Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
16 พฤศจิกายน 2548
 
All Blogs
 
บั น เ ทิ ง ใ จ

ชีวิตที่เตรียมพร้อม: การตายในวัฏสงสาร
ถอดธรรมบรรยายของพระอาจารย์ สมภพ โชติปัญโญ เมื่อ พ.ศ. 2534

ขออำนวยพร ศิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล
ความสงสบเยือกเย็นแห่งจิตใจ
ความผาสุกทุกกาล
ขอจงบังเกิดมีแก่ญาติโยมพุทธบริษัท
เพื่อนร่วมชาติ เพื่อนร่วมโลก
เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ตลอดทั้งท่านสาธุชนผู้ที่มีความสนใจ
ใฝ่ในศีลในธรรมทั้งหลาย โดยทั่วกันทุกท่านทุกคน

ณ โอกาสนี้ ธรรมิกถาแห่งเวลาก่อนพัธกาล
ในวันพระวันนี้
ความจริงวันนี้ไม่มีเรี่ยวมีแรง วันนี้เป็นไข้
เป็นไข้มาก ทั้งคืนทั้งวันยังไม่สร่างซา
แต่ก็มีความรู้สึกเป็นห่วง ญาติโยม
พุทธบริษัททั้งหลายในเรื่องที่ควรจะพูดจะจากัน

ท่านผู้ใดที่จะไม่ได้ฟังในเรื่องนี้ก็เสียดาย
อยากจะให้ฟัง เผื่อบางทีผู้พูดให้ฟัง
จะตายเสียก่อนแล้วจะไม่ได้ยิน
เหตุนี้จึงทำให้มีกำลังใจ
แข็งอกแข็งใจมาพูดกับท่านทั้งหลาย


ปกติในวันพระ วันนี้เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง
วันอุโบสถ วันที่ท่านสาธุชนจำศีลกัน
และวันนี้เป็นวันที่อาตมามีโปรแกรมไปแสดงธรรมที่อุบลฯ
ภาคเช้าที่กองบิน ๒๑ ภาคบ่ายที่วิทยาลัยครูเมืองอุบลฯ

ตั้งอกตั้งใจเหลือเกินว่าจะต้องไปแสดงธรรมที่เมืองอุบล
แต่ก็ปรากฏว่ามันเป็นไข้มาตั้งแต่โน่น บ่ายสามโมง
มันไม่ยอมหยุดไข้มาตั้งแต่เมืองหนองคาย
นี่ขึ้นรถ นั่งรถหลวงปู่ พระเดชพระคุณพระเทพปริยัติมุนีท่านมาด้วย มาเยี่ยม
รถท่านนี่แอร์เย็นฉ่ำมากก็เลยเป็นไข้หนักเข้าไปอีก
เมื่อคืนทั้งคืนไม่ได้หลับเลย มันมีแต่ไข้
นั่งดูเวทนา รอคอยเวลา เผื่อว่ามันจะตาย
ก็จะได้ตายแซ่บๆหน่อย

ก็พอดีเป็นวันพระ โยมก็มาเยอะ
อยากจะนำเรื่องราวที่ควรพูดให้กันฟัง
พอมีเรี่ยวมีแรงพูด เผื่อว่ามันตายเสีย
มันจะไม่ได้ยินได้ฟัง นี่สุ้มเสียงก็ไม่ค่อยดี

วันนี้อยากจะพูดเรื่องชีวิตที่พร้อม
ชีวิตที่เตรียมพร้อม
เอาอย่างนี้ก็แล้วกันว่า ชีวิตที่เตรียมพร้อม

เรื่องนี้ก็คือ
หากคนเรามีโอกาสที่จะต้องตายไปอยู่ทุกขณะ
ถ้าชีวิตได้พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความตายได้
มันก็เป็นชีวิตที่พร้อม
และเป็นการตายที่มีศิลปะ
เป็นการตายของผู้มีธรรมะในจิตในใจ
ถ้าตายธรรมดา ตายในศีลในธรรม ตายด้วยสัมมาทิฐิ
เบื้องต้นมีบุญเป็นวิบากก็จะไปสู่สุคติ สู่สวรรค์
แต่ถ้าตายด้วยสัมมาทิฐิอันเป็นเบื้องปลาย
เป็นโลกุตระ เป็นวิบาก
เป็นเหตุปัจจัยของขันธ์ ธาตุ อายตนะ รับรู้ รับทราบ
ปล่อยวาง ดูความเสื่อมไป สิ้นไปของธาตุของขันธ์
ถ้าอย่างนี้เรียกว่า ตายท่ามกลางพระนิพพาน

ถ้าตายด้วยศีลด้วยธรรม ด้วยกรรมธรรมดา
กัลยาณธรรมก็เรียกว่าตายในสวรรค์
แต่มีบุญคือสังขารเป็นเครื่องปรุง
ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ ท่านว่า

ปุญญัน เจ ภิสังขารัง อภิสังขาโร
ปุญโญ ปะคัง โหนติ วิญญาณัง

เมื่อสังขารอันเป็นบุญปรุงแต่ง วิญญาณก็เข้าถึงบุญ
ถ้าสังขารอันเป็นบาปปรุงแต่ง วิญญาณก็เข้าถึงบาป
นี่มันเริ่มด้วยอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
สังขารที่เป็นปุญ ปุญเกิดในวิญญาณก็เข้าถึงปุญ
จึงบอกว่า
อะปุญญัน เจ ภิสังขารัง อภิสังขาโร
อะปุญญาภิคัง โหติ วิญญาณัง

เมื่อสังขารที่เป็นบาปปรุงแต่งวิญญาณก็เข้าถึงบาป
เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังมีอวิชชาก็มีการปรุง
ปรุงๆๆ ก็มีการเข้าใจผิดเข้าใจถูก
เป็นเหตุให้เกิดปัจจัย เกิดสังขาร สังขารก็ปรุงผิดปรุงถูก
ขึ้นสวรรค์ ตกนรก วนเวียนกันไม่จบไม่สิ้น
การตายชนิดนี้ก็เรียกว่าการตายในวัฏสงสาร


แต่ถ้าพ้นอวิชชา พ้นเครื่องปรุงเครื่องแต่งไปได้
ดูความหมดสิ้นไปของตนเอง
เหมือนดูตะเกียงมอด ตะเกียงดับ
เหมือนดูคนอื่นตาย คืออวิชชามันเกิด มันหมดไป
วิชชามันเกิดขึ้น
พระพุทธเจ้าของเราท่านสรุปว่า
อวิชชา ปะเหยะติ วิชชา อุปันนา โหติ

ฉะนั้นแล้ววิชชาก็เกิดขึ้น

เนวะปุญญันเจ ภิสังขารัง อภิสังขาโรโหติ
นะอะ ปุญญันเจ ภิสังขารัง อภิสังขาโรโหติ
ปาปะ ปุญญะ สัปปะหินะ สะนิชาโต ปรินิพพุโต

เมื่อละอวิชชาเสียได้แล้ว วิชชาเกิดขึ้น

ความเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งเกิดขึ้น
ความลุ่มหลงไม่มี
บุคคลนั้น ภิกษุนั้นก็ไม่ทำในบุญในบาป
ไม่กระทำบุญกระทำบาป
ฟังให้ดี เดี๋ยวจะฟังผิด

