วันที่ 2 เที่ยวไปใน Luzern และชมเมืองมรดกโลกที่ Bern

ยามเช้าในเมือง München ค่อนข้างเสียงดังพอสมควร ฉันได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยจ๊อกแจ้กตั้งแต่เกือบๆ หกโมงเช้า จนฉันไม่สามารถทนนอนต่อไปได้อีก และเนื่องจากวันนี้เราได้วางโปรแกรมไว้ว่า เราจะออกจากโรงแรมตั้งแต่ก่อนแปดโมง เพื่อจะได้ไปถึงเมือง Luzern ก่อนเที่ยง ดังนั้นฉันจึงลุกขึ้นจัดการเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เสร็จเรียบร้อยเป็นคนแรก ก่อนที่จะไปปลุกคนอื่นๆ

********************


ห้องน้ำในโรงแรมที่ฉันไปพักก็ไม่ได้หรูหราอย่างโรมแรมระดับสี่ดาวในตัวเมืองหรอก ก็อย่างที่บอกไงว่าฉันเลือกโรมแรมแบบราคาประหยัด ดังนั้นห้องน้ำที่โรงแรมนี้จึงเป็นห้องน้ำที่ใช้ร่วมกับคนที่พักในห้องอื่นๆ ในชั้นเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม มันก็เหมือนกับว่ามีห้องเราเท่านั้นที่มาใช้ห้องน้ำนี้ เพราะว่าฝรั่งส่วนใหญ่เค้าไม่ค่อยชอบอาบน้ำกันนักหรอก ไม่ว่าอากาศจะร้อนหรือเย็นก็ตาม ถึงจะไม่สะดวกสบายมากนัก แต่ห้องน้ำที่นี่ก็สะอาดทีเดียว พวกห้องน้ำในเมืองฝรั่งนี่ก็แปลก มักจะแยกห้องอาบน้ำกับส่วนที่เป็นห้องสุขาอยู่คนละส่วนกัน ซึ่งบางที่ก็เป็นห้องติดๆ กัน บางที่ก็อยู่ไกลกันตั้งเยอะ ... พอเรื่องห้องน้ำแค่นี้ดีกว่า ชักรู้สึกเหม็นๆ...


********************


หลังจากที่ทุกคนเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยกันภายในเวลาไม่นานนัก พวกเราก็พร้อมจะออกเดินทางสู่ Luzern โดยเวลาที่ใช้เดินทางก็ประมาณ 4 ชั่วโมง (ดูในเวป เค้ากำหนดเวลาคร่าวๆ มาให้) เส้นทางการเดินทางก็คือ ออกจากเมือง München แล้วก็ขึ้น Autobahn สาย A96 ไปจนถึงเมือง Bregrenz ที่ตั้งอยู่ด้านตะวันออกสุดของทะเลสาบ Bodensee จากนั้นก็เปลี่ยนไปขึ้น Autobahn สาย A13 ในสวิส แล่นไปเรื่อยๆ จนถึง Luzern นั่นแหละ

*******************



คำเตือน สำหรับการขับรถบน Autobahn ในสวิสนั้นจะต้องซื้อตั๋วที่เรียกว่า Jahresvignette ซึ่งก็คล้ายๆ กับค่าทางด่วนในบ้านเรานั่นแหละ แต่ของในสวิสนั้น เค้าคิดเป็นรายปี ปีละ 40 ฟรังก์สวิส หรือตกประมาณ 27 ยูโร ดังนั้น ไม่ว่าเราจะอยู่ในสวิสแค่ 2 วัน 3 เดือน หรือว่า 6 เดือน เราก็ต้องเสียตั้ง 27 ยูโร เพื่อเป็นค่า Autobahn นั่นแหละ ซึ่งสำหรับพวกเราแล้ว มันไม่คุ้มเลย ที่จะต้องจ่ายเงินตั้ง 27 ยูโร เพื่อขับรถในสวิสเพียงแค่ 2 วัน ตั๋วนี้แต่ก่อนไม่ได้มีใช้กันหรอก เพิ่งมาเริ่มใช้ครั้งแรกในปี 1985 หรือ 20 ปีที่แล้วนี่เอง

