This's ME . . . นี่คือตัวฉัน
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2548
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
22 พฤษภาคม 2548
 
All Blogs
 
การต่อสู้ของรัฐปัตตานี ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน...ตอนสุดท้าย

ปัตตานี นครแห่งสันติ


เมืองปัตตานี เดิมมี ชื่อเรียก ว่า โกตามหลิฆัย คำ โกตา หมายถึง ป้อม กำแพง และเมือง คำ มหลิฆัย นั้น ให้ความหมาย ไว้สองนัย คือหมายถึง ปราสาท ราชมนเทียร อันเป็นที่ ประทับ ของราชวงศ์ ฝ่ายใน ที่เป็นสตรี และอีกนัยหนึ่ง หมายถึง รูปแบบ พระสถูป เจดีย์ ที่เรียกกัน ในเชิงช่าง ศิลปกรรม ว่า "สถูป ทรงฉัตรวาลี" เป็นสถูป แบบหนึ่ง ในศิลปะ สถาปัตยกรรม ทางพุทธ ศาสนา สมัย ศรีวิชัย

เมืองโกตามหลิฆัยนี้ ถูกทอดทิ้ง ให้ร้างไป ในสมัย ของพญาอินทิรา เนื่องจาก แม่น้ำ ลำคลอง หลายสาย ที่เคยใช้ เป็นเส้นทาง คมนาคม ระหว่าง เมืองโกตามหลิฆัย กับทะเล ได้ตื้นเขิน ทำให้ ไม่สะดวก ในการ ลำเลียง สินค้า เข้าออก ติดต่อ ค้าขาย กับพ่อค้า ต่างประเทศ ปี พ.ศ.๒๐๑๒ ถึง พ.ศ.๒๐๕๗พญาอินทิรา จึงย้ายเมือง โกตามหลิฆัย ไปสร้างเมืองขึ้นใหม่ บนบริเวณ สันทรายปากอ่าว เมืองปัตตานี อยู่บริเวณ หมู่บ้านบานา อำเภอเมือง ปัตตานี ในปัจจุบัน ประจวบกับ พญาอินทิรา ได้เปลี่ยน ศาสนา จากการ นับถือ ศาสนาพุทธ มารับ ศาสนา อิสลาม จึงให้นามเมือง ที่สร้างใหม่ เป็นภาษาอาหรับว่า “ฟาฎอนีย์ ดารุซซาลาม”หรือ "ปัตตานี ดารัสสลาม" แปลว่า "ปัตตานี นครแห่งสันติ" คล้ายคลึงกับชื่อประเทศ “บรูไน ดารุสสลาม” ซึ่งแปลว่า “บรูไน นครแห่งสันติ”
คำ "ปัตตานี" นี้ อาจจะมาจากคำ "ปฺตตน" ในภาษา สันสกฤต แปลว่า เมือง นคร กรุง ธานี ดังจะเห็น ได้จาก ชื่อเมืองหนึ่ง ของ อินเดียใต้ สมัย โบราณ คือเมือง "นาคปตฺตน" เมืองภัทรปตฺตน ในศิลา จารึก สดอกก๊อกธม ของเขมร และ ชื่อของผู้ว่าราชการ เมืองปัตตานี สมัยหนึ่ง ก็มีนามว่า "อำมาตย์ศรีพระปัตตนบุรี ศรีสมุทรเขต (เป๋า สุมนดิษฐ) อีกทั้ง ชื่อของ โรงเรียน สตรี ประจำ จังหวัด ปัตตานี ที่ตั้งขึ้น ในสมัยนั้น ก็ได้รับ การขนาน นามว่า "โรงเรียน สตรี เดชะ ปัตตนยานุกูล"

คำว่า “ปะฏานี”ในภาษาอาหรับ แปลว่า นักปราชญ์ ในภาษาบาลี สันสกฤต “ปตานี” แปลว่าหญิงที่เป็นใหญ่ ส่วนในภาษามลายูนั้น “ปะตานี”หมายถึงชาวนา




ราชวงศ์ศรีวังษา
ด้านเมืองปัตตานี ภายหลังจากพญาอินทิรา (INDIRA)ได้ขึ้นครองเมืองในระหว่างปี พ.ศ.๒๐๔๓ - ๒๐๗๓ และได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อจากพญาอินทิรา เป็น สุลต่าน อิสมาแอล ชาห์ ซึ่งเป็นต้นราชวงศ์ศรีวังษา ผู้นำองค์สุดท้ายของราชวงศ์ศรีวังษาที่ปกครองปัตตานี คือ รายากูนิง (RAJA KUNING) ที่ปกครองปัตตานีในระหว่างปี พ.ศ.2178 – 2194




สุลต่านปัตตานีมากรุงศรีอยุธยา
ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๗๓-๒๑๐๗ สุลต่าน มุฏ็อฟฟัร ชาห์ (ศรีสุลต่าน) ครองเมืองปัตตานี พระองค์ได้เสด็จมายังกรุงศรีอยุธยาเพื่อเปิดสัมพันธภาพกับประเทศไทย พงศาวดารปัตตานี ระบุว่า สุลต่านได้ถาม สมุหนายกของพระองค์ว่า "ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างถ้าเราจะไปอยุธยา เพราะพระเจ้ากรุงสยามนั้นมิใช่อื่นจากเรา อีกอย่างหนึ่งการที่สองประเทศ อยู่ด้วยกัน ดีกว่าเราอยู่อย่างโดดเดี่ยว" บรรดามนตรีก็เห็นดีด้วยเพราะจะทำให้ ฐานของพระองค์ สูงยิ่งขึ้นในสายตาของเมืองอื่นๆ
พงศาวดารไทยเขียนไว้ว่า ใน พ.ศ. ๒๑๐๖ เมื่อพระเจ้าบุเรงนองขอ งพม่า ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา พระยาตานีศรีสุลต่าน หรือ สุลต่าน มุชาฟาร์ ชาห์ (Sultan Muzafar Syah) ยกทัพเรือหย่าหยับ ๒๐๐ ลำจากปัตตานี มาช่วยกรุงศรีอยุธยารบกับพม่า พระยาตานีศรีสุลต่านเห็นทหารอยุธยาไม่เข้มแข็ง จึงเป็นกบฏยกกำลังเข้าไปยึดพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระมหาจักรพรรดิต้องทรงลงเรือศรีสักหลาดหนีไปเกาะมหาพราหมณ์ แต่พวกทหารอยุธยารวมกำลังกันไล่พวกพระยาตานีลงเรือหนีกลับไป สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงเสด็จกลับวังได้ สุลต่านมุชาฟาร์ สิ้นพระชนม์ ขณะเดินทางกลับ สุลต่านองค์นี้คือผู้ที่สร้างมัสยิดกรือแซะที่ปัตตานี
สุลต่านที่มีชื่อเสียงของปัตตานี องค์หนึ่งคือ มันศูรฺ ชาห์ หรือ มันโซร์ ชาห์ (Sultan Mansur Syah) โอรสองค์ที่สาม ของสุลต่าน อิสมาเอล ชาห์ ครองเมืองปัตตานี อยู่ แปดปีระหว่าง พ.ศ. 2107-2115 ( ค.ศ. 1564-1572) พระองค์มีโอรสและธิดารวมทั้งสิ้น 6 องค์ คือ เจ้าหญิงฮิเยา,เจ้าหญิงบีรู,เจ้าหญิงอูงู,เจ้าหญิงอามัส กรันจัง,เจ้าชายบะฮฺดูร และเจ้าชายบีมา (โอรสจากมเหสีคนที่ 2 ) เจ้าหญิงอูงู อภิเษก กับสุลต่านเมืองปะหัง ส่วนอามัส กรันจัง สิ้นชีวิตขณะที่ยังเล็ก ก่อนที่สุลต่านมันศูร ชาห์ จะสิ้นชีวิต พระองค์ได้ทรงสั่งเสียว่าขอให้ แต่งตั้งเจ้าชาย ปาติกสยาม โอรสของมุฏ็อฟฟัรฺ ชาห์ พระชนม์ ๕ พรรษา ขึ้นครองราชย์ต่อ




การนองเลือดในวังปัตตานี ระหว่าง พ.ศ. 2115-2127 (ค.ศ.1572-1584)
การที่สุลต่านมันศูรฺ ชาห์ ยกราชสมบัติให้ปาติกสยาม (Patik Siam)ขึ้นครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๑๕-๒๑๑๖ นั้น ทำให้ราชาบัมบัง (Raja Bambang)โอรสของมุฏ็อฟฟัรฺ ชาห์ ที่ประสูติจากมเหสีองค์ที่ 2 ไม่พอใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนั้น ปาติกสยามยังทรงพระเยาว์อยู่อยู่ ส่วนราชาบัมบังนั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว ในขณะที่สุลต่านมันศูรฺ ชาห์ยังมีชีวิตอยู่นั้น เจ้าเมืองสายพี่เขยของ พระองค์ที่มีนามว่า ราชาญะลาลได้สิ้นชีวิตลง พระองค์จึงแต่งตั้งให้ขุนนางคนหนึ่งไปเป็นเจ้าเมืองแทน และเชิญให้พระนางอาอิชะฮฺพี่สาวของพระองค์เสด็จกลับไปอยู่เมืองปัตตานี เมื่อปาติกสยามขึ้นครองราชย์ พระนางอาอิชะฮฺจึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ สุลต่านปาติกสยาม ครองราชย์ไม่ถึงหนึ่งปี เหตุการณ์นองเลือดครั้งแรกในราชวังปัตตานีก็เกิดขึ้น คือวันหนึ่งราชาบัมบัง พี่ชายต่างมารดา ของพระองค์เข้าไปในราชวัง เมื่อพระนางอาอิชะฮฺเห็นท่าทางของราชาบัมบังไม่ค่อย น่าไว้ใจ จึงเข้าไปป้องกันสุลต่านปาติกสยาม ราชาบัมบังจึงแทงทั้งพระนางและองค์สุลต่าน ปาติกสยาม ทั้งสองพระองค์พร้อมกัน เมื่อข่าวการสิ้นพระชนม์ แพร่ในวังแล้ว จึงมีการจับตัวราชาบัมบังมาประหารชีวิต เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1573 โอรสของสุลต่าน มันโชร์ ชาห์ ชื่อ บาฮาดูร์ ชาห์ ขึ้นครองเมืองแทน
ต่อมาในปี ค.ศ. 1584 ประวัติศาสตร์ปัตตานีซ้ำรอยอีก กล่าวคือ วันหนึ่งตอนเช้ามืดขณะที่ องค์สุลต่าน บาฮาดูร์ ชาห์ ตื่นจากบรรทมและออกไปที่ประตูพระราชวัง เจ้าชายบีมา พี่ชายต่างมารดาของพระองค์ ก็เข้าไปแทงพระองค์ทันที ทำให้องค์สุลต่านสิ้นชีวิต แล้วเจ้าชายบีมาก็ถูกปลงพระชนม์ ในขณะที่ขี่ช้างหนีออกจากพระราชวัง