ที่ว่า เนวะ ปุญญัน เจ ภิสังขารัง อภิสังขาโรโหติ
นะอะ ปุญญันเจ ภิสังขารัง อภิสังขาโรโหติ
ปาปะ ปุญญะ สัปปะหินะ สะนิชาโต ปรินิพพุโต
ถอนทั้งบุญถอนทั้งบาป

การตายอย่างนี้เรียกว่า การตายท่ามกลางพระนิพพาน

แต่วันนี้ จะขอพูดถึงการตายในวัฏสงสาร
คือควรแล้วในการที่มันเจ็บมันไข้อยู่
อาตมาไม่มีโอกาสได้พักผ่อน
มีแต่งานนิมนต์ให้ไปเทศน์ ไปสอน
จะขอลาพักกับใครมันก็ลาไม่ได้ เป็นหน้าที่ของเรา
ตอนนี้แหละมันจะได้พัก
เพราะมันไข้ มันไปไม่ได้ มันจะได้พักล่ะ
หรือมันจะได้พักยาว มันจะตาย
ฟากไปนี้(หลังจากนี้ – Wpath) มันตาย
ก็เลยอยากจะพูดก่อนที่ความไข้มันจะมากขึ้น
หรือมันจะตายจากกัน
อยากพูดว่า
การตายในวัฏสงสาร
ที่มีบุญเป็นเครื่องปรุงแต่งสังขารฝ่ายบุญเรียกว่า
ปุญญาภิสังขารัง อภิสังขาโรโหติ
ปุญโญ ปะคัง วิญโญโหติ วิญญาณัง
สังขารอันเป็นบุญอย่างยิ่งมาปรุงแต่ง
วิญญาณก็เข้าถึงบุญ


จะขอเล่าเรื่องเมื่อวานนี้ที่ไปแสดงธรรม
ที่บ้านหนองสองห้อง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
ไปแสดงธรรมในงานศพ ศพของพ่อดี
เป็นแพทย์ประจำตำบล เรียกว่าแพทย์ดี

พ่อแพทย์ดีเป็นคนมีสัมมาทิฐิ
สนใจแต่เรื่องวัดวาศาสนา ทำบุญสุนทรทาน
เป็นหัวหน้าของหมู่คณะในการประกอบบุญประกอบกุศล
บวชชีพราหมณ์ ตกไหนในค่ายบกหวาน
และหนองสองห้อง ในเมืองหนองคาย
ต้องเห็นพ่อแพทย์ดีเป็นหัวหน้านำบวช
เป็นหัวหน้าสนับสนุนเลี้ยงอาหาร
หาผ้าขาวมาแจกชาวบ้าน บวชเณรภาฤดูร้อน
ไปหาผ้าทีละ ๒๐๐ ไตร ไปหาบาตร ลงทุนเอง แบกหาม
ต้องการให้บ้านเมืองดี สังคมดี
เป็นสหายธรรมฝ่ายฆราวาส
หมายเลข๑ของอาตมาทางเมืองหนองคาย

เมื่อปีที่แล้ว ปี๒๕๓๓ แกก็มากราบนิมนต์อาตมาว่า
“ท่านอาจารย์มีแต่ไปอบรมที่อื่น
ขอให้ไปอบรมบ้านผม หนองสองห้อง
เอาพระไปหมด อาจารย์ทำวัดเคลื่อนที่
ไปที่อื่นก็ไปมาแล้ว นิมนต์(ท่าน)ไปบ้านผม”

อาตมาก็ว่า “มันลำบาก ถ้าอาตมาจะไปปฏิบัติธรรม
นุ่งขาวห่มขาวด้วย
จำนวนสี่ร้อย ห้าร้อย หกร้อยคน
แล้วโยมจะทำอย่างไร”
โยมดีใจมาก พ่อใหญ่ดีบอก “ผมเหมารถมารับเลย”
แกเหมารถบัสมา ๗ คันมารับ จ่ายคนเดียวหมด
เลี้ยงดูผู้ปฏิบัติธรรมห้าวันหกวัน คนเดียว
จะว่าไปแล้ว นี่ คุณงามความดีของพ่อแพทย์ดี

ปุญญาภิสังขาร กุสสลาสังขาร
ปุญญาภิสันทะ กุสสลาภิสันทะ

เรียกว่าเป็นท่อทานที่หลั่งไหลออกมาแห่งบุญไม่ขาด
เป็นท่อทานแห่งกุศลหลั่งมาไม่ขาด

อาตมาดูแล้วหมดเงินไม่ใช่น้อยๆ โดยเฉพาะเหมารถนี่
ต้องหมดไปอย่างน้อยสองหมื่นกว่าบาท
และก็ยังเลี้ยงดูผู้คน แกทำบุญมาพร้อม
เป็นคนอ่านหนังสือไม่ค่อยเก่ง เขียนหนีงสือไม่งาม
แต่เป็นคนรักศีล รักธรรม รักสาสนา
ลูกเต้าออกมาก็เลี้ยงดูด้วยศีลด้วยธรรม
นี่พ่อใหญ่ดี อายุ ๖๓ปี
เห็นกันหลัดๆแล้วมาพลัดพรากจากกัน

เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า เมื่อบุญกฐินที่ผ่านมานี้
บุญกฐินหยกๆที่ผ่านมา
เห็นพ่อใหญ่แพทย์ดีมาหา
ขับรถมาพาญาติโยมมาทำบุญ
อาตมาก็สังเกต เอ...ทำไมปากพ่อใหญ่ดีไปอยู่ข้างๆ
ปากเบี้ยว
คนดีๆทำไมมันปากเบี้ยว
แล้วก็เข้ามากราบ แล้วก็เอาเงินมาถวาย
สร้างศาลาหนึ่งพันมาร่วมกฐิน
หลังจากนั่นก็เอาใส่ซองมาถวายอาตมาว่า
อยากถวายให้อาตมาไว้ใช้ มาถวายให้อาตมาหนึ่งพันบาท
มาแต่ละครั้งก็เอาเงินมาถวาย
อาตมาก็บอกว่าเอาไปสร้างศาลาเถอะ
พ่อใหญ่ดีก็บอกว่าเอาไว้ใช้โน่นใช้นี่ เจ็บไข้ได้ป่วย
“ผมจะไม่ได้อยู่ ผมจะกลับไปรักษาปากเบี้ยว”
อาตมาดู ปากแกก็เบี้ยว แล้วบอกว่า
“พ่อใหญ่ดี โรคทั้งหลายมันจะเกิดนะ
นานา โรคะโตวา
ปากเบี้ยวปากฉีกมันเป็นไปได้ทั้งนั้น
ต้องบอกตัวเองว่าไม่ใช่เพียงปากเบี้ยว
โรคชนิดนี้ มันยังจะมีอักโรคหนึ่ง ชนิดนี้คือ โรคตาย
ฟากจากเจ็บไข้ได้ป่วยไปนี่ก็คือตาย
อย่าได้ประมาทนะ”

อาตมาบอกว่า “ทานนั้นไม่เท่าศีล
เหนือศีลขึ้นมายังมีภาวนา เจริญสมาธิภาวนา
มีแต่ชักชวนคนอื่นปฏิบัติธรรม
สนับสนุนคนอื่นให้ปฏิบัติสมาธิภาวนา
บวชชีพราหมณ์ ตัวเองไม่ได้เอาจริงๆจังๆ
พ่อใหญ่ดีอายุมากแล้วนะ อย่าประมาท
มีทรัพย์มีสมบัติก็แบ่งลูกแบ่งหลานเสีย
ปฏิบัติธรรมเถิด อายุวัยใกล้สนธยาแล้ว”
อาตมาก็บอกไป
เพราะว่ามาแต่ละครั้งก็มาเล่าเรื่องลูกสาวลูกชายให้ฟัง
คนนั้นอยู่ในศีลในธรรมอย่างนั้น คนโน้นไม่ดีอย่างโน้น
ก็บอกว่า
“รีบๆนะ ปฏิบัติธรรม อายุของเรานั้น ประมาทไม่ได้”