********************


ด้วยความที่เราเพลิดเพลินกับการนั่งชมวิว คลอเสียงเพลงมากเกินไปหน่อย ทำให้เราลืมแวะซื้อไอ้เจ้าตั๋วนี้จากปั๊มน้ำมันบน Autobahn จนจะเข้าเขตสวิสอยู่แล้ว เราก็ยังไม่มี Jahresvignette เลย เราจึงต้องมุ่งหน้าลงจาก Autobahn ก่อนเพื่อซื้อตั๋วจากปั๊มน้ำมันที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วค่อยหาทางกลับขึ้นมาบน Autobahn ใหม่

เส้นทางที่จะกลับขึ้นมาบน Autobahn อีกครั้งนั้น ต้องผ่านถนนสายเล็กๆ ของประเทศออสเตรียด้วย ด้วยความที่ไม่อยากเสียเวลาฉันก็เลยต้องตั้งใจมองป้ายบอกทางที่ติดตั้งอยู่เป็นระยะๆ แต่เผอิ๊ญญญญ เผอิญ สายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายบอกราคาน้ำมันของปั๊มน้ำมันข้างทางแห่งหนึ่งพอดี ทั้งๆ ที่รู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่า น้ำมันในออสเตรียนั้นถูกกว่าในเยอรมัน แต่ก็ยังอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ เพราะว่าราคาน้ำมันดีเซลที่นี่แค่ 99 เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งถ้าเทียบกับราคาในเยอรมันแล้ว ถูกกว่าเยอะทีเดียว (ราคาดีเซลในเยอรมันประมาณ 1.16 ยูโร) ฉันก็เลยพูดกับพี่ห่งว่า "เดี๋ยวปั๊มหน้าแวะเลยนะพี่" แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่เห็นมีปั๊มน้ำมันผ่านเข้ามาในสายตาเลยแฮะ เนี่ยแหละน้า เค้าถึงบอกว่า อะไรที่อยาก มักจะไม่ได้ แต่ถ้าทำลืมๆ ไปซะบ้าง เด๋วมันก็ผ่านเข้ามาเอง
:-((( เฮ้อ ในที่สุด ก็ขึ้น Autobahn จนได้ อดเติมน้ำมันในออสเตรียเลย

********************

หลังจากการเดินทาง 3 ชั่วโมงกว่าๆ ในที่สุดพวกเราก็เกือบจะมาถึงจุดหมายปลายทางกันแล้ว เส้นทางที่จะเข้าสู่เมือง Luzern ก็มีหลายเส้นทางด้วยกัน แต่พวกเราเลือกที่จะแล่นเลียบทะเลสาบ Vierwaldstätte โดยเมือง Luzern จะตั้งอยู่ริมทางด้วยตะวันตกสุดของทะเลสาบนี้

เมื่อเข้าสู่ตัวเมือง Luzern ก็เริ่มจะมีรถติดบ้านเล็กน้อย ระหว่างที่รถติดฉันกับพี่ณี ก็ช่วยกันดูแผนที่ว่าเราจะไปจอดรถที่ไหนดีที่ใกล้ที่เที่ยวที่สุด จะได้ไม่ต้องเดินไกล หลังจากที่ดูกันแล้ว ก็ได้ข้อสรุปว่าจอดที่บานโฮฟ (สถานีรถไฟ, Bahnhof) นั่นแหละดีที่สุด การตัดสินใจที่จะจอดรถที่สถานีรถไฟก็ค่อนข้างสะดวกสบายพอสมควร ไม่ต้องไปขับรถวนไปวนมาหาที่จอดให้เสียเวลาเที่ยว แต่ก็ต้องยอมเสียเงินซักเล็กน้อย (ซึ่งจริงๆก็แพงมากเลยล่ะ เมื่อคิดกลับมาเป็นเงินไทย) เป็นค่าจอดรถ

ที่จอดรถในสถานีรถไฟก็แทบจะเหมือนกันทุกที่ ก็คือก่อนจะเข้าไปจอดรถก็ต้องกดปุ่มเพื่อรับบัตรก่อน จากนั้นที่กั้นก็จะเปิดให้เราขับรถเข้าไปจอดได้ ในบัตรที่เรารับมานั้นก็จะมีเวลาบอกเอาไว้ว่า เราเข้ามาจอดตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วหลังจากที่เที่ยวเสร็จเรียบร้อย ก็ต้องเอาบัตรนี้ไปเสียบเพื่อดูว่าเราจอดนานเท่าไหร่ คิดเป็นกี่ยูโร ค่อยจ่ายเงิน แล้วค่อยรับบัตรคืน เพื่อไปเสียบเปิดประตูตอนขับรถออก