สมัยรานีหญิง

สมเด็จ พระเจ้า บรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดำรง ราชา นุภาพ ทรงทำคำ อธิบาย เรื่องเมือง ปัตตานี ไว้ตอนหนึ่ง ความว่า "จดหมายเหตุ เก่าหลายเรื่องที่พวกพ่อค้าฝรั่ง ซึ่งไปมา ค้าขาย ครั้งแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ตลอดจน แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้จดไว้ กล่าวต้องกันว่าประเพณี การปกครอง เมืองปัตตานี มีการเลือก ผู้หญิง ในวงศ์ตระกูล เจ้าเมือง ซึ่งมี อายุมาก จนพ้นเขต ที่จะ มีบุตร ได้ เป็นนางพระยา ว่าราชการเมือง สืบๆ กันมา ประเพณี อย่างนี้ ใช้ใน บางเมือง ในเกาะ สุมาตราก่อน แล้วพวกเมือง ปัตตานี จึงเอาอย่าง มาใช้ เพิ่งเลิก ประเพณีนี้ ในชั้น กรุงศรี อยุธยา เป็นราชธานี ในตอนหลัง"

ประวัติเมือง ปัตตานี ฉบับอักษรยาวี ของนายหะยีหวันอาซัน บันทึกว่า เมืองปัตตานี ปกครอง โดยเจ้าหญิง เป็นครั้งแรก ในสมัย อยุธยา ระหว่างปี พ.ศ.๒๑๒๗ จนกระทั่ง ถึงปี พ.ศ.๒๒๒๗ ติดต่อ กัน ๔ องค์ด้วยกัน เจ้าหญิง องค์แรก ไก้แก่ เจ้าหญิง ฮียา (เจ้าหญิงเขียว) องค์ที่ ๒ ชื่อเจ้าหญิงบีรู (เจ้าหญิงน้ำเงิน) องค์ที่ ๓ เจ้าหญิงอูงู (เจ้าหญิงม่วง) องค์ที่ ๔ เจ้าหญิงกูนิง (เจ้าหญิงเหลือง) ซึ่งเป็น เจ้าหญิง องค์สุดท้าย แห่งวงศ์ โกตามหลิฆัย
หลังจากสุลต่านบะฮฺดูรสิ้นพระชนม์แล้ว ไม่มีรัชทายาทที่เป็นชายองค์ใดที่จะขึ้นครองเมืองต่อ ด้วยเหตุนี้เมืองปัตตานีจึงมีรานีครองเมืองหลายสมัย องค์แรกคือรานีฮิเยาขึ้นครองเมืองใน ค.ศ.1584 สมัยราชินีองค์นี้ มีการขุดคลองชลประทานหลายสาย กิจการค้าเจริญรุ่งเรือง ชาวต่างประเทศเข้ามาค้าขายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวโปรตุเกสและฮอลันดา ชาวเยอรมันคนหนึ่งชื่อ Mandel Slohe ไปถึงปัตตานีสมัยนั้น ได้บันทึกว่า "เมือง ปัตตานีเป็นเมืองที่บริบูรณ์ ชาวปัตตานีสามารถรับประทานผลไม้หลายชนิดในทุกๆ เดือน ไก่ที่นี่ ออกไข่วันละ2ครั้ง มีข้าวมากมีเนื้อหลายชนิดเช่น เนื้อวัว แพะ ห่าน เป็ด ไก่ ไก่ตอน นกยูง เนื้อกวางแห้ง กระจง และนกต่างๆ และผลไม้เป็นร้อยๆ ชนิด" ซึ่งแสดง ถึงปัตตานีในสมัยนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองมาก

รานีฮิเยา ครองเมือง ถึงปี ค.ศ.1616 ก็สิ้นพระชนม์ ชาวปัตตานีรุ่นหลังๆขนานนามพระนางว่า"มัรหูมตัมบังงัน"เนื่องจากพระนางเป็นผู้ให้ขุดคลอง จากบ้านกรีเซะไปยังท่าเรือตัมบังงัน เมื่อรานีฮิเยาสิ้นพระชนม์แล้ว รานีบิรูขึ้นครองเมืองต่อ ในสมัยนี้เอง องค์สุลต่านอับดุลเฆาะฟูรฺแห่งปะหังได้สิ้นพระชนม์ลง รานีบีรูจึงส่งคนไปรับเจ้าหญิงอูงูที่เป็นชายาของสุลต่านปะหังกลับมาอยู่ที่ปัตตานีพร้อมกับบุตรีที่ได้กับสุลต่านปะหัง รานีบีรูได้สั่งให้หล่อปืนหลายกระบอกเพื่อต้านศัตรู ปืนที่ใหญ่ที่สุดมี 3 กระบอก โดยมีชาวจีนฮกเกี้ยน แซ่ หลิม (หลิมโต๊ะเคี่ยม)พี่ชาย ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นนายช่างหล่อ ปืนใหญ่สองกระบอกแรกชื่อ "ศรีนาฆารา"(ศรีนคร) และ (ศรีปัตตานี) ยาว 3 วา 1 ศอก 1 คืบ 1 นิ้ว กระบอกที่สามเล็กสุดชื่อ"มหาลาลอ" หรือ "มหาเลลา" ยาว 5 ศอก 1 คืบ 9 นิ้ว ต่อมาในปี 1624 รานีบีรูสิ้นพระชนม์ รายาอูงูขึ้นครองราชย์ต่อ

ชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) มาเยือนปัตตานีสมัยนั้น ได้เขียนว่า"เมืองปัตตานีมี 43 แคว้น รวมถึงตรังกานูและกลันตัน แต่เมื่อโอรสของสุลต่านยะโฮร์ได้อภิเษกกับราชธิดา ของรายาปัตตานี เมือง ตรังกานูก็เข้าไปอยู่ภายใต้การปกครองของยะโฮร์ สุลต่านยะโฮร์ได้ส่งขุนนางคนหนึ่งไปครองที่นั่น ปัตตานี จึงเหลือเพียง 42 แคว้น....ปัตตานีมีเมืองท่าสองแห่งคือ กวาลาปัตตานี(เดี๋ยวนี้ชาวบ้านเรียกว่ากวาลารา หรือกวาลาโต๊ะอาโก๊ะ) และกวาลาบึเกาะฮฺ(ปากน้ำปัตตานีปัจจุบัน...)...พลเมืองปัตตานีในขณะนั้น มีชาย ผู้มีอายุเกิน 16 ปี รวมทั้งสิ้น 150,000 คน เมืองปัตตานีมีผู้คนหนาแน่น เต็มไปด้วยบ้านเรือน นับเป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง จากประตูราชวังจนถึงหมู่บ้านบานา(บันดัร)มีบ้านเรือน ไม่ขาดไม่สาย ถ้าหากแมวตัวหนึ่งเดินบนหลังคาบ้านเหล่านั้น จากราชวังจนถึงปลายสุด มันจะเดิน ได้ตลอดโดยไม่จำเป็นต้องเดินบนพื้นดินเลย..." ในปี ค.ศ. 1635 รานีอูงูสิ้นพระชนม์ และรานีกูนิงขึ้นครองเมืองปัตตานีต่อ




สมัยเลือกสุลต่าน

รานีกูนิงสิ้นพระชนม์ในราวปี ค.ศ. 1688 หลังจากนั้นไม่มีทายาทองค์ใดในราชวงศ์ศรีวังษาที่จะเป็นสุลต่านหรือรายาได้อีก ฝ่าย ขุนนางจึงตั้ง บาการ์(บากัล) ซึ่งเป็นเชื้อสายสุลต่านกลันตัน และเป็นขุนนางคนหนึ่งของปัตตานี อยู่ที่หมู่บ้าน"ตะโละ" ให้เป็นสุลต่าน แต่สุลต่านองค์นี้ครองปัตตานีได้เพียง 2 ปีก็สิ้นพระชนม์(ค.ศ. 1690) ชนรุ่นหลังขนานนามสุลต่านองค์นี้ว่า "มัรฮูม ตะโละ"ต่อมา บรรดาขุนนางได้เชิญโอรสของสุลต่านกลันตันมาเป็นสุลต่าน มีนามว่า อามัส กลันตัน ครองราชย์เป็นเวลา 17 ปี (1690-1707) ก็สิ้นพระชนม์ คนรุ่นหลังขนานนามว่า "มัรฮูมกลันตัน" โอรสของพระองค์ที่มีนามว่า อามัส จายัม ขึ้นครองเมืองต่อ แต่ครองอยู่เพียงสามปี(1707-1710)ก็ถูกขับจากตำแหน่งและแต่งตั้ง รานีเดวีขึ้นครองเมืองอยู่ 9 ปี(1710-1719) ก็อำลาจากบัลลังก์ บรรดา ขุนนางจึงแต่งตั้ง สุลต่านแห่งบึนดัง บาดัน ขึ้นครองเมือง อยู่ 4 ปี(1719- 1723) ถูกขุนนางคนหนึ่งชื่อ ลักษมะนาแห่งดายัง ขับจากตำแหน่ง และตั้งตัวเองเป็นสุลต่าน ปัตตานี แต่สุลต่านลักษณมะนาครองเมืองอยู่เพียง 11 เดือน ก็ถูกขุนนางอื่นๆ ขับ อีกและอัญเชิญสุลต่าน อามัส จายัม จากกลันตันซึ่งเคยครองเมืองมาแล้วในระหว่างปี ค.ศ. 1707-1710 ขึ้นครองเมืองปัตตานีอีกครั้งหนึ่ง สุลต่าน อามัส จายัม ครองเมืองอยู่ 2 ปี (1724-1726) ก็สิ้นพระชนม์ สุลต่าน อาลุง ยูนุส ขึ้นครองเมืองปัตตานี แทน มัสยิดกรือเซะ ซึ่งขณะนี้ยังสร้างไม่เสร็จก็เป็นมัสยิดที่สร้างในสมัย สุลต่าน อาลุง ยูนุสนี้เอง