พ่อใหญ่ก็บอกว่า “ครับๆ ผมจะมาปฏิบัติธรรมวันที่ ๑๐
ผมจะเหมารถมา ๒ คัน บรรทุกพี่น้อง
ใครอยากมาผมจะพามา
ผมจะมาปฏิบัติธรรมกับท่านอาจารย์ ผมจะมานอนนี่”
“มาเลยทั้งสองคนเลย ทั้งพ่อทั้งแม่แหละ ให้ลูกๆเขาอยู่”

แล้วอาตมาก็ถามว่า
“พ่อใหญ่ดี ปากเบี้ยวนี่มันก็มีเหตุมีปัจจัยอยู่
มันเป็นเพราะอะไร”
พ่อใหญ่ดีก็เล่าให้ฟังว่า
“เมื่อปีที่แล้วผมฝันเห็นเขามาเอาผม
บอกว่าจะมาเอาไปอยู่สวรรค์มหาราช ไ
ปเป็นหัวหน้าบวชชีพราหมณ์
เป็นหัวหน้าอบรม พวกบนสวรรค์โน่นก็อด
ไม่มีบุคลากรไปเป็นหัวหน้าทำคุณงามความดี”
เอ...แกพูดแปลกๆ อาตมาก็หัวเราะ
และสัพยอกพ่อใหญ่ดีว่า
“คิดดูเอาเถิดพ่อใหญ่ดี
ในเมืองสวรรค์ก็ยังหาคนดี หาเทวดาดีๆยาก
แล้วเมืองมนุษย์เรานี้นับวันจะหายาก
คนดีมีน้อย คนชั่วมันมาก
ขะหยอนดอก ตั้งสวรรค์ยังอึดยังอยากคนดี
(แม้กระทั่งสวรรค์ยังขาดคนดี –Wpath)
หาอดหาอยากลำบากคนประพฤติศีลประพฤติธรรมยาก
ยิ่ง น้อยลง”
“แล้วพ่อใหญ่ดีว่าอย่างไร”
พ่อใหญ่ดีพูดว่า
“ได้ขอร้องเขาไว้ว่าปีหน้า ขออยู่อีกปีหนึ่ง
อย่าเพิ่งเอาไปเลย”
อาตมาก็พูดแซะเข้าไปอีกว่า
“ขออีกปีหนึ่ง นี่มันก็เดือนสิบแล้ว เหลืออีกเดือนเดียว”
ตอนนั้นมาพูดน่ะก็เดือนตุลาฯ อาตมาก็ว่า
“ตุลา พฤศจิกา มันก็เหลืออีกสองเดือนจะถึงปีใหม่
เขาก็จะมาเอาพ่อใหญ่ดี
เพราะฉะนั้นพ่อใหญ่ดีประมาทไม่ได้ ต้องรีบปฏิบัติธรรม”
“ครับ ผมจะมาปฏิบัติธรรมกับอาจารย์” ก็ว่าอย่างนี้

แล้วอาตมาก็ว่า “มันมีเหตุมีปัจจัยอยู่ดอก
ถ้ามันหมดเหตุหมดปัจจัยก็ไปรักษาเสีย”
แกก็บอกว่า “ก่อนที่ผมจะปากเบี้ยว
ผมฝันว่าเขามาบอกเลขให้
เพราะว่าเจ้านั้นอยู่ในศีลในธรรม
บอกคนอื่นแล้วมันไม่ทำตาม
เมื่อซื้อเลขถูกแล้ว จงสร้างซุ้มประตูให้วัดด้วยนะ
ถ้าหากไม่ซื้อจะบิดปากเอา ว่าอย่างนี้”
(หัวเราะ) พ่อใหญ่ดี เล่าให้อาตมาฟังอย่างนี้
อาตมาว่า “แล้วเจ้าซื้อบ่อ?-แล้วโยมซื้อไหม”
“บ่อ...ผมเป็นหัวหน้าชีพราหมณ์
แนะนำคนอื่นให้ทำดี เว้นอบายมุข
ผมจะไปซื้อเลข มันก็เป็นการเล่นการพนัน
เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ
จะเล่นการพนัน ซื้อเลขซื้อหวย ผมว่ามันไม่ดี”

อาตมาว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องไปปัว (รักษา) กลับไปนี่ก็ไปซื้อหวยเสีย
ซื้อนี่ ซื้อรักษาปาก บอกว่าเรารับปากเขาแล้ว
ถ้าไม่ซื้อเขาจะบิดปาก
เราซื้อ ซื้อให้มันหายเบี้ยว
มันไม่ถูกก็ช่างหัวมัน อย่าไปเสียดาย
ถ้ามันถูก มันก็ได้เงินทำบุญ”

แกก็หัวเราะแฮๆ ปกติพ่อใหญ่ดีเป็นคนทุกข์ไม่เป็น
โศกไม่เป็นนี่นา แกก็หัวเราะ
ลูกไม่ดีแกก็หัวเราะ ขออภัยพูดภาษาพ่อใหญ่ดี
พูดหยาบๆ แกเล่าเรื่องลูกชายให้ฟังว่า
“บักล่ม บักโหลง มันมาปฏิบัติธรรมกับอาจารย์ดี๊ ดี
หลบไป (กลับไป) มันล่ะดี
คุมื่อนี้ (ทุกวันนี้) มันกินเหล้า
มาปฏิบัติธรรมกันจังได๋วะนี่ (มาปฏิบัติธรรมอย่างไรกัน)”
นี่ก็เล่าให้อาตมาฟัง พูดแล้วแกก็หัวเราะแฮๆ
เล่าเรื่องลูกไม่ดีแกก็หัวเราะแฮๆ
เล่าเรื่องลูกดีก็หัวเราะแฮๆ

พออาตมาให้กลีบไปซื้อเลข ให้มันหายปากเบี้ยว
เพราะซื้อรักษาปาก
แกก็หัวเราะแฮๆว่า “คึสิแม่นเนาะ (ท่าจะจริงอย่างว่า)” แล้วก็กลับไป

กลับไป อาตมาก็ไม่ได้เห็นพ่อใหญ่ดีอีกเลย
ได้ทราบว่าซื้อหวยถูกเลข
ได้เงินเป็นแสนๆ ไม่บอกใคร ซื้อเอง
แล้วก็เอาไปสร้างซุ้มประตู
สร้างให้เขาตามที่พูด แกว่าได้เงินไปหลายแสน
ทีนี้ก็บอกลูกหลาน
๒๐ ธันวามาแล้วก็บอกลูกหลานว่า
จะไปปฏิบัติธรรมกับอาจารย์สมภพ
จะเอารถไป เอาชาวบ้านไปให้ลูกหลานดูบ้านดูช่อง
พูดทุกวัน ลูกก็บอกว่า
พ่อเว่าดู๋ เว่าคุมื้อ (พูดมาก พูดทุกวัน)
พ่อก็ว่า “เว่าตั๊ว มันสิลืม
เว่าดู๋ๆ กูย่านบ่อได้ไปปฏิบัติธรรมนำเพิ่น
(ต้องพูดสิ เดี๋ยวจะลืม ฉันกลัวไม่ได้ไปปฏิบัติธรรมกับท่าน)”

