พิมพ์ครั้งที่ ๕ / พิมพ์ครั้งแรกแพรวสำนักพิมพ์, กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ความสุขของกะทิ โดย งามพรรณ เวชชาชีวะวรรณกรรมไทยที่ได้รับการแปลแล้ว 4 ภาษา ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และญี่ปุ่น ผู้อ่านจากหลากหลายประเทศได้รับอรรถรสมาแล้วไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาของเรื่องที่ลึกซึ้งกินใจ ภาษาที่สละสลวย บรรยากาศที่ดูงดงามน่าอยู่ จนวรรณกรรมเรื่องนี้ฝ่าวงล้อมของวรรณกรรมแฟนตาซีที่เต็มไปด้วยการตัดฉากฉับไว การต่อสู้ และเวทมนตร์คาถามาได้อย่างสง่าผ่าเผยล่าสุด ผู้แต่งเขียนภาคต่อ แพรวสำนักพิมพ์เป็นผู้พิมพ์ใหม่ในครั้งนี้ (เดิมเป็นแพรวเยาวชน) จึงมีการปรับปรุงปกใหม่และออกภาคแรกซ้ำเพื่อให้เข้าชุดกันปกเดิม พิมพ์ ๒๕๔๖ -->เรื่องราวใส ๆ เล่าจากมุมมองของ กะทิ ที่ค่อย ๆ พาเราไปรู้จักโลกของเธอ ที่บ้านริมคลอง บ้านชายทะเล และบ้านกลางเมืองเรื่องเล่าแบ่งเป็นตอนย่อย ๆ ที่นำเอาสิ่งของมาเป็นชื่อตอน เช่น กระทะกับตะหลิว, ปิ่นโต, กะละมังกับไม้หนีบผ้า, เรืออีแปะ, ศาลาริมน้ำ, ฯลฯ บางช่วงก็เป็นชื่อสิ่งมีชีวิต แต่ถ้าสังเกตให้ดี จะพบว่าชื่อสิ่งของที่นำมาใช้ในแต่ละช่วงเวลาจะเป็นของในหมวดหมู่เดียวกัน ...กลายเป็นอีกจุดที่อ่านแล้วเพลินดีแต่ละตอน จะมีประโยคหนึ่ง (ที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาในตอนนั้น) นำหน้า ประโยคนำนี้ทำให้เหมือนได้อ่านเรื่องราวอีกเรื่องที่ซ่อนอยู่ใต้ โลกของกะทิ ...เป็นจุดที่ตรึงให้สนใจอ่านตั้งแต่แรกแต่โดยรวม ถึงจะไม่มีรายละเอียดน่ารัก ๆ พวกนี้มาช่วย สำนวนการบรรยายเรื่องก็เรียกคะแนนได้อื้อซ่าอยู่แล้ว ภาษาในเรื่องละเมียดละไมและงดงามมาก เป็นหนังสือที่ สวย ไปหมด ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ตัวละคร ฉาก สำนวนการเขียนและพื้นเพตัวละคร ... สวยเกินไปจนครั้งแรกที่อ่านจบ ข้อติข้อแรกก็คือ กะทิ ดีเกินไป รู้จักคิดและตัดสินใจเป็น จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเด็กตัวแค่นี้ (บางที ผู้อ่านอาจแค่หมั่นไส้โลกสวยงามที่มีแต่คนรุมรักของเด็กกะทิก็ได้ค่ะ)เมื่อได้อ่านรอบสอง (ปกพิมพ์ใหม่ที่คลาสสิคเกินห้ามใจ ต้องซื้อซ้ำ) ก็ยังได้ข้อสรุปเดิม แล้วก็คิดว่าเป็นเรื่องที่วางฉากวางเหตุการณ์ทั้งหมดได้ลงตัวที่สุด จนแม้แต่ภาคต่อไป (ตอน ตามหาพระจันทร์) ก็ยังสู้ไม่ได้ ความสุขของกะทิ ตอน ตามหาพระจันทร์หัวใจดวงเล็กๆ ที่บอบช้ำจากความโศกเศร้าเพราะสูญเสียผู้เป็นที่รักย่อมต้องใช้เวลาถนอมรักษา และแน่นอนว่าต้องมี "ยาใจ" ที่ถูกต้อง การรับมือและจัดหาที่ทางให้ความเศร้าอยู่ร่วมในเนื้อชีวิตได้อย่างลงตัวจะช่วยให้ชีวิตดำเนินต่อไปอย่างไม่ช้ำตรมนัก ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่โลกของเด็กหญิงกะทิมีเสียงจากธรรมชาติริมคลองขับกล่อม รายล้อมด้วยผู้รักใคร่มีเมตตา และแน่นอนว่าสนุกสนานตามประสาเด็ก แม้ว่าการขาดแม่จะยังเป็นเงาสีเทาในชีวิตขอเชิญสัมผัสโลกใบเล็กนี้ที่ผู้อ่านเคยเยี่ยมชมและคุ้นเคยดีแล้วอีกครั้งมาเล่มนี้ เริ่มถูกใจว่ากะทิมีปฏิกิริยาแบบมนุษย์วัยเด็กหน่อย (ถึงจะยังไม่มากเท่าที่คิดว่าเด็กปกติเขาเป็นกันก็ตาม)แต่ที่ข้องใจคือประโยคนำที่โผล่มาทุกตอน ในเล่มนี้กลับไม่ใช่ประโยคจากน้ำเสียงตัวละครที่เราอ่านแล้วเดาได้ว่าใครพูด หากแต่เป็นสำนวนรักที่คล้ายเนื้อเพลงลูกทุ่งอย่างไรพิกล ... พลิกหลายรอบแล้วก็ยังเดาไม่ออกค่ะว่าใครพูด หรือไม่ใช่ใครทั้งนั้น ใส่มาเล่น ๆ (?)อ่านเพลิน ๆ เพื่อตามดูชีวิตหนูกะทิต่อค่ะ เล่มนี้มีเนื้อหามีพล็อตย่อยเยอะกว่าเล่มแรก แต่ความลงตัวของอารมณ์-เรื่อง..เล่มแรกดีกว่าค่ะ
ปกเดิม พิมพ์ ๒๕๔๖ -->