สุลต่าน อาลุง ยูนุส ครองเมืองอยู่ 11 เดือนก็เกิดสงครามกลางเมือง ก็สิ้นพระชนม์ ใน ค.ศ. 1729 หลังจากนั้นบรรดาขุนนางต่างๆก็ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร เมืองปัตตานีจึงไร้สุลต่านผู้ครองเมืองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนถึงต่อมา ขุนนางคนหนึ่งอยู่ที่บ้านดาวัย(เดี๋ยวนี้อยู่ในอำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี) มีอิทธิพลขึ้นมา และตั้งตนเป็นผู้นำ ขนานนามว่า สุลต่านมุฮำหมัด เมืองปัตตานีนับแต่สมัยสุลต่านบาการ์เป็นต้นมาไม่มีศัตรูจากต่างประเทศมารบกวน เพราะสมัยนั้นประเทศใกล้เคียงกำลังปั่นป่วน มีการขบถและแย่งอำนาจ และเกิดสง ครามกลางเมืองขึ้นอีกด้วย




เมื่อปัตตานีอยู่ในราชอาณาจักรไทย

ปัตตานี เป็นส่วนหนึ่ง ของราชอาณาจักรสยาม มาตั้งแต่ กรุงสุโขทัย ในรูปของประเทศราช โดยทาง ราชธานี มอบ หมาย ให้เจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช คอยควบคุม ดูแล นโยบาย การเมือง อยู่อย่างหลวมๆ เพื่อมิให้ เจ้าผู้ครองนคร เอาใจ ออกห่าง เอนเอียง ไปข้าง ประเทศอื่นที่จะนำภัย มาสู่ ความมั่นคง ของ ราชอาณาจักร ดังจะ เห็น ได้จาก คำกล่าว ของ โทเมปีเรส์ ชาวโปรตุเกส ว่า "ผู้เป็นใหญ่ (ในการ บังคับ บัญชา ราชอาณาจักร) รองลง มา (จาก พระเจ้า แผ่นดิน) คืออุปราช แห่งเมืองนคร เรียกกัน ว่า "พ่ออยู่หัว" (Poyobya) เขาเป็น ผู้ว่าราชการ จาก ปาหัง ด้วย " หน้าที่ ของประเทศราช ที่มีต่อ ราชธานี ก็คือ การช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน ในการ ทำสงคราม กับ อริราช ศัตรู ที่ มา รุกราน และ ส่ง เครื่องราช บรรณาการ ดอกไม้ ทองเงิน ถวาย แก่ พระมหากษัตริย์ เป็นการ ถวาย ความจงรักภักดี ๓ ปีต่อครั้ง ส่วน อำนาจ การปกครอง ภายในเมือง นั้นๆ เจ้าผู้ครอง นคร มีอิสระ ที่จะ ดำเนินการ ใดๆ ได้ ภาย ใต้ ตัวบท กฎหมาย และ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ของแต่ละ ท้องถิ่น แต่ ไม่มีสิทธิ อำนาจ ในการ ทำ สนธิ สัญญา ใดๆ กับต่างประเทศ ก่อนจะได้รับ ความเห็นชอบ จากราชธานี
เมืองปัตตานีได้รวมเข้าเป็นหนึ่งในอาณาจักรอยุธยา เพราะอาณาจักร์ตามพรลิงค์ได้เข้ารวมกับอาณาจักรอยุธยา มีการส่งบุหงามาศหรือดอกไม้เงินดอกไม้ทองเข้ามาเป็นเครื่องบรรณาการ ๓ ปีต่อครั้ง แต่เมื่อ่ใดที่กรุงศรีอยุธยาอ่อนแอ ก็มักจะเกิดการแข็งเมืองอยู่เป็นประจำ มีการก่อกบฏขึ้นในพ.ศ. ๒๑๐๖ สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และระหว่างปี พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๑๗ สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระราช พงศาวดาร กรุงศรีอยุธยา ทุกฉบับ เรียกเมือง ปัตตานี ว่า เมืองตานี เรียกเจ้า ผู้ครอง นครปัตตานีว่า "พระยา ตานี ศรีสุลต่าน" บ้าง "นางพระยา ตานี" บ้าง
พ.ศ. ๒๑๔๔ (ค.ศ. ๑๖๐๑) ชาวฮอลันดา เริ่มเดินทางมาทางแหลมมลายูและปัตตานี มีการเขียนรายงานของฮอลันดาไว้ว่า ได้พบเรือสยามที่ไปค้าที่ปัตตานี พ.ศ. ๒๑๔๙ (ค.ศ. ๑๖๐๖) พ่อค้าชาวฮอลันดาเข้ามาติดต่อค้าขายในรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ โดยสร้างคลังสินค้าขึ้นที่ปัตตานีและอยุธยา
พ.ศ. ๒๑๗๙ (ค.ศ. ๑๖๓๖) บริษัทการค้าฮอลันดาส่งเรือรบ ๖ ลำ มาช่วยสยามโจมตีปัตตานี ที่แข็งเมือง โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือ ต้องให้ฮอลันดาผูกขาดซื้อหนังกวางและไม้ฝางเพื่อส่งไปขายต่างประเทศแต่ผู้เดียว เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๑๙๔ วันวลิต หรือ ฟานฟลีต พ่อค้าชาวฮอลันดา ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พร้อมกับ นายฟอน ซัม และนายมูรไดต์ สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงโปรดกระจกเงาบานใหญ่ที่วันวลิตนำไปถวายมาก พระราชทานช้างมีชีวิตให้ ๒ เชือกเพื่อส่งลงเรือไปปัตตาเวีย ต่อมาวันวลิตได้เดินทางไปปัตตานีและเข้าเฝ้านางพญาปัตตานี เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๑๙๕




ปัตตานีสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์

ในปี พ.ศ.๒๓๑๐ เมื่อตอนที่กรุงศรีอยุธยาแตกนั้น ปัตตานีได้ตั้งตัวเป็นอิสระเช่นเดียวกับชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ สมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จกรมพระราชบวรมหาสุรสิงหนาท พระยากลาโหมราชเสนา และพระยาราชบังสัน ได้ยกทัพสยาม ราว ๒๐,๐๐๐ คนทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งใช้เรือใบสำเภามีพลแจว รุกเข้าไปยังเมืองตานี กลันตัน ตรังกานู เคดาห์(เกอดะห์หรือไทรบุรี) และปีนัง (เกาะหมาก) ทำให้ปัตตานีเข้าอยู่ในอาณาจักรสยามอีกครั้ง สุลต่านมะหะหมัดหนีไปเมืองรามัณห์และสิ้นพระชนม์ในสนามรบ วังเจ้าเมืองและ มัสยิดกรือแซะอันศักดิ์สิทธิ์ถูกเพลิงไหม้ ต่อจากนั้นกองทัพสยามได้นำชาวปัตตานี และชาวมลายูทางใต้จำนวนนับแสนคนมาอยู่รอบกรุงเทพ คนมลายูพวกนี้ได้เป็นกำลังสำคัญในการขุดคลองแสนแสบเพื่อเป็นเส้นทางลำเลียงทหารไปยังกัมพูชา เมื่อขุดคลองเสร็จก็ตั้งบ้านเรือนทำนาเลี้ยงแพะวัวควาย และขายข้าวหมกไก่ โรตี มะตะบะ อยู่ในบริเวณสองฟากคลองแถบหนองจอก มีนบุรี และ แปดริ้ว จนถึงปัจจุบัน สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงตั้ง ตนกู ลับมิเด็น (ตนกูละมีดีน หรือ ตนกู เกาะมะรุดดีน)ซึ่งเป็นเชื้อสายของเจ้าเมืองปัตตานีเก่า เป็นรายาหรือเจ้าเมืองปัตตานีคนใหม่ แต่ให้อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าเมืองสงขลา ส่วนพระยาไทร พระยากลันตัน และ พระยาตรังกานู นั้นขอร่วมเป็นขัณฑสีมาต่อกรุงเทพฯ โดยดี
ปืนใหญ่ที่กองทัพไทยนำลงเรือสำเภามาจากปัตตานีในสมัยนั้น มีสองกระบอกด้วยกันคือกระบอกที่มีชื่อว่า "ศรีปัตตานี" กับ "กับศรีนาฆารา" ปืนใหญ่ที่ ชื่อ"ศรีนาฆารา ได้ตกลงไปในน้ำทะเลที่ท่าเรือหน้าเมืองปัตตานีระหว่างการขนส่งขึ้นเรือ ส่วนปืนใหญ่ "ศรีปัตตานี"ยาว ๓ วา ๑ ศอก ๑ คืบ ๒ นิ้วกึ่ง กระสุน ๑๑ นิ้ว หล่อด้วยสำริดนั้น ได้จารึกนามลงไว้ที่กระบอกปืนว่า “พระยาตานี” โดยตกแต่ง ลวดลายท้ายสังข์ขัดสีใหม่ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่หน้ากระทรวงกลาโหม กรุงเทพ
พ.ศ. ๒๓๒๙ สมัยรัชกาลที่ ๑ สยามเสียเกาะหมาก(ปีนัง) ให้อังกฤษ เพราะสุลต่านไทรบุรียกเมืองให้อังกฤษเพื่อให้พ้นจากการปกครองของสยาม
พ.ศ. ๒๓๓๒ ปีระกา พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ระบุว่า องเชียงสือ กษัตริย์ญวน ส่งหนังสือมากราบทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ว่า รายาเมืองตานี ให้นักกุดาสุงถือหนังสือชักชวนให้ยกทัพมาตีกรุงเทพฯ เพราะมีความพยาบาทอยู่กับกรุงเทพมหานครศรีอยุธยา แต่องเชียงสือมีความจงรักภักดีระลึกพระคุณเมื่อครั้งหนีพวกไกเซินมาอยู่กรุงเทพฯ ดังนั้นจึงทรงให้พระยากลาโหมราชเสนาเป็นแม่ทัพเรือยกไปตีเมืองตานี รายาเมืองตานีสู้มิได้ลงเรือหนีไป แต่ถูกจับได้ในกุฎีพระสงฆ์ในวัดแห่งหนึ่ง แล้วถูกนำตัวไปจำคุกไว้
พ.ศ. ๒๓๓๔ พวกเซี๊ยะ ซึ่งอยู่นอกพระราชอาณาเขต ได้ยกกำลังไปโจมตีเมืองสงขลา กรมการเมืองสู้ไม่ได้หนีไปอยู่เมืองพัทลุง พระยาศรีไกรลาศเจ้าเมืองพัทลุงหนีเข้าป่าไม่คิดต่อสู้ ทางกรุงเทพ ได้ส่งกำลังจากนครศรีธรรมราชไปช่วยสงขลา โจมตีพวกเซี๊ยะแตกพ่ายไป ส่วนพระยาพัทลุงถูกปลดและจำคุก
พ.ศ. ๒๓๕๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกฯ ทรงมอบให้เจ้าเมือง สงขลา เป็นผู้ ควบคุม ดูแล เมืองปัตตานี แทนเจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช พ.ศ. ๒๓๕๒ ไทรบุรีส่งทหารไปช่วยสยามรบกับพม่าที่เมืองถลาง
แบ่งปัตตานีเป็น๗หัวเมืองสมัยรัชกาลที่ ๒
ในพ.ศ. ๒๓๕๑ สมัยรัชกาลที่ ๒ ที่พระยายะหริ่ง (นายพ่าย) เป็นเจ้าเมือง ปัตตานี นั้น ได้แบ่งปัตตานีออกเป็นเมืองเล็กๆ เมือง เรียกว่า "บริเวณ 7 หัวเมือง" คือเมืองปัตตานี,หนองจิก,ยะหริ่ง,สายบุรี,ยะลา,รามัน และ ระแงะ โดยให้คนมลายูพื้นเมืองเป็นเจ้าเมือง ๖ เมือง คงมีคนไทยพุทธปกครองเพียงเมืองเดียว ดังนี้