นั่นก็ปลายปี ต่อมาอีกแกก็ฝันอีก
ใกล้จะสิ้นปีก็ฝันว่าเขามาเอา
เขามารับเอาไปเป็นหัวหน้า ในที่สุดก็สั่งลูกสั่งหลาน
พบใครก็บอก
“ข่อยสิอยู่บ่อได้ดอก คึสิตายล่ะบาดนี้ เขาสิมาเอา
(ฉันคงอยู่ไม่ได้ คงจะตายแน่คราวนี้ เขาจะมารับ)”
พูดแล้วก็หัวเราะแฮๆ

คนอื่นก็ไม่เชื่อ แกไม่ทุกข์มีแต่หัวเราะ
หลังจากนั้นได้เอารูปถ่ายของตนมาขัดให้มันสะอาด
ไปอัดรูปใหม่แล้วเขียนประวัติตนเอง
เขียนไว้ให้ลูกให้หลานแล้วก็
เขียนพวงหรีดให้กับตนเองด้วย ว่า
“มาดีมีสุข ไปดีพ้นทุกข์”
แกเขียนไว้อย่างนี้ หลังจากนั้นก็ไปสั่งสมภารที่วัดว่า
“ผมคงจะทำซุ้มประตูไม่เสร็จ ผมจะตาย
ผมหมดไปเก้าหมื่น
อีกแปดหมื่นผมฝากไว้ที่ลูกชาย
ให้อาจารย์ทำให้ช่างเขานะ มาเอาเงินไปให้
ยังไงๆ ผมอาจจะไม่ได้อยู่”

ไปพบใคร แกก็บอก แกก็สั่ง เขามาเอาแล้ว จะไป
ไปพาเขาบวชชีพราหมณ์อยู่สวรรค์ชั้นจาตุม
เอาไปเอามา คนเขาหาว่าแกเป็นบ้า เป็นโรคประสาทแล้ว
ไปวัดไปวาจนป้ำๆเป๋อๆ พูดเพ้อไป นี่เขาเข้าใจอย่างนี้
จนต่อมาเมื่อวันที่ ๓๑ ก็ไข้ ไข้หนักเลย
ก็ไปโรงพยาบาลที่อุดร

ลูกหลานก็ไปส่งเข้าไอซียู แกก็มีสติบอกลูกหลานไปนิมนต์พระท่านให้มาเทศน์ให้ฟัง
เจ้าคุณสุวรรณ ท่านไปเทศน์ให้ฟังนะ
ท่านอาจารย์พระครูภาวนาท่านก็ไปเทศน์ให้ฟัง
ท่านได้ไปเยี่ยม เอามือจับ ยังจำได้
หลังจากนั้น วันที่๓๑ ก็บอกลูกหลาน
เอาพ่อกลับเถิด ถ้าเป็นพรุ่งนี้แล้วก็เอาพ่อใส่รถกลับเลย
โน่นๆเขามารับแล้ว เต็มไปหมด เขาใส่ชุดขาวมารับแล้ว
ว่าอย่างนี้

ลูกเต้าหรือใครต่างก็ว่าแกเพ้อ สุดท้ายแกก็พูดอย่างนี้
เขามาเอาเต็มโรงพยาบาล
รับไปเถิดเอากลับบ้าน ลูกเต้าก็เชื่อ
เอาไปบ้านซะ แล้วแกก็สั่งหมด

งานเฮือนดีของพ่อนี่นะ
อย่าฆ่าวัวฆ่าควาย
อย่ามีหมอลงหมอลำ
อย่ามีหนังมีละคร
อย่ามีอบายมุขเด็ดขาด
นิมนต์พระท่านมาสวดมาเทศน์
ให้ท่านมาสวดอภิธรรมแล้วให้ท่านแปล
ถ้าอย่างไรเสียให้ท่านเจ้าคุณท่านแปลให้คนฟัง
นี่สั่งลูกไว้อย่างนี้

วันเผาให้นิมนต์อาจารย์สมภพมาเทศน์ด้วย
เมื่อลูกหลานมาเอาไปแล้ว ตีสี่ของวันที่๓๑ จะเข้าวันใหม่
ก็เป็นปีใหม่แกก็ตายอย่างสงบ ไม่กระวนกระวาย
ได้บอกลูกหลาน ลูกเอ๊ย หลานเอ๊ย
พากันอยู่ในศีลในธรรมนะ
ไม่ต้องร้องห่มร้องไห้ อาลัยอาวรณ์คิดถึงพ่อดอก พ่อไปดี
เขียนไว้ในกระดาษให้ลูกใส่ในพวงหรีด
ลูกก็ทำให้เลยว่า
มาดี มีสุข ไปดี พ้นทุกข์
เขียนอย่างนี้ บอกลูกเต้าให้อยู่ในศีลในธรรม
จงทำเหมือนพ่อ
แล้วจะไปพบพ่อ ไม่ต้องทนทุกข์...
แกตายไปอย่างสงบ

หลังจากนั้นอาตมาก็ไปแสดงธรรมที่หนองคาย
โดยไม่มีใครนัด
ไม่มีใครโทรเลขบอก อาตมาว่า วันนี้คิดถึงพ่อใหญ่ดี
จะไปฉันเช้ากับพ่อใหญ่ดี ๑๑ โมง ๓๐ แล้วยังไม่ได้ฉัน
กลัวเวลามันจะหมดก่อนเราจะไปแสดงธรรมที่หนองคาย
ก็เลยแวะฉันที่บ้านน้ำสวยกับคุณโยมแสน
หลังจากนั้นก็ไปแวะพ่อใหญ่ดี
คุณโยมสง่าและลูกหลานเห็นก็ดีใจ
แหมอาตมาก็ดีใจ
ว่าได้รับข่าวเมื่อไร โทรเลขไปถึงหรือฝันนี่
อาตมาไม่รู้เรื่องเลย
โทรเลขอะไรก็ไม่มี มีแต่ความรู้สึกคิดถึงพ่อใหญ่ดี
และจะมาฉันข้าวเช้าที่นี่
พ่อใหญ่ดีได้จากไปวันที่ ๖ อาตมาก็ได้ไปแสดงธรรม
ปรากฏว่าอาตมาก็ได้เป็นไข้ วันที่๖
ก็คือเมื่อวานนี้แหละ เป็นไข้อย่างหนักเลย
เจ็บคอ เพราะได้ไปแสดงธรรมหลายแห่งเลยไม่ได้หยุด เจ็บคอ เจ็บก็ตั้งใจไปงานพ่อใหญ่ดี
ก็ไข้มาจากโน่นแหละ
พอดี พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระเทพปริยัติมุนี
วัดพระธาตุพนมท่านไป
ก็เลยนิมนต์ให้ท่านขึ้น เป็นผู้เทศน์เลย
อาตมาก็ไปยืนเทศน์อยู่หน้าเชิงตะกอน ๒๐ นาที
สังเวทกถา

