Letter from Lisbon ฉบับที่ 1











24 ธันวาคม 2549

สวัสดีจ้า เพื่อนๆ

เฮ้ออออออออ หลังจากที่นั่งหลังขดหลังแข็งบนเครื่องบินมากว่า 4 ชั่วโมง (จะมีเวลายืดแข้งยืดขาก็เพียงช่วงระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องบินเท่านั้น) เราก็มาถึงที่สนามบินแห่งกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกสตอนเกือบๆ เที่ยง เป็นการเดินทางที่ทรหดดีเหมือนกันนะ ออกจากบ้านตั้งแต่ตีสามกว่าๆ เพื่อเดินทางมาขึ้นรถไฟที่สนามบินที่เมืองโคโลญจ์ตอนเจ็ดโมงเช้า รวมเวลาทั้งสิ้นก็กว่าแปดชั่วโมงเลยนะแก

พอมาถึงสนามบินร้บกระเป๋าเดินทางเรียบร้อย ก็มีปัญหาอีกนั่นแหละ ว่าจะไปรอรถที่ทางบริษัทขายตั๋วบอกว่าจะมารับที่ไหนดี ก็เลยโทรไปถามทางโรงแรม ปรากฏว่า เค้าไม่มีบริการรับส่ง ที่นี้ก็เลยซวยสิแก ไม่รู้ว่าจะไปโรงแรมยังไงดี ไปถามที่ Information center ของสนามบิน เค้าก็บอกชั้นมาว่า ไปรถเมล์อ้ะลำบาก ไปแท๊กซี่ดีกว่า ค่ารถแท๊กซี่ประมาณ 18 ยูโร พอได้ยินอย่างนั้น ชั้นก็กุลีกุจอไปเรียนแท๊กซี่ บอกเค้าว่าไปโรงแรม Mariot ราคาประมาณเท่าไหร่ ไอ้คนขับแท๊กซี่มันก็ทำท่าคิดนะแก แล้วมันก็ตอบมาว่า 15 ยูโร ตอนนั้นก็นึกในใจว่า เออ ถูกดีแฮะ ก็เลยตัดสินใจไป


แต่พอมาถึงหน้าโรงแรม ไอ้เจ้ามิเตอร์มันดันขึ้นว่า 8 ยูโรกว่าๆ ไม่เห็นถึง 15 ยูโรเลย ชั้นก็จ่ายเงินมันไปแค่ 10 ยูโร มันก็บอกว่าตกลงกันไว้ 15 ยูโร ชั้นก็เลยเถียงว่า แต่มิเตอร์มันแค่ 8 ยูดรกว่าๆ เองนะ มันดั๊นนนนนบอกว่า ต้องคิดเพิ่มจากมิเตอร์ เพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุดพิเศษ บรา บราๆๆๆ มันพูดพล่ามอะไรของมันต่อก็ไม่รู้ล่ะแก ไม่ทันได้ฟัง เพราะว่าภาษาอังกฤษมันก็ดีจนชั้นฟังไม่ออก ก็เลยตัดสินใจจ่ายมันไป 15 ยูโร หารสองก็คนละ 7.5 ยูโร ราคาไม่แพงเท่าในเยอรมันหรอกแก แต่ว่าชั่นเจ็บใจว่ะที่โดนหลอกซะได้

พอเข้าโรงแรม โอ้โห หรูน่าดูเลยว่ะแก ส่วน Reception กว้างขวาง โอ่อ่าดีจริง ชั้นไม่เคยไปพักโรมแรมที่ดูหรูอย่างนี้มาก่อนเลยนะแก อย่างดีก็แค่ไปพักแบบ Pension, Guesthouse หรือ B&B ที่มันถูกเข้าว่า แต่โรงแรมนี้นี่แบบว่าห้องนอนก็เตียงเบ้อเริ่มเทิ่ม มีเก้าอี้คล้ายๆ โซฟา มีโต๊ะเขียนหนังสือ ตู้เย็น โต๊ะปลายเตียง ชั้นว่า มันก็เหมือนกันโรงแรมทั่วๆ ไปนั่นแหละแก แต่ว่าตั้งแต่เที่ยวต่างประเทศแบบเที่ยวกันเองมาก็หลายที่ ชั้นยังไม่เคยเจออย่างนี้นี่หว่า ไม่พูดพล่ามทำเพลงล่ะแก เดี๋ยวเสียเวลาเที่ยว ชั้นก็เก็บข้าวเก็บของ แล้วก็ออกเที่ยวเลย เพราะว่าตอนนี้ก็บ่ายโมงกว่าๆ แล้วล่ะ