1. ปัตตานี แต่งตั้งตวนสุหลง (ตูวันซูลง) เชื้อสายของดาตูปังกาลัน เป็นเจ้าเมือง
2. หนองจิก แต่งตั้งตวนนิ (ตูวันนิก) เป็นเจ้าเมือง
3. ยะหริ่ง แต่งตั้งนายพ่าย ซึ่งเป็นคนไทยพุทธ เป็นเจ้าเมือง
4. สายบุรี แต่งตั้งนิดะห์ (ขุนปลัดกรมการ) บ้านอยู่ที่ยี่งอเป็นเจ้าเมือง
5. ยะลา แต่งตั้งตวนยลอ (ตูวันยลอร์) เป็นเจ้าเมือง
6. รามัณห์ แต่งตั้งตูวันมันศูรฺ (ตวนหม่าโรฺส) ญาติของตวนยลอ บ้านอยู่ที่ โกตาบารู เป็นเจ้าเมือง
7. ระแงะ แต่งตั้งนิเด๊ะ น้องนิดะห์ (เจ้าเมืองสายบุรี) เป็นเจ้าเมือง

พระยายะหริ่ง (นายพ่าย) มีอำนาจควบคุมเมืองอื่นๆ อีกหกเมือง และขึ้นต่อเมืองสงขลา ต่อมาสมัยที่ต่วนสุหลงเป็นเจ้าเมืองปัตตานี ได้สร้างมัสยิดกรือเซะต่อจากที่ได้สร้างไว้แล้ว แต่ก็ยังสร้างไม่เสร็จจนถึงทุกวันนี้ พ.ศ.๒๓๕๖ สมัย ร.๒ พระยา กลันตัน ทะเลาะ กับพระยา ตรังกานู แล้วพระยา กลันตัน ขอไป ขึ้นกับ เจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช พ.ศ. ๒๓๖๐ (ค.ศ.๑๗๑๗) ตวนยลอเมืองยะลาสิ้นชีวิต ตวนบางกอก ผู้เป็นบุตรขึ้นเป็นเจ้าเมืองแทน




สงครามสมัยรัชกาลที่ ๓

ในปี พ.ศ. ๒๓๗๕ (ค.ศ.๑๘๓๒ ) สมัยรัชกาลที่ ๓ สยามได้ยกทัพไปตีปัตตานีอีกครั้งหลังจากเกิดความวุ่นวาย โดยนำ เชลยศึกไม่น้อยกว่า 4,000 คน มาอยู่ที่สนามควาย (ถนนหลานหลวง)ในกรุงเทพฯ ดังนั้นบริเวณดังกล่าวจึงเป็นแหล่งละครชาตรี และหนังตะลุงจากปักษ์ใต้ จากนั้นไม่กี่ปี นายพ่ายเจ้าเมืองยะหริ่งสิ้นชีวิต ทางสงขลาจึงโยกย้ายเจ้าเมืองยะลา(คนต่อมา) คือนายยิ้มซ้าย ให้ดำรง ตำแหน่งเจ้าเมืองยะหริ่งแทนนายพ่าย และแต่งตั้งนายเมืองบุตรนายพ่าย เป็นเจ้าเมืองยะลา

ปี พ.ศ. ๒๓๘๕ (ค.ศ. ๑๘๔๒ ) เกิดสงครามกลางเมืองที่กลันตันระหว่างทายาทเจ้าของเมืองด้วยกัน ไทยได้ส่งพระยาเสน่หามนตรี กับ พระสุนทรนุรักษ์ (บุญส่ง) ไปไกล่เกลี่ย ในระหว่างนั้นนายยิ้มซ้ายเจ้าเมืองยะหริ่งสิ้นชีวิต จึงย้ายนิยูซุฟ(เจ้าเมืองปัตตานีขณะนั้น) ไปเป็นเจ้าเมืองยะหริ่ง และเชิญตนกู มุฮำหมัด (ตนกู บึซาร์ หรือ ตนกูประสา) ซึ่งเกิด ขัดแย้งกับเจ้าเมืองกลันตัน จนเกิดสงครามกลางเมืองดังกล่าแล้ว มาเป็นเจ้าเมืองปัตตานีขนามนามว่า สุลต่าน มุฮำหมัด ตอนแรก สุลต่านมุฮำหมัดไปสร้างวังที่แหลมตันหยง ต่อมาสร้างวังไหม่ที่จะบังติกอ(วังที่มีอยู่เดี๋ยวนี้) นับตั้งแต่นั้นเมืองปัตตานีจึงมีสุลต่านเชื้อกลันตันปกครองเมืองอีกครั้งหนึ่ง ในปี พ.ศ. ๒๓๙๐ (ค.ศ. ๑๘๕๖) สุลต่านมุฮำหมัดสิ้นชีวิต ศพของพระองค์ถูกฝังที่สุสานตันหยงดาโต๊ะ ชาวปัตตานีรุ่นหลังจึงขนานนาม พระองค์ว่า "มัรหูม ตันหยง" และมีผู้ได้แต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองต่อๆมาหลายรุ่น
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๘๘ สมัยรัชกาลที่ ๓ ศูนย์กลางการปกครองของเมืองปัตตานี ได้ย้ายมาอยู่ที่จะบังติกอ สถานที่สำคัญในสมัยนั้น ได้แก่ วังจะบังติกอ มัสยิดรายา สุสานโต๊ะอาเยาะ ย่านถนนหน้าวัง แหล่งผลิตเครื่องทองเหลือง ฯลฯ

ตลาดการค้าของเมืองปัตตานี เก่า อยู่ที่หัวตลาดบริเวณอาเนาะรู (ต้นกล้าสน) และถนนปัตตานีภิรมย์ เป็นย่านชาวจีนหรือไชน่าทาวน์ในสมัยนั้น สถานที่ที่สำคัญของชาวจีน คือ ศาลเจ้าเล่งจูเกียง บ้านทรงจีนของหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง บ้านพระจีนคณานุรักษ์ และบ้านหลวงสุนทรสิทธิโลหะ ฯลฯ
ตั้งพระยาไทรบุรี สมัยรัชกาลที่ ๔

มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๙๘ พระยาไทรบุรี ตวนกู แดอี รายาแห่งเคดะห์ ซึ่งเป็นโอรสของ รายามะระฮุ่ม อดีตรายาแห่งเคดะห์ ได้ทำหนังสือกราบทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ท่านได้ล้มเจ็บด้วยโรคเรื้อรัง จึงขอให้บุตรชายคนโต คือ ตวนกู อาห์มัด เป็นรายาแห่งเคดะห์ แทน ซึ่งได้ทรงอนุญาตตามคำขอ และพระราชทานบรรดาศักดิ์ ให้ตวนกู อาห์มัด เป็นพระยา ฤทธิสงครามภักดี ศรีสุรธรรมมหาราชา มุนินวรวงศา พระยาไทรบุรี และทรงตั้งน้องชาย ตวนกูดิว เป็น พระเคได สวรินทร์ รองผู้ว่าการรัฐเคดะห์




ชายแดนใต้ สมัยรัชกาลที่ ๕

ด้วยลักษณะ รูปแบบ การปกครอง ที่หละหลวม และ การ คมนาคม ที่ห่างไกล จากศูนย์กลางการปกครอง บริเวณชายแดนภาคใต้จึงยากแก่การ ควบคุมจากเมืองหลวง อีกทั้ง ผู้คน ก็มีความ แตกต่างกัน ในทาง วัฒนธรรม ด้านภาษา ศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณี ดังนั้นเมื่อใดที่ สถานการณ์ เปิดโอกาส บรรดา ดินแดนเหล่านี้ ก็จะหาทางแยกตัวออกเป็น อิสระหรือไม่ ก็หันเห ไปอยู่ ในความปกครองของผู้ที่ เข้มแข็งกว่า เช่น ขณะที่พระเจ้า ปราสาททองทรงขึ้นครองราชย์นั้น เมืองนครศรี ธรรมราช สงขลา และ ปัตตานี ก็พากัน แข็งเมือง ดังนั้น พระบาท สมเด็จ พระจุลจอมเกล้าฯ จึง ทรงเล็งเห็น ว่า หากปล่อย ให้มี การปกครอง (แบบกินเมือง) โดยเจ้าเมือง มี อิสระ อย่างเดิม จะเป็นเหตุ ให้พวกอังกฤษ หยิบฉวย โอกาส นำไป เป็นข้ออ้าง ถึงความ ไร้สมรรถภาพ ทางด้าน การปกครอง ของไทย แล้วนำดินแดนไปอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ทั้งนี้ เพราะมี ชาวเมือง รามันห์ เมืองยะหริ่ง เมืองระแงะ ได้ร้องเรียน กล่าวโทษ เจ้าเมืองว่า ใช้อำนาจ โดยไม่ชอบธรรม กดขี่ ข่มเหง ราษฎร อยู่เสมอ

