|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
บทเรียนจากโรงพยาบาล และการจากไปของคุณปู่
วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม 2548 เป็นอีกวันที่ผมต้องจดจำ เพราะเป็นการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของคุณปู่ของผม มันกะทันหันจนไม่ทันตั้งตัว เช่นเดียวกับที่ญาติพี่น้องของผมต้องเผชิญกับสภาพนั้น ในกระทู้นี้
//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L3605419/L3605419.html
ย้อนไปเมื่อปลายปี 2546 คุณยายผมท่านจากไปหลังจากเข้าๆ ออกๆ อยู่ในโรงพยาบาลมานาน ผมร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหล เมื่อวันที่ท่านเสียมันทำให้รู้สึกว่าอย่างน้อยท่านก็ไปสบายไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการของโรคเบาหวาน, และอีกสารพัดโรคที่รุมเร้า และที่ร้ายแรงกว่าคือท่านเป็นอัมพฤกษ์ไม่สามารถสื่อสารกับใครได้นัก ก่อนหน้านี้ท่านก็บ่นว่าไม่ได้กินอาหาร เพราะส่งอาหารผ่านสายยางตลอด
แต่กับคุณปู่ เราเห็นท่านแข็งแรงมาตลอด คุณอา คุณน้า ของผมทุกคนเคยบอกว่าท่านไม่เคยไปโรงพยาบาลเลย ผมเชื่ออย่างนั้นโดยแทบไม่ต้องกลัวว่าโกหก เพราะท่านเวลาเดินทางไปเยี่ยม จะอุ้มผมได้จนถึงอายุ 15 ปี ตอนที่ท่านอายุได้ 80 ปี อาการชราภาพนั้นปรากฎชัดบ้าง เช่น หูตึง แต่ท่านยังดูแข็งแรง และไปไหนมาไหนได้เอง เป็นมิ่งขวัญให้กับลูกหลานมาโดยตลอด
เมื่อ 3 เดือนก่อน ปู่ท่านเข้าโรงพยาบาลเป็นครั้งแรก เนื่องจากปวดหัวจนล้มลง ความดันขึ้นสูงมากจนน่าเป็นห่วง แต่ท่านยังแสดงอาการแข็งแรง เพราะอยากกลับ แต่ทางเราก็อยากตรวจให้ถ้วนถี่ ทางโรงพยาบาลส่งไปสแกนสมองแต่ไม่พบอะไรผิดปรกติ...ผมเพิ่งมารู้จากการตรวจร่างกายว่าท่านเป็นเบาหวาน และโรคหัวใจด้วย
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม ผมได้รับข่าวจากญาติว่าท่านไม่สบาย หายใจไม่ออกต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ช่วงนั้นผมติดงานจนไม่สะดวกไปเยี่ยม รู้แต่ว่าอาการโรคหัวใจกำเริบ ต้องเลือกว่าจะรักษาด้วยการทำบอลลูน หรือ ผ่าตัด
แฟนผมซึ่งเป็นพยาบาลแผนกโรคหัวใจ แนะนำว่าให้ทำบอลลูน เพราะมีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่หมอที่โรงพยาบาลได้ลองทำแล้วปรากฎว่าเส้นเลือดตีบเกินจะทำได้ ทางผู้ใหญ่มารวมตัวกันปรึกษาหารือ และได้คำตอบว่าจะผ่าตัด
ผมค่อนข้างตกใจมาก เพราะเป็นคนไม่เคยได้รับการผ่าตัด คิดว่าการผ่าร่างกายคนที่มีอายุมากขนาดนั้น เป็นความเสี่ยง เพราะเคยได้ยินคนพูดกันว่า การผ่าตัดตอนอายุมาก ก็เหมือนกับการเปิดช่องทางให้โรคภัยมันแสดงออกมาอย่างชัดเจน และที่สำคัญเป็นการผ่าตัดส่วนของร่างกายที่ใช้งานหนักสุด แต่ก็อ่อนไหวอย่าง...หัวใจ
วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม ผมไปเยี่ยมกับแฟน เธอบอกว่าการผ่าตัดสมัยนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว มีอุปกรณ์ทันสมัยมากขึ้น ปลอดภัยกว่าที่คิด แต่ผมฟังเรื่องรอยแผลจากการผ่า การนำเส้นเลือดจากส่วนอื่นของร่างกายมาแทน ก็ลมแทบจับ แต่ก็เบาใจมากขึ้น
แต่วันเดียวกันนั้นเองที่หมอผ่าตัดบอกว่าจะทำการผ่าตัดในเย็นวันจันทร์ ทางโรงพยาบาลบอกว่าเป็นแพทย์มือหนึ่งของประเทศ เมื่อแจ้งให้ญาติพี่น้องทราบ ทุกคนตกใจ ไม่นึกว่าจะฉุกละหุกขนาดนั้น แต่หมอบอกว่าเคสอย่างปู่ผมความเสี่ยงมีแค่ 1-5 % ไม่ต้องห่วง
อย่างไรก็ตามแฟนผมบอกข้อเท็จจริงว่าหมอคนนี้ไม่ได้ขึ้นชื่อว่ามือหนึ่งของประเทศจริงๆ และก็ให้คำแนะนำต่างๆ ในการดูแลหลังผ่าตัด พร้อมเอกสารกับญาติผู้ใหญ่ของเรา