แต่แกรู้มั้ยว่า กว่าชั้นจะหาสถานีรถไฟใต้ดินได้นะ ชั้นเดินวนไปวนมาแถวๆ โรงแรม ถามคนนั้นคนนี้ตั้งหลายคน ใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงถึงจะได้ขึ้นรถไฟเข้าไปในตัวเมืองลิสบอน ลงจากรถไฟใต้ดินได้ ก็หมุนแผนที่ที่มีอยู่ในเมือไปมาซะหลายรอบกว่าจะดูทิศทางได้ เฮ้อ เหนื่อยใจจริงๆ จะถามใครเค้าก็ไม่กล้าถาม ดูเหมือนว่าคนที่นี่จะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้เลยอ้ะดิ ชั้นจะเลิกบ่นแล้วนะ ต่อไปชั้นจะเป็นคนพาแกเที่ยวบ้างล่ะ แกจะได้ซึมซับบรรยากาศของเมืองหลวงของโปรตุเกสอย่างเมืองลิสบอนไว้บ้าง

ถ้าจะให้เล่าถึงบรรยากาศตัวเมืองลิสบอนที่ชั้นเห็นนะแก ก็ต้องบอกว่า ตัวเมืองลิสบอนน่ะ อยู่บนเนินเขา โดยมีที่ราบที่เป็นจัตุรัสและพวกร้านชอบปิ้งต่างๆ อยู่ตรงกลาง นอกเหนือจากที่ราบนี้แล้ว บ้านเรือนที่อยู่อาศัย ก็จะอยู่บนเนินเขา สูงๆ ต่ำๆ เรียงรายลดระดับกันไป ถนนในตัวเมือง ถ้าไม่ใช่ถนนเส้นหลักแล้วล่ะก็ จะเป็นถนนเส้นเล็กถึงเล็กมากๆ ตัดผ่านกันเยอะๆ แยะ มีแยกเล็กแยกน้อยเต็มไปหมด กว่าชั้นจะเดินจากสถานีรถไฟใต้ดินใจกลางเมือง (Brixa) มาถึงที่เที่ยวที่อยู่ริมมหาสมุทรได้นะแก เล่นเอางงเต๊กไปหมด อ้อ ชั้นลืมบอกแกไปว่า วันนี้ชั้นจะพาแกเดินเที่ยวริมมหาสมุทรแอตแลนติก (Atlantic ocean)

สถานที่แรกที่ชั้นเห็นก็นี่เลยแก Praca do Comercio ก็เป็นจตุรัสที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกนั่นแหละ เดี๋ยวชั้นมาเขียนต่อนะแก ไปหารูปมาให้แกดูด้วยดีกว่า

….

….

….

ชั้นกลับมาแล้วแก ก็มัวแต่ไปค้นหารูปสวยมาส่งให้แกดูนั่นแหละ นี่ไงรูป Praca do Comerico (Commerce Square) ที่ชั้นเล่าให้แกฟังน่ะ



ไอ้เจ้าลานกว้างๆ น่ะ ก็คือ Praca do Comercio ที่บอกว่าจัตุรัสที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติกไง จัตึรัสอันเนี้ย มีอีกชื่อนึงว่า Palace Square ที่เรียกกันอย่างนี้ก็เพราะว่า ในสมัยก่อนบริเวณเป็นที่ตั้งของวัง Pacos da Reibeira (Royal Ribeira Palace) ซึ่งสร้างขึ้นมาตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 16 แน่ะแก ชาวเมืองลิสบอนเค้าเอาไว้ใช้เป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่เดินทางมาเยือนโดยทางเรือง แขกบ้านแขกเมืองพวกนี้ ก็จะมาขึ้นฝั่งที่บริเวณแถวๆ นี้แหละ นอกจากนั้นบริเวณนี้ก็ยังใช้เป็นเมืองท่าสำคัญสำหรับขนส่งสินค้าทางเรือจากโปรตุเกสไปยังประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรป หรือว่าทวีปแอฟริกา หรือเอเชียด้วย แต่ว่าโชคร้ายว่ะแก ตอนปี ค.ศ. 1755 ก็ดันเกิดแผ่นดินไหวขึ้นที่นี่ ทำให้วังนี้ถูกถล่มลาบเป็นหน้ากลองเลยนะแก แหม ชั้นเล่าเวอร์ไปรึเปล่าเนี่ย เอาเป็นว่าเสียหายหมดเลยแล้วกัน แล้วก็ไม่ได้มีการสร้างวังขึ้นมาใหม่ ก็เลยเหลือแต่ลานกว้างๆ อย่างที่เห็นในปัจจุบันนั่นแหละ ตอนนี้จัตุรัสแห่งนี้ก็เลยกลายเป็นศูนย์กลางการเดินทางขนส่งอ้ะ แบบว่าเป็นอู่รถประมาณนี้แหละมั้ง คล้ายๆ อนุสาวรีย์ชัยของเรานั่นแหละ