กลับมาก็เป็นไข้ตามทาง อาตมาเอาเรี่ยวเอาแรงไปเทศน์เมืองอุบล ทั้งคืนก็ไม่ยอมสร่าง
ก็เลยเอาเรี่ยวเอาแรงมาเทศน์ให้ท่านทั้งหลายฟัง
ท่านทั้งหลายเห็นการจากไปของพ่อใหญ่ดีนี้
ดูงานศพพ่อใหญ่ดีคนมาเต็ม
รถจนไม่มีที่จะจอด พระเณรมาไม่น้อยกว่า
สองร้อยสามร้อยรูป
ชาวบ้านมาเป็นพันๆ นั้นอาตมาคิดว่า คนดีนะ
คนดีนี่ถ้าดีธรรมดาคนก็นับถือ ดีปากลางคนเคารพ
ดีสูงสุดคนบูชา
ตายไปแล้วคนหลั่งไหลมางานศพ ล้วนแต่คนดี
นุ่งขาวห่มขาวมาไม่น้อยกว่าห้าร้อยคน
พระสงฆ์องค์เจ้า ชาวบ้านมาอีกเป็นพันๆ
นี้มีแต่คนดี
มาด้วยอานุภาพแห่งคุณงามความดีของพ่อใหญ่ดี
ถ้าคนชั่วตาย คนชั่วหลั่งไหลมาเผาศพ
มันก็เป็นเครื่องวัดในตัว

ชั่วที่สุดเลย ไม่มีส่วนดีให้ใคร
ไม่มีใครหลั่งน้ำตาให้เหมือนชูชกตาย
ชูชกตาย ประกาศหาพี่น้อง ๗วัน ๗คืนก็ไม่มีใครมา
เรื่องของพ่อใหญ่ดีนั้น จากไปทิ้งความอาลัยไว้ให้ลูกหลาน
พร้อมกับความดีใจลึกๆว่า
แม้จะคิดถึงปานใดก็มั่นใจว่าพ่อไปดี
และพ่อได้สั่งได้เสียได้บอกแม้กระทั่งสวรรค์ว่า
พ่อจะไปเป็นหัวหน้าบวชชีพราหมณ์
อบรมเขาที่สวรรค์ชั้นจาตุหมาราช

พูดถึงตรงนี้ก็นึกถึงในครั้งสมัยพุทธกาล
มีเรื่องคล้ายๆพ่อใหญ่ดี
พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า
อิทะ โมทะติ เปกะตะปุญโญ
อุปปะยะ ธัมโม ทะติ โสโม ทะติ โสปะโมทะติ
ทิสาวา สัมมะวิสุทธิ มัตตะโน แปลว่า

ผู้ทำบุญไว้แล้วย่อมบันเทิงในโลกนี้
ละโลกนี้ไปแล้วก็ย่อมบันเทิง
เขาย่อมบันเทิงในโลกนี้และโลกหน้า
บันเทิงในโลกทั้งสอง
เพราะเขาเห็นความหมดจดแห่งกรรมของตน
ย่อมบันเทิง ก็ย่อมรื่นเริง
พูดง่ายๆว่า เขาไม่คิดว่ายมบาลไหน
จะจับเขาโยนลงนรกได้
เพราะกรรมอันบริสุทธิ์ที่เขากระทำไว้ เขามั่นใจ
พ่อใหญ่ดีก็คงคิดเหมือนกันว่า
ยมบาลไม่กล้าจับคนอย่างเราโยนลงนรกแน่นอน
บันเทิง จะไปสวรรค์ ตายแล้วยังยิ้มนะ
เปิดหน้ามาก็ยังยิ้ม

เรื่องนี้ในสมัยพุทธกาลก็มีอยู่เหมือนกัน
มีเรื่องธรรมิกอุบาสก ในสมัยพระพุทธเจ้านะ
จะเล่าเรื่องอุบาสกคนหนึ่งมีลูกเยอะชื่อว่า ธรรมิกอุบาสก
หรืออุบาสกผู้ประกอบไปด้วยธรรม
เข้าวัดฟังธรรมจำศีล
ได้บรรลุถึงขั้นโสดาบันโน่นแหละ
พอแก่มา เจ็บไข้ได้ป่วยออดๆแอดๆ
พอไข้หนักไปไหนไม่ได้ก็บอกลูกหลานว่า
พ่อประสงค์จะฟังธรรม
ก่อนที่จะจากลูกไป ขอให้ลูกไปนิมนต์พระมา
สัก๘รูปหรือ ๑๖รูป

ลูกก็ไปนิมนต์พระมา...
เมื่อพระมาถึงถามว่าท่านประสงค์จะฟังสูตรไหน
อุบาสกก็บอกว่าต้องการฟังสติปัฏฐานสูตร
พระทั้งหลายก็พากันสวด
ท่านก็สวดของท่านไปเป็นหมู่ๆไป
ธรรมิกอุบาสกก็พูดขึ้นว่า
เดี๋ยวก่อน หยุดก่อน
พระท่านได้ยินดังนั้นก็หยุด
คิดว่าธรรมิกอุบาสกเป็นเช่นสัตว์ทั้งหลายทั่วไป
คงจะกระเสือกกระสนจะตาย แล้วก็บอกให้หยุด
ปรึกษากันว่าบัดนี้คงไม่ใช่เวลาจะสาธยายธรรมกันแล้ว
เรากลับดีกว่า

ธรรมิกอุบาสกก็ยังพูดต่อว่า เดี๋ยวก่อน หยุดก่อน
ส่วนลูกทั้งหลายก็คิดว่าพ่อเรานี้เสียแรงเข้าวัดเข้าวาจำศีล
เวลาจะตายเล่าก็ไม่มีสติ ว่าแล้วก็เข้าไปบอกพ่อตั้งสติให้ดี
พ่อเลยถามว่า พระไปไหนล่ะไม่สวด
ลูกก็บอกว่าท่านไปหมดแล้วเพราะพ่อบอกให้หยุด
พ่อบอกว่า พ่อไม่ได้พูดกับพระ พ่อพูดกับเทวดา
เขาเอารถมารอ
จะให้พ่อไปโน่น ๖ คัน มาจากสวรรค์แต่ละชั้น
แต่ละชั้นก็ชักชวนให้ไป
พ่อต้องการจะฟังธรรมให้จบก็เลยบอกว่า
หยุดก่อน รอก่อน

ลูกเต้าก็ยิ่งงงใหญ่ ทำไมพ่อพูดอย่างนี้
ไหนรถอยู่ตรงไหน พ่อก็ชี้ไปบนอากาศ โน่นแน่ะ
จอดอยู่เป็นแถวตั้ง ๖ คัน
ต่างองค์ต่างก็ชวน ขอท่านจงยินดีในโลกของข้าพเจ้า
พ่อพูดกับเทวดาเหล่านั้น
ลูกยิ่งงงหนัก รถ ๖ คันบนอากาศ
ลูกไม่เห็นจะให้เชื่อได้อย่างไร
พ่อก็บอกว่า ดอกไม้ต่างๆเจ้ามีไหม บอกว่า
มี ร้อยเป็นพวงมาลัยบูชาก็มี
ถ้าอย่างนั้น ลูกอยากให้พ่อไปสวรรค์ชั้นไหน
ที่ๆควรเป็นที่ไปของพ่อ
ลูกก็บอกว่า พ่อนั้นชอบฟังเทศน์ ฟังธรรม
ควรไปสวรรค์ชั้นดุสิต
ได้อยู่ใกล้กับพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย จ
ะได้ฟังพระโพธิสัตว์แสดงธรรม
ถ้าเช่นนั้นลูกทั้งหลาย จงพากันอธิษฐาน
แล้วจงโยนดอกไม้
ขอให้พวงดอกไม้นี้จงคล้องที่รถจากชั้นดุสิตเถิด
ว่าแล้วก็โยนพวงดอกไม้
ห้อยเป็นแถวบนรถ แต่มองไม่เห็นรถ
เห็นแต่พวงดอกไม้
พวงดอกไม้ห้อยอยู่ที่รถของชั้นดุสิต
พ่อจะไปภพดุสิต
ลูกอย่าได้วิตกเป็นห่วงพ่อเลย
ถ้าหากว่าลูกปรารถนาจะเกิดสำนักของพ่อ
จงทำบุญตาม
ที่พ่อได้ทำดังนี้แล้ว เมื่อลูกตายก็จะได้อยู่
ไปกับรถจากภพดุสิต ว่าอย่างนี้
บอกลูกเสร็จก็ตายไป