จึงทรงคิด แผนปฏิรูป การปกครอง นำมาใช้ ปกครอง บริเวณ ๗ หัวเมือง ขึ้นใหม่ ในปี พ.ศ.๒๔๓๙ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลดี ยิ่งขึ้น
พ.ศ. ๒๔๔๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแต่งตั้งให้ พระณรงค์วังษา เป็นเจ้าเมืองรามันห์ ซึ่งมีเรื่องวุ่นวายหนักกว่าเมืองอื่น และเป็นเมืองต่อแขวงที่อาจเกิดความได้เป็นนิตย์
และทรงยกเงินค่าหางข้าวน้ำมันดินให้สำหรับทำบ้าน ทรงตั้งขุนรองมนตรีเป็นขุนราชมนตรี หะยีมะดงเป็นหมื่นศรีปะกุดา มีการจัดตั้งอำเภอแม่หวาดในเมืองรามันห์ขึ้นใหม่

ต่อมาเจ้าเมืองต่างๆทั้ง๗ หัวเมือง ไม่พอใจการปกครองของกรุงเทพฯ เจ้าเมือง ปัตตานี คือตนกูอับดุลกาเดร์ หรือพระยาวิชิตภักดี ได้ขัดขืนพระบรมราชโองการ ไม่ยอมให้เจ้าพนักงานของรัฐบาลสยามมาปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบการปกครองแผนใหม่ พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงปลดตนกูอับดุลกาเดร์ออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองปัตตานี และนำตัวไปกักกันบริเวณไว้ที่จังหวัดพิษณุโลก ในปี พ.ศ.๒๔๔๕ เป็นเวลา ๒ ปี ครั้นถึงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๔๔๗ ตนกูอับดุลกาเดร์ ได้รับพระราชทานอภัยโทษให้ กลับมาอยู่เมืองปัตตานีได้ หลังจากนั้น ตนกูอับดุลกาเดร์ ก็อพยพไปอยู่ในรัฐกลันตัน เพราะเป็นญาติกับสุลต่านแห่งรัฐกลันตัน จนกระทั่งถึงแก่กรรมลงในปี พ.ศ.๒๔๗๖ ส่วนเจ้าเมืองระแงะ ถูกเนรเทศไปสงขลา

ในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีเหตุไม่สงบเกิดขึ้นในท้องที่ต่างๆในภาคใต้ โดยมักจะมีผู้กล่าว พาดพิงไปว่า เบื้องหลังของเหตุการณ์ เนื่องมาจากการสนับสนุนของบรรดาเจ้าเมืองเก่าที่เสียผลประโยชน์ แต่อาจจะเป็นผลมาจากความบกพร่องของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองท้องที่อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ดังที่สมเด็จพระ พุทธเจ้าหลวงทรงบันทึกไว้ว่า "เราไม่สันทัดทางพูดและทำ ในการที่จะปกครองชาติอื่น มันจะตกไปในที่ กลัวไม่ควร กลัว กล้าไม่ควรกล้า ทำในทางที่ไม่ควรจะทำ ใจดีในที่ไม่ควรจะใจดี ถ้าจะใจร้ายขึ้นมาก็ใช้ถ้อยคำไม่พอที่จะ เกลื่อนใจร้ายให้ปรากฏว่า เพราะจะรักษาความสุขและประโยชน์ของคนทั้งปวง ไม่รู้จักใช้อำนาจในที่ควรจะใช้ การ ที่จะทำได้โดยตรงๆ ก็เกรงอกเกรงใจอะไรไปต่างๆ โดยไม่รู้จักที่จะพูดและหมิ่นอำนาจตัวเอง เมื่อได้เห็นการเป็น เช่นนี้นึกวิตกด้วยการที่จะปกครองเมืองมลายูเป็นอันมาก ขอให้เธอกรมดำรงตริตรองดูให้จงดี" (ม.๓/๔๙ พระราชหัตถเลขาของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึงกรมหลวงดำรงราชานุภาพ ๖๐/๒๗๗ วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๔๔๗)
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ อาณาจักรสยามได้แบ่งการปกครองเป็นมณฑล โดย บริเวณ ๗ หัวเมืองของปัตตานีได้เป็นมณฑลหนึ่งของประเทศสยาม แยกออกจากมณฑลนครศรีธรรมราช โดยใช้ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล มีพระยาศักดิ์เสนี (หนา บุนนาค)เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลคนแรก
พ.ศ.๒๔๕๑ สมัยรัชกาลที่ ๕ สยาม ยกรัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี และปะลิส ให้แก่ อังกฤษ
๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ เกิดความวุ่นวายต่อต้านรัฐบาลที่ปัตตานี เจ้าหน้าที่รัฐบาลจับกุม หะยีบุละ หัวหน้าผู้ก่อการได้ แต่เจ้าหน้าที่ต้องบาดเจ็บหลายคนจากการปะทะกันอย่างรุนแรง
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ได้มีการยุบเลิกมณฑลปัตตานีแล้วรวมเข้ากับมณฑลนครศรีธรรมราชดังเดิม มีการเปลี่ยนคำว่า "เมือง" เป็น"จังหวัด" ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ วัน๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๔ ได้ยกเลิกมณฑลปัตตานี และยุบจังหวัดสายบุรีลงเป็นอำเภอขึ้นต่อจังหวัดปัตตานี


ตั้งจังหวัดนราธิวาส ที่บ้านบางนรา สมัยรัชกาลที่ ๖
แต่เดิม บ้านบางนรา หรือ มะนาลอ เป็นเพียงหมู่บ้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางนราใกล้กับทะเล ในสมัยรัชกาลที่ ๑ บ้านบางนราถูกจัดอยู่ในเขตปกครองของเมืองสายบุรี ครั้นต่อมาเมื่อปัตตานีได้รับการยกฐานะเป็นมณฑล บ้านบางนราจึงย้ายมาสังกัดเมืองระแงะที่อยู่ในมณฑลปัตตานี กระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๔๙ สมัยรัชกาลที่ ๕ บ้านบางนราได้เจริญเป็นชุมชน ใหญ่ มีการค้าทั้งทางบกและทะเลคึกคักมาก จึงได้ย้ายที่ว่าการจากเมืองระแงะมาตั้งที่บ้านมะนาลอ และในพ.ศ. ๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาถึงบางนรา และได้พระราชทานชื่อ “นราธิวาส” แปลว่า “ที่อยู่ของคนดี”




ชายแดนใต้ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕

พ.ศ. ๒๔๗๖ หลวงประดิษฐ์มนูธรรมหรือปรีดี พนมยงค์ มันสมองของคณะราษฎร์ ได้แต่งตั้งนายแช่ม พรหมยงค์หรือหัจญีชำชุดดีน เป็นจุฬาราชมนตรีคนแรกของชาวมุสลิมนิกายซุนหนี่ เพราะจุฬาราชมนตรีทั้ง ๑๓ คนที่แล้วมาล้วนแล้วแต่เป็นมุสลิมนิกายชีอะห์ทั้งสิ้น




หะยี สุหลง

พ.ศ. ๒๔๙๐ หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ ประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี (บิดาของนายเด่น โต๊ะมีนา วุฒิสมาชิก พ.ศ. ๒๕๔๗) ซึ่งเป็นครูสอนศาสนา เรียนจบมาจากเมกกะ เป็นผู้ตั้งโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแบบใหม่แห่งแรกของปัตตานี ชื่อ มัดซาเราะห์ อัลมูอารีฟ อัลวาฎอนียะฮ์ปัตตานี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ ที่ตำบล อาเนาะรู โดยได้รับเงินสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรี พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา หะยีสุหลงได้ ยื่นข้อเรียกร้อง ๗ ข้อต่อรัฐบาลของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ขอให้ ๔ จังหวัดเป็นแคว้นหนึ่ง ที่มีผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดเป็นมุสลิมจาก ๔ จังหวัด มีอำนาจแต่งตั้งและปลดข้าราชการได้ ขอให้เลือกคนมุสลิมมาเป็นข้าราชการ ใช้ภาษามลายูและภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ใช้กฎหมายมุสลิม และตั้งกรรมการมุสลิมดำเนินการเกี่ยวกับคนมุสลิมทุกเรื่อง ต่อมา พ.ศ. ๒๔๙๑ หะยีสุหลงถูกจับกุมข้อหาพิมพ์ใบปลิวกล่าวร้ายต่อรัฐบาล ศาลตัดสินจำคุก ๔ ปี เมื่อพ้นโทษออกมา หะยีสุหลงและลูกชายถูกอุ้มไปฆ่าถ่วงน้ำทะเลสาบสงขลา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ หะยีอามีนบุตรชาย ซึ่งเคยเป็น สส.ปัตตานี ถูกจับข้อหาขบถเพื่อแบ่งแยกดินแดน หนังสือต่างๆถูกเผา เมื่อได้รับการปล่อยตัว หะยีอามีนลี้ภัยไปอยู่กลันตัน




หมู่บ้านดูซงยอ

๒๕ เมษายน ๒๔๙๑ เกิดการปะทะกันที่หมู่บ้านดูซงยอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ทำให้ประชาชนเสียชีวิตไป ๓๐ คน ตำรวจเสียชีวิต ๕ คน ผู้ก่อการเป็นชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ทำให้มีผู้สงสัยว่าอาจจะมาจากปอเนาะแห่งใดแห่งหนึ่งในบริเวณใกล้เคียง




สะพานกอตอ

๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๘ ชายมุสลิม ๕ คนถูกฆ่าโดยผู้แต่งกายคล้ายทหาร แล้วเอาศพไปชดทิ้งที่สะพานกอตอ แม่น้ำสายบุรี แต่มีเด็กชาย สือแม บราแซะ ที่เห็นเหตุการณ์หนีรอดมาได้ วันที่ ๑๑ ธันวาคม ชาวมุสลิม ๕ หมื่นคน ชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัดปัตตานี เรียกร้องให้จับคนร้ายมาลงโทษ และให้ถอนทหารออกไปจากสามจังหวัดภาคใต้ ๑๓ ธันวาคม มีระเบิดลงที่หน้าเวทีชุมนุม มีคนตายไป ๑๒ คน บาดเจ็บ ๒๕ คน อีกไม่กี่วันต่อมา ชาวยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และสงขลา ก็จัดชุมนุมใหญ่ราว ๕ แสนคนที่หน้ามัสยิดกลางปัตตานี ขอพบนายกรัฐมนตรี มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายปรีดา พัฒนฐาบุตร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางไปเจรจา โดยยอมถอนทหารด่านวัดเชิงเขาไปอยู่ที่อื่น ยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้บาดเจ็บและญาติผู้ตาย ทำให้เหตุการณ์ยุติลงเมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๙




