แชร์ประสบการณ์การลงทุนออมหุ้นผลตอบแทนที่ลดลงใน Q1 2017 ( DCA มกราคม -มีนาคม 2560 )
กระทู้นี้แชร์เพื่อเป็นตัวอย่างและข้อมูลเพื่อประกอบการศึกษาการลงทุนสำหรับนักลงทุนแนว DCA และสำหรับท่านที่สนใจลงทุนในแนวนี้ มิได้หวังผลเพืออวดอ้างหรืออวดความเก่ง-ไม่เก่งแต่อย่างใดนะครับ ท่านที่ไม่ชอบการลงทุนแนว DCA หรือไม่อยากเสียเวลาในการอ่านกรุณาข้ามกระทู้นี้ไปนะครับ...ขอบคุณครับ
กระทู้นี้ผมจะขอแชร์ผลการลงทุนเพิ่มรอบไตรมาส 1 ( 3 เดือน) แสดงผลกำไรที่เพิมขึ้น ลดลง ของหุ้นในพอร์ต เนื่องจากไตรมาสนี้หุ้นหลายๆตัวราคาปรับตัวลงค่อนข้างมากกว่าราคาตอนปลายปีก่อนหน้า ทำให้พอร์ตการออมเติบโตติดลบกว่าพอร์ตปลายปี 2559 แต่การออมหุ้น DCA ไม่ได้หวังผลตอบแทนในระยะสั้น เป็นการลงทุนหวังผลตอบแทน.oระยะยาว 5 ปี 10 ปี ยิ่งหากลงทุนหุ้นพื้นฐานดีๆ มีการเติบโตดีและเติบโตต่อเนื่อง จะให้ผลตอบแทนได้ไม่น้อยกว่า 10 % ต่อปี (จากข้อมูลที่เคยอ่านมา และจากข้อมูล ดร.นิเวศน์ ) และหวังผลกำไรแบบทบต้นไปเรื่อยๆ ยิ่งสามารถลงทุนได้ยิ่งนาน...จะยิ่งให้ผลตอบแทนที่มากอย่างไม่น่าเชื่อ??? ...ลองพิสูจน์ดูด้วยตัวเองนะครับ
[ หุ้นที่ผม DCA ผมจะพยายามเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีการเจริญเติบโตได้ต่อเนื่องทุกปี (แนวโน้มจากพื้นฐาน) ไม่เน้นหุ้นเติบโตสูงมากแต่มีความไม่แน่นอน แต่จะเน้นการเติบโตที่สูงได้อย่างต่อเนื่องทุกๆปี .... เพราะการ DCA เป็นการทยอยซื้อสะสมเพิ่มทุกๆเดือน เป็นการลงทุนระยะยาว หากหุ้นที่ซื้อมีการเติบโตได้ต่อเนื่องจริง แม้ราคาที่ซื้อใหม่อาจจะแพง (ราคาหุ้นซื้อใหม่) แต่อนาคตราคาหุ้นที่ซื้อเพิ่งซื้ออาจจะไม่แพงไป เพราะกิจการมีเติบโตทุกเดือน ทุกปี .... หุ้นที่เพิ่งออมก็มีกำไรเพิ่มขึ้นตามการเจริญเติบโตของกิจการ ราคาหุ้นก็ควรเพิ่มตามไปด้วย ทำให้ราคาหุ้นที่ซื้อไว้ก่อนหน้านานๆแล้ว ก็จะสร้างผลกำไรในพอร์ตมาเฉลี่ยกับราคาหุ้นที่เพิ่งซื้อมา ทำให้หุ้นในพอร์ตยังจะมีกำไรค่อยๆเติบโตได้ทุกๆปี และยิ่งหากได้ออมหุ้นไว้นานมากพอ จะเห็นผลกำไรที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้นครับ ..... แต่สำหรับนักลงทุนที่เพิ่งออมหุ้นใหม่ๆ จะยังไม่เห็นผลตอบแทนงามๆเพราะเพิ่งออมหุ้น ราคาหุ้นอาจผันผวนลงมาจนทำให้พอร์ตติดลบได้ แต่ในระยะยาวราคาหุ้นน่าจะสูงขึ้นจนได้กำไรเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญนะครับ]
หุ้นที่ผมคิดว่าไม่เหมาะสำหรับการ DCA (ในความเห็นส่วนตัวและจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยล้มเหลวในอดีต)
ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนแนวทางการลงทุนจากการซื้อขายหุ้นเอง คัดเลือกหุ้นเองบ้าง ฟังโบรกเกอร์เชียร์บ้าง ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน ในช่วงที่หุ้นกำลังบูม (ผมเข้ามาลงทุนก่อนสงครามอ่าวเปอร์เซียไม่ถึงปี น่าจะในปี 2532 ช่วงนั้นตลาดหุ้นยังดี หุ้นค่อยๆปรับตัวขึ้นจนไปทำจุดสูงสุด ที่ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,643.43 จุด ในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 มูลค่าการซื้อขายวันละ 57,451.27 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดในรอบกว่า 19 ปี ) ช่วงนั้นใครซื้อหุ้นอะไรๆก็มักจะได้กำไร เล่นหุ้นง่าย นักลงทุนหาเงินกลับบ้านได้เกือบทุกวัน .... แต่ผมเป็นพนักงานบริษัทเอกชน เริ่มทำงานมาได้ไม่กี่ปี ไม่ได้เดย์เทรด ก็ซื้อเพื่อลงทุนยาวหน่อย มีกำไรก็ค่อยขาย ขาดทุนก็ถือ ลงทุนไปเรื่อยๆ
พอร์ตลงทุนในตอนนั้นที่จำได้ มีทั้งหุ้นอสังหาริมทรัพย์ (TYONG) เงินทุนหลักทรัพย์ (NAVA, FIN ONE ) ธนาคาร ( KBANK SCIB ธนาคารศรีนคร ) โรงกลั่นน้ำมัน ( TOP ) ซึ่งหุ้นเหล่านั้นแต่ละตัว ก็มีปัจจัยเสี่ยงเรื่องการเติบโตได้ไม่ต่อเนื่อง บางปีเติบโตสูงราคาจะวิ่ง พอเติบโตน้อย ราคาหุ้นก็ไหลลงมาก หรือราคาหุ้นจะผันผวนตามข่าวตามกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าไหลออกมากเกินพื้นฐานที่ควรจะเป็น (กลุ่มเงินทุนหลักทรัพย์ เป็นต้น) หรือผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจมากเกินไป (กลุ่มกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธนาคาร เป็นต้น) หรือผันผวนตามราคาสินค้าที่ปรับขึ้นลงขึ้นลงมากและบ่อยๆไม่แน่นอนแต่ละช่วงเวลา ( เช่นน้ำมัน โรงกลั่น สินค้าโภคภัณฑ์ต้นทุนอาหารสัตว์) และอีกหลายๆกลุ่ม ....ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัว อาจผิดพลาดเป็นความคิดส่วนตัวนะครับ
2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 รัฐบาลไทยได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท นับเป็นจุดเริ่มของวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 หุ้นที่ถืออยู่ค่อยๆไหลลงๆ ไม่ขายไม่ขาดทุน สุดท้ายจากเงินทุนร่วมๆล้านน่าจะได้ ก็เหลือแค่หลักหมื่น... จากนั้นก็หยุดลงทุนหุ้นไปเลย แต่ก็ยังหาโอกาสไปฟังการสัมนาบ้าง ( โดยเฉพาะ Money Talk ของอาจารย์ไพบูลย์) ขาดทุนหุ้นจนหมดหน้าตักแต่ก็ยังสนใจเรื่องหุ้นอยู่ ผมก็ได้แต่หาหนังสือหุ้นหลายๆเล่มมาอ่าน เพื่อเพิ่มพูนความรู้เรื่อยๆ ก็มีหนังสือหลายเล่นอ่านเข้าใจบ้าง ไม่เข่าใจบ้าง อ่านบ้างเอามาดองไว้บ้าง (ไม่ได้อ่านฮ่า ฮ่า) หลายๆเล่มที่ได้อ่าน เช่นหุ้นห่านทองคำ ตีแตก และหนังสือเกียวกับการออมเงิน การให้เงินทำงานแทนเราได้อย่างไร เป็นต้น ทำให้เกิดกำลังใจ มีความหวังว่าหุ้นจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเราแน่ๆ ช่วงนั้นก็พอมีเงินดาวเงินเดือนอยู่ ก็เลยเริ่ม DCA หุ้นกับ บล.ซิกโก้ (ตอนนี้เป็น CIMB ไปแล้ว)
สิ่งที่จุดประกายให้กลับมาลงทุนหุ้นอีกรอบคือ ...