พระสงฆ์ก็ยังงง หลังจากนั้นก็ไปคุยกัน
ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น
มาถึงวิหารก็คุยกันเรื่องเดียว
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถาม
ภิกษุทั้งหลายเล่าให้ฟัง
ถามว่า เดี๋ยวนี้อุบาสกนั้นไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน
พระพุทธเจ้าว่า บัดนี้เขาเกิดแล้วในภพดุสิต
พระสงฆ์ก็บอกว่า อุบาสกนั้นเที่ยวชื่นชม
ในท่ามกลางญาติ เหมือนในโลกนี้หรือ
พระพุทธเจ้าว่า เขาก็เหมือนเราอยู่ในโลกนี้
เขาชื่นชมรื่นรมย์อยู่ในเทวโลก
บุญของเขานั้นรออยู่
เหมือนญาติกำลังรอคอยการไปมาหาสู่ของญาติทั้งหลาย ว่าอย่างนี้

หลังจากนั้นพระพุทธเจ้ากล่าวเป็นคาถาว่า
อิทะ โมทะติ เปจะโมทะติ
กะตะปุญโญ อุปปะยะธัมโมทะติ
โส โมทะติ โสปะโมทะติ
ทิสะวา กัมมะ วิสุทธิ มัตตะโน

ผู้ที่ทำบุญไว้แล้วย่อมบันเทิงในโลกนี้
ละโลกนี้ไปแล้วย่อมบันเทิงในโลกอื่นโลกหน้า
ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง
เพราะเขามองเห็นแต่
ความหมดจดแห่งกรรมที่เขากระทำ
เขาย่อมบันเทิงรื่นเริงอยู่
นี่เล่าให้ท่านทั้งหลายฟังว่า
แม้แต่ในโลกนี้เดี๋ยวนี้ก็มี
ผู้ที่ตายไปด้วยความบันเทิง
เขาพอใจทางไปสู่ปรโลก
เขาทำแล้วอย่างพ่อใหญ่ดี

มีอีกตัวอย่างหนึ่งว่า ในสมัยพุทธกาลนั้นแหละ
คือลูกสาวของอนาถปิณฑิกเศรษฐี
คือนางสุมนาเทวี เป็นลูกคนสุดท้อง
“ลูกสาวหล้า บ่อเมือนานำพ่อ
(ลูกสาวคนสุดท้อง ไม่กลับท้องนากับพ่อ
แปลความว่า ลูกสาวคนนี้ไม่ไปที่ๆพ่อไป—Wpath)”
ภาษาภาคอีสาณ
โสภาโสภีเหมือนดั่งนางสวรรค์

มีเรื่องเล่าว่าอนาถปิณฑิกเศรษฐีมีโรงทาน
มอบให้ลูกสาวดูแล คนแรกชื่อว่าสุภัททา
ได้บรรลุธรรมโสดาบัน
พอมีผัวก็ไปอยู่บ้านผัว พ่อก็มอบให้คนกลาง
คือ จุลสุภัททา ทำหน้าที่แทนพี่สาว
หลังจากนั้นบรรลุธรรมเป็นโสดาบัน แล้วก็มีผัว
เมื่อมีผัวก็ไปอยู่บ้านผัว
หลังจากนั้นเศรษฐีก็มอบความเป็นใหญ่ในโรงทาน
โรงครัวให้ลูกสาวคนเล็ก สุมนาเทวี
สุมนาเทวีได้บรรลุธรรมสูงกว่าพี่สาวทั้งสอง
พ่อก็บรรลุโสดาบัน
ส่วนนางสุมนาเทวีบรรลุธรรมระดับสกิทาคามี
สูงหว่าพี่สาวและพ่อ
แล้วยังเป็นสาวด้วยนะ ไม่ยอมมีผัว

หลังจากนั้นวันหนึ่งนางก็เป็นไข้ ไม่ผาสุก ไม่กินข้าว
คือเป็นไข้จนไม่กินข้าวกินปลา ภาษาบาลีว่าตัดอาหาร
อาหารุ ปัจเฉทัง กัตวา
ภาษาบ้านเฮาว่า เซากินข้าวกินปลา
บ่ออยากหยังเลย ไข้แฮง

ในที่สุด นางสุมนาเทวีก็มีความประสงค์
อยากจะเห็นหน้าพ่อ
จึงให้คนไปเรียกมา พ่อก็มาหา ถามว่า เป็นอะไรลูก
ลูกสาวก็ว่า เป็นอะไรน้องชาย
พุดกับพ่อว่าเป็นน้องชาย
พ่อคิดว่าลูกสาวไข้หนักจนเรียกพ่อเป็นน้องชาย ว่า
เจ้าเพ้อไปหรือ สุมนาลูกพ่อ
ลูกสาวว่า ไม่เพ้อหรอกน้องชาย
พ่อว่า เจ้ากลัวหรือ
สุมนาว่า ไม่กลัวหรอกน้องชาย
พอกล่าวแค่นี้นางก็ตาย เศรษฐีก็ร้องไห้คิดถึงลูก
เสียใจว่าลูกทำบุญสุนทรทาน
แต่เวลาตายไม่มีสติสัมปชัญญะ
เพ้ออย่างนี้ ลูกสาวเราตกนรกแน่ๆ
ปลงศพเสร็จก็ร้องไห้ไปสู่สำนักของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าตรัสถามเรื่องราวเสร็จก็ทรงอธิบายว่า
ท่านเป็นน้องชายของนางจริงๆ คฤหบดี
ก็ธิดาของท่านเป็นใหญ่กว่าท่านโดยมรรคและผล
เพราะท่านเป็นเพียงโสดาบัน ส่วนลูกสาวท่านเป็นสกิทาคามีแล้ว
นางเป็นใหญ่โดยมรรคโดยผล
นางจึงกล่าวอย่างนั้นกับท่าน
ถ้าเช่นนั้นเดี๋ยวนี้นางเกิดที่ไหน
ท่านเศรษฐีก็ถาม
คติของนางไปอยู่ที่ไหนพระเจ้าข้า
พระศาสดาตรัสว่า เดี๋ยวนี้นางไปอยู่ภพดุสิต
ธิดาของข้าเที่ยวเพลิดเพลินอยู่ในหมู่ญาติระหว่างโลกนี้
แม้ไปจากโลกนี้ก็เกิดในที่ๆเพลิดเพลิน
เหมือนกันหรือพระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าตรัสว่า
อิทะ นันทะติ เปจะนันทะติ
กะตะปุญโญ อุปปะยัททะ นันทะติ
ปุญญัง เม กะตันตินันทะติ
ภิญโญนันทะติ สุติงคะโต