เผาโรงเรียน

วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ระหว่างเวลา ๐๒.๐๐-๐๓.๐๐ น. ได้มีคนร้ายวางเพลิง
เผาโรงเรียนประถมศึกษา ๓๖ แห่งพร้อมกัน ในจังหวัด ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และ สงขลา มีการจับผู้ต้องหาส่งฟ้องศาล แต่ศาลตัดสินปล่อยตัวให้พ้นข้อหาเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ




จำคุกผู้นำขบวนการพูโล

พ.ศ. ๒๕๔๑ ประเทศมาเลเซียจับหัวหน้าขบวนการพูโล (PULO Pattani United Liberation Organisation) ที่รัฐกลันตัน จำนวน ๔ คน แล้วส่งตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทยในข้อหากบฏแบ่งแยกดินแดน คือ อับดุล ราห์มาน บาโซ หรือ หะยี บือโด เบตง อายุ ๖๓ ปี หัวหน้าขบวนการพูโลใหม่ (Abdul Rahman Bazo , Head of PULOS military wing) หะยี ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ อายุ ๔๓ ปี หัวหน้าฝ่ายทหาร ( Hadi Da-Oh Thanam , Military Head of the mainstream Pulo ) นายสะมะแอ ท่าน้ำ Sama-ae Thanam นายอับดุล เราะห์มาน อับดุลกาเดร์ Mr Abdul Kadir.
ศาลอาญาได้พิพากษาคดีที่อัยการ ฟ้องนายหะยี ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ หัวหน้ากองกำลังติดอาวุธขบวนการพูโล อายุ ๔๕ ปี นายหะยี บือโด เบตง ประธานขบวนการพูโลใหม่ อายุ ๖๕ ปี นายอับดุล เราะห์มาน บิน อับดุลกาเดร์ อายุ ๕๔ ปี สมาชิกขบวนการพูโล นายหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ อายุ ๕๑ ปี หัวหน้ากองกำลังติดอาวุธขบวนการพูโล และ นายยามี มะเซะ อายุ ๓๑ ปี สมาชิกขบวนการพูโล ร่วมกันเป็นจำเลยที่ ๑ - ๕ ตามลำดับในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฎเพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักร สะสมกำลังพลและอาวุธ สมคบกันเป็นซ่องโจร
คำฟ้องสรุปว่า เมื่อปี ๒๕๑๑ ได้มีกลุ่มบุคคลซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม สมคบกันก่อตั้งองค์การทางการเมืองขึ้น ชื่อองค์การปลดแอกแห่งชาติปัตตานี หรือ ขบวนการแบ่งแยกดินแดงพูโล มีวัตถุประสงค์ที่จะแบ่งแยกดินแดนใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้คือ จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และบางส่วนของ จังหวัดสงขลา ออกจากประเทศไทยเพื่อสถาปนาเป็นรัฐอิสระปกครองตนเองโดยไม่ขึ้นอยู่ภายใต้การปกครองของไทย โดยมีพฤติการณ์สะสมกำลังพลและอาวุธ และก่อวินาศกรรมตามสถานที่ราชการ ต่างๆ เช่น ศาลากลางจังหวัด สถานีตำรวจ สถานีรถไฟ โรงแรม เผ่าอาคารสถานที่ต่าง ๆ เช่นโรงเรียน เป็นต้น รวมทั้งการใช้อาวุธ ยิงประทุษร้ายข้าราชการ พ่อค้าประชาชน เป็นต้น ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ ๑, ๒ , ๓ และ ๔ ให้การรับสารภาพ ส่วนในชั้นศาลจำเลยทั้งหมดแถลงให้การปฏิเสธ

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความแล้วรับฟังได้ว่า จากคำเบิกความของเจ้าหน้าที่ระบุว่า การก่อเหตุวินาศกรรม วางระเบิดสถานที่ราชการภาคใต้ พบจดหมาย ๒ แผ่น ซึ่งเขียนด้วยลายมือเป็นภาษายาวี มุมบนด้านซ้ายของกระดาษ มีสัญญาลักษณ์รูปดาบไขว้ อันเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มโจรพูโลใหม่ ส่วนลายมือชื่ออักษรภาษาอังกฤษตัว A หมายถึงชื่อของจำเลยที่ ๑ เมื่อมีการจับกุมตัวจำเลยที่ ๑ ได้ ก็รับสารภาพว่าเป็นสมาชิกกลุ่มโจรพูโลจริง แต่ต่อสู้คดีว่าถูกบุคคลอื่นนำชื่อไปใช้เพื่อก่อความไม่สงบ และเรียกค่าคุ้มครอง
นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายนาวาวี ยะหริ่ง กับนายยูโซ๊ะ ปากีสถาน อดีตสมาชิกขบวนการโจรพูโลที่ กลับใจเข้ามอบตัวกับทางราชการเบิกความว่า วัตถุประสงค์ในการก่อตั้งกลุ่มโจรพูโล เพื่อต้องการแบ่งแยกดินแดน ๕ จังหวัดภาคใต้ เป็นรัฐอิสระ ซึ่งใช้วิธีการทำลายสถานที่ราชการและเรียกค่าคุ้มครองจากประชาชน โดยมีจำเลยที่ ๑ เป็นหัวหน้ากองกำลังติดอาวุธ และ จำเลยที่ ๔ เป็นผู้บัญชาการกองทหารในประเทศเพื่อนบ้าน และได้เรียกประชุมสมาชิกเพื่อก่อความไม่สงบ รวมทั้งมีการพูดศึกษาวิธีก่อการร้าย แต่พยานไม่ได้รับปากว่าจะร่วมด้วย แต่ต่อมาวันที่ ๙ ต.ค. ๓๖ ขบวนการโจรพูโลได้ปะทะกับเจ้าหน้าที่ ที่ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส โดยลูกน้องของจำเลยที่ ๑ เสียชีวิต และเจ้าหน้าที่พบภาพถ่าย ๗-๘ ภาพ ซึ่งหนึ่งในภาพดังกล่าวมีรูปคล้ายจำเลยที่ ๑ ร่วมอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีภาพธงสัญญาลักษณ์ของกลุ่มโจรพูโล พยานยังระบุอีกว่าจำเลยที่ ๑ เคยให้พยานใช้ปืน เอ็ม. ๑๖ ยิงทหารพรานเสียชีวิตด้วย

ขณะเดียวกันโจทก์ก็มีพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อธิบดีกรมตำรวจขณะนั้น เบิกความว่า หลังเกิดเหตุเผาอาคารโรงเรียนและสถานีตำรวจแล้ว ได้สั่งให้ตำรวจสันติบาลร่วมกับตำรวจพื้นที่สืบหาตัวคนร้ายจนกระทั่งปี ๔๑ สามารถจับกุมจำเลยที่ ๑-๓ ได้ ซึ่งในชั้นสอบสวนจำเลยรับสารภาพว่า เป็นสมาชิกกลุ่มโจรพูโลใหม่และได้อธิบายถึงโครงสร้าง การดำเนินงานของกลุ่มโจรพูโลใหม่ โดยบันทึกเทปวีดีโอไว้ด้วย อีกทั้งจำเลยที่ ๑ ยังเขียนคำแถลงการณ์เป็นภาษา ยาวี ถึงเพื่อนร่วมขบวนการให้ยุติการกระทำอันรุนแรง การสารภาพของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นการกระทำด้วยความสมัครใจที่จะให้ข้อมูลแก่พนักงานสอบสวน จากการตรวจร่างกายไม่พบบาดแผลที่ถูกทำร้ายตามที่จำเลยที่ ๑ นำมาเป็นข้ออ้าง พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหัวหน้ากองกำลังติดอาวุธโดยร่วมสมคบกับพวกตั้งแต่ ๕ คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดตามฟ้องจริง

ส่วนจำเลยที่ ๒ มีพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองเบิกความว่า เป็นประธานกลุ่มโจรพูโลใหม่ ชักชวนและหาสมาชิกเข้ากลุ่ม เมื่อก่อการร้ายสำเร็จก็จะให้รางวัลตอบแทน ต่อมามีการวางระเบิดที่ จังหวัดยะลา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม นายมะหิซอ เดบ็อก ได้พร้อมจดหมายระบุว่าจำเลยที่ ๒ มีคำสั่งให้วางระเบิด ส่วนที่จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่าถูกเจ้าหน้าที่ข่มขู่เพื่อให้รับสารภาพนั้นจำเลยไม่มีพยานหลักฐานมาต่อสู้ จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ ร่วมกับพวกกระทำผิดตามฟ้อง

สำหรับจำเลยที่ ๓ ตำรวจสันติบาลพยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ ๓ เคยเป็นอดีตรองประธานกลุ่มโจรพูโล อำเภอเบตง จังหวัดยะลา มีหน้าที่หาสมาชิกเพื่อเข้าร่วมขบวนการเช่นเดียวกับจำเลยที่ ๒ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าจำเลยที่ ๓ มีส่วนร่วมในการวางระเบิดอย่างไร โดยโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นยืนยันว่าจำเลยที่ ๓ ร่วมกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง

ส่วนจำเลยที่ ๔ มีพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ตำรวจภูธรภาค ๙ เบิกความระบุว่าจำเลยที่ ๔ เป็นผู้บัญชาการกลุ่มโจรพูโลในประเทศเพื่อนบ้าน โดยร่วมกับ นายดอเลาะห์ กับพวก ๘ คน ได้ประทุษร้าย ข้าราชการครูตำรวจ จังหวัดปัตตานี ซึ่งภายหลังถูกจับกุมแล้วสารภาพว่าร่วมกันเป็นกบฏจริง นอกจากนี้จำเลยที่ ๔ ยังให้ความร่วมมืออธิบายถึงโครงสร้างการปฏิบัติงานของกลุ่มโจรพูโล ซึ่งมีการบันทึกเทปวีดีโอไว้ จึงน่าเชื่อว่า จำเลยที่ ๔ ให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจใน
ส่วนของจำเลยที่ ๕ โจทก์ มีนายมะหิซอ เดบ็อก อดีตสมาชิกกลุ่มโจรพูโลเบิกความตามคำบอกเล่าระบุว่าจำเลยที่ ๕ เป็นสมาชิกกลุ่มพูโล เคยตั้งค่ายต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมายืน ซึ่งจำเลยก็ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่อาจรับฟังพยานโจทก์ได้ว่าจำเลยที่ ๕ ได้ร่วมกับพวกเป็นกบฎ
ศาลอาญา พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยที่ ๑,๒ และ ๔ กระทำผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ สะสมกำลังพลและอาวุธ โดยมีเจตนาเพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักร ให้ลงโทษในความผิดฐานเป็นกบฏ อันเป็นโทษหนักสุด ระวางโทษประหารชีวิต แต่ในชั้นสอบสวนพวกจำเลยให้การที่เป็นประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ คงรับโทษจำคุกตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ ๓ และ ๕ พิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยที่ ๓ ไว้ระหว่างอุทธรณ์

กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ เจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยปราบปราบขบวนการพูโลอย่างหนัก หัวหน้าขบวนการฝ่ายทหาร คือ Saarli Taloh-Meyaw ถูกฆ่าตาย เดือนเมษายน ๒๕๔๓ ตำรวจจับรองหัวหน้ากลุ่มบีอาร์เอน Barisan Revolusi Nasional (BRN) ได้ที่ปัตตานี




สมาชิกมูจาฮีดีนคนสำคัญถูกวิสามัญฆาตกรรม

สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ มีการปะทะกันที่ปัตตานี ระหว่างตำรวจกับสมาชิกกลุ่มมูจาฮีดีน ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 3 นาย และบาดเจ็บอีก 6 คน สมาชิกคนสำคัญของมูจาฮีดีน เสียชีวิตระหว่างการปะทะ คือ นายมาหะมะ แมเราะหรือเปาะซู และ นายนาเซ เจ๊ะเด หรือเซสะนิง ต่อมาฮัจยีลุกมาน บิน ลิมา รองประธานขบวนการพูโลออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้รัฐบาลถอนกำลังติดอาวุธ ออกจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังเกิดเหตุการณ์ปะทะกัน จนทำให้คนสำคัญของมูจาฮีดีนถูกวิสามัญฆาตกรรมที่ จ.ปัตตานี แถลงการณ์ระบุว่า สงครามระหว่างคนปัตตานีกับรัฐบาลไทยเปรียบเสมือนการต่อสู้ระหว่างช้างกับยุง ซึ่งยุงไม่สามารถทำความรำคาญช้างได้ แต่ที่ผ่านมาช้าง (รัฐบาลไทย) พยายามมองยุงหรือคนปัตตานีเป็นสิ่งทิ่มแทงใจช้างตลอดเวลา จึงทำให้เรียกยุงว่าเป็นโจรหรือกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งที่ผ่านมาไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าไม่มีใครที่ไม่อยากได้อิสรภาพและปัตตานีก็เช่นเดียวกัน ก็อยากได้อิสรภาพในการปกครองตามความชอบธรรมตามที่กฎหมายสากลกำหนด แถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยถอนกองกำลังติดอาวุธออกจากพื้นที่ และยุติการทำสงครามการเข่นฆ่า ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้เริ่มหันมาทบทวนการเจรจา "คนปัตตานีไม่มีใครอยากเป็นโจร แต่ที่ผ่านมาผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศพยายามส่งคนและกำลังลงมาต่อสู้กับคนปัตตานี แบบบ้าอำนาจ ซึ่งก็ได้ปรากฏประจักษ์ต่อสายตาประชาคมโลกแล้ว จึงขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายเรียกร้องให้ยุติการทำสงครามล้างเผ่าพันธุ์เพื่อมนุษยธรรม" ที่ จ.นราธิวาส พล.ต.ต.วรเวทย์ วินิตเนตยานนท์ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากสายข่าวที่ติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มขบวนการโจรก่อการร้าย (ขจก.) ตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย โดยเฉพาะด้าน จ.นราธิวาส ทราบว่า นายอาแว แฆและ หรือนายนอวอรี แซะเซ็ง หัวหน้ากลุ่มมูจาฮีดีน ได้ประสานกับสมาชิกที่กบดานอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งตรงข้ามกับ อ.ตากใบ ให้นำสมาชิกที่มีความชำนาญการรบแบบกองโจรจำนวน ๓๐ คน ลอบเข้ามาเพื่อปฏิบัติการสังหารเจ้าหน้าที่ในจ.นราธิวาส ให้ได้ ๒๐ คน โดยพุ่งเป้าไปที่ อ.สุไหงปาดี และระแงะ เพื่อแก้แค้นให้กับ นายมาหะมะ และเซสะนิง



ปล้นปืนทหาร – ฆ่าพระ ทหารตำรวจ และประชาชน

วันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ตอนกลางดึก มีคนร้ายซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นชาย ลอบวางเพลิงเผาโรงเรียนรัฐบาล ๒๐ แห่งในจังหวัดนราธิวาส แล้วโรยตะปูตัดต้นไม้ขวางถนนป้องกันการติดตาม ก่อนที่จะนำกำลังพร้อมอาวุธราว ๑๐๐ คนบุกเข้าไปตัดกุญแจ ปล้นปืนเอ็ม ๑๖ จำนวนกว่า ๓๐๐ กระบอก จากค่ายทหารกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่อำเภอเจาะไอร้อง เชือดคอทหารไทยพุทธระดับจ่านายสิบเสียชีวิตไป ๔ คน พลทหารมุสลิมทุกคนถูกมัดมือ แต่ไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิต โดยทางการไม่สามารถหาปืนที่ถูกปล้นไปและจับตัวผู้กระทำผิดไม่ได้ ต่อจากนั้นได้มีการทำร้ายพระเณร ตำรวจ และประชาชน ทั้งไทยพุทธ และไทยมุสลิม ด้วยการเชือดคอ มีดฟันและใช้ปืนยิงเสียชีวิตไปกว่า ๒๐ คน มีการประกาศกฎอัยการศึกและส่งทหารตำรวจเข้าไปเต็มพื้นที่ แต่ไม่สามารถป้องกันเหตุร้ายซึ่งเกิดขึ้นเกือบทุกวัน ส่วนอาวุธร้ายแรงที่ถูกปล้นไปจากค่ายทหารนราธิวาสนั้น มีข่าวลือที่ยืนยันไม่ได้ว่าได้ส่งไปขายให้พวกอาเจะห์แบ่งแยกดินแดน ในเกาะ สุมาตราของอินโดนีเซีย ซึ่งได้เงินมาจากการขายน้ำมันเถื่อนให้คนไทย




ประกาศตัดความร่วมมือ

มีการส่งทหารเข้าไปตรวจค้นปอเนาะของประธานกรรมการกลางอิสลามจังหวัดปัตตานีตอนกลางคืน เพราะมีผู้ต้องสงสัยที่ใช้ปืนยิงทหาร ขี่รถจักรยานยนต์เข้าไปในปอเนาะแต่ค้นหาไม่พบ ทำให้ประธานกรรมการกลางอิสลามของปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ไม่พอใจมาก ออกแถลงการณ์ผ่านสื่อมวลชน ประกาศเลิกให้ความร่วมมือกับฝ่ายทหาร เพราะไม่ให้เกียรติ์และไม่ทำตามข้อตกลงที่จะต้องมีกำนันผู้ใหญ่บ้านร่วมตรวจค้นด้วย ด้วยเกรงว่าเจ้าหน้าทีจะยัดหลักฐานปลอม หรือ อุ้มตัวโต๊ะครูไปสอบสวน เนื่องจากเคยมีคนหายไปหลายคนแล้วอีกไม่กี่วันก็กลับมาเป็นศพ ส่วนฝ่ายทหารชี้แจงว่าเป็นการติดตามคนร้ายเฉพาะหน้าถ้ารอเชิญกรรมการกลางจะทำให้คนร้ายหนีไป แต่ก็ได้ขออภัย และมีการตกลงลงนามคืนดีต่อกันในวันรุ่งขึ้น



ที่มา… ภูมิหลังชาวมุสลิมในประเทศไทย : ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ สุรินทร์ พิศสุวรรณ ,2526

สี่จังหวัดภาคใต้กับปัญหาสิทธิมนุษยชน :สุรินทร์ พิศสุวรรณ และ ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ , 2527

บทความ มุสลิมศึกษา: สังคมศาสตร์ทวนกระแส และ "ความเป็นอื่น" -- "Self" As a Problem in Islam: A Reading of Abdul Qadir Gilani's Discourse:ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ,2546
อยู่ในหนังสือ นิทราชาคริต : การประชุมวิชาการ วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2546 ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ถ้าจะมองจากมุมมองของนโยบายรัฐบาลต้องอ่าน
นโยบายการปกครองของรัฐบาลไทยต่อชาวไทยมุสลิม ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ. 2475-2516) : ปิยนาถ บุนนาค ,2546 (หาอ่านยากหน่อย พิมพ์น้อยค่ะ 500 เล่มเอง ^^”)

//www.sac.or.th/webboard/info/Question.asp?ID=895


ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้เอื้อเฟื้อข้อมูลมา ทั้งที่ถูกอ้างถึงและไม่ได้ถูกกล่าวอ้างในที่นี้ อันเนื่องมาจากความผิดพลาดของข้าพเจ้าในการทำรายงาน ทำให้ไม่สามารถกล่าวถึงผู้ให้ความรู้ได้ทั้งหมด ข้าพเจ้าขอยกความดีความชอบเหล่านี้ให้พวกท่านทุกทุกคน และน้อมรับคำติไว้แต่เพียงผู้เดียว...ขอบคุณค่ะ


Create Date : 22 พฤษภาคม 2548
Last Update : 22 พฤษภาคม 2548 22:40:46 น. 17 comments
Counter : 953 Pageviews.

 
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่อ่านทั้งหมดนี้
ดิฉันได้เคยไปสุสานสุลต่านที่จังหวัดสงขลามาแล้ว
และได้พอรู้ประวัติแบบเดี่ยวกันมาบ้าง
ดิฉันว่ายังมีอะไรที่หน้าค้นหาอีกมากมาย


โดย: meiw IP: 125.27.130.9 วันที่: 30 เมษายน 2550 เวลา:17:43:22 น.  

 
ขอบคุณค่ะที่อุตส่าไปหามา


โดย: *-* IP: 210.246.76.211 วันที่: 14 มิถุนายน 2550 เวลา:12:38:41 น.  