ผมดีใจมาก ทั้งที่วันนั้นเครียด คุณปู่ท่านคุยกับผมและแฟนด้วยรอยยิ้มตลอด ดูมีกำลังใจมาก และปล่อยมุขกับหมอตอนที่ชี้ไปหาแฟนว่าคนนี้เป็นสะใภ้
แฟนผมคงดีใจมากกว่าเสียอีก เพราะครอบครัวผมเป็นคนจีน ส่วนเธอเป็นคนไทย เป็นอุปสรรคในการแต่งงานที่พวกเราฝันถึง
อย่างไรก็ตามการรับรอง และการสนับสนุนจากแฟนทำให้ผมหมดห่วง กลับบ้าน โดยไม่ได้เอะใจอะไร
ผมไม่ได้ไปดูการผ่าตัดในเย็นวันนั้น แต่ก็ได้รับคำตอบว่าไม่มีปัญหา การผ่าตัดเรียบร้อยดี คุณหมอจับแขนคุณปู่เขย่าให้ดูว่าท่านเริ่มรู้สึกตัวดีแล้ว
แต่แล้วบ่ายวันอังคาร ขณะกำลังทำงานอยู่ พี่ชายโทร.มาบอกว่าท่านคงไม่รอดแล้ว อาการเบาหวานกำเริบตอนเช้า หัวใจท่านหยุดเต้นมาครึ่งชั่วโมง ผมอยากจะร้องไห้ แต่ไม่มีน้ำตาจะไหล...ผมรีบบอกแฟนทันที แต่ก็ทำให้เราทะเลาะกันพอสมควร เพราะผมอารมณ์ขุ่นมัวไปหมด
แฟนผมตัดสินใจรีบมา ผมขอลางาน เรารีบออกเดินทางไปอย่างช้าๆ จนถึงโรงพยาบาล แล้วเราก็สวนกับหมอผ่าตัดคนนั้น
อารมณ์ผมตอนนั้นไม่อยากจะมอง ไม่อยากจะยกมือไหว้ แต่แฟนผมก็ทักคุณหมอ และถามความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อขึ้นไปถึง ญาติทุกคนมองมาพร้อมพูดว่า "อากงท่านไปแล้วนะ" หัวผมหมุนทำอะไรไม่ถูก เข้าไปดูร่างที่ไร้ชีวิต แต่เครื่องปั๊มหัวใจยังทำงานจนดูราวกับท่านยังหายใจ
ผมก็ไม่อยากโทษหมอ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ เพราะแฟนผมพูดกระตุ้นในเรื่องที่เราไม่ได้รับส่วนลดค่ารักษาเลยสักบาทเดียว ไม่ได้รับการประชุม-ปรึกษาที่ดีพอก่อนการผ่าตัด และคนไข้ยังมีสติดีก่อนการผ่าตัด ไม่เคยมีประวัติร้ายแรงอะไร
และที่สำคัญกับคำพูดความเสี่ยงในการผ่าตัดแค่ 1-5 % กับคนที่อายุถึง 86 ปี พูดออกมาได้ยังไง...มันรับไม่ได้จริงๆ เพราะเธอเองยังบอกว่าไม่เคยได้ยินหมอคนไหนเขาพูดแบบนี้ ขนาดกรณีที่ไม่น่าจะมีปัญหา ก็เคยได้ยินแค่ความเสี่ยง 10 % ขึ้นไป
ผมหงุดหงิด จนแฟนคิดว่าโกรธเธอ ยิ่งเธอพูดเรื่องความบังเอิญเกี่ยวกับวันที่คุณย่าและคุณปู่ผมเสีย ซึ่งผมเห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกันเลย ก็ยิ่งทำให้เราทะเลาะกันมากขึ้น
แต่ก็อธิบายให้เธอฟังว่า ผมโกรธหมอ โกรธโรงพยาบาล ญาติเกือบทุกคนรู้สึกว่าเราโดนหลอก
มันทำให้เราต้องทบทวนทุกอย่างกันอีกครั้ง ใช้สติไตร่ตรอง ในการใช้ชีวิตของตนเอง และคนรอบข้างให้มากขึ้น
และอย่าไปอุ่นใจกับคำพูดของใครบางคน เพราะหมอ...ก็แค่คนๆ หนึ่งเท่านั้น
| |
Create Date : 15 กรกฎาคม 2548 |
|
7 comments |
Last Update : 23 กรกฎาคม 2548 23:58:42 น. |
Counter : 861 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: zaesun 15 กรกฎาคม 2548 3:29:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: noom_no1 15 กรกฎาคม 2548 3:50:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: ีudomdog IP: 61.91.126.227 22 กรกฎาคม 2548 13:33:05 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
สมุทรปราการ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]
|
เป็นคนไม่เป็นโล้เป็นพายคนหนึ่งที่ติดอินเตอรเน็ต จนได้งานพอประทังเลี้ยงชีพ Blog นี้มอบให้แก่หญิงสาวที่ให้กำลังใจสำหรับความฝันอันริบหรี่ของผมมาตลอด ปัจจุบันเรียนโทจบแล้ว ทำงานหลายที่ หลักๆ ตอนนี้เพิ่งเริ่มเป็น Webmaster นิตยสารแห่งหนึ่ง ส่วนงานพิเศษคือลงข่าว และข้อมูลหนัง ดูแลเว็บให้กับ Popcornmag กับ เครือข่ายคนดูหนัง และเขียนวิจารณ์ภาพยนตร์ให้กับ Filmax
|
|
|
|
|
|
|