04:35 น.  

 
:D เป็นประสบการณ์ที่สนุกมากครับพี่
อยากมีโอกาสแบบนี้บ้างจัง


โดย: วัช IP: 203.121.160.57 วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:11:12:19 น.  

 

อยากไปม่างงง


โดย: merveillesxx วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:14:09:59 น.  

 
อยากไปดูหนังที่เมืองนอกมั่งอ่ะ


โดย: jimkong วันที่: 1 กันยายน 2551 เวลา:22:40:37 น.  

 
ไม่เคยไปหลายที่เลย

--
Oakyman's Blog


โดย: Oakyman วันที่: 2 กันยายน 2551 เวลา:14:41:57 น.  

 
พี่ปิ๊ก
^
^
ผมก็อยากไปดำน้ำแบบพี่เหมือนกัน

คุณโอ๊ค
^
^
แหม แต่ผมไม่ได้ไปเรียนนิ


โดย: yuttipung วันที่: 15 กันยายน 2551 เวลา:12:31:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

yuttipung
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




เป็นคนไม่เป็นโล้เป็นพายคนหนึ่งที่ติดอินเตอรเน็ต จนได้งานพอประทังเลี้ยงชีพ Blog นี้มอบให้แก่หญิงสาวที่ให้กำลังใจสำหรับความฝันอันริบหรี่ของผมมาตลอด ปัจจุบันเรียนโทจบแล้ว ทำงานหลายที่ หลักๆ ตอนนี้เพิ่งเริ่มเป็น Webmaster นิตยสารแห่งหนึ่ง ส่วนงานพิเศษคือลงข่าว และข้อมูลหนัง ดูแลเว็บให้กับ Popcornmag กับ เครือข่ายคนดูหนัง และเขียนวิจารณ์ภาพยนตร์ให้กับ Filmax

Friends' blogs
[Add yuttipung's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.