********************


กลับมาที่เมือง Luzern กันต่อดีกว่า หลังจากที่เราจอดรถเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินมาที่ Tourist information ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะตั้งอยู่ใกล้ๆ บริเวณสถานีรถไฟนั่นแหละ เพื่อสอบถามข้อมูล และก็ขอแผนที่เมือง เมื่อเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกมาหาอาหารกลางวัน เติมพลังก่อนที่จะเที่ยวต่อไป เนี่ยแหละ ที่เค้าบอกว่ากองทัพเดินด้วยท้อง

สำหรับการเที่ยวชั้นประหยัดอย่างพวกเราแล้ว อาหารที่สะดวกและประหยัดที่สุดก็คงหนีไม่พ้นอาหารประเภทฟาสต์ฟู๊ด หลังจากที่ออกจากสถานีรถไฟได้ เราก็เริ่มสอดส่ายสายตาหา McDonald ทันที โชคดีของเราจริงๆ ที่ Mc นั้นอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเลย เพียงแค่เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา แล้วก็ข้ามถนนก็ถึงแล้ว แต่กลับไม่ได้กินแฮะ เพราะความประหยัด (งก) ของพวกเรานั่นแหละ ก็ Mc ที่นี่แพงกว่าที่เบอรมันตั้งเยอะแน่ะ สรุปว่าแอบเข้าห้องน้ำที่ Mc แล้วก็เดินออกมาซื้อน๋มปังที่ร้านขายขนมปังที่เรียกว่า Bäckerei อิ่มหนำสำราญ สบายใจ
:-)) เฮ้อ ได้เริ่มเที่ยวกันซักที



********************


จุดแรกที่พวกเราจะเริ่มเที่ยวกัน ก็คงเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมือง Luzern เลยแหละ นั่นคือ Chapel Bridge สะพานนี้สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 14 เพื่อใช้เป็นป้อมปราการ ตัวสะพานทอดข้ามแม่น้ำรอยย์ (Reuss)





ตัวสะพานเป็นสะพานไม้ที่มีหลังคาคลุมตลอด ส่วนทางด้านนอกของสะพานมีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับหลายสีสัน ดูแล้วตัดกับสีไม้ของสะพาน สวยงามทีเดียว




ด้านในของสะพานบริเวณหลังคาหน้าจั่วก็จะมีภาพเขียนของศิลปินหลายๆ คนมาประดับไว้ สะพานนี้ถูกบูรณะซ่อมแซมใหม่มามากกว่า 10 ครั้ง เนื่องจากเกิดไฟไหม้และภัยพิบัติ และเคยปิดไปเพื่อซ่อมแซมครั้งจากเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1993 และเปิดอีกครั้งในปี 1994



**********************


หลังจากที่เราเดินข้ามสะพานมา จุดมุ่งหมายต่อไปของเราก็คือ อนุสาวรีย์สิงโตหิน เส้นทางที่จะนำเราไปสู่สิงโตหินนั้น ก็ผ่านถนนชอบปิ้งสายสำคัญในเมือง Luzern เลยล่ะ พวกเราก็เลยแวะเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ไปเรื่อยๆ ทำให้เสียเวลาไปพอสมควร แต่อย่างไรก็ตาม เราก็มาถึงจนได้



รูปปั้นอนุสาวรีย์หินแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ เพื่อระลึกถึงทหารสวิส ซึ่งทำงานเป็นทหารรักษาพระองค์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งทหารสวิสนั้นมีชื่อเสียงในด้านความกล้าหาญ องอาจ ซื่อสัตย์ และจงรักภักดี แม้กระทั่งทหารที่เฝ้าหน้าพระราชวังวาติกันก็ยังต้องเป็นทหารสวิส (ไม่รู้ว่าใช่เหตุผลของความซื่อสัตย์ กล้าหาญรึเปล่า แต่ทหารที่วาติกันก็เป็นทหารสวิสจริงๆ นะ)