 
ทำไมอยู่ด้วยกับคนอื่นไม่ค่อยได้ครับ สงสัยจัง


โดย: pixa IP: 125.26.21.63 วันที่: 19 กรกฎาคม 2550 เวลา:8:04:29 น.  

 
จากประว้ติศาสตร์ สอนอะไรไว้เยอะแล้ว ก็จงใช้ความสามารถในการแก้ปัญหา ให้เกิดความสงบเถิด อย่าดีแต่พูดๆๆๆสงสารประเทศไทย ไหนว่าเก่ง อยากปกครองประเทศมิใช่เหรอ....ท่านผู้มีอำนาจ


โดย: สงขลา IP: 222.123.136.11 วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:11:59:09 น.  

 
เอาว่าให้ปัตตานีเป็นกทมแห่งที่2ได้ไหม


โดย: ดี IP: 125.25.204.227 วันที่: 2 ธันวาคม 2550 เวลา:8:50:43 น.  

 
ถ้าดูจากอดีตเกือบทุกประเทศทั่วโลกก็ได้มีการยึดครองดินแดนกันและกันมามากต่อมากแต่ปัจจุบันนี้ถ้าทุกประเทศมีความคิดเหมือน3จังหวัดชายแดนภาคใต้โลกเราคงปั่นป่วนกันไปหมดมีแต่คนที่หลงในอำนาจเท่านั้นที่ทำแบบนี้ หลอกใช้ประชาชนเอาศาสนามาอ้างบ้างล่ะ ศาสนาไม่เคยสอนให้ใครทำแบบนี้ ดีแค่ไหนแล้วที่ประเทศไทยยังให้มีโรงเรียนสอนศาสนา ลองมองไปดูที่สิงค์โปร์ดูบ้าง สมัยก่อนมีโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษกับโรงเรียนสอนภาษาจีน หลังจากจีนเป็นคอมมิวนิค์ โรงเรียนสอนภาษาจีนก็โดนปิดไปภาษาหลักที่ใช้เป็นทางการคือภาษาอังกฤษส่วนภาษาจีนไม่ได้ห้ามแต่ให้ไปสอนกันที่บ้านเอาเอง ถ้าหากว่าเราปิดโรงเรียนสอนศาสนาซะคงจะดีจะได้ลดปัญหาไปได้มากกว่านี้เพราะกลุ่มผู้ก่อการร้ายในภาคใต้เกือบทั้งหมดมาจากโรงเรียนสอนศาสนาทั้งนั้นหรือมีใครว่าไม่จริง


โดย: haya08 IP: 125.26.191.141 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:12:13:39 น.  

 
หนู เปน กำลังใจ ให้ พี่ยา นะ

รัก พี่ยา คะ


โดย: ราโมน่าร์ IP: 118.173.190.49 วันที่: 14 เมษายน 2551 เวลา:15:06:06 น.  

 
เคยได้ยินมาว่านามสกุลศิริปะชะนะมาจากศรีวังษาเป็นจริงหรือเปล่าใครรู้ช่วยให้ความกระจ่างที


โดย: รอบี IP: 117.47.59.186 วันที่: 5 มิถุนายน 2551 เวลา:11:36:42 น.  

 
ประวัติ.......มีข้อมูลผิดพลาด ตกหล่นนะ


โดย: พลัดถิ่น IP: 118.172.102.172 วันที่: 13 สิงหาคม 2551 เวลา:10:39:50 น.  

 
ต้องมาศึกษาร้วมกับหนังสือของ
พล.อ.ยุทธนา แย้มพันธ์
ชื่อหนังสือ ปัตตานี โกตามหลิฆัย


โดย: ..... IP: 202.28.219.90 วันที่: 18 สิงหาคม 2551 เวลา:9:30:33 น.  

 
รักกันเถิด คนพุทธหรืออิสลาม ยังไงก็ชาติเดียวกัน อดีตก็ให้เป็นอดีตเถอะ ถ้าคนเรายังยึดติดกับอดีต โลกคงวุ่นวาย


โดย: ต่อ IP: 61.7.145.136 วันที่: 29 สิงหาคม 2551 เวลา:4:18:44 น.  

 
เป็นบทความที่ดีมากเลยครับ
ว่างๆ จะมาอ่านต่อ


โดย: เฮ้อออ IP: 58.9.168.173 วันที่: 1 กันยายน 2551 เวลา:2:09:09 น.  

 
ขอบคุณมากครับสำหรับบทความที่ดีมาก
ผมคนอีสานอ่านแล้วรู้สึกสงสารพี่น้องไทยชาวใต้เป็นอย่างยิ่ง จากอดีตถึงปัจจุบัน ชีวิตของพวกเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนมาตลอด ต้องยอมรับครับว่า ทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ให้ความเอาใจใส่ทุกข์สุขของพี่น้องชาวใต้น้อยมากเมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆ เหมือนกับเป็น 2 มาตรฐาน อย่ามองเขาว่าเป็นอันธพาลครับ ให้มองลึก ๆ รากเหง้าของปัญหามันมาจากการใช้อำนาจรัฐที่ไร้ความยุติธรรม ผิดมาตั้งแต่แรกแล้วครับ แก้ไขเถอะครับแม้ว่ามันจะสายเกินแก้แล้วก็ตาม


โดย: คนอีสาน IP: 202.149.25.236 วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:07:26 น.  

 
แต่ละที่ก็ต้องการความสงบสันตินะปัญหาภาคใต้ปัจจุบันไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและเด็ดขาดถ้าคนใต้ไม่รักใคร่สามัคคีกันปัญหาก็จะไม่มีที่สิ้นสุดมองโลกในความเป็นจริงหันหน้าเข้าหากันยุติความขัดแย้งสงสารคนใต้ที่บริสุทธิ์เราสูญเสียมามากพอแล้ว.....


โดย: ลูกทหาร IP: 192.168.212.67, 118.172.69.29 วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:11:10:17 น.  

 
เราสูญเสียคนบริสุทธิ์และทหารนักรบผู้กล้าไปมากแล้วพวกเขาทำเพื่อประเทศชาติส่วนรวมเสียสละชีวิตทำไมถึงไม่มีที่สิ้นสุดกันซักทีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากการกระทำของมนุษย์กันเองหรือเนี่ยสิ่งที่มีชีวิตความคิดจิตใจกลับทำกับมนุษย์เหมือนยังกับคนอื่นไม่มีชีวิตจิตใจไม่น่าให้มันเกิดมาเลยเป็นสัตเดรฉานจะดีกว่าผลกรรมคงจะตามมาไม่ช้าก็เร็ว.......จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเราคงจะมีแต่การสูญเสีย....


โดย: ลูกทหาร IP: 192.168.212.67, 118.172.69.29 วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:11:26:44 น.  

 
ที่จริงถ้ารัฐมีความยุติธรรมในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ศาสนา และเรื่องต่างๆ ไม่โกงบ้าน โกงเมือง ไม่โลภมาก เรื่องทุกอย่างก็คงจะไม่เกิดขึ้นจนถึงปัจจุบัน


โดย: yaya IP: 172.16.2.45, 202.29.39.1 วันที่: 27 ธันวาคม 2552 เวลา:14:57:10 น.  

 
((ถ้าหากว่าเราปิดโรงเรียนสอนศาสนาซะคงจะดีจะได้ลดปัญหาไปได้ มากกว่านี้เพราะกลุ่มผู้ก่อการร้ายในภาคใต้เกือบทั้งหมดมาจากโรงเรียนสอน ศาสนาทั้งนั้นหรือมีใครว่าไม่จริง))
ขอชี้แจงความคิดเห็นของคุณ(haya)ข้างต้น การที่คุณพูดแบบนี้ทำให้โรงเีรียนสอนศาสนาอิสลามมีความเสื่อมเสียอย่างมาก พูดได้อย่างไรว่าผู้ก่อการร้ายมาจากโรงเีรียนสอนศาสนา ไม่มีศาสนาใดในโลกที่สอนให้คนเป็นคนชั่ว คุณว่าจริงมั้ย ดังนั้นการที่จะตัดสินอะไรศึกษาข้อมูลได้ดีก่อน เพราะศาสนอิสลามไม่ได้สอนให้คนฆ่าคน แต่ในอิสลามสอนให้รักซึ่งกันและกัน ฆ่าคนหนึ่งคนความผิดเท่ากับฆ่าคนทั้งโลก คนที่เข้าใจคำสอนของอิสลามจริงๆเขาไม่ฆ่าใครหรอกครับ หากคุณไม่เชื่อก็ลองไปศึกษาศาสนาอิสลามดูซิ แล้วคุณจะรู้ว่าอิสลามเป็นอย่างไร หรือติดต่อพูดคุยกับผมโดยตรงที่0814559067 หรือที่nawa262722@hotmail.com อิสลามสอนให้มนุษย์ยอมจำนนในพระเจ้าองค์เดียว


โดย: คนเรียนศาสนา IP: 118.173.186.197 วันที่: 11 มีนาคม 2553 เวลา:10:10:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

yodaoi
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เหนื่อยใจจริงๆ ช่วงนี้ดูเหมือนอะไรๆ ก็ถามโถมเข้ามาในชีวิตของ yodaoi ไม่ว่าจะเป็นโรคประจำตัวที่กระหน่ำซ้ำเติม...งานการที่ดูเหมือนจะยุ่งวุ่นวาย...แถมเมื่อไม่กี่วันนี้มีน้องที่รู้จักโดนลอกงานเขียนของตัวเองอีก...

เฮ้อ !!

เกิดเป็นคนนี่มันเหนื่อยจัง~*










ผลงานและบทความทุกชิ้นที่ปรากฏใน Bloggang ของ yodaoi ได้รับการคุ้มครองและสงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 (มาตรา 15 และ 27) ไม่อนุญาตให้นำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด...ไปทำซ้ำ หรือดัดแปลง จำหน่าย ให้เช่า คัดลอก เลียนแบบ ทำสำเนา การทำให้ปรากฏต่อสาธารณชน ไม่ว่าในรูปลักษณะอย่างใดหรือวิธีใด...โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของอย่างเด็ดขาด หากพบเห็นการละเมิดลิขสิทธิ์ที่ผิดกฏหมายของข้าพเจ้า...จะขอดำเนินการทางกฏหมายโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
Google
Friends' blogs
[Add yodaoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.