ไอ้ที่เห็นเป็นกำแพงเหลืองๆ ในรูป ก็คือ กำแพงเมืองของลิสบอนเค้าล่ะ ด้านในกำแพงเมืองก็จะเป็นถนนชอบปิ้ง แต่ชั้นก็ยังไม่ค่อยได้สำรวจอะไรเท่าไหร่ แหม… ก็เพิ่งมาถึงวันแรกเองนี่นา ไว้วันหลังชั้นจะไปสำรวจแล้วมาเล่าให้แกฟังนะ


เดี๋ยวชั้นเล่าต่อล่ะนะ แกก็ต้องจินตนาการตามที่ชั้นเล่าไปด้วยนะ เอา เป็นว่า สมมะติว่าตอนนี้แกยืนอยู่ตรงกลางจัตุรัสนะ แล้วก็หันหน้าเข้าหากำแพงเมืองสีเหลืองอยู่ แล้วแกลองกลับหลังหันนะ ด้านหน้าของแกก็จะเป็นจตุรัสเดินนั่นแหละ แต่แกจะไม่เห็นกำแพงสีเหลืองแล้วใช้ม้า แกจะเห็นอนุสาวรีย์ของกษัตริย์ที่เป็นคนสร้างวัง Royal Ribeira ที่ชื่อว่า King Manuel ที่ 1 แล้วแกก็มองไปไกลอีกหน่อยแกก็จะเห็นมหาสมุทรแอตแลนติกที่กัดเซาะเข้ามากลางเป็นแม้น้ำสาบกว้างๆ ที่ผ่าเมืองลิสบอนออกเป็น 2 ฝั่ง เป็นไงล่ะ ในที่สุดแกก็ได้ไปถึงแอตแลนติกเลยนะ แล้วถ้าแกสายตาดี มองไกลไปอีกนิด แกก็จะเห็นตัวเมืองลิสบอนที่อยู่อีกฝั่งนึงของมหาสมุทร



เอาล่ะที่นี้ก็ทำตามที่ชั้นบอกนะ ลองหันหน้าไปทางขวาดูสิ แกจะเห็นสะพานคล้ายๆ สะพานโกลเด้นเกทในอเมริกาอยู่ไกลลิบๆ สะพานนี้เป็นทางรถวิ่งที่เชื่อมเมืองลิสบอน 2 ฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกเข้าด้วยกัน เดี๋ยวชั้นจะหาทางเดินไปถ่ายสะพานนี้แบบใกล้ๆ มาให้ดูนะ

โห ดูในแผนที่แล้ว สงสัยเดินไปไม่ไหวว่ะแก ต้องนั่งรถแล้วล่ะ เสียค่ารถไปคนละ 1 ยูโร นั่งรถนานเหมือนกันกว่าจะไปถึงจุดใกล้ๆ สะพาน เอ้า ถ่ายรูปมาให้ดูล่ะ เป็นยังไงบ้าง สวยรึเปล่า ถ้าไม่สวยมีโกรธนะแก อุตส่าห์เสียตังค์ค่ารถไปถ่ายมาให้ดู



