รบกันแล้วได้อะไร
ในช่วงเวลา ปีสองปีที่ผ่านมา มีข่าวเรื่องการปะทะชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา จนกลายประเด็นที่มีการวิวาทะในเว็ปบอร์ดหลายๆที่ รวมถึงเว็ป
บอร์ดที่ผมทำหน้าที่เป็น Admin อยู่

ซึ่งบางความเห็นก็ออกมาในแนวที่จะให้รบกันอย่างเดียว เพื่อความสะใจของตัวเอง ซึ่งความเห็นแบบนี้มีมาบ่อยๆ เวลาที่เกิดมีการพิพาทกัน หลายๆLogin ก็มีการปรับตัวเมื่อโดนปรามแต่ก็ยังมีอยู่ประเภทที่ไม่ยอมฟัง พอจนแต้ม หาเหตุผลมาอ้างต่อไม่ได้ ก็ออกมาบอกว่า รักชาติก็ได้แต่เตือนว่า ใครๆก็รักชาติ แต่ขอให้รักแบบมีสติ ซึ่งเรื่องแบบนี้ก็มีมาหลายครั้ง มีการตั้งกระทู้เตือนและปรามกันมาตลอด แต่ไม่ค่อยมีใครที่จะย้อนไปดูกระทู้เก่าๆที่เคยตั้งกันว่า สมาชิกหลายๆท่าน เบื่อนักรบหน้าคอมกันขนาดไหน

ทีนี้มาเข้าหัวข้อที่ตั้งไว้ว่า รบกันแล้วได้อะไรทีนี้อยากจะถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองได้ยินมา จากคนในครอบครัวและสิ่งที่เคยไปเห็นกับตาตัวเองว่า รบกันแล้วได้อะไร

ตัวผมเองก็ถือว่าเป็นครอบครัวทหาร ลุงทั้ง2ท่าน(ลุงแท้ท่านนึงส่วนอีกท่านก็เป็นสามีของป้าผม) ก็เป็นทหาร ส่วนอาผมก็เป็นแต่เป็นแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ทั้ง 3เคยผ่านสมรภูมิกันมาบ้างแล้ว

ตัวลุงแท้ๆซึ่งเป็นทหารจริงผ่านศึกทั้งที่ลาวกับการปราบ ผกค.มาแล้ว ช่วงเวลาที่ท่านไปลาวผมยังไม่เกิด แต่ได้รับการเล่าบางเรื่องจากพ่อของผมว่า ย่าของผม พอรู้ข่าวว่าลูกชายคนโตต้องไปรบที่ลาว ก็ได้แต่กล่าวอวยพรแบบหน้ายิ้มๆ ให้รอดปลอดภัยกลับมา แต่สิ่งที่พ่อเล่าให้ฟังต่อ คือไม่มีใครรู้ในใจว่า ย่าผมรู้สึกอย่างไร หวั่นไหวขนาดไหนที่ลูกชายคนโตต้องไปรบย่าเป็นชาวบ้านธรรมดาเป็นแม่ค้า แค่อ่านออกเขียนได้เท่านั้น

หลังจากที่ลุงไปรบที่ลาวแล้ว พอกลับจากขายของทุกวันย่าก็ได้แต่จุดธูปไหว้พระ ขอให้คุ้มครองลูกชายคนโตอยู่รอดปลอดภัย พร้อมทั้งไหว้รูปปู่ที่เสียไปแล้ว ขอให้ปกป้องลูกชายด้วย วันๆได้แต่รอข่าว นานๆมีจดหมายมาที่ก็ได้แต่อ่านแล้วตาแดงๆ ไม่พูดอะไร รู้ว่าลูกชายปลอดภัยก็ดีใจแล้ว หรือเพื่อนๆที่กรมทหาร แวะมาส่งข่าวให้ฟังว่า ยังสบายดี พอลุงได้สิทธิลากลับมาที ย่าก็ดูสดใสขึ้น พอกลับไปที่ลาว ย่าก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม ครั้นพอครบกำหนด ลุงผมก็ปลอดภัยกลับมา ทำเอาย่าดีใจมาก

แต่หลังจากนั้นไม่ถึงปี อาผม(ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ซึ่งถูกเกณฑ์ทหารก็ได้อาสาไปรบที่ลาวบ้าง ซึ่งคราวนี้เป็นลูกชายคนเล็ก คราวนี้ย่าก็ได้แต่ทำแบบเดิมและเงียบขึ้น แต่ยังดีที่ได้รับข่าวของอา อยู่บ่อยมากว่าตอนที่ลุงไปลาว เพราะลุงผมเป็นคน ส่งข่าวให้ เพราะติดต่อกับเพื่อนที่ไปที่ลาวได้ เลยมีข่าวส่งมาให้เป็นประจำ

แต่แล้ววันหนึ่งตามที่พ่อผมเล่าให้ฟัง ลุงมาบอกกับย่า" กองพันที่อาอยู่ที่ลาว โดนล้อมอยู่ ไม่สามารถติดต่อได้ ขอให้ย่าทำใจไว้ก่อน" พอฟังเสร็จ ย่าก็ไม่พูดอะไร แต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง ช่วงเวลานั้น ทุกคนเห็นว่าย่าไม่ค่อยพูด และกินได้น้อยลง แต่แล้วหลังจากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์ลุงก็ข่าวมาบอกว่า "อาของผมรอดแล้ว ได้รับการช่วยเหลือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว" ย่าดูดีขึ้นทันที หลังจากนั้นไม่เท่าไหร่ อาก็ปลดประจำการพอดี