1 จากการที่ได้อ่านหนังสือหุ้นห่านทองคำแล้ว ..เห็นด้วยกับแนวคิดที่จะสะสมหุ้นพื้นฐานดีๆ มีเงินปันผล และถือยาวๆ เปรียบสเมือนเราเลี้ยงห่านทองคำไว้ ซึ่งทุกปีห่านจะไข่ออกมาให้เรากินสม่ำเสมอ.. และหากห่านโตเต็มที่ มีคนมาขอซื้อแพงๆ ก็แบ่งขายไป แล้วเมื่อหุ้นปรับตัวลงก็ค่อยกลับไปซื้อหุ้นกลับคืนมา เพื่อเอามาเลี้ยงให้โตเพื่อหวังไข่ทองคำเพิ่มขึ้น รวมทั้งหากโตพอขายได้ราคาก็ขายไป ทยอยขาย ทยอยซื้อลูกห่านมาเลี้ยงเพิ่ม
2 . จากการได้ติดตามพอร์ตการลงทุนของดร.นิเวศน์ และ ดร.ไพบูลย์ เห็นว่า การลงทุนหุ้นที่พื้นฐานดี มีการเติบโตต่อเนื่อง ให้ผลตอบแทนการลงทุนที่สูงพอสมควร แต่ต้องมีวินัยในการลงทุนระยะยาว ไม่กลัวหุ้นตกมากๆเมื่อเกิดวิกฤติที่หุ้นลงแรงๆ ถ้าหุ้นที่เราเลือกลงทุนแล้ว การเติบโตยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ไม่ได้มีผลกระทบกับกิจการของหุ้นในระยะยาว ก็ต้องยอมรับผลขาดทุนระยะสั้นนั้นได้
3. จากอิทธิพลของดอกเบี้ยทบต้น หากได้ผลตอบแทนต่อเนื่องทุกๆปี ผลตอบแทนแต่ละปีที่ได้รับ หากเราเอามาลงทุนต่อเนื่อง ผลกำไรนั้นจะสร้างกำไรเพิ่มเป็นทวีคูณได้อย่างไม่น่าเชื่อ
จาก 3 เหตุผลข้างต้น ทำให้ผมมีความหวังว่าการลงทุนแบบ DCA จะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ไม่หวังผลตอบแทนรายปีสูงๆในแต่ละปี แต่หากสามารถลงทุนได้ในระยะยาวหลายๆปี ก็สามารถให้ผลตอบแทนได้สูงอย่างน่าพอใจเช่นกัน และได้เริ่ม DCA มาตั้งแต่บัดนั้นมา เป็นเวลา 10 ปีกว่าแล้ว
ต่อไปนี้ก็เป็นพอร์ตใน Q 1 2560 ซึ่งกำไรลดลงจากปลายปี บางตัวกำไรลด บางตัวขาดทุน
ซื้อทุกวันที่ 5 ของเดือน
Create Date : 25 เมษายน 2560 |
Last Update : 25 เมษายน 2560 8:22:59 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1278 Pageviews. |
|
|