กว่าจะเดินจากจุดที่ลงรถไปถ่ายสะพานให้แกดู ชั้นก็เดินจนขาลากเลยแหละกว่าจะมาถึง Padrao dos Descobrimentos อ้อ ตอนนี้ก็สี่โมงกว่าๆ เกือบๆ 5 โมงเย็นล่ะนะ โอย ถ้าเป็นวันนี้ เวลานี้ของเมืองอาเค่นที่ชั้นอยู่ล่ะก็ ป่านนี้แดดหายไปหมดแล้ว แต่ที่นี้นะแก แดดยังแรงอยู่เลย แมยังไม่หนาวมากด้วย อากาศกำลังเย็นสบาย แต่ว่าถ้าแกมา แกต้องบ่นว่าหนาวชะมัดแหงๆ เลย

Padrao dos Descobrimentos ถือว่าเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของลิสบอนรึเปล่าก็ไม่รู้นะแก แต่ว่าไอ้เจ้าสิ่งก่อสร้างอันนี้เนี่ย เป็นรูปอยู่บนหน้าปกหนังสือนำเที่ยวลิสบอนเล่มที่ฉันถืออยู่นี้แหละ แล้วก็บนปกของอีกหลายๆ เล่มด้วยนะ เดี๋ยวชั้นอวดรูปก่อน แล้วจะเล่าประวัติให้ฟัง



Padrao dos Descobrimentos สร้างขึ้นมาในปี 1940 เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ระลึกถึงนักเดินทางทางทะเลชาวโปรตุเกส แกก็คงรู้ใช่ม้าว่าในสมัยก่อนน่ะ ชาวโปรตุเกสก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบดินแดนใหม่ๆ แล้วก็เป็นนักล่าอาณานิคมเหมือนกัน เค้าก็จะใช้บริเวณแถวๆ นี้แหละ เป็นจุดเริ่มต้นทางเดินทางทางทะเลเพื่อไปสู่ดินแดนแห่งใหม่ ด้วยเหตุผลอันนี้เองไงล่ะ ที่ทำให้อนุสาวรีย์นี้มีรูปรูปเป็นเรือเดินทะเลที่หันหัวเรือออกสู่มหาสมุทร แล้วก็มีรูปปั้นที่เป็นตัวแทนของนักเดินเรือชาวโปรตุเกส แล้วก็ลูกเรือยืนอยู่ทางด้านตะวันตกของอนุสาวรีย์เต็มไปหมดเลย ทีมีชื่อเสียงที่สุดที่ชั้นเคยอ่านเรื่องราวของเค้ามาก็นี่เลย “วาสโก ดากามา” (Vasco da Gama) หวังว่าแกก็คงรู้จักนะ



แกเริ่มเบื่อรึที่จะอ่านรึยังเนี่ย ยังไงก็ช่วยทนหน่อยนะ ชั้นยังสนุกกับการได้เล่าเรื่องต่าวๆ ที่ชั้นไปพบเจอมาให้แกอ่านอยู่เลย ชั้นเล่าต่อล่ะนะ

จากอนุสาวรีย์รูปเรือ ชั้นก็เดินไปมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ นั่นแหละ ก็จะไป Torre de Belem ไง เดินมานานสองนานกว่าจะเจอ เฮ้อ ตอนนี้ก็หกโมงกว่าเข้าไปแล้วนะ เริมหิวเหมือนกันนะเนี่ย ตั้งแต่ตีสามตอนออกจากบ้านก็มีวัฟเฟิลกับขนมปังนิดๆ หน่อยๆ ที่แบกมาจากบ้านเอามากินรองท้อง จะแวะกินข้างทางก็มัวแต่ห่วงเที่ยว กลัวพระอาทิตย์ตกแล้วมือจะสั่นเวลาถ่ายรูป เอาล่ะ นี่ไงล่ะ Torre de Belem



เห็นมั้ยแก หกโมงล่ะ แสงยังสวยอยู่เลยเนอะ เข้าเรื่องดีกว่า Torre de Belem เป็นตึกที่หรือสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของลิสบอนเลยนะแก ขอบอก มีลงในหนังสือนำเที่ยวเกือบทุกเล่มเหมือนกัน จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของลิสบอนไปแล้ว

ก็กษัตริย์ King Manuel ที่ 1 อีกนั่นแหละ ที่เป็นคนสั่งให้ดำเนินการสร้าง เพื่อให้เป็นหอคอยเฝ้าระวัง หอคอยแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1515 โน่นแน่ะ หอคอยแห่งนี้ยังเป็นสิ่งก่อสร้างเพื่อระลึกถึงยุคของการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ของโปรตุเกสอีกด้วยนะ