ทีนี้มาถึงลุงอีกคน ความจริงหน่วยงานที่ลุงประจำอยู่ไม่ต้องไปประจำแนวหน้าก็ได้ แต่คราวนี้มีการขอตัวลุงผมไป โดยให้ไปประจำที่เขาอีด่างซึ่งเป็นช่วงที่เขมรแตก ซึ่งทุกคนในครอบครัวโดยเฉพาะป้าผม ก็คลายความเป็นห่วง เพราะนึกว่าให้ไปช่วยงานที่ศูนย์อพยพที่เขาอีด่าง

แต่ทุกคนมารู้ทีหลังว่า จริงๆแล้วลุงไปประจำอยู่บริเวณที่เลยเขาอีด่างออกไป เป็นบริเวณชายแดน เพื่อคอยช่วยเหลือผู้อพยพชาวเขมรในขนาดนั้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นเขตสู้รบ มีลูกปืนใหญ่และลูกปืน ค.เข้ามาอยู่บ่อยๆ แต่เพื่อความสบายใจของป้าลุงไม่เคยบอก ว่าตัวเองไปอยู่ที่ไหนและเจอกับอะไรบ้าง ซึ่งมีอยู่หนหนึ่ง ลุงกำลังนั่งทำงานอยู่ในบังเกอร์มีลูกปืนค .มาตกลงบนหลังคา ตรงที่ลุงนั่งทำงานอยู่พอดีแต่เดชะบุญ ลูกปืน ค.ลูกนั้นด้าน ลุงมาเล่าให้ฟังทีหลังโดยที่ป้าไม่เคยรู้เรื่องนี้ว่า พอลูกปืนค .ตกลงมาลุงไม่รู้สึกตัวเพราะสลบทันที ทหารต้องช่วยกันดึงลุงออกมาจากใต้ซากหลังคา


ลุงบอกว่าที่ลุงรอดมาได้เพราะลุงทำความดีบางอย่างไว้(เรื่องนี้ไม่สามารถเล่าได้ครับ กระทบหลายฝ่าย) จนในที่สุดลุงก็ย้ายกลับมาประจำการที่กรุงเทพฯเหมือนเดิม

เรื่องแบบนี้แสดงให้เห็นถึง ความห่วงใยของคนที่อยู่หลัง ว่าเขารู้สึกอย่างไร เมื่อครอบครัวไม่ว่าจะเป็น สามี,ลูกชาย,พ่อ ไปปฎิบัติหน้าที่ จะรอดหรือเปล่าก็ไม่รู้ วิตกกังวลตลอด มีข่าวมาบอกก็ต้องลุ้นกันว่าข่าวดีหรือข่าวร้าย

หลายๆครอบครัวที่ไปที่ลาวกับลุงหรืออาผม ก็ได้แต่กระดูกของครอบครัวตัวเองมาทำบุญ บางครอบครัวของผู้สูญเสียก็ไม่ได้อะไรเลย

พอมีข่าวปะทะกันผมนึกถึงแต่ครอบครัวของทหารที่สูญเสีย แม้ว่าจะภูมิใจว่าพวกท่านได้ทไหน้าที่เพื่อปกป้องประเทศชาติ แต่ครอบครัวเล่าจะเป็นอย่างไร สภาพจิตใจจะเป็นอย่างไร ผมนึกถึงเรื่องนี้ครับ

ถึงไม่อยากให้มีการรบกัน พวกเด็กๆหลายคน คงไม่รู้จักศูยน์อพยพที่เขาอีด่าง ผมเคยไปเมื่อสมัยเรียน ม.1 พอไปแล้วก็สงสารครับ คนที่เคยมีบ้านอยู่มีครอบครัวที่อบอุ่น ต้องหนีตายจากภัยสงคราม มาอยู่อีกประเทศหนึ่ง

เห็นความรู้สึกของคนในครอบครัว เห็นกับตาของตัวเองที่เขาอีด่าง แล้ว ผมถึงอยากจะบอกกันว่า รบแล้วได้อะไร

แต่เราไม่ต้องสูญเสียอธิปไตย แต่อยากให้การเจรจามาก่อน กำลังทหารมีไว้กดดันครับ



Create Date : 31 กรกฎาคม 2552
Last Update : 1 สิงหาคม 2552 21:28:56 น.
Counter : 986 Pageviews.

2 comments
  
การสูญเสียของคนในครอบครัวทหารเป็นอะไรที่รับรู้แล้วหดหู่

การมีคนในครอบครัวอยู่ในภาวะเสี่ยงเป็นทหาร จูก็ไม่ชอบ

ชีวิตเครียดค่ะ เครียดกับการรอตอนเด็กเคยคิดเสมอทำไมต้องพากันเลือกทางนี้

รักชาติรักแผ่นดินนะแต่ไม่อยากให้ใครมาตายในสนามรบ เห็นแก่ตัวสุด ๆ ค่ะ

ไม่เห็นความภาคภูมิใจในธงชาติคลุมเลยให้ตาย เย้ยแรงไปไหม

เพราะหลังธงชาติคลุมคนที่อยู่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

โดย: จูหน่านพ วันที่: 1 สิงหาคม 2552 เวลา:11:15:12 น.
  
โดย: น้าหนูนีล_น้องขวัญ วันที่: 1 สิงหาคม 2552 เวลา:19:50:29 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

บิน102
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



***ขอสงวนลิขสิทธิ์รูปภาพและบทความใน Blogs ตามกฏหมาย***
กรกฏาคม 2552

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
31 กรกฏาคม 2552
All Blog