ผู้มีบุญอันทำไว้แล้ว ย่อมเพลิดเพลินในโลกนี้
ละโลกนี้ไปแล้วย่อมเพลิดเพลิน
เขาย่อมเพลิดเพลินไปในโลกทั้งสอง
เขาย่อมเพลิดเพลินว่าเขาได้ทำบุญไว้แล้ว
ย่อมไปสู่สุคติ
ย่อมเพลิดเพลินยิ่งขึ้น
นี่ตัวอย่างที่สองในสมัยพุทธกาล

อาตมานี้ก็เคยรถคว่ำ อยู่ที่บ้านบัววัด
เดินทางจะไปกรุงเทพฯ
ตอนนั้นตาย สลบไสลอยู่โรงพยาบาลหลายวัน ๔๑ วัน
หน้าตานี้จำได้ว่าเป็นบาดแผลเต็มเนื้อเต็มตัวเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้น
ในช่วงนั้นอาตมาก็สร้างกุฏิให้วัด
อยู่ที่วัดป่า สาขาหนองป่าพง
ที่บ้านห้วย อำเภอพนา
สร้างกุฏิยังไม่เสร็จแต่มอบเงินให้เขา
แล้วก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ
รถคว่ำตอนนั้นมีสติ รู้สึกว่าเราคงไม่รอด คงตายแน่ๆ
แต่ในความรู้สึกลึกๆนั้นดีใจ ลึกๆ ว่าเราทำบุญไว้แล้ว
ถ้าชาติหน้านั้นมีจริงเราคงได้เกิดในภพที่ดี
จิตใจมันรู้สึกดี๊ดี มันตั้งใจตาย
ก็ได้อ่านในพระไตรปิฎกแล้วว่า
สุมนาเทวีนี้มีความเพลิดเพลิน
อาตมาไม่มีความรู้สึกเศร้า
รอคอยการตายตนเอง คิดว่าไม่ผิดหวัง
ถ้าชาติหน้ามีเราทำดีไว้แล้ว
ถ้าชาติหน้าไม่มีก็ไม่ต้องเกิด จบกันอีกไม่ต้องทุกข์
เพราะการตายอย่างนี้ การเจ็บอย่างนี้
อันนี้มันสรุปลงได้
เล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง

ทีนี้มาดูพระอนาคามีตาย
ในสมัยพุทธกาลมีอนาคามีเป็นฆราวาสชื่อ
จิตตคฤหบดี
จิตตคฤหบดีก็เหมือนกัน เวลาจะตาย พูด
ญาติสนิทมิตรสหาย ลูกหลานมาเต็มบ้านเต็มเมือง
จิตตคฤหบดีก็พูดอยู่คนเดียวว่า
แปลเป็นไทยว่า นั่นก็ไม่เที่ยง
นั่นก็ไม่ยั่งยืน นั่นก็จะต้องละไป

ลูกหลานก็บอกให้คุมสติ ท่านพูดเพ้อเจ้อทำไม
ท่านก็ว่าไม่ได้เพ้อเจ้อท่านมีสติ
ถ้าอย่างนั้นท่านพูดทำไม
ท่านว่าเทวดาทั้งหลายมารุมล้อมบอกว่า
ท่านคฤหบดี ท่านจงตั้งจิตน้อมใจ
ไปเป็นพระเจ้าจักรพรรดิเถิด ไปเป็นเทวดาเถิด
พวกเทวดาทั้งหลายก็มาเรียกให้ไปอยู่ด้วยกัน
ท่านก็ไม่เอาทั้งนั้น
นั่นก็ไม่เที่ยง นั่นก็ไม่ยั่งยืน นั่นก็จะต้องละไป
นี่ลักษณะของอนาคามีนี้สูง
ไม่ขึ้นสวรรค์ไม่ตกนรก
Non-returner
ขึ้นสวรรค์ชั้นสุดท้ายแล้วก็ไปเลย ตรัสรู้
โน่นเลย สุดคาบ้านแล้ว ไปเลยก็จบเลย ...

คืออนาคามีนี้ใกล่พระอรหันต์เต็มที ไม่มีทางกลับมา
สกิทาคา ยังกลับมาเกิดได้อีกครั้งหนึ่ง
เกิดทางกายก็ดี ทางจิตก็ดี ก็ยังมีอยู่ครั้งหนึ่ง
ภาษาฝรั่งว่า Once-returner
ถ้าโสดาบัน เพียงเข้าสู่กระแส
แต่ก็แน่นอนที่จะปรินิพพาน เข้าสู่อรหันต์
จึงเรียกว่า โสดาบัน
โสดา-กระแส ปันนะ-เข้าสู่ เข้าถึงกระแส
Stream-enterer
อันนี้เล่าให้ฟังว่า จิตตคฤหบดีนี่เก่งมาก
เวลาจะตายยังปฏิเสธเทวดา
ที่จะเชิญไปสวรรค์ชั้นโน้นชั้นนี้

แล้วลูกหลานถามว่า ถ้าอย่างนั้นก็จงแสดงธรรม
ที่ทำให้เป็นเทวดา เป็นเจ่าจักรพรรดิ
ทำยังไงจะได้ไปดี ท่านก็ลุกขึ้นมานั่งเทศน์
เทศน์จนตายนะ...
ตั้งใจฟัง... จงปฏิบัติดังนี้

ยะสะ สัททา ตะถาคะเต อาจาระ
สุปะติ ติหัทโท ยัตตะติ อุชุภูคันจะทะสัง

ศรัทธาในพระตถาคตของผู้ใด
ตั้งมั่นอย่างดี ไม่หวั่นไหว
ความเห็นของผู้ใดตรง
ความเลื่อมใสของผู้ใดมีในพระสงฆ์
บุคคลผู้มีธรรมะชนิดนี้
ก็ถือได้ว่าไม่มีทางตกนรกแน่ จะไปสวรรค์

อะโมคันตะ สะชีวิตัง
ชีวิตของเขาไม่ว่างเปล่า
ชีวิตของเขามีแก่นสารแน่นอน
จะได้ไปสวรรค์แน่นอน
พูดง่ายๆว่า
ให้เข้าถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั่นแหละ

สั่งลูกสั่งหลานเต็มที่ ด้วยศีลด้วยธรรมแล้วก็ตาย

นี่เล่าให้ฟัง
ที่พูดมาซะยาวนี่ก็เพื่อเป็นเครื่องบันเทิงจิต
บันเทิงใจแก่ท่านทั้งหลาย
ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่าได้ประมาทมัวเมา

จงเร่งภาวนา ขวนขวายประพฤติธรรม
ถ้าอยากจะไปเที่ยวแค่สวรรค์ เว้นจากนรก
อยากเป็นคนมั่งมีศรีสุข ร่ำรวยหรือเป็นเจ้าจักรพรรดิ
ก็จงถือเอาพระรัตนตรัยให้สมบูรณ์ แล้วก็ตั้งอกตั้งใจ
ประพฤติปฏิบัติ เว้นชั่ว กลัวบาปกรรม
ชีวิตแต่ละวันให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม
นั้นก็เป็นการดี