เออ แหม ชั้นเกือบลืมไปแน่ะแก Torre de Belem เนี่ย ได้รับยกย่องจากองค์การ UNESCO ให้เป็นมรดกของโลกทางวัฒนธรรมร่วมกับ Mosteiro dos Jeronimos (ไม่ต้องสงสัยว่ามันคืออะไร เดี๋ยวชั้นจะพาแกไปเที่ยวที่นี่ด้วยเหมือนกัน) น่าเสียดายชะมัดเลยแฮะ มีช่วงปีใหม่เป็นช่วงที่สถานที่ท่องเที่ยวส่วยใหญ่ไม่เปิดให้เข้าชมกัน ชั้นก็เลยอดเข้าไปเดินดูภายในหอคอนแห่งนี้เลย แต่ก็นะ ทำไงได้ เลยได้แต่เดินเล่นรอบๆ เนี่ยแหละ พอไม่ได้เข้าไปข้างในก็เลยไม่ค่อยมีข้อมูลอะไรมาเล่าให้แกฟังเลยอ้ะ แย่จัง ชั้นก็เล่าไปเท่าที่ชั้นจะรู้ คงไม่ว่ากันหรอกนะ

นี่ก็เย็นมากแล้วล่ะ ชั้นจะพาแกไปเที่ยวที่สุดท้ายของวันนี้แล้วนะ จาก Torre de Belem ก็กลับหลังหันแล้วก็เดินย้อนกลับทางเดิมเล็กน้อย ก็จะเจอ Mosteiro dos Jeronimos (ที่บอกว่าเป็นมรดกโลกไงล่ะ)



ตึกที่เห็นอยู่นี่แหละ คือ Mosteiro dos Jeronimos โฮะๆๆ สวยใช่มั้ยล่ะ สวยเหมือนพระราชวังเลยเนอะ แต่จริงๆ แล้วเจ้าตึกที่เห็นนี่เป็นเพียงแค่ โบสถ์เท่านั้นนะ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโปรตุเกสเหมือนกัน สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 อีกล่ะ แล้วก็ใช้เวลาสร้างตั้ง 50 ปีแน่ะ ชั้นว่านะ ในช่วงศตวรรษที่ 15 ถึง 16 คงเป็นช่วงที่โปรตุเกสเจริญสุดๆ เลยล่ะ แกว่ามั้ย เพราะว่าสิ่งก่อสร้างดังๆ สำคัญๆ ก็สร้างขึ้นในช่วงนี้ทั้งนั้นเลยเนอะ



ตัวโบสถ์สร้างด้วยหินปูนที่มีสีทองที่หาได้ในท้องถิ่นในสมัยนั้น รอบๆ ตัวโบสถ์ก็จะมีรูปปั้นประดับปนะดาเต็มไปหมด แต่อย่าถามนะว่าเป็นรูปปั้นอะไร เพราะว่าชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าเดาก็คงเป็นรูปปั้นพระหรือนักบวชที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นนั่นแหละ น่าเสียดายอีกล่ะ ที่ชั้นก็อดเข้าไปเดินดูด้านในอีกตามเคย วันนี้ตัวโบสถ์ไม่ปิด แต่ชั้นดันมาถึงตอนเย็นมากแล้วน่ะสิ แล้วใครจะอยู่ต้อนรับกัน ทิ้งท้ายด้วยรูปหน้าโบสถ์ดีกว่านะแก วันนี้ชั้นเหนื่อยแล้ว สงสัยจะตื่นเช้าเกินไป แล้วยังเดินจนปวดเท้าไปหมดเลย แถมยังต้องมาเขียนจดหมายให้แกอ่านจนมือหงิกไปหมด เดี๋ยวนั่งรถใต้ดินกลับไปกินขนมปังที่เอาจากบ้านที่โรงแรมดีกว่า แล้วชั้นจะเขียนจดหมายหาแกทุกวันเลยนะ กู๊ดไนท์จะแก





...Click here to continue reading...














Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 12 พฤษภาคม 2553 8:12:39 น.
Counter : 1159 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Yai Kaew
Location :
Nordrhein-Westfalen  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]



New Comments
กุมภาพันธ์ 2551

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
28
29
 
 
27 กุมภาพันธ์ 2551
  •  Bloggang.com