ส่วนนี้นอกจากจะเป็นความรู้ด้านภาพยนตร์ ผมก็คงจะใช้เขียนอะไรเกี่ยวกับหนังแบบสบายๆ สักหน่อย เพราะบางทีก็ไม่มีเรียบเรียงมากมายครับ ส่วนที่เป็นบทวิจารณ์จึงจะอยู่ในส่วนของ Movie Review ก็เขียนถึงหนังที่ไปดูมานี่แหละ ง่ายดี แถมตัดแปะมาจากที่อื่นอีกต่างหาก :P (นำมาจากความเห็นตนเองในเว๊บ popcornmag ครับ แก้คำนิดๆ หน่อยๆ )
War of The World เป็นผลงานผู้กำกับที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของฮอลลีวู้ด อย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์กโดยส่วนตัว ตั้งแต่ฉากตื่นเต้นของหนังเริ่มขึ้น ผมยังเฉยอยู่แต่หลังจากนั้นผ่านไปได้สัก 3 นาที ไม่มีตรงไหนที่ไม่มีคำว่าตื่นเต้นอยู่ในหัวของผม แน่นอนยังเหลือการทิ้งให้จบแบบงงๆ อีกสัก 5 นาที ในที่สุดสปีลเบิร์กก็กลับมาทำหนังแบบที่เขาถนัดเสียที หลังจากไปทำชีวิต หนังหวังรางวัลมานาน หรือแม้แต่ A.I. ภาคคิวบริคเข้าทรงแบบ เข้าๆ ออกๆ , Minority Report ที่พยายามรักษาบรรยากาศนวนิยายวิทยาศาสตร์ยุคสงครามเย็น แต่เขาเกิดมาจากหนังตื่นเต้นที่ไม่ต้องอาศัยเหตุผลต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น Duel, Jaws, หรือมา Jurassic Park ตัวละครนำในเรื่องก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีที่มาที่ไป และบทสรุปเป็นแค่การคลี่คลายความรู้สึกของตัวละครที่อัดอั้นเท่านั้น จะมีเรื่องไดโนเสาร์ที่พยายามมีคำพูดทางวิทยาศาสตร์มาอธิบาย(มีใครฟังบ้างมั้ยครับ ผมไม่สนเลย) ส่วน Jaws นั้นคำพูดของคนในเรื่องทำให้ปลาฉลามกลายเป็นปีศาจ- เครื่องจักรสังหารไปเลย ซึ่งผมเห็นเป็นจุดเด่นสำคัญยิ่งกว่าปมชีวิตในวัยเด็กเสียอีก แล้วฉากตื่นเต้นก็สะท้อนจินตนาการแบบเด็กได้ชัดเจนกว่าเสียด้วย ที่ชัดมากในหนังก็คือฉากตื่นเต้นในใต้ถุนบ้านกลางเรื่อง เป็นหนึ่งในการผสมผสานศิลปะการเล่าเรื่อง, กลวิธีการสร้างความตื่นเต้น และลายเซ็นของผู้กำกับคนนี้อย่างแท้จริง
เช่นเดียวกับ War of The World ผมไม่สนใจเหตุผลอะไรในเรื่องเช่นกัน มีหลายฉากในหนังที่ถ้าเอาเข้าจริงมันไม่มีเหตุผลหรอก ทั้งการหนีให้รอด หรือ การกระทำตัวละคร แต่ตัวละครของเขาเป็นอย่างนี้เสมอ ตัวละครที่ทำอะไรโง่ๆ ไม่น่าให้อภัย แล้วคนดูก็จะด่าว่า โง่ อยู่เรื่อยๆ แต่ทำให้เราลุ้นตามไปด้วย เพราะมันเหมือนตัวเราชะมัด ก็เพราะว่าเขาเก่งเหลือเกินในการกำกับคนดู แถมเขาจะบอกเป็นนัยเสียอีกว่า หลังจากเหตุการณ์ 9/11 มันยังมีอะไรหาสาเหตุได้อีก
ผมไม่ค่อยสนเรื่องการเหมือนกับฉบับหนังเดิม - ฉบับนวนิยายอยู่แล้ว ไม่พยายามมองอะไรแบบนั้นในหนังทุกเรื่องที่ดู หรือหนังสือที่อ่าน แต่ในหนังเรื่องนี้สิ่งที่คนหลายคนไม่ชอบน่าจะเรียกว่าเป็นอัตตา ที่บ้ามากของผู้กำกับแล้วกัน ดูแล้วมันเหมือนนิทานก่อนนอน เพลงกล่อมเด็กรุ่นใหม่แบบที่ในหนังเขาร้องนั่นแหละ สเกลหนังมันไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่ทุกคนคาดคิดตามชื่อเรื่อง หรือฟอร์มหนังตามตัวอย่าง ก็เลยพาลไม่ชอบไปซะอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรครับ คนดูทุกคนมีสิทธิ์ อิสระ คิดเอง ความคิดของผมก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งเท่านั้น
|