ทีนี้ก็มีสิ่งที่น่าคิดอีกอันหนึ่งว่า
ทำไมพ่อใหญ่ดีที่ตายไปนั้น
จึงมีเทวดามาเชิญมารับ
จะเอาไปเป็นหัวหน้าบวชชีบวชพราหมณ์
ไปเป็นหัวหน้าซึ่งเจริญคุณงามความดีทั้งหลายนั่น
เรื่องนี้ก็น่าจะเอามาเล่าสู่ท่านทั้งหลายฟังว่า
แม้แต่ในสวรรค์ก็ขาดแคลนคนดี เทวดาที่ดีทีงาม
ทำไมอาตมาจึงกล่าวอย่างนั้น
เพราะว่าบุคคลผู้นุ่งขาวห่มขาว
ผู้เจริญสมาธิภาวนา สมาทานอุโบสถศีล
หรือผู้บวชเป็นพระเป็นเณร
ตั้งมั่นในศีลในธรรม นี่เทวดากราบ เทวดาไหว้

พระพุทธเจ้าท่านเล่าให้ฟังว่า ภิกษุทั้งหลาย
ท้าวสักกะคือพระอินทร์จะขึ้นรถไปไหนมาไหน
ต้องกราบต้องไหว้ผู้มีศีลมีธรรม
อะหันจะ สีละ สัมปันเน จิระรัตถะ
สะมาหิเต สัมมาหิเต สัมมาปะพะชิเต
วันเท พรหมะ จริยา ปะรายะเน เย
หัตถา ปุญญะกะลา สีละวันโต
อุปาสะกา ยังนะมัสสันติ มากะเรเต

ดูก่อนมาตุรี ผู้ใดมีศีล
ผู้ใดมีจิตตั้งมั่นในสมาธิ
ผู้ใดบวชแล้วโดยชอบ
ผู้ใดมีพรหมจรรย์อยู่เบื้องหน้า
คฤหัสถ์ใดทำบุญ
คฤหัสถ์ใดนุ่งขาวห่มขาว
สมาทานอยู่ซึ่งศีล
เรากราบเราไหว้คฤหัสถ์เหล่านั้น
เป็นผู้บรรเทาแล้ว
ซึ่งโรค โลภะ โทสะ โมหะ
ความสะดุ้งหวาดเสียว
มันผิดกับเราผู้เป็นเหล่าเทวดา
เต็มไปด้วยความวุ่นวายขัดข้อง สะดุ้งหวาดเสียว
เพราะกลัวจะพลัดพรากจากกามทิพย์

ในเมืองสวรรค์กินแต่บุญเก่า อาศัยบุญเก่า
จึงบริบูรณ์พรั่งพร้อมด้วยกามทิพย์
แต่บุญใหม่ไม่ได้มี อยากจะมี
หมู่เทพเทวดาผู้มีศีลมีธรรม ในราชสูตร
ในราชสูตร อังคุตตรนิกาย เล่มที่๒๐ ข้อที่ ๔๗๖
มีเรื่องเล่าไว้ว่า

พระอินทร์ได้ใช้ให้ท้าวจตุโลกบาลนี้
ออกตรวจโลกทุกวัน
ให้ไปดูว่ามนุษย์ในโลกนี้มีศีล มีธรรมไหม
เชื่อฟังสมณะพราหมณ์ เคารพเอื้อเฟื้อต่อผู้หลักผู้ใหญ่
ทำบุญสุนทรทาน สนับสนุนพระสงฆ์องค์เจ้าดีไหม
ถ้าบอกว่าดีก็ดี ก็ดีอกดีใจ
สวรรค์เราจะมีหมู่เทพในกามภูมิ
ถ้าบอกว่าเขาไม่สนใจที่จะฟังธรรม
ไม่(เห็นว่า)จำเป็น
ไม่สนใจเชื่อฟังสมณะพราหมณ์
เคารพเอื้อเฟื้อต่อผู้หลักผู้ใหญ่
ทำบุญสุนทรทาน สนับสนุนพระสงฆ์องค์เจ้า
มีแต่เล่นแต่หัวสนุกสนาน
เต็มไปด้วยความโลภ ความทะเยอทะยาน
อยากเบียดเบียน ท่านก็เศร้าใจ
บัดนี้จะไปแออัดกันในนรกแล้วหนอ

นับวันที่สวรรค์ของเราจะว่างโปร่งโล่งโถง
ท้าวจตุโลกบาลมีบริวารอำมาตย์ไปดูโลกตามวันต่างๆ
พอวันที่ ๑๔ ค่ำก็ให้โอรสไปตรวจดู
กลัวว่าพวกอำมาตย์สอพลอบริวารเสเพล
มันจะมาหลอกมาลวง
พอวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ท้าวจตุโลกบาลลงทุนไปเอง
กลัวลูกชายดูไม่ถนัด
ไปดูว่าคนในโลกนี้ยังเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ดีหรือ
ยังเชื่อฟังพ่อแม่ ยังเคารพผู้หลักผู้ใหญ่
เอื้อเฟื้อสมณะพราหมณ์
ยังฟังธรรมจำศีลอยู่แลหรือ
ถ้าเห็นว่ามี ก็ไปเล่าให้พระอินทร์ฟัง
ถ้าเห็นว่าไม่มีเลย วันโกนไม่ละ วันพระไม่เว้น
ไม่รู้จักบาปกรรมเวรอะไร
ไม่รู้จักสร้างคุณงามความดี ประมาท มัวเมา
เหมือนเขาจะมีอายุเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นปี
ถ้าอย่างนี้เทวดาก็เศร้า

บนสวรรค์ก็หงอยเหงานะ นับวันหนอ
อสุรกายจะเกิน คนจะแออัดยัดเยียดกันในนรก
เขาก็เศร้าหมอง เพราะเหตุนี้

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ไปเปิดอ่านดู
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เทวดาชั้นจาตุมหาราช
มารับเอาพ่อใหญ่ดีนี่
ไปเป็นหัวหน้าอบรมชีพราหมณ์ ไปบวชชีพราหมณ์
เพราะเหตุนี้ ท่านทั้งหลาย
นุ่งขาวห่มขาว ผู้ประพฤติธรรมที่ดีที่งามในวันพระอย่างนี้
มาจำศีล พ่อดีอ้างว้างไม่มีพวก
หลบคืนมา (กลับมา)
เอาพวกจำศีลแปดไปเป็นหมู่ (เป็นเพื่อน)
อบรมเทวดาอยู่สวรรค์ ก็อย่าพากันย่านเด้อ
(อย่าพากันกลัว)
ไม่ต้องกัน ไม่ต้องพากันกลัวตาย

ให้พากันเพลิดเพลิน เพลิดเพลินในบุญ
อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านพูดถึงนางสุมนาเทวีที่ว่า

อิทะ นันทะติ เปจะ นันทะติ
กะตะปุญโญ ปะยะนันทะติ
ปุญญัง เมกะตันติ นันทะติ
ภิญโญ นันทะติ สุคะติงคะโต

ผู้มีบุญอันได้ทำไว้แล้วย่อมเพลิดเพลิน
ละโลกนี้ไปแล้วก็เพลิดเพลิน
เขาเพลิดเพลินในโลกทั้งสอง
เขาย่อมเพลิดเพลินว่าเขาได้ทำบุญไว้แล้ว
ไปสู่สุคติแล้วย่อมเพลิดเพลินยิ่งขึ้น .




Create Date : 16 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2548 4:00:19 น. 0 comments
Counter : 1131 Pageviews.

woodchippath
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add woodchippath's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.