*******************


เสร็จจากเที่ยวในเมือง Luzern พวกเราก็ค่อยๆ เดิน เรียกได้ว่า เดินกินลม ชมวิว ย้อนกลับเส้นทางเดิมไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะไปเอารถที่สถานีรถไฟ หลังจากที่เราเอาบัตรเสียบเข้าเครื่องไปแล้ว ปรากฏว่า เราต้องเสียค่าจอดถึงประมาณ 6 ยูโรกว่าๆ จุดหมายปลายทางต่อไปก็คือ เมือง Kussnacht ที่อยู่ห่างไปจากเมือง Luzern เพียงแค่ไม่กี่กิโลเท่านั้น ระหว่างที่รถแล่นไปนั้น ฉันและพี่ณีก็ชื่นชมกับธรรมชาติสองข้างทาง ที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา ทุ่งหญ้า และทะเลสาบ Vierwaldstätte น่าสงสารพี่ห่งอยู่ไม่น้อย ที่ต้องทำหน้าที่ขับรถ เลยไม่ค่อยได้ชมธรรมชาติซักเท่าไหร่

น่าเสียดายที่วันนี้แดดไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เวลาที่แสงแดดส่องลงมากระทบผิวน้ำในทะเลสาบ คงจะทำให้เกิดแสงสะท้อนระยิบระยับ ดูสวยงามมากขึ้นอีกหลายเท่า





********************

เกือบห้าโมงกว่าแล้ว พวกเราก็ตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าสู่เมือง Bern ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสวิส ขับรถแค่ชั่วโมงเดียวจาก Luzern ก็มาถึง Bern แล้ว สิ่งแรกที่เราต้องทำหลังจากมาถึง Bern ก็คือ การหาที่พักที่เราจองเอาไว้ การหาที่พักในเมืองนี้ก็ไม่ยากเท่าไหร่ เพราะว่าเราเตรียมตัวพิมพ์แผนที่ของที่พักมาจากในเวบไซด์นั่นเอง

ที่พักที่นี่มีลักษณะคล้ายๆ กับบ้านพักเยาวชน ด้านล่างแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนของ Reception ส่วนห้องนั่งเล่น และห้องทานอาหารเช้า ในห้องนั่งเล่นนั้นมีอินเตอร์เนทให้เล่นฟรีด้วยล่ะ ดีตรงนี้นี่เอง พวกเราจะได้สามารถเช็คอากาศสำหรับวันถัดๆไปได้ ส่วนห้องนอนของพวกเรานั้น เป็นห้องแบบ 3 เตียง ไม่มีห้องน้ำในตัว แต่ก็ไม่มีปัญหาสำหรับเรา เพราะว่าอย่างไรก็ตามก็มีห้องน้ำให้เราใช้

หลังจากที่เก็บข้างเก็บของกันเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็ออกมาเดินเล่นในตัวเมือง Bern น่าเสียดายที่เริ่มเย็น แสงอาทิตย์ก็เริ่มที่จะถดถอยจากเราไป เราก็เลยได้แต่เดินเล่น แล้วก็ถ่ายรูปที่ออกมาแล้วดูหม่นๆ มาฝาก แต่เราก็คิดไว้ในใจว่า พรุ่งนี้ตอนแดดเริ่มกลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง เราก็จะออกมาถ่ายรูปกันใหม่ เป็นอันว่าพวกเราปิดท้ายวันที่ 2 ของทริป ด้วยการรับประทานอาหารที่ร้านจีน (กินแต่ข้าวผัดจ้ะ ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ด้วย สงสัยว่าทำเองจะอร่อยกว่า) แล้วก็เดินกลับมาพักผ่อนเอาแรงสำหรับวันต่อๆ ไป









...Click here to continue reading...






Create Date : 29 กรกฎาคม 2548
Last Update : 4 เมษายน 2551 21:35:41 น.
Counter : 1887 Pageviews.

3 comments
  
เรื่องราวน่าอ่าน รูปก็สวยมากค่ะ
โดย: parachute วันที่: 17 เมษายน 2549 เวลา:18:23:18 น.
  
โดย: แตนต่อย วันที่: 9 มิถุนายน 2549 เวลา:21:33:19 น.
  
สวย และน่าอ่านมากครับ
โดย: wicsir IP: 211.24.238.2 วันที่: 30 พฤษภาคม 2551 เวลา:3:41:21 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Yai Kaew
Location :
Nordrhein-Westfalen  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]



New Comments
กรกฏาคม 2548

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
28
30
31
 
 
  •  Bloggang.com